เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
55,536,532 |
Page Views |
62,366,335 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
10/10/2023
View: 55,874
ต้นไม้ในป่า 6
For information only-the plant is not for sale
1 |
ยมแดง,จางจืด/Trichilla connaroides |
34 |
ลามเขา/ Rapanea porteriana |
2 |
ยมมะกอก/Chisocheton cumingianus
|
35 |
ลำดวนดอย/ Mitrephora wangii |
3 |
ยมหอม/Toona ciliata |
36 |
ล่ำตาควาย/Diosperos coaetanea |
4 |
ยมหิน/Chukrasia tabularis |
37 |
ลำพูป่า/ Duabanga grandiflora |
5 |
ยาแก้มะโหกโตน (ชื่อต้นไม้)/Vernonia
|
38 |
ลำไยป่า/ Dimocarpus longan |
6 |
ยาแก้หลวง/Gochnatia decora |
39 |
เล็งเก็ง/Magnolia liliifera var. obovata |
7 |
ยาแก้ฮากเหลือง/Desmodium oblongum |
40 |
เลือดควาย/Knema erratica |
8 |
ยางกราด/Dipterocarpus intricatus |
41 |
เลือดควายใบใหญ่/Knema furfuracea |
9 |
ยางดง/Dipterocarpus retusus |
42 |
ศิลา/ Ilex cymosa |
10 |
ยางดง/Polyalthia obtusa |
43 |
สกุณี/Terminalia calamansanai |
11 |
ยางแดง/Dipterocarpus turbinatus |
44 |
ส้มแปะ/ Vaccinium sprengelii |
12 |
ยางนา/ Diptrocarpus alatus |
45 |
สมอดีงู/Terminalia citrina |
13 |
ยางปาย/Dipterocarpus costatus |
46 |
สมอทะเล/Shirakiopsis indica |
14 |
ยางปุ่ม/Polyalthia clavigera |
47 |
สมอไทย/Terminalia chebula |
15 |
ยางพลวง/Dipterocarpus tuberculatus |
48 |
ส่องฟ้าดง/Clausena harmandiana |
16 |
ยางพารา/ Hevea brasiliensis |
49 |
สอยดาว/Mallotus paniculatus |
17 |
ยางยืด/Polyalthia simiarum |
50 |
สะเดาช้าง/Rhus succedanea |
18 |
ยางเหลือง/Polyalthia jucunda |
51 |
สะเดาเทียม/Azadirachta excelsa |
19 |
ยางเหียง/Dipterocarpus obtusifolius |
52 |
สะเดาอินเดีย/Azadirachta indica |
20 |
ยางโอน/Polyalthia viridis |
53 |
สะทางเล็ก/Xylopia pierrei |
21 |
ยี่หุบปรี/Magnolia siamensis |
54 |
สะบันงาเกลียว/Dasymaschalon sootepense |
22 |
ระฆังภู/Miliusa campanulata |
55 |
สะบันงาดง/Cyathocalyx martabanicus |
23 |
รักขาว/Semecarpus cochinchinensis |
56 |
สะบันงาป่า/Goniothalamus griffithii |
24 |
รักนา/Gardenia carinata |
57 |
สะเภาลม/ Agapoetes hosseana |
25 |
รักน้ำ/ Gluta velutina |
58 |
สะพ้านก๊น/ Sambucus javanica |
26 |
รักใหญ่/ Gluta usitata |
59 |
สะลีกดง/ Alangium Kurzii |
27 |
รัง/Shorea siamensis |
60 |
สะแล่งหอมไก๋/Rothmannia sootepensis |
28 |
รังกะแท้/Kandelia candel |
61 |
สักขี้ไก่/Premna tomentosa |
29 |
รังกะแท้/Rapanea yunnanensis |
62 |
สังหยูเขา/Pseuduvaria monticola |
30 |
ราชครูดำ/Goniothalamus macrophyllus var.
|
63 |
ส้านช้าง/ Dillenia pentagyna |
31 |
ราชครูดำดอกแถว/Goniothalamus macrophyllus
|
64 |
ส้านใบเล็ก/Dillenia ovata |
32 |
ราชดัด/Brucea javanica |
65 |
ส้านหลวง/ Dillenia aurea |
33 |
ราชาวดีป่า/Buddleja asiatica |
66 |
ส้านหิ่ง/Dilenia Parviflora |
|
|
67 |
ส้านเห็บ/Saurauia roxburghii
|
EPPO code---รหัสEPPOคือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
Phonetic spelling of Latin names by edric https://www.palmpedia.net/wiki/
|
ยมแดง, จางจืด/Trichilla connaroides
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Trichilla connaroides (Wight & Am.) Bentv.(1815) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Heynea trijuga Roxb. ex Sims.(1738) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2515171 ชื่อสามัญ---Musk mallow, Indian Heynea. ชื่ออื่น---ยมแดง, จางจืด, โจ้กขน, ซงแก, ตาปลาต้น, ตาเสือทุ่ง, นางใย, แฟนน้อย, มะเฟืองป่า, กะดอนองอาปี; [ASSAMESE: Thengare-arong.];[INDONESIA: Buah Pasat (Borneo).];[MALAYALAM: Korakadi, Korakkadi, Kurukkati.];[NEPALI: Aankha taruwa, Komal-siuli.];[TAMIL: Centanai, Centarai, Karai.];[THAI: Chang chuet (Mukdahan), Chok khon (Chiang Mai), Song kae (Yala), Ta pla ton (Loei), Ta suea thung (Pattani), Nang yai (Loei), Faen noi (Loei), Ma fueang pa (Chiang Mai), Ka-do-nong-a-pi (Malay-Pattani).]. EPPO Code---TCISS (Preferred name: Trichilia sp.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล พม่า เวียตนาม จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ Trichilla connaroides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Robert Wight (1796–1872)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตAm. และ George Arnott Walker Arnott (1799–1868)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bentv. ในปี พ.ศ.2358
ที่อยู่อาศัยการกระจายแบบเต็ม ในประเทศจีน (กวางตุ้ง กวางสี กุ้ยโจว ไหหลำ ยูนนาน) ชวา คาบสมุทรมาเลเซีย (เคดาห์ ปีนัง เตรังกานู เประ ปาหัง สลังงอร์ เนกรีเซมบีลัน) นิโคบาร์หมู่เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ (ลูซอน บาซิลมินดาเนา) เกาะสุมาตรา , อินเดีย (อุตตรประเทศ, พิหาร, เบงกอลตะวันตก, อรุณาจัลประเทศ, อัสสัม, เมหิลายา, โอริสสา, รัฐมหาราษฏระ, กัว, รัฐอานธรประเทศ, รัฐกรณาฏกะ, รัฐทมิฬนาฑู), สิกขิม, เนปาล, ภูฏาน พม่า(ย่างกุ้ง) ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม, ลาว พบตามป่าไม้ในภูมิภาคที่เป็นภูเขาพื้นที่เปิดโล่งในป่าดิบเขา ในป่าเต็งรังผสมและป่ากึ่งภูเขา ที่ระดับความสูง 200 - 1,700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นกึ่งผลัดใบสูงถึง10-15เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 25ซม. เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกตื้นๆ เปลือกชั้นในขาวหรือชมพูอ่อน กิ่งก้านสีน้ำตาลดำ ใบเป็นใบประกอบยาว18-40 ซม.มีใบย่อย (3)4-6 คู่ ใบย่อยรูปไข่แคบ ขนาดกว้าง 2-7 ซม.ยาว 5-16 ซม.ใบอ่อนสีแดง ใบแก่สีเขียวเข้ม ผิวด้านบนเรียบและเป็นมัน ผิวด้านล่างเป็นนวลสีเขียวเทา ดอก สีขาว - เหลือง เส้นผ่านศูนย์กลาง 4 มม ออกเป็นช่อใหญ่ที่ซอกใบบนๆและปลายกิ่ง ผลขนาด 1-1.5 ซม.สีแดงสดรวมถึงก้านของผลด้วย ผลแคปซูลกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 มม.เป็น 2 พูมีติ่งเล็กๆ แตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดสีน้ำตาล 2 เมล็ดซึ่งมีเนื้อบางสีขาวคล้ายวุ้นห่อหุ้ม ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นแหล่งที่มาของไม้และน้ำมันและอาจใช้เป็นยาก็ได้ -ใช้เป็นยา เปลือกใบและผลไม้มีรสขมมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์ทางด้านเภสัช น้ำมันเมล็ดใช้สมานแผล -วนเกษตรใช้ ปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าในประเทศไทย -อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนส่วนมากใช้ทำฟืน งานไม้ที่ใช้ตกแต่งภายใน น้ำมันที่ได้จากเมล็ด ใช้สำหรับให้แสงสว่าง ระยะออกดอก/ติดผล--- มีนาคม - กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยมมะกอก/Chisocheton cumingianus
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Chisocheton cumingianus subsp. balansae (C.DC.) Mabb.(1977) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms ---Basionym: Chisocheton balansae C.DC.(1894) ---More.See all The Plant List Chisocheton cumingianus subsp. balansae ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ยมมะกอก ;[CHINESE: xi suo.];[MYANMAR: Tagat-pyu.];[PHILIPPINES: Balukanag, Diualat, Kalimotain, Salakin (Tag.).];[THAI: yom ma kok (Chiang Mai).];[VIETNAMESE: Goi chuy.]. EPPO Code---TCISS (Preferred name: Trichilia sp.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้, อินเดีย, ภูฏาน, ลาว, พม่า, ไทยและเวียดนาม Chisocheton cumingianus subsp. balansae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anne Casimir Pyramus de Candolle (1836–1918)นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย David John Mabberley (เกิดปี 1948) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2520
ที่อยู่อาศัยพบในจีนตอนใต้, อินเดีย, ภูฏาน, ลาว, พม่า, ไทยและเวียดนาม ในประเทศไทยพบประปรายในป่าดิบชื้นทางภาคเหนือ ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง30เมตรลักษณะทรงต้น เรือนยอดแคบเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มหรือสีเทา มีรอยแตกตื้นๆ ใบประกอบแบบขนนก ยาว 30-100 ซม. มีใบย่อย10-12 คู่ปลายใบมักเป็นตุ่มแทนที่จะเป็นใบย่อย ใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก 13-30 × 4-6 ซม.แผ่นใบบางคล้ายกระดาษเหนียวคล้ายหนัง เกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอก สีขาวหรือเหลืองช่อดอกยาวเป็นกลุ่มห้อยลง ช่อดอกยาว20-50ซม.ดอกตูมเป็นหลอดเล็กยาวกลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วยปลายสี่แฉก ขนาดยาวเกือบเท่ากลีบดอก กลีบดอกมี 4-6 กลีบเรียง 1-2 วง ผลสีแดงสดหรือเหลืองหม่นแกมชมพูผลห้อยจากก้านที่ยาวมากถึง70ซม. ผลกลมแตกเป็น 2-5 เสี้ยวแต่ละเสี้ยวมี 1-2 เมล็ด มีเยื่อสีส้มห่อหุ้มบางส่วน ใช้ประโยชน์----ใช้กิน มีรายงานว่าผลกินได้ -ใช้เป็นยา น้ำมันบาลูกานัค (Balukanag)ไม่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวและมีรสขมเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาถ่าย แต่ไม่รุนแรงเท่าน้ำมันละหุ่ง ใช้ภายนอกสำหรับโรคไขข้ออักเสบและการอักเสบเนื่องจากอาการบวมน้ำ -อื่น ๆ ให้ผลผลิตไม้เนื้ออ่อนสีขาวที่ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์แผ่นผนังไม้อัดกล่อง -เมล็ดให้น้ำมันที่ไม่ทำให้แห้ง (น้ำมัน catoseed)ใช้สำหรับการทำสบู่และการให้แสงสว่าง น้ำมันจากเมล็ดใช้ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผม-เยื่อที่ใช้สำหรับการทำกระดาษ ผลไม้:ใช้สำหรับขจัดคราบสกปรก ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/มิถุนายน - ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยมหอม/Toona ciliata
ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Toona ciliata M.Roem.(1846) ชื่อพ้อง--- Has 32 Synonyms ---Cedrela microcarpa C.DC.(1878) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2515118 ชื่อสามัญ---Cigar-Box cedar, Burma cedar, Indian cedar, Moulmein cedar, Australian red-cedar, Queensland red cedar, Indian mahogany, Sandal neem, Toontree. ชื่ออื่น---ยมหอม ;[AFRIKAANS: Toonboom.];[ASSAMESE: SeLal-poma, Poma, Pama.];[AUSTRALIA: Australian red cedar, Queensland red cedar.];[BENGALI: Tun.];[CHINESE: H?ng ch?n.];[FRENCH: Acajou indien, C?dre rouge d'Australie.];[HINDI: Tun, Nandi, Nandik, Tunna.];[MALAYALAM: Vedivembu, Akil, Thunnam.];[PORTUGUESE: Cedro-australiano, Cedro-vermelho-da-austr?lia.];[SANSKRIT: Tunna, Nandi, Kacchapah, Nandikah.];[SWEDISH: Toon.];[TAMIL: Thera Tharam, Matakari-vempu, Tuna-maram.];[THAI: Yom hom (General).]. EPPO Code---TOOCI (Preferred name: Toona ciliata.) ชื่อวงศ์--- MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อนุทวีปอินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี, ออสเตรเลีย, W. Pacific Toona ciliata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Max Joseph Roemer (1791–1849)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2389
ที่อยู่อาศัยพบเติบโตทั่วภาคใต้และตะวันออกของเอเชีย จากอัฟกานิสถานไปยังปาปัวนิวกินีและออสเตรเลีย มันเติบโตในเกาะฮาวายของสหรัฐอเมริกา แอฟริกาใต้และตะวันออก ในส่วนของซิมบับเวและแอฟริกาใต้ พบได้ทั่วไปในที่ร่มหรือที่อยู่อาศัยที่เปิดกว้าง: หุบเขาหุบเหวป่าไม้ เนินเขายอดเขาลาดชันใกล้แม่น้ำและลำธาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมณฑลยูนนานที่ระดับความสูงถึง 400 - 2,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบหรือผลัดใบช่วงสั้นๆ สูง 20 - 35 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น100-300ซม.เรือนยอดแคบแตกกิ่งก้านตั้งชันกับลำต้น เมื่อโตเต็มที่ระบบรากยังแพร่กระจาย ลำต้นมีพูพอนสามารถค้ำยันได้สูงถึง 3.5 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลเทามีรอยแตกตามยาว เปลือกชั้นในสีน้ำตาลเข้มเป็นเส้นใยมีกลิ่นหอม กลิ่นเหมือนธูปจาง ๆ ในกิ่งไม้หักสดใหม่ ใบประกอบแบบขนนก (35-50 ซม.) ใบย่อย 6-11คู่ ขนาดของใบย่อยกว้าง 3-4.5 ซม.ยาว 6.5-14.5 ซม. รูปไข่แคบฐานใบไม่เท่ากัน ใบแก่ผิวเรียบ ดอกออกเป็นช่อยาวห้อยลงยาว 30-40 ซม.กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 1 มม. กลีบดอกประมาณ 3.5-4 x 3.5-4 มม ดอกสีขาวแกมเขียว ผลสีน้ำตาลเข้มหรือดำยาวประมาณ 15-20 มม. ก่อนที่จะแยกออก มีจุด สีครีม เปลือกบาง และแข็ง แห้งแล้วแตกออกเป็น 5 เสี้ยวแต่ไม่หลุดออกจากกัน เมล็ดมีปีกที่ปลายแต่ละข้างเมล็ด (รวมปีก) ขนาดประมาณ 12-15 x 3-4 มม. สังเกตได้ง่ายจากกลุ่มของผลแห้งเป็นรูปดาวที่มักจะติดบนต้นตลอดปี ใช้ประโยชน์---ต้นไม้มีความหลากหลายในการใช้งานแบบดั้งเดิมและมีคุณค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไม้ซึ่งรวบรวมจากป่าและยังผลิตในสวน มักจะเติบโตเป็นไม้ประดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับดอกที่สวยงาม เป็นต้นไม้อเวนิวที่ได้รับความนิยมปลูกบนถนนในอินเดียตอนเหนือ และปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตกึ่งร้อนและเขตร้อนของโลกเพื่อเป็นต้นไม้ที่โตเร็วและให้ร่มเงาที่ร่มรื่น ไม้ของเผ่าพันธุ์Toona มีค่าสูงแต่ตอนนี้หายากเพราะ,มีการตัดไม้มากเกินไปตลอดช่วงการแพร่กระจาย -ใช้กิน ใบปรุงสุกกินได้ -ใช้เป็นยา ส่วนต่าง ๆ ของพืชถูกใช้เป็นยาตลอดช่วงกระจายทางภูมิศาสตร์ -ใช้เป็นยา เปลือกไม้นั้นเป็นยาสมานแผล ยาแก้ไข้ ยาบำรุงและยาแก้พิษที่มีประสิทธิภาพ ถูกใช้ในการรักษาโรคบิดเรื้อรังและแผลเรื้อรัง ดอกไม้ถูกนำมาใช้เพื่อปรับประจำเดือนในผู้หญิง -อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลอ่อน, น้ำตาลซีดาร์, แดงเข้ม น้ำตาลแดงหรือแดงอิฐ มีริ้วสีน้ำตาลเข้ม กระพี้มีสีขาวอมชมพูชมพูแดงหรือน้ำตาลเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอมของต้นซีดาร์เมื่อถูกตัด ไม้เนื้อแข็งปานกลาง น้ำหนักเบาทนทาน ไม้มีความหลากหลายของการใช้งานเช่นแกะสลัก, การสร้างเรือ, การทำตู้ ใช้สร้างบ้าน ทำเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูง, ใช้ตกแต่งภายใน,ท่อนไม้ของสายพันธุ์นี้ได้รับการยกย่องอย่างสูงในการผลิตเรือแข่งที่มีน้ำหนักเบาโดยเฉพาะเรือใบและเรือบด-ดอกไม้ประกอบด้วยสีแดงและสีย้อมสีกำมะถัน ผ้าฝ้ายและผ้าขนสัตว์สามารถย้อมสีเหลืองหมองคล้ำโดยการแช่ในสารสกัดที่เดือดของดอกไม้ ใช้ร่วมกับดอกคำฝอยและขมิ้นพวกเขาผลิตสีกำมะถันสีเหลือง เปลือกมีสารแทนนิน เส้นใยที่ได้จากเปลือกนั้นถูกนำมาใช้ในการผลิตเป็นเชือกสตริง น้ำมันหอมระเหยสามารถสกัดได้จากผลไม้ สารสกัดบางชนิดจากเปลือกไม้มีคุณสมบัติป้องกันแมลง สารสกัดจากเปลือกไม้แก่นไม้และใบไม้มีคุณสมบัติในการฆ่าแมลง ระยะออกดอก---มกราคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยมหิน/Chukrasia tabularis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Chukrasia tabularis A.Juss.(1830) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms ---Chukrasia velutina M. Römer.(1846) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2720348 ชื่อสามัญ---Chickrassy, Chittagong wood, Burma almondwood, East Indian mahogany, Indian mahogany. ชื่ออื่น---ช้ากะเดา, ฝักดาบ, มะเฟืองช้าง, ยมขาว, ยมหิน, สะเดาช้าง, สะเดาหิน, เสียดกา, เสียดค่า, งริ้งบ้าง, รี ,วาราโย่ง ;[ASSAMESE: Sokroi-poma,Bogi-poma.];[BAHASA MELAYU: Pokok Serian Batu,];[BENGALI: Chikrass, Dalmara, Pabba.];[CHINESE: Má liàn shǔ.];[MALAYALAM: Chandanaveppu, Akil, Chuvannakil.];[MYANMAR: Kin-thabut-gyi, Taw-yinma, Yinma.];[TAMIL: Aglay, Maleiveppu.];[THAI: Cha kadao (Peninsular), Ma fueang chang (Central), Yom hin, Sadao chang, Sadao hin (Central), Yom khao (Northern), Fak dap (Chanthaburi), Fak dap (Chanthaburi), Siat ka (Prachin Buri, Surat Thani), Ri , Ring-bang (Karen-Mae Hong Son), Kho-yong (Karen-Chiang Mai), Wa-ra-yong (Khmer-Prachin Buri).];[VIETNAM: Lát hoa.]. EPPO Code----KRZTA (Preferred name: Chukrasia tabularis.) ชื่อวงศ์--- MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม Chukrasia tabularis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adrien Henri Laurent de Jussieu (1797–1853)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2373
ที่อยู่อาศัยต้นไม้ที่โดดเด่นมักจะพบกระจัดกระจายอยู่ในป่าดิบเขา ป่าดิบแล้งถึงป่ากึ่งแห้งและป่าผลัดใบ มักจะพบบนดินที่ระบายน้ำได้ดีในที่ราบและบนเนินเขา เป็นพืชในเขตร้อนชื้นที่มักพบในระดับความสูง 300 - 800 เมตร ประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือในพื้นที่แห้งกึ่งโล่งแจ้ง ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูงประมาณ15-25 (-40) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 120 ซม ลักษณะ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย 11-21ใบ ใบรูปหอกแกมรูปขอบขนาน ใบย่อยที่แก่มีขนสีขาวปกคลุมด้านล่าง ดอกสีเหลืองครีม ขนาด2-2.5ซม. ออกเป็นช่อตามปลายยอด ก้านดอกมีขน กลีบเลี้ยง 4-5กลีบรูปถ้วย กลีบดอก4-5กลีบแยกกันเกสรตัวผู้ 8-10 อัน ผลรูปไข่ ยาวประมาณ3ซม. สีดำเป็นมันปลายผลมีติ่ง แห้งแล้วแตก ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เพราะไม้มีค่า มีการซื้อขายระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีการใช้เป็นยาในท้องถิ่น เป็นแหล่งวัสดุของสินค้าต่างๆ และเป็นสายพันธุ์วนเกษตรที่มีประโยชน์ เติบโตเป็นต้นไม้ที่ปลูกในหลายประเทศนอกเขตการกระจายพื้นเมืองและบางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้เป็นยา สารสกัดจากเปลือกไม้มีคุณสมบัติสมานแผลที่มีประสิทธิภาพและถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการท้องเสียและเป็นยาแก้ไข้ มีรายงานว่ามีสารสกัดจากใบ น้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในใบ แสดงฤทธิ์ต้านมาลาเรียจำนวนมากรวมถึงกิจกรรมต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านเชื้อรา -วนเกษตรใช้ เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในพื้นที่ที่เคยมีการเพาะปลูกแบบไร่เลื่อนลอย -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลอมแดงซีด, สีเหลืองแดงถึงสีแดง,กระพี้สีน้ำตาล ลายเส้นสีเข้มอาจจะค่อนข้างโดดเด่น ไม้ที่ตัดสดมีกลิ่นหอม แต่ไม้แห้งไม่มีกลิ่นที่เป็นลักษณะเฉพาะ เนื้อไม้มีความแข็งปานกลางถือว่าไม่ทนทาน ใช้ในงานภายในคุณภาพสูง ตกแต่งผนังห้องเชื่อมต่อภายในเช่นประตูหน้าต่างและพื้น ใช้ในงานแกะสลักหรือกลึง นอกจากนี้ยังใช้สำหรับหมอนรถไฟ สร้างเรือ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องดนตรี (รวมถึงเปียโน) ในอินเดียไม้นั้นยังใช้สำหรับงานเบาถึงงานหนักปานกลาง เช่น เสา, คานและไม้กระดาน เหมาะสำหรับสำหรับไม้อัดเชิงพาณิชย์และป้องกันความชื้น -สารสกัดจากรากแสดงฤทธิ์ การต่อต้านแมลง ดอกไม้ให้สีย้อมสีแดงและสีเหลือง ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ติดผล--- พฤษภาคม - มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ยาแก้, มะโหกโตน/Vernonia volkameriifoli
ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้ไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดยไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Monosis volkameriifolia (DC.) H.Rob. & Skvarla.(2006.) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Basionym: Vernonia volkameriifolia DC. ---Vernonia leveillei Fedde ex H.Lév.(1914.) ---Vernonia vulgaris Hook.f.(1881) ---Vernonia wallichii Ridley.(1920) ---Gymnanthemum volkameriifolium (Wall. ex DC.) H. Rob.(1999) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/gcc-154020 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---มะโหกโตน, ยาแก้, หญ้าแก้, หยาน, คละปอพะดุ ; [CHINESE: Dà yè bān jiū jú.];[THAI: Ma hok ton, Ya kae ma hok ton, Ya kae, Yan (Chiang Mai), Khla-po-pha-du (Karen-Chiang Mai).]. EPPO Code---MSFSS (Preferred name: Monosis sp.) ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ยูนนาน ตอนเหนือของเวียตนาม ไทย Monosis volkameriifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Harold Ernest Robinson (1932–2020) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวอเมริกันและDr. John J. Skvarla (1935-2014)นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2549
ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายในป่าทึบหรือป่าผสมในหุบเขา ที่ระดับความสูง 800-1600 เมตรในประเทศจีน (กวางสี, กุ้ยโจว, ยูนนาน) [ภูฏาน, อินเดีย, ลาว, พม่า, เนปาล, ไทย, เวียดนาม] ในประเทศไทยพบขึ้นทั่วไปในที่โล่งแจ้งทางภาคเหนือที่ระดับ 2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ สูงถึง3-8 เมตร ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มบางและเรียบ ก้านใบสั้นและกว้างฐานมักขยายเป็นฝักยาว 10-18 มม"ใบรูปไข่หรือรูปไข่กลับขนาดกว้าง 5-20ซม.ยาว15-50ซม. ใบจะมีขนาดเล็กลงเมื่อใกล้ออกดอก ขอบใบมักมีซี่หยาบประปราย ใบแก่สีเขียวหม่นด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอกออกเป็นช่อแยกแขนงรูปปิรามิดยาว 20-30 ซม. ดอกเป็นช่อกลมขนาด1.2-1.8 ซม.สีชมพูหรือ ม่วงแดงแต่ละช่อย่อยกลม เป็นหลอดยาว 8-10 ซม.มีกาบรองช่อซ้อนกัน5ชั้น ผลขนาด0.3-0.5ซม.มีริ้วไม่สม่ำเสมอ10ริ้วและเส้นขนแข็ง2วง ผลแห้งเมล็ดล่อน รูปขอบขนานแกมทรงกระบอก ยาว 3-4 มม. มีสัน 10 สัน ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใช้เป็นยาแก้มะโหก (ชื่อโรคโบราณทางเหนือ-; จากหนังสือ สมุนไพรแก้โรค ฉบับที่9) มะโหกหรือบ่าโหกเป็นชื่อโรคของหมอเมืองที่มีอาการเทียบเคียงกับโรคกษัยของ การแพทย์แผนไทย ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเสื่อมโทรมของร่างกายตามวัย ทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติ มีอาการโดยรวมดังนี้ ปวดหลังปวดเอว ปวดตามลำตัวอาจเรียกเฉพาะที่เป็น เช่น ปวดแข็งปวดขา เรียกว่า มะโหกเจ็บแข้งเจ็บขา หรือมะโหกลงเสา มะโหกปวดก้นปวดเอว ถ่ายอุจจาระลำบากเรียกว่า มะโหกขี้แค่น ถ่ายยากขึ้นไปอีกเรียก มะโหกพันละดี ถ้าเป็นก้อนเนื้อยื่นออกมาจากทวารเรียกว่า มะโหกก้นปู๊ด ซึ่งแยกย่อยเป็นมะโหกเดือยไก่ แต่หากมีอาการมากขึ้นอาจถ่ายเป็นมูกเลือดเรียกว่า มะโหกลงเลือด อาการทางทวารเหล่านี้ทางการแพทย์แผนปัจจุบันเรียกว่าริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) ถ้ามีอาการปัสสาวะบ่อย (วันยังค่ำ) เรียกว่ามะโหกเยี่ยวหนัก หรือ บ่าโหกเยี่ยวนักมีอาการร้อนท้องร้อนไส้ -ถ่ายอุจจาระปัสสาวะแสบร้อนเรียกว่ามะโหกเข้าไส้ จุดเริ่มต้นของการเกิดโรคอาจเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพเช่นด้านอาหารการกินไม่เหมาะ สม และด้านอริยาบถสี่ไม่สมดุลเช่นการยืน เดิน นั่ง นอน อย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป จนเกิดโรค และมีปัจจัยเสริมคือการเปลี่ยนแปลงของวัย มักพบในปัจฉิมวัย ที่มีอาการกระทบของลมก่อให้เกิดธาตุกำเริบ หย่อน พิการ หรือมีอาการติดขัดของการเคลื่อนไหวของธาตุลม หรือพลังลมปราณในการเคลื่อนไหว ทำให้อาการอื่นๆตามมา เช่นปวดเมื่อย ธาตุดินเสื่อม(ริดสีดวง) หรือความผิดปกติธาตุน้ำ(มูกเลือด) ทั้งนี้พบตำรับยาและข้อมูลจากหมอพื้นบ้านที่บ่งชี้อาการได้ดังสันนิษฐานข้าง ต้น ยาสมุนไพรที่จ่ายให้ผู้ป่วยของหมอเมืองในปัจจุบัน มักเป็นยาใช้รักษาของมะโหก2ชนิดคือ มะโหกปวดหลังปวดเอว และมะโหกก้นปู๊ด มะโหกเลือด ตำรับยาอาจพบยารักษาอาการรวมอาการทั้งหมดด้วยกันหรือแยกตามอาการ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยาแก้หลวง/Gochnatia decora
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Leucomeris decora Kurz.(1872) ชื่อพ้อง---Has 1 SYnonyms ---Gochnatia decora (Kurz) Cabrera.(1971) ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---ยาแก้หลวง, ยาแก้, นิ้วมือต้น ;[CHINESE: Bai ju mu.];[JAPANESE: Shiragiku ki.];[THAI: Ya kae luang, Ya kae, Nio mue ton (Northern).] EPPO Code---GHTSS (Preferred name: Gochnatia sp.) ชื่อวงศ์---ASTERACEAE (COMPOSITAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย จีน เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Leucomeris" มาจากภาษากรีก “leukos” สีขาว ตามสีของดอก สกุล Leucomeris อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Gochnatioideae มีเพียง 2 ชนิด พบที่อินเดีย ปากีสถาน เนปาล พม่า จีนตอนใต้ และเวียดนาม ในประเทศไทยมีเพียงชนิดเดียว Leucomeris decora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ทานตะวัน (Asteraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2415
ที่อยู่อาศัยพบที่พม่า จีนตอนใต้(ยูนนาน) และเวียดนาม ในป่ากึ่งโล่งแจ้งมักจะพบขึ้นปะปนกับไม้สน ที่ระดับความสูง 1,000-1,900 เมตรในประเทศจีน ประเทศไทยพบทางภาคเหนือที่เชียงใหม่ ตาก และทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี ขึ้นตามสันเขาในป่าดิบเขาและป่าสน ความสูง 600-1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่ม ผลัดใบกิ่งก้านระเลื้อยและบิดเป็นเกลียว สูง 3-5 เมตร ลักษณะ เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาลเข้ม หนา มีรอยแตกลึก ใบเรียงเวียน รูปรีหรือรูปขอบขนานขนาด11-17x4-7ซม ปลายใบแหลม โคนใบเบี้ยว ขอบจักคล้ายหนามห่าง ๆ ยอดอ่อนมีขนสีขาวคล้ายไหมหนาแน่น ใบแก่บางสีเขียวหม่นเกือบเรียบเกลี้ยง เส้นแขนงใบ 5–10 คู่ ก้านใบยาว 0.5–1 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น ออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง 6-15 ช่อไม่มีก้าน กาบรองช่อเป็นเกล็ดสีน้ำตาลอมส้ม ปลายแหลมหลายชั้น เป็นกลุ่มกลมสีขาว แต่ละช่อยมีดอกย่อยมี 5-7ดอก สีขาวครีม ยาว 1.7-1.8 ซม. ปลายแยกเป็น 5 แฉก รูปแถบ ยาว 0.7-1 ซม. ม้วนงอกลับ เกสรเพศผู้ 5 อัน ติดภายในหลอดกลีบดอก กลีบเลี้ยงเป็นเส้นยาวคล้ายไหมหนาแน่น ผลแห้งเมล็ดล่อน รูปทรงกระบอก สีน้ำตาล ยาว 0.8-1.2 ซม. สันไม่ชัดเจน ผิวมีขนยาว แพปพัสเป็นขนแข็ง สีขาว จํานวน 60–80 เส้น ยาว 12–15 มม. ติดทน ขณะออกดอกจะผลัดใบทั้งต้น และออกดอกเมื่อใบร่วงหมด การใช้ประโยชน์---สถานภาพเป็นไม้หายาก ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ จัดอยู่ในIUCN Red List ประเภท "พื้นฐานข้อมูลไม่เพียงพอ" สถานะการอนุรักษ์---DD -Data Deficient - IUCN Red List of Threatened Species.1998 ระยะออกดอก/ติดผล--- ธันวาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยาแก้ฮากเหลือง/Desmodium oblongum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Uraria oblonga (Wall. ex Benth.) H.Ohashi & K.Ohashi.(2018) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Basionym: Desmodium oblongum Wall. ex Benth.(1852) ---Meibomia oblonga Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น--- ยาแก้ฮากเหลือง, หญ้าฮากเหลือง , หนาดคำ, ยาต้นกำลังพระ, ต้นรากน้อย, เครือแพว ;[THAI: Ya kae hak lueang, Nat kham, Ya ton kamlang phra (Chiang Mai), Ya hak lueang (Northern), Ton rak noi, Khruea phaeo (Loei).]. EPPO Code---URRSS (Preferred name: Uraria sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีนตอนใต้ และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Desmodium oblongum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยNathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กจากอดีต George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hiroyoshi Ohashi (born 1936) และ Kazuaki Ohashi (fl. 2007)ในปี พ.ศ.2561
ที่อยู่อาศัยพบในภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย ลาว เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม มักพบตามป่าเบญจพรรณที่ระดับความสูง600-1,600เมตร ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง 1-2 เมตรลักษณะ ใบเป็นใบประกอบแบบมีใบย่อย1ใบ รูปขอบขนานแกมรีกว้าง 2-4 ซม.ยาว 7-14 ซม.หูใบรูปสามเหลี่ยมแคบ ดอกสีม่วงออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ยาวถึง 50 ซม.ดอกย่อยรูปดอกถั่วขนาด1-1.5 ซม. กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นถ้วย ปลายแยก5แฉกกลีบดอก5กลีบ เกสรเพศผู้ 10 อัน โคนเชื่อมติดกัน 9 อันอีก 1 อันอิสระ อับเรณูสีเหลือง รังไข่รูปทรงกระบอก ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนานยาวถึง 3-5 ซม.ขอบด้านหนึ่งหยักเว้าเป็นคลื่น ใช้ประโยชน์--ชาวกะเพรี่ยงในประเทศไทยใช้เป็นยา ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ยางกราด/Dipterocarpus intricatus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus intricatus Dyer.(1874) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772183 ชื่อสามัญ---Thai: Yang-krat ชื่ออื่น---กราด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); กร้าย (ส่วย-สุรินทร์); จิก (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ชะแบง (สุรินทร์); ซาด (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ตราย (เขมร, ส่วย-สุรินทร์); ตะแบง (สุรินทร์); ตาด (นครราชสีมา); ยางกราด (สระบุรี); ลาง (ชลบุรี); สะแบง (สุรินทร์); เหียงกราด (เพชรบูรณ์, ราชบุรี); เหียงขน (ทั่วไป); เหียงน้ำมัน (ราชบุรี); เหือง (ระยอง); [CAMBODIA: Trach (Central Khmer).];[LAOS: Sabaeng.];[THAI: Kraat, Chik, sat (Northeastern), Krai (Suai-Surin), Trai (Khmer, Suai-Surin), Cha baeng, Ta baeng, Sa baeng (Surin), Tat (Nakhon Ratchasima), Yang krat (Saraburi), Hiang krat (Phetchaburi, Ratchaburi), Hhiang nam man (Ratchaburi), Hiang khon (General), Lang (Chon Buri), Hueang (Rayong).]; [VIETNAM: Dầu trai, Dầu lông.]. EPPO Code---DIXSS (Preferred name: Dipterocarpus sp.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อัสสัม พม่า กัมพูชา ลาว เวียตนามตอนเหนือ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อย Dipterocarpus intricatus ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Allen Dyer (1900–1987)นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวแอฟริกาใต้ในปี พ.ศ.2417 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในภูมิภาคอินโดจีน พบในประเทศไทย, กัมพูชา, ลาวและเวียดนาม ที่ระดับความสูง 100-800เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นหนาแน่นตามป่าเต็งรังและที่ราบที่เป็นหินทราย ตั้งแต่ที่ระดับความสูง 150-300 เมตรจนถึงความลาดชันและสันเขาสูงถึง 1300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในป่าเต็งรังพบที่ระดับ (0-350 เมตร) ลักษณะ เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15-30เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 60 - 80 ซม. ลำต้นเปลาตรงกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มทึบกลม เปลือกสีน้ำตาลปนเทาแตกเป็นร่องเล็กๆ กิ่งอ่อนมีขนกระจาย ใบเดี่ยวรูปไข่แกมขอบขนาน เรียงสลับ ยาว 15-25 ซม. กว้าง 10-20 ซม. ปลายใบกลมมน โคนใบรูปหัวใจ ก้านใบยาว 2-5 ซม.ขอบใบเรียบเนื้อใบหนา ผิวใบด้านบนมีขนหยาบและสาก ใบอ่อนและยอดอ่อนมีหูใบสีแดง ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาวได้ถึง 10 ซม. ช่อแยกสองง่าม ยาว 7-10 ซม. มี 5-8 ดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม.กลีบดอก5กลีบโคนเชื่อมกันเป็นรูปกังหันสีขาวแกมชมพู ผลค่อนข้างกลมรีเป็นจีบพับ มีปีก5ปีกปีกยาว2ปีก ปีกสั้น3ปีก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---มีอายุยืนยาวถึง 100 ปี ใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ไม้และยางซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในพื้นที่ -ใช้เป็นยา ยางสีน้ำตาล สีเทาได้มาจากต้นไม้ใช้เป็นส่วนผสมของยารักษาอหิวาตกโรค ในเวียตนามใช้ รักษาหนองในโรคผิวหนังอื่น ๆ (น้ำมันเฉพาะที่) ไขข้ออักเสบ -อื่น ๆแก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงถึงแดงเข้ม เนื้อไม้มีน้ำหนักมากและมีเนื้อหยาบ ทนทานและทนต่อปลวกและแมลง ใช้สำหรับการก่อสร้างบ้าน ทำเครื่องเรือนและเกวียน ยางใช้ทำยางชัน ในประเทศกัมพูชาส่วนใหญ่จะใช้ยางแบบดั้งเดิมในการเตรียมคบเพลิง ภัยคุกคาม---เนื่องจากนี่เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างแพร่หลายและพบได้ทั่วไป อย่างไรก็ตาม มีการลดจำนวนประชากรลงระหว่าง 30 ถึง 50% ในช่วงสามชั่วอายุคน (300 ปี) อันเนื่องมาจากการขยายพื้นที่เกษตรกรรมและการแสวงประโยชน์จากไม้ สายพันธุ์ยังคงลดลง แต่ในอัตราที่ต่ำกว่า จัดอยู่ใน ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์' (มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในป่า-; ความเสี่ยงสูงมากต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคต) สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/เมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยางดง/Dipterocarpus retusus
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus retusus Blume.(1828) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Dipterocarpus tonkinensis A.Chev.(1918) ---Dipterocarpus trinervis Blume.(1823) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772239 ชื่อสามัญ---Hollong, Hollong gurjun tree, Yang Dong ชื่ออื่น--- เตียนกะฮอม (เขมร-จันทบุรี), ยางแข็ง (เพชรบูรณ์), ยางดง(นครราชสีมา), ยางควน (ภาคใต้) ;[ASSAMESE: Holong.];[CAMBODIA: Chheuteal Preng (Central Khmer).];[CHINESE: Dōng jīng lóng nǎo xiāng, Yingjiang Longnaoxiang.];[LAOS: Nyang dong.];[MALAYSIA: Keruing Gunung.];[THAI: Tian-ka-hom (Khmer-Chanthaburi), Yang khaeng (Phetchabun), Yang dong (Nakhon Ratchasima), Yang khuan (Peninsular).];[VIETNAM: Cho Nau.]. EPPO Code---DIXRE (Preferred name: Dipterocarpus retusus) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- บังคลาเทศ อินเดีย จีน ไทย เวียตนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย Dipterocarpus retusus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย พบที่บังคลาเทศ อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ จีน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน คาบสมุทรมลายู ชวา และหมู่เกาะซุนดาน้อย เกิดขึ้นตามป่าดิบชื้น ป่าดิบชื้นกึ่งผลัดใบ ป่าดงดิบกลางภูเขาที่ชุ่มชื่น ที่ระดับความสูง300 - 1,500 เมตร พบที่ระดับต่ำสุด 100 เมตร ในรัฐอัสสัม ในประเทศไทยพบกระจายห่าง ๆ แทบทุกภาค ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นตามสันเขาในป่าดิบแล้งที่ค่อนข้างชุ่มชื้น และป่าดิบชื้น ความสูง 700-1100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้น ผลัดใบสูง30-(-40) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 - 150 ซม. เปลือกสีเทามีรอยแตกตามยาวเล็กน้อย ใบมนรีกว้าง ยาว 11-28 ซม. โคนรูปลิ่ม ปลายใบสั้นแหลม ก้านใบยาว 3-7 ซม.ผิวใบเกลี้ยงไม่เป็นมัน มีหูใบใหญ่รูปใบหอกหรือรูปแถบ ยาว 9-13 ซม.สีแดงซึ่งหลุดง่าย ช่อดอกยาวได้ถึง 10 ซม. มี 3-7 ดอก ผลมีหลอดกลีบเลี้ยงหุ้มผลเรียบ ยาว 2.5-3 ซม. ปีกยาว ยาว 12-25 ซม. ปีกสั้นยาว 1.5-2 ซม. ขอบพับกลับเล็กน้อย ปีกมีขนเล็กน้อย ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ เติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 22 - 30°c แม้ว่าจะสามารถทนต่ออุณหภูมิได้ 5 - 38°c ชอบดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำที่ดี ค่า pH ในช่วง 5 - 5.5 ทนได้ 4.5 - 6 สมาชิกของสกุลนี้โดยทั่วไปจะงอกใหม่ตามธรรมชาติภายใต้ร่มเงาของป่าเท่านั้น กล้าไม้สามารถคงอยู่ในร่มเงาของป่าทึบได้นานหลายปี ในช่วง 2 ปีแรก ต้นอ่อนไม่สามารถทนต่อแสงแดดโดยตรงได้แต่หลังจากนั้น (สูงประมาณ 120 ซม.) ก็สามารถรับแสงแดดเต็มที่ได้ ใช้ประโยชน์----เป็นพืชที่ปลูกในภาคเหนือของเวียดนาม ปลูกเป็นต้นไม้ประดับและให้ร่มเงาไปตามถนนหรือในสวนสาธารณะ -ใช้เป็นยา Oleo-resin นั้นได้มาจากลำต้น ใช้เป็นยา เรซิ่นจากลำต้นถูกนำไปใช้กับบาดแผล -ใช้อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนหนักนุ่มไม่ทนทานเมื่อสัมผัสกับพื้นดิน แต่ไม้ทนแมลงและปลวก ใช้สำหรับการก่อสร้างและทำเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากธรรมชาติของยางมันจึงไม่เหมาะสำหรับการปูพื้นและงานไม้ที่สัมผัสกับแสงแดด ไม้ใช้ทำถ่าน-; ในกัมพูชาผู้คนในเขตภูเขาเก็บเรซินเพื่อทำคบเพลิงและเทียน ความเชื่อ/พิธีกรรม ---Hollong เป็นต้นไม้แห่งรัฐอัสสัม ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชุมชนโมแรนในรัฐอัสสัม ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์' (ความเสี่ยงสูงมากต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคต) สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน - พฤศจิกายน/สิงหาคม - มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยางโดน/Monoon obtusum
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดยไซมอน การ์เนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon obtusum (Craib) B. Xue & R. M. K. Saunders.(2012) ชื่อพ้อง--- Has 1 Synonyms. See http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123030-1 ---Basionym: Polyalthia obtusa Craib.(1915) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ซ้ายาง(สะบุรี), ตองห่ออ้อย (เชียงใหม่, ลำพูน), ยางดง(ราชบุรี), ยางโดน (อุดรธานี), ยางอึ่ง(สุโขทัย, พิษณุโลก), สะบันงาป่า (ลำพูน), สนั่น (ระนอง), สามเต้า(ลำปาง). ;[THAI: Sa yang (Saraburi), Tong ho oi (Chiang Mai, Lamphun), Yang dong (Ratchaburi), Yang don (Udon Thani), Yang ueng (Sukhothai, Phitsanulok), Sanan (Ranong), Saban nga pa (Lamphun), Sam tao (Lampang).] EPPO Code---MOFSS (Preferred name: Monoon sp.) ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย Monoon obtusum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2553 ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย ขึ้นในป่าเต็งรังที่ระดับความสูง 100-500เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง15-25เมตร เปลือกแตกเป็นร่องสีน้ำตาลปนขาวลำต้นเปลาตรงแตกกิ่งระดับสูง เนื้อไม้เปราะ ใบรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง7-12ซม.ยาว15-25ซม.โคนใบและปลายใบมน ขอบใบเป็นคลื่นใบค่อนข้างหนาและเกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อกระจุก2-4ดอก ตามกิ่งแก่ ดอกสีเขียวอ่อน ดอกบานขนาด3-4ซม.ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย25-45ผล ผลรูปรีผิวขรุขระ กว้าง2-3ซม.ยาว3-4ซม.ผลแก่สีเหลืองอมเขียว มี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ระยะออกดอก ---กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
ยางแดง/Dipterocarpus turbinatus
ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่อวิทยาศาสตร์--Dipterocarpus turbinatus C.F.Gaertn.(1805) ชื่อพ้อง--Has 9 Synonyms ---Dipterocarpus jourdainii Pierre ex Laness.(1886) ---Dipterocarpus laevis Buch-Ham.(1829) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772265 ชื่อสามัญ---Garjan, Garjan oil tree, East Indian copaiba balsam. ชื่ออื่น---ยางแคง, ยางแดง, ยางใบเลื่อม, ยางหนู, ยางหยวก;[ASSAMESE: Kurlikhal, Garjan, Kuroil sal, Kherjong, Kural sal.];[BENGALI: Garjan, Kali garjan.];[CHINESE: Jie bu luo xiang.];[INDIA: Gurjan, Gurjun, Gurgina.];[KHMER: Chheuteal dong (Central Khmer).];[LAOS: Nyang Daeng Kiang.];[MALAYSIA: Keru ing (Malay).];[PHILIPPINES: Mayapis (Tagalog).];[SANSKRIT: Asvakarna, Ajakarna.];[SWEDISH: Keruing.];[THAI: Yang daeng (Loei, Nong Khai), Yang bai lueam (Chiang Rai), Yang nu (Chiang Rai), Yang yuak (Nong Khai), Yang khaeng (Phetchabun).];[VIETNAM: Dầu đỏ, Dau con quay, Dau la bong.]. EPPO Code---DIXSS (Preferred name: Dipterocarpus sp.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม Dipterocarpus turbinatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich von Gaertner (1772 - 1850)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันที่มี ชื่อเสียงและเป็นบุตรชายของJoseph Gaertnerในปี พ.ศ.2348
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียและจีนแผ่นดินใหญ่ (ตะวันออกเฉียงใต้- Xizang, ภาคใต้และตะวันตกของยูนนาน ) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และปลูกในพื้นที่โดยรอบ พบตามป่าเบญจพรรณชื้น ที่ระดับความสูง300-1,000เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูง 20-30 (45) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 150 ซม เปลือกมีสีเทาหรือสีน้ำตาลเข้มและมีรอยแยกตื้น ๆ ตามยาว ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว 12-36 x 5.5-15 ซม เรียงสลับ รูปไข่หรือรูปขอบขนาน โคนมนปลายแหลม ผิวใบเกลี้ยงมันทั้งสองด้าน ขอบใบหยักเป็นคลื่นห่างๆก้านใบ ยาว 2.5-5 ซม ดอกออกเป็นช่อมี3-7ดอกที่ซอกใบ ดอกสีชมพูแกมขาว กลีบเลี้ยงสีขาวแกมเหลือง รูปถ้วยปลายแยกเป็น5กลีบ กลีบดอกรูปขอบขนานแคบ เกสรผู้มี20-25อัน ผลรูปกระสวยผิวเกลี้ยงยาว 3-3.8 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม.มีนวลปีกยาว2ปีก อีกสามปีกลดรูปเป็นกลีบสั้นๆ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้เล็ก ๆ เติบโตได้ดีที่สุดภายใต้ร่มเงาของป่าไม้ แต่มีความต้องการแสงมากขึ้นเมื่อต้นไม้ใหญ่ขึ้น ชอบดินอุดมสมบูรณ์ปานกลางมีการระบายน้ำที่ดี ค่า pH ในช่วง 4.8 - 5.8 ซึ่งทนได้ 4.3 - 6.5 ใช้ประโยชน์---เป็นแหล่งสำคัญของไม้ที่รู้จักกันในชื่อ keruing และมักใช้ในอุตสาหกรรมไม้อัด -ใช้เป็นยา ใช้ในการรักษาโรคหนองในโรคเรื้อนโรคสะเก็ดเงินและโรคผิวหนังอื่น ๆ และยังเป็นยาขับปัสสาวะ -อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลแดง กระพี้สีขาว ไม้เนื้ออ่อนถึงแข็งปานกลาง ไม้แข็งแต่ไม่ทนทานในที่โล่งแจ้งมีแนวโน้มที่จะถูกปลวกกัดกิน มักใช้ทำสิ่งก่อสร้างหยาบๆ เป็นไม้อัดที่ใช้ทางการค้า น้ำมันใช้ผสมหมึก พิมพ์หินและองค์ประกอบการเคลือบป้องกันการกัดกร่อนสำหรับเหล็ก -; Oleo-resin นั้นได้มาจากลำต้น (รู้จักในระดับสากลว่าEast Indian copaiba balsam) ถูกนำมาใช้ในประเทศอินเดีย เป็นแหล่งที่มาของน้ำมัน gurjun และน้ำมัน kanyin ใช้ในท้องถิ่นสำหรับการทำคบเพลิง กาวเรือ (ผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ) เป็นสารเคลือบเงาและบางครั้งใช้เป็นยา น้ำมันจากเนื้อไม้ คล้าย D.alatus แต่มีความแตกต่างกันที่คุณภาพ ใช้รักษาเนื้อไม้ไผ่ ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ' (เกิดจากมนุษย์) สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มีนาคม/มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
ยางนา/ Diptrocarpus alatus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus alatus Roxb. ex G.Don.(1831) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Dipterocarpus gonopterus Turcz.(1863) ---Dipterocarpus incanus Roxb.(1832) ---Dipterocarpus philippinensis Foxw.(1918) ---More.See all The Plant List See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772115 ชื่อสามัญ---Yang, Apitong, Hairy-leaf apitong ชื่ออื่น---ยาง, ยางขาว, ยางนา, ยางแม่น้ำ, ยางหยวก (ทั่วไป), กาตีล (เขมร-ปราจีนบุรี), ขะยาง (ชาวบน-นครราชสีมา), จ้อง (กะเหรี่ยง), จะเตียล (เขมร), ชันนา (ชุมพร), ทองหลัก (ละว้า), ยางกุง (เลย), ยางควาย (หนองคาย), ยางตัง (ชุมพร), ยางเนิน (จันทบุรี), ราลอย (ส่วย-สุรินทร์), ลอย (โซ่-นครพนม); [LAOS: Yang khao.];[THAI: Yang, Yang na, Yang mae nam, Yang yuak, Yang khao (General), Ka-tin (Khmer-Prachin Buri), Kha-yang (Chaobon-Nakhon Ratchasima), Chong (Karen), Cha-tian (Khmer), Chan na (Chumphon), Thong-lak (Lawa), Yang kung (Loei), Yang khwai (Nong Khai), Yang tang (Chumphon), Yang noen (Chanthaburi), Ra-loi (Suai-Surin), Loi (So-Nakhon Phanom);[VIETNAM: Dau nuoc, Day rai.]. EPPO Code---DIXAL (Preferred name: Dipterocarpus alatus.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังกลาเทศ หมู่เกาะอันดามัน กัมพูชา ลาว เวียตนามตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ตอนเหนือ Dipterocarpus alatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดึต George Don ((1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2374
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในศรีลังกา, อินเดีย (เบงกอล W, หมู่เกาะอันดามัน), บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, สปป. ลาว, กัมพูชาและภาคใต้ของเวียดนาม มันอาจเกิดขึ้นในภาคเหนือของมาเลเซีย มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบแล้งและป่าผลัดใบ เกิดขึ้นเป็นกลุ่มตามริมฝั่งแม่น้ำและในป่าเต็งรัง พืชในเขตร้อนชื้นซึ่งพบได้ในระดับความสูง 100- 700 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามที่ราบลุ่มริมลำธารหรือแม่น้ำในป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงถึง 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบหรือผลัดใบในช่วงสั้นๆสูงถึง 30-60 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5เมตร ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแคบกว่ายางปาย เปลือกต้นออกสีเทาเกลี้ยงหนาสีเทาปนขาว หลุดลอกเป็นชิ้นกลม โคนต้นมีพูพอนต่ำๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลแดง ตายอดมีขนยาวหนาแน่น หูใบรูปใบหอก ยาวได้ถึง 10 ซม.ใบเดี่ยวยาว 9-24 ซม. ออกเรียงสลับรูปไข่แกมรูปใบหอกกว้าง ปลายใบสอบเรียว โคนใบมนหรือเบี้ยว ก้านใบยาว 2-6 ซม.ขอบใบหยักเป็นคลื่น แผ่นใบหนาสีเขียวท้องใบสีเขียวหม่นและมีขนปกคลุม ดอกขนาดใหญ่สีชมพูอ่อน เรียงตัวหลวมๆเป็นช่อยาว ถึง12ซม.ช่อแยกแขนงยาว 3-7 ซม. มี 3-5 ดอก ผลเป็นผลแห้ง รูปทรงกลมมีหลอดกลีบเลี้ยงหุ้มผลยาว 3-4 ซม.ตามยาวตลอดผล5ครีบ มีปีกยาว2ปีกกว้าง 0.5-1 ซม.ยาว 8-13 ซม. ปีกสั้นรูปหูหนู3ปีกยาวประมาณ 1 ซม. ขอบพับกลับ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้เมื่ออายุยังน้อยมีความอดทนต่อการแรเงาและต้นกล้าสามารถอยู่รอดภายใต้ร่มเงาหนักเป็นเวลาหลายปี เมื่อต้นไม้โตขึ้นจะมีความต้องการแสงมากขึ้นส่วนใหญ่พบในดินลุ่มน้ำในป่า ค่า pH ในช่วง 5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 7 อายุต้นไม้เฉลี่ย 100 ปี ใช้ประโยชน์---หนึ่งในสายพันธุ์ไม้ที่สำคัญที่สุดของเอเชียใต้มันถูกบันทึกไว้อย่างกว้างขวางในเชิงพาณิชย์ในขณะที่ต้นไม้ยังมีค่าสำหรับน้ำมันหอมระเหยและโอเลโอดิน มักจะปลูกเป็นต้นไม้ถนนให้ร่มเงาในเวียดนาม ในประเทศไทยมักพบปลูกตามริมถนนหรือในวัด ถนนเส้นเก่าระหว่างเชียงใหม่-ลำพูนเป็นพรรณไม้ชนิดนี้ -ใช้เป็นยา เรซิ่นที่ได้จากลำต้นนั้นเป็นยาฆ่าเชื้อยาระบายยาขับปัสสาวะสารกระตุ้นอย่างอ่อนโยน มันถูกใช้ในยาแก้ปวด สามารถผสมกับขี้ผึ้ง ใช้เป็นน้ำยาฆ่าเชื้อในผ้าพันแผลบนแผล เปลือกของต้นอ่อนที่ มี 2 - 4 ใบเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคไขข้ออักเสบและโรคตับ -วนเกษตรใช้ ต้นไม้เป็นอาณานิคมอย่างรวดเร็วของดินลุ่มน้ำตามแนวแม่น้ำ - ใช้เป็นผู้บุกเบิกในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูความสูญเปล่าและสร้างป่า ต้นไม้ถูกใช้เป็นสารปรับปรุงดิน ปริมาณอินทรียวัตถุและปริมาณ NPK ของดินใต้เรือนพุ่มต้นไม้แสดงให้เห็นว่าสูงกว่าดินที่อยู่ไกลออกไปจากต้นไม้ -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีแดงปนเทา กระพี้สีขาว ไม้ค่อนข้างแข็งเนื้อละเอียดง่ายต่อการขัด ทำโครงสร้างภายใน หมอนรถไฟ ต่อเรือ ทำไม้อัดยางที่มีคุณภาพดีที่สุดที่ได้จากพันธุ์ไม้ของประเทศไทย -เรซินค่อนข้างบางใช้ในการชักเงาและเคลือบ เป็นสีที่มีสังกะสีเป็นตัวทำละลายใช้ในอุตสาหกรรมหมึกพิมพ์ เป็นเชื้อเพลิง ชันยาเรือ เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องจักรดีเซล น้ำมันหอมระเหยที่เรียกว่าน้ำมันหยาง (Yaang oil) นั้นได้มาจากพืช มันถูกใช้เป็นตัวตรึงในน้ำหอม ภัยคุกคาม--เนื่องจากภัยคุกคามที่สำคัญสำหรับสายพันธุ์นี้คือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการเกษตรการกรีดยางและการหาประโยชน์เพื่อการค้าไม้ จากการสูญเสียถิ่นที่อยู่และถูกจัดวางใน IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์' สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.2009 ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยางปาย/Dipterocarpus costatus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus costatus C.F.Gaertn.(1805) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Dipterocarpus angustifolius Wight & Arn.(1834) ---Dipterocarpus artocarpifolius Pierre.(1889) ---Dipterocarpus insularis Hance.(1876) ---Dipterocarpus parvifolius Hiern.(1903) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772147 ชื่อสามัญ---Garjan, Yang, Yang Pai ชื่ออื่น---กวู (มาเลย์-ปัตตานี) ยางกระเบื้องถ้วย (มลายู) ยางกราย ยางแกน ยางบาย ยางพราย ยางฮี ยางฮี้ ยางฮอก (เหนือ) ยางเจาะน้ำมัน (อุบลราชธานี) ยางแดง (จันทบุรี ตราด) ยางเบื้องถ้วย (ปราจีนบุรี) ยางใบเอียด (นครศรีธรรมราช) สะแฝง (เลย) ยางหัวแหวน; [BENGALI: Keshogarjan, Telia garjan, Sada garjan.];[GERMAN: Gurjanbalsam.];[CAMBODIA: Chheuteal Neang Deng (Central Khmer).];[LAOS: Nyang Daeng.];[MALAYSIA: Keruing, Keruing Bukit (Malay); Keruing Mara Keluang (Negeri Sembilan)];[THAI: Kwu (Malay-Pattani), Yang pai, Yang bai, Yang krai, Yang kaen, Yang phrai, Yang huak, Yang hi (Northern), Yang cho nam man (Ubon Ratchathani), Yang daeng (Chanthaburi, Trat), Yang bueang thuai (Prachin Buri), Yang bai iat (Nakhon Si Thammarat), Yung hua waen (Satun), Yang kra bueang thuai (Peninsular); Sa faeng (Loei);[VIETNAM: Dầu cát, Dau mit.] EPPO Code---DIXCO (Preferred name: Dipterocarpus costatus.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ บังคลาเทศ พม่า มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม Dipterocarpus costatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich von Gaertner(1772 - 1850)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันที่มี ชื่อเสียงและเป็นบุตรชายของJoseph Gaertnerในปี พ.ศ.2348 สายพันธุ์นี้ผสมพันธุ์ในป่ากับ D. Obtusifolius ในประเทศไทย และกับ D. Gracilis ในประเทศไทยและคาบสมุทรมาเลเซีย
ที่อยู่อาศัย พบในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ บังคลาเทศ พม่า มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ขึ้นกระจายอยู่ในป่าเขาและป่าเต็งรังตอนบนที่ระดับความสูง 600 - 1,000 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค ตามป่าดิบเขา ที่ความสูงตั้งแต่ 400-1,100 เมตร ลักษณะ เป็นต้นไม้ผลัดใบช่วงสั้น สูงถึง 25-40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 80 - 110 ซม.ขึ้นเป็นกลุ่มเรือนยอดสูงเด่น ลำต้นตรงยอดกลมโปร่งเปลือกต้นหนาสีน้ำตาลอ่อนอมเทาหลุดเป็นชิ้นกลมบางเห็นเป็นลวดลาย รอบต้น ใบเดี่ยวรูปไข่กว้าง4.5-8.8ซม.ยาว8-14ซม.ปลายสอบเข้า ฐานป้านหรือเป็นรูปหัวใจ ก้านใบแบนหรือแบนเล็กน้อยมีขน ยาว1.5-4 ซม.ใบอ่อนมีขนรูปดาวปกคลุม ใบแก่มีขนสั้นๆประปรายบนเส้นใบผิวด้านล่าง ช่อดอกออกที่ซอกใบดอกสีส้มอ่อนกลุ่มละ3-6ดอก กลีบเลี้ยง 5 กลีบ มี 2 กลีบขนาดใหญ่ กลีบดอก 5 กลีบ สีส้มอ่อนหรือสีชมพู เกสรเพศผู้ 18-20 อัน เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่ในฐานรองดอก ผลสีน้ำตาลดำยาวประมาณ 1.8 ซม มีปีกยาว2ปีกเส้นตามยาวปีก3-5เส้น ปีกสั้น3 ปีกกลมและเป็นพูลึก ส่วนกลางผลยางมีสันเล็กๆ 5 สันมีขนหยาบปกคลุม ผลอ่อนสีแดงสดตัดกับใบสีเขียวเข้มมักติดผลจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินกลางถึงหนักมีการระบายน้ำดี มีค่า pH ในช่วง 5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.5 ต้นไม้ค่อนข้างโตช้า ใช้ประโยชน์---ต้นใหญ่ๆมักมีรอยไหม้เป็นแอ่งซึ่งเกิดจากการเผาเก็บชัน เป็นไม้ซึ่งมีการซื้อขายในระดับสากล -ใช้เป็นยา Oleo-resin และเปลือกไม้มีคุณสมบัติเป็นยา -อื่น ๆไม้ใช้ในการก่อสร้าง ต่อเรือ ทนทานในที่โล่งแจ้ง ไม่เหมาะสำหรับการปูพื้นและงานไม้ที่สัมผัสกับแสงแดด ยางจากเปลือกไม้ใช้ในอุตสาหกรรมสี เป็นสารเคลือบเงาสำหรับเรือผนังและเฟอร์นิเจอร์ ไม้สามารถใช้ทำถ่าน ภัยคุกคาม--เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ' (เกิดจากมนุษย์) สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN Red List of Threatened Species.2011 ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-กรกฎาคม/มกราคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ยางปุ่ม/Monoon anomalum
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon anomalum (Becc.) B. Xue & R. M. K. Saunders.(2012) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Basionym: Polyalthia clavigera King.(1892) ---Cleistopetalum sumatranum H.Okada.(1996) ---Polyalthia anomala Becc.(1871) ---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77122989-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ยางปุ่ม, เหลืองกระจุก, ;[MALAYSIA: Kayu Chegan Putih (Temuan), Mempisang (Malay).];[THAI: Lueang kra chuk (General).]. EPPO Code---MOFSS (Preferred name: Monoon sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Monoon anomalum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยOdoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัย พบในไทย มาเลเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 500-800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง10-15เมตร ทรงลำต้น กลม เปลาตรง เปลือกเรียบสีน้ำตาลแตกกิ่งระดับสูงขนานกับพื้นดิน ตามลำต้นมีรอยแผลเป็นของปุ่มดอกเห็นได้ชัด ใบรูปรี กว้าง5-7ซม.ยาว16-22ซม.โคนใบมนหรือรูปลิ่ม ปลายใบแหลม ผิวใบเรียบด้านบนเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจุก ออกตามต้น ดอกสีชมพูหรือแดงดอกบานขนาด 2.5-3ซม. ผลกลุ่มมีผลย่อย20-30ผล ผลรูปรีกว้าง2-2.5ซม.ยาว3-4ซม.ผิวเกลี้ยงเมื่อแก่สีแดง ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนพฤษภาคม ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
|
ยางพลวง/Dipterocarpus tuberculatus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus tuberculatus Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2772264 ---Dipterocarpus cordatus Wall. ex A.DC.(1868) ---Dipterocarpus grandifolius Teijsm. ex Miq.(1864) ชื่อสามัญ---Gurjuntree, Eng gurjuntree, Yaang Phluang ชื่ออื่น---กุง (ปราจีนบุรี, อุบลราชธานี, อุดรธานี); เกาะสะแต้ว (ละว้า-เชียงใหม่); คลง (เขมร-บุรีรัมย์); คลอง (เขมร); คลุ้ง (ชาวบน-นครราชสีมา); ควง (พิษณุโลก, สุโขทัย); โคล้ง (เขมร-สุรินทร์); ตะล่าอ่ออาขว่า (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); ตึง, ตึงขาว (ภาคเหนือ); พลวง (ภาคกลาง, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); พลอง (ระยอง, ส่วย-สุรินทร์); ยาง, ยางพลวง (ภาคกลาง); ล่าเทอะ, แลเท้า (กะเหรี่ยง-ภาคเหนือ); สะเติ่ง (ละว้า-เชียงใหม่); สาละออง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ;[CAMBODIA: Khlông.(Central Khmer).];[LAOS: Kung.];[THAI: Kung (Prachin Buri, Ubon Ratchathani, Udon Thani), Ko-sa-taeo (Lawa-Chiang Mai)(Khmer-Buri Ram)(Khmer), Khlung (Chaobon-Nakhon Ratchasima), Khuang (Phitsanulok, Sukhothai), Khlong (Khmer-Surin), Ta-la-o-a-khwa (Karen-Chiang Mai), Tueng (Northern), Tueng khao (Northern), Phluang (Central, Northeastern), Phlong (Rayong, Suai-Surin), Yang, Yang phluang (Central), La-thoe (Karen-Northern), lae-thao (Karen-Northern), Sa-toeng (Lawa-Chiang Mai), Sa-la-ong (Karen-Kanchanaburi);[VIETNAM: Dầu đồng, Dau Loang.] EPPO Code---DIXSS (Preferred name: Dipterocarpus sp.) ชื่อวงศ์--- DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า กัมพูชา ไทย ลาว เวียตนาม Dipterocarpus tuberculatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัยพบที่บังกลาเทศ พม่า และภูมิภาคอินโดจีนขึ้นหนาแน่นในป่าเต็งรัง ป่าบนที่ราบและเนินเขาเตี้ย ๆ ความสูงถึงประมาณ 200-1,000 เมตร ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ขึ้นในป่าเบญจพรรณแล้งและป่าเต็งรังบนดินลูกรังหรือดินทรายมีการระบายน้ำดีและตามที่ลาดต่ำใกล้ชายห้วยหรือใกล้ที่ชุ่มชื้นที่ะดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นผลัดใบสูง 25-30 ( -40) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง40ซม. ลักษณะเปลือกแตกเป็นร่องสีเทาหรือเทาอ่อน หูใบขนาดใหญ่ ยาวได้ถึง 13 ซม.ใบ รูปรีกว้างหรือรูปไข่ ยาว 12-70 ซม. ปลายมนเกลี้ยงหรือมีขนสั้นนุ่ม โคนใบรูปหัวใจ แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนหนาแน่นด้านล่าง เส้นแขนงใบข้างละ 12-15 เส้น ก้านใบยาว 3.5-12 ซม. ช่อดอกแยกแขนงเดียว ยาว 5-15 ซม. ช่อแขนงยาว 5-8 ซม. มี 5-7 ดอก เรียงด้านเดียว ดอกสีม่วงแดง ใบประดับยาวประมาณ 2 ซม. ก้านดอกหนา สั้น กลีบเลี้ยงยาว 1.5-3 มม. กลีบดอกรูปใบหอก ยาว 2.5-3 ซม.ด้านนอกมีขนรูปดาวกระจาย เกสรเพศผู้มีประมาณ 30 อัน ก้านชูอับเรณูสั้น อับเรณูยาว 5-7 มม.หลอดกลีบเลี้ยงหุ้มผลมีสันคล้ายปีกครึ่งบน ปีกยาว 2 ปีก ยาว 9-15 ซม. กว้าง 2.5-4 ซม.ปีกสั้น 3 ปีก ยาว 1.5-2 ซม.พับงอกลับ ก้านผลยาวประมาณ 5 มม. ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ให้ผลผลิตเรซินและไม้ที่มีคุณค่าและมักจะเก็บเกี่ยวจากป่า -ใช้เป็นยา รากใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษากระดูกหัก น้ำมันยางที่ได้จากต้นไม้นั้นใช้ในการแพทย์แผนโบราณซึ่งผสมกับ Feaula assafoetida(มหาหิงคุ์) และน้ำมันมะพร้าวเพื่อใช้กับแผลภายนอกขนาดใหญ่ ใบเผาให้เป็นเถ้าผสมกับน้ำปูนใส แก้บิดและถ่ายเป็นมูกเลือก ราก นำมาต้มแล้วดื่มแก้ตับอักเสบ -อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลเข้มแดง หนักแข็งและค่อนข้างทน ง่ายต่อการทำงานแต่ขัดเงายาก มีคุณภาพดีใช้ในงานก่อสร้างทั่วไปทำคาน กระดาน เฟอร์นิเจอร์และสร้างเรือ -ยางจากต้นสามารถลุกเป็นไฟโดยฉับพลัน และใช้ผสมในสี ใบแก่โตเต็มที่ใช้มุงหลังคา และทำฝากระท่อม ใช้รองผลสตรอเบอรี่ไม่ให้ติดดิน เน่าเสีย หรือผิวไม่สวย ใบติดไฟยาก แมลงไม่ชอบ ไม้สามารถอยู่ทนได้มากกว่า3ปี ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากเกินไปในท้องถิ่น ต้นไม้เริ่มหายากขึ้นในหลาย ๆ ช่วงของมัน จึงถูกจัดวางไว้ในThe IUCN Red List ประเภท 'ความเสี่ยงใกล้ถูกคุกคาม' (NT) - ใกล้จะมีคุณสมบัติที่มีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องหรือใกล้สูญพันธุ์และ/หรืออาจมีคุณสมบัติในอนาคตอันใกล้ สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-เมษายน/มกราคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ชำราก
ยางพารา/ Hevea brasiliensis
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา- ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ชื่อวิทยาศาสตร์---Hevea brasiliensis (Willd. ex A.Juss.) Müll.Arg.(1865) ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms ---Basionym: Siphonia brasiliensis Willd. ex A.Juss.(1824) ---Hevea camargoana Pires.(1981) ---Hevea janeirensis Müll.Arg.(1874) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-98927 ชื่อสามัญ---Rubber Wood, Pará Rubber Tree, Brazilian rubber tree, Sharinga tree, Hevea, Natural rubber, Rubbertree. ชื่ออื่น---กะเต๊าะห์, ยาง, ยางพารา ;[BOLIVIA: Jebe.];[CHINESE: Xiàng jiāo shù.];[DUTCH: Rubberboom.];[FRENCH: Arbre de Para, Caoutchouc, Hévéa.]:[GERMAN: Amazonas-Parakautschukbaum, Heveakautschukbaum, Echter Federharzbaum];[HONDURUS: Hule.];[INDONESIA: Kayu getah, Kayu karet, Pokok getah para.];[ITALIAN: Albero della gomma, Albero del caucciù, Evea, ];[PORTUGUESS: Arvore-da-borracha, Seringa, Seringueira, Seringueira-branca, Seringueira-do-Pará.];[SPANISH: Caucho blanco, Jeve fino, Caucho.];[SWEDISH: Brasiliansk gummiträd.];[THAI: Ka-to (Malay-Peninsular), Yang, Yang phara (General).]. EPPO Code---HVEBR (Preferred name: Hevea brasiliensis.) ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด--- ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-โบลิเวีย บราซิล โคลัมเบีย กายอานา เปรูและเวเนซุเอลา Hevea brasiliensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Euphorbiaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมันจากอดีต Adrien Henri Laurent de Jussieu (1797–1853)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896)นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2408 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศโบลิเวียบราซิลโคลัมเบียกายอานาฝรั่งเศสเปรูและเวเนซุเอลาซึ่งมันเติบโตในป่า Amazonia ที่ระดับความสูง 600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 30 – 40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง100ซม. เนื้อไม้ค่อนข้างแข็ง ต้นอ่อนเปลือกจะมีสีเขียว ต้นแก่เปลือกจะเป็นสีเทาอ่อน เทาดำ หรือสีน้ำตาล เปลือกของลำต้นแบ่งเป็น 3 ชั้น คือ 1. คอร์ก ( cork ) เป็นเปลือกแข็งชั้นนอกสุด 2. ชั้นเปลือกแข็ง จะมีท่อน้ำยาง กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปไม่ติดต่อกัน 3. ชั้นเปลือกอ่อน เป็นเปลือกลำต้นชั้นในสุดมีท่อน้ำยางเวียนจากซ้ายไปขวาทำมุม 30 – 35 องศา จากล่างขึ้นบน ดังนั้นจึงต้องกรีดเปลือกยางจากบนลงล่าง และจากซ้ายไปขวา เพื่อตัดท่อน้ำยางให้มากที่สุด ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือมีใบย่อย 3ใบ (trifoliolate) เรียงกันเป็นเกลียวบนก้านใบยาว 15-25 ซม. เป็นใบรูปสามเหลี่ยมที่มีแผ่นใบจากรูปรี - รูปใบหอกปลายแหลมยาวรูปขอบขนาน ยาวทั้งหมด 5-18 ซม. และกว้าง 2-8 ซม. มีสีเขียว ด้านล่างมีต่อม 2-3 ที่ฐาน ดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ช่อดอกออกที่ซอกใบ ยาว 15-20 ซม.ผลแห้งเป็นชนิดแคปซูลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3-5 ซม. มีเมล็ด 3 เมล็ดอยู่ภายใน เมล็ดมีลายคล้ายละหุ่ง แต่มีขนาดใหญ่กว่า เมื่อผลแก่จะแตกออกมีเสียงดัง และไปไกลได้ถึง20 เมตร ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในฤดูแล้งพื้นที่ที่ปลูกไม่ควรอยู่สูงจากระดับน้ำ ทะเลเกิน 200 เมตร ลักษณะดินควรเป็นดินร่วน ดินเหนียวปนทราย มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ นำมาปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจทางภาคใต้และภาคตะวันออกของไทย เปลือกให้น้ำยาง ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์และอื่นๆ เนื้อไม้ใช้ทำเครื่องเรือน ใบต้มกับด่างให้เหลือแต่เส้นใบใช้ทำดอกไม้ประดิษฐ์ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---ปกติจะออกดอกปีละ 2 ครั้ง ก.พ.–มิ.ย. และ ส.ค.–ต.ค.อีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกเป็นไปตามฤดูกาล การออกดอกครั้งที่สองอาจจะไม่มีก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดิน น้ำ และการให้ปุ๋ย ถ้าทุกอย่างสมบูรณ์จะออกดอกมาให้เห็น หลังจากออกดอกแล้ว 3 เดือน จะมีผล แต่ถ้าจะเก็บเอาเมล็ดไปปลูกได้ต้องรออีก 2 เดือน เมล็ดในผลถึงจะแก่เต็มที่ ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ยางยืด/Monoon simiarum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon simiarum (Buch.-Ham. ex Hook.f. & Thomson) B.Xue & R.M.K.Saunders. (2012) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms. ---Basionym: Polyalthia simiarum (Buch.-Ham. ex Hook. f. & Thomson) Benth. ex Hook. f. & Thomson.(1872) ---Guatteria simiarum Buch.-Ham. ex Hook.f. & Thomson (1855) ---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123040-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ยางยืด ;[ASSAMESE: Boga-khamtoi, Boga-khamton, Bor-koliori.];[CHINESE: Xian ye an luo.];[INDIA: Bolang-banchibok, Borsthi, Jiri (Garo); Senem-phang, Silem-phang (Kach); Dieng-ja-roi, Dieng-lar-sei (Khasi); Mengehuri-arong.];[THAI: Yang yuet (General).]. EPPO Code---MOFSI (Preferred name: Monoon simiarum) ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เทือกเขาหิมาลัย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Monoon simiarum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และThomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัย พบในเทือกเขาหิมาลัยและเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบในป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 400-800เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง15-30เมตร ลักษณะ เปลือกต้นสีเทาเป็นร่องตื้น เนื้อไม้สีเหลือง กิ่งอ่อนสีเขียวมีขนสีน้ำตาล แตกกิ่งยาวเรียวขนานกับพื้น ใบรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง 7-10ซม.ยาว 18-28ซม. โคนใบรูปลิ่มจนถึงมน ปลายใบแหลม ใบค่อนข้างหนาเรียบเป็นมันทั้งสองด้านดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานสีเขียวอมเหลือง มีใบประดับเล็กๆที่โคนก้านดอก 1แผ่น กลีบเลี้ยงรูปไข่หนาสีเขียว กลีบดอกขนาดใกล้เคียงกัน เรียงเป็น2ชั้นรูปแถบผล เป็นผลกลุ่มมีผลย่อย25-35ผล ผลกลมรี ยาว2-2.5ซม.เปลือกผลเรียบ สีเขียวเมื่อแก่สีม่วงคล้ำมี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---มีการเพาะกล้าไม้ใช้เป็นไม้ปลูกป่า และเนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้าง ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤศจิกายน ขยายพันธ์---โดยการเพาะเมล็ด
|
ยางเหลือง/Polyalthia jucunda
ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon jucundum (Pierre) B. Xue & R. M. K. Saunders.(2012) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all http://www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123016-1 ---Basionym: Polyalthia jucunda (Pierre) Finet & Gagnep.(1906) ---Alphonsea gaudichaudiana var. latifolia Bân.(2000) ---Unona jucunda Pierre.(1881) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ยางเหลือง เหลืองไม้แก้ว; [THAI: Yang lueang (General), Lueang mai kaew.] EPPO Code---MOFJU (Preferred name: Monoon jucundum.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา เวียตนามใต้ Monoon jucundum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (เธอมีบทบาทมากที่สุดในปี 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี ในปี พ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัย พบในไทย กัมพูชา เวียตนามใต้ ในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ที่ระดับความสูง 100-500เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง10-15เมตร ทรงต้นแตกกิ่งในระดับสูงขนานกับพื้นดิน ต้นเปลาตรง ทรงพุ่มกลมเปลือกต้นสีน้ำตาลดำ เปลือกเรียบ เนื้อไม้เหนียว ใบเดี่ยว รูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง5-9 ซม.ยาว 15-30 ซม.โคนใบมนปลายใบแหลม ใบบางเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นกระจุก 1-4 ดอก ดอกอ่อนสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มมีกลิ่นหอมอ่อน กลีบดอกหนาคล้ายแผ่นหนังมี6กลีบเรียงเป็นสองชั้น กลีบชั้นนอก3กลีบ แคบและสั้นกว่ากลีบชั้นในเล็กน้อย ขนาดดอกบาน 3-4 ซม.ผล กลุ่มมี 25-40 ผล ผลรูปรีกว้าง 1.5-2 ซม.ยาว2.5-3.5 ซม.เปลือกเรียบ ผลแก่สีแดงเข้มมี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---มีการเพาะกล้าใช้เป็นไม้ปลูกป่า ไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและเป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง
ยางเหียง/Dipterocarpus obtusifolius
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์ ,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Dipterocarpus obtusifolius Teijsm ex Mq.(1863) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Dipterocarpus punctulatus Pierre.(1889) ---Dipterocarpus vestitus Wall. ex Dyer.(1874) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2772211 ชื่อสามัญ---Hairy Keruing, Yaang Hiang. ชื่ออื่น---กุง, เกาะสะเตียง, คราด, ซาด, ตะแบง, ตะลาอ่ออาหมื่อ, ตาด, ยางเหียง, ล่าทะยอง, สะแบง, สาละอองโว, เห่ง, เหียง, เหียงพลวง, เหียงโยน ;[MALAYSIA: Atoi (Perlis), Keruing, Keruing Beludu (Malay).];[THAI: Kung (Malay-Peninsular), Ko-sa-tiang (Lawa-Chiang Mai), Khrat (So-Nakhon Phanom), Sat (Northeastern), Ta baeng(Eastern), Ta-la-o-a-mue (Karen-Chiang Mai), Tat (Chanthaburi, Phitsanulok), Yang hiang (Chanthaburi, Ratchaburi), La-tha-yong (Karen-Chiang Mai), Sa baeng (Northeastern, Uttaradit), Sa-la-ong-wo (Karen-Kanchanaburi), Heng (Lue-Nan), Hiang (General), Hiang phluang (Prachuap Khiri Khan), Hiang yon (Prachuap Khiri Khan).]. EPPO Code---DIXOT (Preferred name: Dipterocarpus obtusifoliues.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม Dipterocarpus obtusifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johannes Elias Teijsmann (1808–1882) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์จากอดีตFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2406
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน พม่า อินโดจีน คาบสมุทรมาลายูตอนบน ที่ระดับความสูงถึง 1300 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นกระจายหรือเป็นกลุ่มหนาแน่นตามป่าเต็งรัง ป่าสน หรือป่าดิบแล้ง ความสูงถึงประมาณ100-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูงถึง 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 50 - 80 ซม เรือนยอดค่อนข้างเล็ก เปลือกสีเทาหนามีรอยแตกลึก มีขนยาวและขนรูปดาวตามกิ่ง หูใบรูปใบหอก ยาวได้ถึง 7 ซม.ใบรูปไข่ปลายป้านหรือมนทั้งสองด้าน กว้าง10-18ซม.ยาว15-30ซม.ใบอ่อนมีขนยาวแหลม ใบแก่ด้านบนสีเขียวเข้มมีขนบนเส้นใบและขอบใบ ด้านล่างสีบรอนซ์ออกเขียวมีขนรูปดาวบนเส้นใบสีขาวยาวกว่าด้านบน ก้านใบยาว 2.5-6.5 ซม. ช่อดอกยาว 3-10 ซม. ดอก สีชมพูสดกลุ่มละ3-7ดอก ก้านดอกสั้นและมีขนหนาแน่น ผลเป็นผลแห้งแบบผลผนังชั้นในแข็ง ผลมีลักษณะกลมแข็ง เกลี้ยงไม่มีสันหรือปุ่มด้านบน หลอดกลีบเลี้ยงหุ้มผลเรียบ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3.5 ซม.ปีกยาว 2 ปีก ยาว 8-15 ซม. ปีกสั้น 3 ปีก รูปรีกว้าง ยาว 1.5-2 ซม. ขอบพับกลับ เมื่ออ่อนมีขนปกคลุม ผลแก่เรียบเกลี้ยง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นอ่อนต้องการร่มเงาเมื่อมันโตเต็มที่ต้องการแสงแดดมาก เติบโตได้ดีที่สุดในดินทรายดินสีเทาเล็กน้อยซึ่งบางครั้งอาจมีน้ำท่วมในฤดูฝน มีความทนทานต่อความแห้งแล้งมาก ต้นไม้มีเปลือกไม้หนาและมีร่องลึกซึ่งช่วยปกป้องจากไฟป่า จึงมีความทนทานต่อไฟป่า ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อเป็นอาหาร ยา ใช้ไม้และยาง -ใช้กิน ดอกมีรสเปรี้ยวเล็กน้อยใช้กินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ใบเหียงมีรสฝาด ตำรายาไทยจะใช้ใบเหียงนำมาต้มผสมกับน้ำเกลือ ใช้อมแก้ปวดฟัน แก้ฟันโยกคลอน เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ไข้ตาลขโมย ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ท้องเสีย แก้บิด น้ำมันยาง ช่วยขับปัสสาวะ รักษาแผลในทางเดินปัสสาวะ ใช้เป็นยาสมานแผล แก้หนอง ใช้เป็นยาทารักษาแผลภายนอก -อื่น ๆ เนื้อไม้มีสีแดงอ่อนถึงน้ำตาลแดง ไม้เนื้อแข็ง ขัดให้ขึ้นเงาได้ดี แต่ไม่ทนทานในที่โล่งแจ้ง ทำสิ่งก่อสร้างหยาบๆและไม้อัด ใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป ใบใช้ห่ออาหารหรือมวนยาสูบ ยางมีคุณภาพต่ำการผลิตต่ำแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ใช้สำหรับทำไฟฉาย ใช้เปลือกไม้บดให้ละเอียดผสมกับขี้เลื่อยและกาว ใช้ทำเป็นธูป หรือนำมาผสมกับกำมะถัน ใช้ทำเป็นยากังยุง ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีการใช้ประโยชน์จากต้นไม้มากเกินไปในท้องถิ่น ต้นไม้เริ่มหายากขึ้นในหลาย ๆ ช่วงของมัน จึงถูกจัดวางไว้ในThe IUCN Red List ประเภท 'ความเสี่ยงใกล้ถูกคุกคาม' (NT - ใกล้จะมีคุณสมบัติที่มีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องหรือใกล้สูญพันธุ์และ/หรืออาจมีคุณสมบัติในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species.2017 ระยะออกดอก/ตืดผล---พฤศจิกายน-มกราคม/กุมภาพันธ์-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ยางโอน/Polyalthia viridis
ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia viridis Craib.(1914) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-1601653 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ขะมอบ (จันทบุรี) ขี้ซาก อีโด่ (เลย) ขี้แฮด (แม่ฮ่องสอน) ตองห่ออ้อย ยางพาย (เชียงใหม่) ตองเหลือง (ลำปาง เพชรบูรณ์) ยางดง (ราชบุรี) ยางโดน (ขอนแก่น อุตรดิตถ์ แพร่) ยางอึ่ง (พิษณุโลก สุโขทัย) สามเต้า (ลำปาง) ;[CHINESE: Mao mai an luo.];[THAI: Kha mop (Chanthaburi), Khi sak (Loei), Khi haet (Shan-Mae Hong Son), Ttong ho oi (Chiang Mai), Tong lueang (Lampang, Phetchabun), Yang dong (Ratchaburi), Yang don (Khon Kaen, Phrae, Uttaradit), Yang phai (Chiang Mai), Yang ueng (Phitsanulok, Sukhothai), Yang on (Phichit, Phitsanulok), Sam tao (Lampang), I do (Loei).]. EPPO Code---QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย Polyalthia viridis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2457
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายใน จีน(ยูนนาน) ในที่มีความลาดชันที่ระดับความสูงสูง 600-1100 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณเกือบทั่วประเทศ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลจนถึง 300-500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 10-15 เมตร ไม่ผลัดใบ ลักษณะทรงต้นเรือนยอดเป็นกรวยแคบ ลำต้นยาวและตรง มักไม่มีกิ่งแขนงด้านล่าง เปลือกต้นสีน้ำตาลแกมเทา ค่อนข้างหนา แตกระแหงเล็กน้อย เปลือกชั้นในสีครีม เมื่อถูกตัดจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ใบเดี่ยวขนาดกว้าง8-12ซม.ยาว20-33 ซม. ฐานกลมหรือรูปหัวใจ ผิวด้านบนเขียวเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อนกว่ามีขนกระจายบนเส้นใบ เนื้อหนาและเกลี้ยง ดอกออกเป็นกระจุก สีเขียวอมเหลือง ดอกขนาด 3-4 ซม.กลีบดอก6กลีบเรียงเป็น2ชั้น ดอกบานขนาด 4-5 ซม. ผลกลุ่มมีผลย่อย 25-35 ผล ผลกลมรี กว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 3 ซม.ผิวเรียบค่อนข้างมันผลเปลี่ยนสีจากส้มอ่อน เป็นแดงเข้มแล้วดำ แต่ละผลมีเมล็ดเดียว ทุกส่วนของยางโอนที่สดเมื่อขยี้ดมจะเหม็นเขียว ใช้ประโยชน์---มีการเพาะกล้าใช้ในการปลูกป่า เนื้อไม้สีขาวปนเหลืองอ่อน นิยมใช้ทำสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ภายในร่ม ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มีนาคม/ผลแก่---มีนาคม–เมษายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
|
ยี่หุบปรี/Magnolia siamensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Magnolia siamensis (Dandy) H. Keng. (1978) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3153047 ---Basionym: Talauma siamensis Dandy.(1929) ชื่อสามัญ---Chinese magnolia, Yi Hup Pri ชื่ออื่น---ยี่หุบปรี, ปูนใหญ่, จำปาป่า ; [THAI: Yi Hup Pri (Chanthaburi), Pun yai (Chumphon), Champa pa (Trat).] EPPO Code---MAGSN (Preferred name: Magnolia sinensis.) ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Magnolia siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edgar Dandy (1903–1976) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hsuan Keng (1923-2009) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนในปี พ.ศ.2521 ที่อยู่อาศัย พบใน ไทย มาเลเซีย กระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นระดับต่ำ จนถึงระดับความสูง500 เมตร ในภาคตะวันออกเฉียงใต้ในจ.จันทบุรีและจ.ตราด ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ตั้งแต่จ.กาญจนบุรีลงไปจนถึงตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น สูง 5-15 เมตร ทรงต้นสูงชะลูด ใบเดี่ยวรียงเวียนรอบ หนาเหนียวเป็นมัน รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 8.5-12 ซม.ยาว 21-33 ซม.ออกดอกเดี่ยวที่ปลายยอด กลีบเลี้ยงรวมกลีบดอก 9 กลีบ สีขาวนวลหอมแรง ขนาดดอก 4-5 ซม.ผลกลมรีกว้าง 4-5 ซม.ยาว 6-10 ซม.มีผลย่อย 7-15 ผล ผลย่อยหนาแข็งและเชื่อมติดกัน ผลแก่แตกตามรอยเชื่อม มีเมล็ดสีแดงช่องละ 2 เมล็ด ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2015 ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม การขยายพันธุ์---เมล็ด ทาบกิ่ง การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดมีเปอร์เซนต์การงอกสูงมาก การทาบกิ่งใช้มณฑาดอยหรือเล็งเก็งเป็นต้นตอ
|
ระฆังภู/Miliusa campanulata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Miliusa campanulata Pierre. (1881) ---This name is unresolved..See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2364619 ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ระฆังภู, ; [THAI: Ra khang phu (General).] EPPO Code---MZASS (Preferred name: Miliusa sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา Miliusa campanulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2424 ที่อยู่อาศัยพบในไทย กัมพูชา ในประเทศไทย พบในป่าดิบชื้นบนภูระดับสูงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 700-1,300เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง1-2.5 เมตร ลักษณะ เปลือกต้นสีน้ำตาล แตกกิ่งน้อย กิ่งขนานกับพื้นดิน เนื้อไม้เหนียวมาก ใบ รูปรีกว้าง 4-4.5 ซม.ยาว 14-17 ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ผิวใบเรียบทั้งสองด้าน ดอกออกตรงซอกใบ 1-3 ดอก สีเขียวอ่อน ด้านในมีแถบสีม่วงแดงเข้ม ก้านดอกยาว 2-2.5 ซม.มีใบประดับเล็กๆที่กลางก้านดอก 1 ใบ กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้นมีขนาดต่างกันมาก กลีบดอกชั้นนอกมีขนาดใกล้เคียงกับกลีบเลี้ยง กลีบดอกชั้นในมีโคนกลีบเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังคว่ำ สีเขียวอ่อนปลายแยกเป็น 3 กลีบ กลางกลีบด้านในมีแถบสีม่วงแดงเข้มตามยาว ด้านนอกมีสันนูนตามยาว3สัน และมีลายตามขวางสีม่วงแดง ดอกเมื่อบานเต็มที่ขนาด 1.2-1.5 ซม.ผลกลุ่มมีผล 20-40 ผลรูปทรงกลมขนาด 0.8-1 ซม.ผลแก่สีดำ เปลือกนิ่มแต่ละผลมี 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง และยังไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
|
รักขาว/Semecarpus cochinchinensis
อ้างอิง,ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Semecarpus cochinchinensis Engl.(1883) ---This name is unresolved.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2479766 ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Cassuvium cochinchinense Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---รักขาว, น้ำเกลี้ยง, ปูนขน (ปราจีนบรี), เดาอุงะ (มลายู ยะลา), รัก (สระบุรี, ปราจีนบุรี, สุราษฎร์ธานี), รักน้ำ (ชัยภูมิ), ฮักขี้หมู (เชียงใหม่) ;[THAI: Rak khao, Nam kliang, Pun phong (Prachin Buri); Dao-u-nga (Malay-Yala); Rak (Prachin Buri, Saraburi, Surat Thani); Rak nam (Chaiyaphum); Hak khi mu, Hak mu (Chiang Mai).];[VIETNAM: Sưng nam bộ, Cây Sưng Nam bộ.]. EPPO Code---SMCSS (Preferred name: Semecarpus sp.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม Semecarpus cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2426
ที่อยู่อาศัย จากภูมิภาคอินโดจีนถึงมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทุกภาค ตามป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 400 เมตรขึ้นไป ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 8-20 เมตร เปลือกต้นสีครีมน้ำตาลมีรอยแตกตามยาวตื้นๆ เปลือกในสีชมพูหรือส้ม น้ำยางใสมีพิษ แห้งแล้วสีดำใบ เดี่ยวเรียงเวียนสลับกว้าง 7-10 ซม.ยาว 18-30 ซม.รูปไข่กลับแคบ ปลายใบทู่ ฐานสอบขอบใบเรียบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวอมเทา ดอกสีขาวหรือเหลืองแกมเขียว เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ขนาดเล็กออกเป็นช่อตามปลายยอด ขนาดช่อดอกยาว 15-50 ซม.กลีบรองดอก 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก กลีบดอก 5 กลีบ ขนาด 2 มม. เกสรเพศผู้ 5 อัน ผลสดรูปกรวยคว่ำ ขนาด 3-5 ซม.เมื่อแก่สีเหลืองส้ม ใช้ประโยชน์--- เป็นพันธุ์ไม้ป่าของไทย -ใช้เป็นยา เปลือกต้นหรือใบผสมแก่นฝาง สะแอะทั้งต้น สังวาลย์พระอินทร์ทั้งต้น ใบหรือรากหวดหม่อน เปลือกต้นหรือลำต้นแจง และเปลือกต้นกันแสง ต้มน้ำดื่ม แก้น้ำเหลืองเสีย -อื่น ๆ ไม้มีน้ำหนักเบา ปลวกกินง่าย ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
รักนา/Gardenia carinata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Gardenia carinata Wall. ex Roxb.(1824) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-88143 ชื่อสามัญ---Golden Gardenia, Kedah Gardenia, Randa ชื่ออื่น---รักนา, รัตนา (ภาคใต้), ระนอ (มลายู ยะลา), ระไน (ยะลา), ตะบือโก, บาแยมาเดาะ (มลายู นราธิวาส), พุดน้ำบุศย์ (กลาง) ; [THAI: Rak na, Rattana (Peninsular); Ra-no (Malay-Yala); Ra nai (Yala); Ta-bue-ko, Ba-yae-ma-do (Malay-Narathiwat); Phut nam boot (Central).] EPPO Code---GADCA (Preferred name: Gardenia carinata.) ชื่อวงศ์---RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย คาบสมุทรมาเลเซีย Gardenia carinata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2367 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูงได้ถึง 5-10 เมตร เปลือกต้นเรียบ ทรงพุ่มกลมโปร่ง ตามยอดมียางสีเหลืองติดอยู่ ใบ เดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่แกมรูปรี ยาว 10-16 ซม. ดอกเดี่ยวออกที่ปลายกิ่งสีเหลือง โคนกลีบเชื่อมกันเป็นหลอดยาว 4 ซม. ปลายแยกเป็น 6-9 กลีบ บานเวียนซ้าย เส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 7-10 ซม. ผลรูปรีขนาด 4-5 ซม.ดอกเริ่มแย้มสีเหลืองนวล ต่อมาสีเหลืองเข้มและส่งกลิ่นหอมแรง ดอกบานวันเดียวแล้วร่วงในวันต่อมา ดอกที่ร่วงอยู่โคนต้นจะยังคงส่งกลิ่นหอมไปได้ไกล ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ดินร่วน น้ำมาก ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ดอกประดับมีกลิ่นหอม ระยะออกดอก---เดือนมีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์--- ปักชำ ตอนกิ่ง
รักน้ำ/ Gluta velutina
ชื่อวิทยาศาสตร์---Gluta velutina Blume.(1850) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2827196 ---Gluta coarctata (Griff.) Hook.f.(1876) ---Syndesmis coarctatus Griff.(1854) is an unresolved name ชื่อสามัญ---Water Rengas, Rengas air. ชื่ออื่น---ยีตง (มาเลย์,ภาคใต้), รักน้ำ (นราธิวาส,สุราษฎร์ธานี) ;[INDONESIA: Rengas pendek, Rengas Ayer];[THAI: Yi-tong (Malay-Peninsular); Rak nam (Narathiwat, Surat Thani).];[VIETNAM: Son nuoc.] EPPO Code---GLFVE (Preferred name: Gluta velutina.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'velutina' มาจากภาษาละตินหมายถึง "นุ่ม" อ้างอิงถึงช่อดอก Gluta velutina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2483
ที่อยู่อาศัยเติบโตตามธรรมชาติในพม่า, ไทย, เวียดนาม, สุมาตรา , คาบสมุทรมาเลเซีย , บอร์เนียวและชวา พบขึ้นทั่วไปแนวหลังป่าจากและชายฝั่งแม่น้ำลำคลองที่น้ำทะเลท่วมถึงมักขึ้นกันเป็นกลุ่มร่วมกับ Barringtonia conoidea และ Pandanus helicopus. ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดกลางสูง 7-10 เมตร ทรงต้นเรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่มกลมหรือทรงกระบอก ลำต้นแตกกิ่งต่ำ มีพูพอนแผ่เป็นครีบ บางครั้งพบรากค้ำยันสูงถึง1เมตร เปลือกนอกสีน้ำตาลอ่อนอมชมพู เปลือกในสีชมพู เมื่อถากทิ้งไว้จะมีน้ำยางสีขาวขุ่นซึมออกมาเป็นเม็ดๆแล้วเปลี่ยนเป็นสี น้ำตาลไหม้ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง แผ่นใบคล้ายใบมะม่วงขนาดกว้าง 5-8 ซม.ยาว 12-30 ซม. โคนใบสอบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลม เนื้อใบคล้ายแผ่นหนังเมื่อแก่มักมีจุดดำ ดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ออกตามง่ามใบใกล้ปลายยอดยาว 12 ซม.มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมากสีขาวแล้วเปลี่ยน เป็นสีชมพูอ่อนผล มียางรูปค่อนข้างกลม ออกเดี่ยวๆขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-7.5 ซม.เปลือกผลขระขระ พับย่นมีเมล็ด1เมล็ด รูปคล้ายเมล็ดมะม่วงขนาดกว้าง 3.5 ซม.ยาว 7.5 ซม. ใช้ประโยชน์---เมล็ดที่กินได้และไม้ที่มีประโยชน์บางครั้งจะถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน เมล็ดคั่วกินได้ -อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลแดง แข็งเบา ทนทาน ใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์, วัสดุก่อสร้างสำหรับบ้าน, เรือแคนู รู้จักอันตราย---ส่วนที่เป็นพิษ คือขนตามใบแก่และน้ำยางจากต้น การสัมผัสกับพืชสั้น ๆ อาจทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองต่อผิวหนัง ยางอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ ทำให้เกิดผื่นคันและบวมพองตามผิวหนัง-; ควันจากไฟที่ไหม้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรงโดยเฉพาะกับดวงตา -; สารเรซินที่หลั่งจากไม้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง องค์ประกอบที่เป็นพิษของยางเรซินจะระเหยและค่อยๆหายไป ด้วยเหตุนี้ไม้ของต้นไม้ชนิดนี้จึงต้องถูกทำให้แห้งและทิ้งไว้เป็นเวลาหลายปี สิ่งของที่เคลือบหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ซุงแห้ง อาจยังเป็นพิษต่อผู้ที่มีความอ่อนแอโดยเฉพาะ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
รักใหญ่/ Gluta usitata
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Gluta usitata (Wall.) Ding Hou.(1978) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Melanorrhoea usitata Wall.(1830) ชื่อสามัญ--Red zebra wood, Black lacquer tree, Burmese lacquer tree, Burmese vanish wood, Varnish tree, Black varnishtree, Thai vanish wood, Theetsee. ชื่ออื่น---ซู (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ซู้ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); มะเรียะ (เขมร); รัก, รักใหญ่ (ภาคกลาง); ฮักหลวง (ภาคเหนือ); [PORTUGUESE: Arvore-da-laca-da-birmánia.];[THAI: Su (Karen-Mae Hong Son); Su (Karen-Kanchanaburi); Ma-ria (Khmer); Rak, Rak yai (Central), Hak luang (Northern).]; [VIETNAM: Sơn đào.]. EPPO Code---MLRUS (Preferred name: Gluta usitata.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อัสสัม, ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม Gluta usitata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ding Hou (1921–2008)นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย-ดัตช์ ในปี พ.ศ.2521
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโดจีน พบขึ้นกระจายพันธุ์ทั่วไปตามป่าผลัดเบญจพรรณ ป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ทุ่งหญ้าโล่ง เขาหินปูน ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,000 เมตรในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่จังหวัดอุทัยธานี ชัยภูมิ กำแพงเพชร และหนองบัวลำภู ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าสน หรือป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นกึ่งผลัดใบหรือผลัดใบระยะสั้น สูง 15-20 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้มมีรอยแตกหลุดลอกออกเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมบางๆมียางสีดำไหล ออกมาตามรอยแตก เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ลำต้นเปลาตรง ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นกลุ่มใกล้ปลายกิ่ง ขนาดใบกว้าง 7-12 ซม.ยาว15-30 ซม.รูปขอบขนานแกมไข่กลับ ก้านใบยาว 1.5-3 ซม.ใบอ่อนมีขนหนาแน่น ใบแก่สีเขียวเข้มมีไขปกคลุม เวลาออกดอกเริ่มจากสีขาวเปลี่ยนเป็นชมพูแล้วแดงสด ออกเป็นกลุ่มช่อหนาแน่นในซอกใบบนๆ ช่อยาวถึง 30 ซม.กลีบดอกมีประมาณ 5-6 กลีบ แผ่กว้าง ปลายกลีบแคบแหลม หลังกลีบมีขน ส่วนกลีบเลี้ยงดอกมี 5 กลีบ เชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นแฉก 5 แฉก ในดอกที่แก่แล้วกลีบเลี้ยงจะมีรูปร่างคล้ายหมวก มีขนาดกว้างประมาณ 0.7-1.8 มม.และยาวประมาณ 3-7.5 มม.สีแดง มี 5 กลีบ ผิวด้านในมีขนสั้นและนุ่ม กลีบดอกเป็นรูปขอบขนาน มีขนาดกว้างประมาณ 1-2 ซม.และยาวประมาณ 6-7 ซม.ปลายกลีบแหลมหรือมน มีขนหนาแน่น กลีบดอกจะขยายขนาดขึ้นและกลายเป็นปีกเมื่อติดผล กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีขนหนาแน่นปกคลุม ผลทรงกลมขนาด 1-3 ซม.แห้งมีปีกสีแดงเรื่อ 5-6 ปีก เป็นรูปขอบขนาน ระหว่างโคนปีกกับผลมีก้านเชื่อมกัน ยาวประมาณ 1.5 ซม.และปีกยาวประมาณ 5-10 ซม.มีเส้นปีกชัดเจน ก้านผลยาว 1.5-2 ซม. มีเมล็ดเดียว ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บจากป่า เพื่อใช้เป็นยา ใช้น้ำยางและไม้ -ใช้เป็นยา เปลือกมีรสเมา ใช้ต้มดื่มเป็นยาบำรุงกำลัง แก้กามโรค บิดและโรคเรื้อน เปลือกรากรสเมาเบื่อ แก้พยาธิลำไส้ รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดใช้แก้ปากคอเปื่อย แก้ปวดฟัน น้ำยางใช้เป็นยาถ่ายอย่างรุนแรง น้ำยางใช้ผสมกับน้ำผึ้งใช้เป็นยา รักษาโรคผิวหนัง -อื่น ๆ เนื้อไม้เป็นสีแดงเข้ม มีริ้วสีแก่แทรก เป็นมันเลื่อม (รู้จักกันในชื่อ Borneo rosewood) ใช้สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน เครื่องกลึง เครื่องมือทางการเกษตร เสา คาน ไม้อัด -น้ำยาง สีดำเมื่อแห้ง เรียกว่านํ้ารักหรือยางรัก ใช้สำหรับทำเครื่องเขิน เพื่อลงลวดลาย ทากระดาษและผ้า กันน้ำซึม ทาไม้รองพื้นสำหรับปิดทอง ที่เรียกว่า "ลงรัก ปิดทอง", งานประดับมุก, งานเขียนลายรดน้ำ รู้จักอันตราย--*น้ำยางสดมีสารพิษ Phenol ซึ่งออกฤทธิ์ระคายเคืองต่อผิวหนัง ทำให้ผิวหนังอักเสบและมีอาการคันมาก ทำให้เกิดอาการบวมแดง พองเป็นตุ่มน้ำใส และอาจลุกลามรุนแรงจนเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังได้ ขนจากใบแก่เป็นพิษต่อผิวหนัง เมื่อถูกผิวหนังจะทำให้เกิดอาการคันทั่วตัว และอาจทำให้คันอยู่นานนับเดือน ผิวหนังอาจบวม ซึ่งชาวบ้านจะแก้โดยวิธีการใช้เปลือกและใบสักมาต้มกับน้ำอาบ* จากเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) https://medthai.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88/ ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
รัง/Shorea siamensis
ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Pentacme siamensis (Miq.) Kurz.(1870) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-50293520 ---Basionym: Shorea siamensis Miq.(1863) ชื่อสามัญ---Dark Red Meranti, Light Red Meranti, Red Lauan. ชื่ออื่น---รัง (ภาคกลาง), เปา, เปาดอกแดง (เหนือ), เรียง, เรียงพนม (เขมร สุรินทร์), ลักป้าว (ละว้า เชียงใหม่), แลบอง, เหล้ท้อ, เหล่บอง (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน), ฮัง (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ;[THAI: Pao, pao dok daeng (Northern); Rang (Central); Riang, Riang-pha-nom (Khmer-Surin); Lak-pao (Lawa-Chiang Mai); Lae-bong, Le-tho, le-bong (Karen-Mae Hong Son); Hang (Northeastern); [VIETNAM: Cẩm liên.] EPPO Code---PCFSS (Preferred name: Pentace sp.) ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า กัมพูชา ไทย ลาว เวียตนาม มาเลเซีย Pentacme siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2413
ที่อยู่อาศัยพบที่พม่า ภูมิภาคอินโดจีนจนถึงทางตอนบนของคาบสมุทรมลายู เป็นพืชในพื้นที่ลุ่มในเขตร้อนชื้นจะเติบโตที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไป กว่า 1,000 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเต็งรังหรือป่าเต็งรังผสมสนเขา ความสูงถึงประมาณ 1300 เมตร ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ พบบนเขาหินปูนหรือโขดหินริมทะเล ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-25เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 80 ซม.ลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีเทาปนน้ำตาลแข็งและหนามาก แตกเป็นร่องลึก เป็นสะเก็ดใหญ่ เปลือกชั้นในสีแดงออกน้ำตาล มักตกชันสีเหลืองขุ่น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมค่อนข้างโปร่ง ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปไข่หรือไข่กว้างปลายกลมหรือแหลมเล็กน้อย ฐานใบรูปหัวใจ ขนาดกว้าง 7-16 ซม.ยาว 10-22 ซม ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม ใบอ่อนสีน้ำตาลแดงมีขนรูปดาว ใบแก่สีเขียวหม่นเกือบเรียบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อเหนือรอยแผลใบและปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมเหลือง มีกลิ่นหอม มักมีแต้มสีแดง ออกกลุ่มละ 5-20 ดอก ดอกมักออกก่อนแตกใบอ่อน มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบรูปไข่ กลีบดอก 5 กลีบรูปไข่ พับเป็นรูปตัว Z ปลายกลีบบิด ผลรูปไข่ปลายแหลม ปีกยาว 3 ปีก สั้น 2 ปีก ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ที่เก็บเกี่ยวมาจากป่าให้ผลผลิตเรซินและไม้ที่มีคุณค่าเช่นเดียวกับการใช้เป็นยาในท้องถิ่น -ใช้เป็นยา เปลือกไม้มีฤทธิ์ฝาด ยาต้มใช้ในการรักษาโรคบิด ใบถูกใช้ในยาเขมรแบบดั้งเดิมเพื่อใช้ชงเป็นชาสำหรับการคลอดบุตร -อื่น ๆ เนื้อ ไม้สีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลอมเหลืองเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลเข้ม ไม้เนื้อแข็งหนักและแข็งแรงทนทานมาก ทนในสภาพธรรมชาติ (การทดสอบในสุสานได้ระบุอายุการใช้งานของไม้นานกว่า 22 ปีและอยู่ได้นานถึง15 ปีในดิน) เป็นไม้ที่มีความสำคัญทางเป็นไม้เศรษฐกิจใช้ในงานก่อสร้างหนักระยะยาว ไม้มีค่าสูงใช้สำหรับงานทำเฟอร์นิเจอร์ที่มีค่า ใช้สร้างบ้าน และถือเป็นไม้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับไม้หมอนรถไฟ ยางจากเนื้อไม้มีสีน้ำตาลปนเหลือง ใช้ในอุตสาหกรรมทำสี พิธีกรรม/ความเชื่อ----ประเทศไทย ดอกไม้นิยมใช้บูชาพระก่อนเทศกาลสงกรานต์ ในประเทศกัมพูชาต้นไม้ชนิดนี้หายากและมักพบเห็นใกล้กับเจดีย์และวัด และมีความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดอุดรธานี ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม/มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หรือแยกลำต้นที่เกิดใหม่
|
รังกะแท้/Rapanea yunnanensis
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Myrsine seguinii H. Lév.(1914) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Rapanea yunnanensis Mez.(1902) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-22002104 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---รังกะแท้ ;[CHINESE: Mi hua shu.];[THAI: Rang ka thae.]. EPPO Code---MYNSS (Preferred name: Myrsine sp.) ชื่อวงศ์---MYRSINACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น พม่า ไทย กัมพูชา เวียตนาม Myrsine seguinii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิลังกาสา (Myrsinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Abel Hector Léveillé (1863–1918) นักพฤกษศาสตร์และนักบวชชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2457 ที่อยู่อาศัยพบในประเทศจีน (มณฑลอานฮุย, ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, หูเป่ย, หูหนาน, เจียงซี, เสฉวน, ไต้หวัน, Xizang, ยูนนาน, เจ้อเจียง) ญี่ปุ่น พม่า ไทย เวียตนาม พบขึ้นกระจายในป่าเบญจพรรณพื้นที่ป่าไม้ที่ระดับความสูง 700-2400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง2- 7(-17) เมตร ใบมักออกเป็นกลุ่ม ใบรูปไข่แคบขนาด7-17 × 1.3-6 ซม.ใบแก่เหนียวด้านล่างใบมีต่อมเป็นจุดๆสีดำมากมาย ช่อดอกออกเป็นกลุ่ม 3-10- ดอก ดอกสีเขียวอ่อนหรือครามถึงแดงม่วง ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลกลมสีเขียวอมเทาหรือสีดำสีม่วง เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 มม.อยู่บนฐานกลีบเลี้ยงรองรับ เนื้อในผลบาง มีชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก---เมษายน -พฤษภาคม, ตุลาคม- ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
รังกะแท้/Kandelia candel
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Kandelia candel (L.) Druce.(1914) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-27600084 ---Basionym: Rhizophora candel L.(1753) ชื่อสามัญ---Kicar, Kicar-kicar ชื่ออื่น---ถั่วนางช้อย,รังกะแท้,ลุย(จันทบุรี);[THAI: Rang ka thae, Lui (Chanthaburi)];[MALAY: Berus.];[CHINESE: Qiu qie.]; [JAPAN: Mehirugi.] EPPO Code---KDECA (Preferred name: Kandelia candel.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า หมู่เกาะอันดามัน ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว กัมพูชา เวียตนามใต้ ไหหลำ ฮ่องกง ไต้หวัน หมู่เกาะริวกิว Kandelia candel เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Claridge Druce (1850–1932 )นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2457 ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนชื้นที่ลุ่มขึ้นกระจายตามชายฝั่งของเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากทางตะวันตกของอินเดียไปเกาะบอร์เนียว ทางทิศตะวันออกจากเวียดนามไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็น พันธุ์ไม้ที่กระจายพันธุ์มีขอบเขตจำกัด พบขึ้นเฉพาะบริเวณชายฝั่งใกล้ปากแม่น้ำและน้ำค่อนข้างจืดเป็นระยะเวลานานเป็นรอบปีมักขึ้นเป็นกลุ่มหรือขึ้นร่วมกับลำแพน ลำแพนหินหรือลำพู ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กคล้ายไม้พุ่ม สูง2-7เมตร เรือนยอดโปร่งโคนต้นอวบหนา รูปทรงกรวยคว่ำ ไม่มีพูพอนและรากหายใจ รากค้ำยันสั้น นุ่ม เปลือกเรียบ สีเทาถึงสีน้ำตาลอมแดง มีช่องอากาศกระจายทั่วไป ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ออกเป็นกระจุกตามปลายกิ่ง แผ่นใบรูปรีรูปขอบขนานแกมรูปรี ขนาดกว้าง 3-5 ซม.ยาว 7-14 ซม.ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันวาว ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบหนาถึงอวบน้ำดอก แบบช่อกระจุกสองด้านหลายชั้นแตกเป็นง่าม มีดอกย่อย 4-12 ดอก ผลแบบมีเนื้อเมล็ดเดียวสีเขียวเมื่ออ่อน สีคล้ำเมื่อแก่ ปกคลุมด้วยเกล็ดสีน้ำตาล เมล็ดงอกตั้งแต่อยู่บนต้น ลำต้นใต้ใบเลี้ยงหรือฝักเรียวยาว ค่อนข้างตรงคล้ายทรงกระบอกยาว 15-40 ซม. ใช้ประโยชน์---พืชที่รวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นแหล่งแทนนิน ไม้และไม้เชื้อเพลิง -ในวนเกษตร ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด -อื่น ๆ ไม้ใช้สำหรับการก่อสร้างชั่วคราว ใช้สำหรับผลิตถ่านเป็นเชื้อเพลิง เปลือกมีสารแทนนินมากถึง 17%ใช้สำหรับ การย้อม ให้สีแดงและสีน้ำตาล ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2010 ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
ราชครูดำ/Goniothalamus macrophyllus
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Goniothalamus macrophyllus (Blume) Hook. f. & Thomson.(1872) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms -Goniothalamus forbesii Baker f.(1924) -Goniothalamus lanceolatus (Bân) Mat-Salleh.(2001) [Illegitimate] -Polyalthia macrophylla (Blume) Blume.(1830) -Unona macrophylla Blume.(1825) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2829711 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กิ่งดอกเดียว, ชิงดอกเดียว (ตรัง), ราชครูดำ, (ปัตตานี);[BORNEO: Empalis.];[BRUNEI: Limpanas Putih, Linpanas Puteh, Talipanas Puteh (Sengkurong).];[INDONESIA: Ki Cantung (Sundanese).];[MALAYSIA: Gajah Beranak, Mempisang (Malay); Lukai Kampong, Selukai (Iban).];[THAI: Ratcha khru dam (Pattani); King dok diao, Chin Dok Diao (Trang); Ka-yo-bra-no (Malay-Pattani).]. EPPO Code---GJOMC (Preferred name: Goniothalamus macrophyllus.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย Goniothalamus macrophyllus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: ประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สุมาตรา ชวาและบอร์เนียว (ซาราวักตะวันตกและตะวันออก - กาลิมันตัน) ขึ้นในป่าชื้นที่ระดับความสูง 50 - 1,500 เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นกระจายในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 300-1,000เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม ต้นสูง 1-3เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม.แตกกิ่งต่ำระดับพื้นดิน ด้านบนไม่ค่อยแตก กิ่งอ่อนเป็นรูปสี่เหลี่ยม เปลือกลำต้นสีม่วงเข้มและมีกลิ่นฉุน ใบ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง 6-11ซม.ยาว 22-30 ซม. บางครั้งยาวถึง 50 ซม. ขอบใบเรียบ โคนใบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 1-3 ซม ใบเรียบหนาเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง ดอกออกเดี่ยวที่ซอกใบ ดอกอ่อนสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล หรือเหลืองอมชมพู และส่งกลิ่นหอม กลีบเลี้ยงรูปไข่ติดทนจนถึงระยะผลแก่ กลีบดอกหนา ผลกลุ่ม มีผลย่อยไม่มีก้านผลมี 4-9ผล ผลแก่เปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม มี 1เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา พืชที่ใช้ในการรักษาไข้รูปแบบต่าง ๆซึ่งรวมถึงโรคไข้หวัด, มาลาเรียและไข้ไทฟอยด์ ในบรรดาชาวพื้นเมืองของคาบสมุทรมาเลเซียมีการใช้ยาต้มรากเพื่อรักษาโรคไข้หวัด ในขณะที่ชาวภูเขาบนเกาะชวาใช้การแช่เพื่อรักษาไข้ไทฟอยด์ ยาต้มจากรากใช้ภายนอกเพื่อรักษาโรคหวัดและใช้ในห้องอบไอน้ำในการรักษาไข้ ยาต้มใบกับเหล้าใช้หลังจากคลอดบุตรช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ใบใช้ประคบอาการบวม การแช่รากจะใช้ในการรักษาไข้ไทฟอยด์ ก้านใบจะถูกเคี้ยวเพื่อใช้รักษาสุขภาพที่ดีและบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย เผ่าซาไกของคาบสมุทรมลายูใช้พืชชนิดนี้เพื่อบำรุงเลือดและทำให้ร่างกายสดชื่น -อื่น ๆ ควันที่เกิดจากการเผารากขับไล่ยุง งูและสัตว์ป่าอื่น ๆ ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
ราชครูดำดอกแถว/Goniothalamus macrophyllus" Dok Thaeo"
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Goniothalamus macrophyllus (Blume) Hook. f. & Thomson" Dok Thaeo" ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name. ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ราชครูดำดอกแถว ;[THAI: Ratcha khru dam "Dok Thaeo".] ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่อยู่อาศัยพบในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นระดับต่ำ จนถึงป่าดิบเขาระดับสูง1,300เมตร ตั้งแต่เพชรบุรีจนถึงภาคใต้ตอนล่าง มีสถานภาพยังพอหาได้ในถิ่นกำเนิด กลายพันธุ์มาจากราชครูดำ มีดอกดกมากที่สุด ออกเรียงเป็นแถว2ข้างของลำต้น ตั้งแต่โคนจนถึงยอด เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง1-3เมตร ใบเดี่ยวขนาดใหญ่หนาเหนียวเป็นมัน รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง6-11ซม.ยาว22-30ซม. บางครั้งยาวถึง50ซม. ออกดอกเรียงเป็น2แถวข้างของลำต้น ก้านดอกโค้งลงกลีบเลี้ยงรูปไข่ติดทนจนถึงระยะผลแก่ กลีบดอก6กลีบ หนา สีขาวนวลมีกลิ่นหอมแรง ขนาดดอก2.5-3ซม.ผลกลุ่มมีผลย่อย4-9ผลทงรียาว1.5-2ซม.ปลายผลมีติ่งแหลม ระยะออกดอก---เดือนมีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
ราชดัด/Brucea javanica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Brucea javanica (L.) Merr.(1928) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Basionym: Rhus javanica (L).(1753) ---Brucea sumatrana Roxb.(1832) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2683970 ชื่อสามัญ---Macassar kernels, Java brucea, Kosam, Chinese sumac. ชื่ออื่น---ราชดัด, ดีคน(กลาง); กะดัด, ฉะดัด(ใต้); กาจับหลัก, เท้ายายม่อมน้อย, มะขี้เหา, มะดีควาย, ยาแก้ฮากขม(เชียงใหม่); พญาดาบหัก(ตราด); เพียะฟาน(นครราชสีมา); มะลาคา(ปัตตานี) ;[CAMBODIA: Damil thnang, Pramat monus; Dasa reach (Central Khmer).];[CHINESE: Ya dan zi, Ku shen zu, Lao ya dan, Ya tan tzu.];[INDONESIA: Kosam, Kuwalot, Kwalot, Lada pahit, Buah Makasar, Malur, Tambar marica.];[LAOTIAN: Ich kone, Kom roi, Phla fan.];[MALAYSIA: Embalau padang, Kusum, Lada pahit.];[PHILIPPINES: Balaniog, Manongao-bobi (C. Bis.).];[PORTUGUESE: Falso-sumagre.];[SWEDISH: Gallsumak.];[THAI: Ratchadat, Ka chaplak, Dee khon.];[VIETNAM: Xoan rừng, Sầu đâu cứt chuột, Nha đảm (tử), Sầu đâu rừng.]. EPPO Code---RHUJV (Preferred name: Brucea javanica.) ชื่อวงศ์---SIMAROUBACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา จีน อินโดจีน นิวกินี ออสเตรเลีย แอฟริกากลาง Brucea javanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์ปลาไหลเผือก (Simaroubaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2471 ที่อยู่อาศัยเติบโตตามธรรมชาติจากศรีลังกาและอินเดียไปจีน, อินโดจีน, มาเลเซีย, นิวกินี, ออสเตรเลียและแอฟริกากลาง เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าเปิดรองและบางครั้งบนเนินทราย จากระดับน้ำทะเลสูงถึง 900 เมตร ในประเทศออสเตรเลียมันเติบโตเป็นต้นไม้understoryจากระดับน้ำทะเลถึง 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูง 2-5 เมตร ใบประกอบแบบขนนกยาว 20-40 ซม. เรียงสลับ เวียนรอบกิ่ง 7-9 คู่ ก้านใบเรียวยาว 6-15 ซม.ใบย่อยรูปไข่แกมรูปหอกกว้าง 3-6 ซม.ยาว 5-10 ซม. โคนใบ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก ผิวใบค่อนข้างนุ่มทั้งสองด้าน ดอก เป็น ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ พืชสามารถเป็นแบบ monoecious หรือ dioecious มีต้นเฉพาะที่พบช่อดอกเพศผู้ และต้นที่มีทั้งดอกเพศผู้และเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน ดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีน้ำตาลแดง มีขนปกคลุม ผลเป็นผลสดขนาด 6-8 x 5-6 มม. เมื่อแห้งมีสีน้ำตาลดำคล้ายเมล็ดมะละกอแห้ง เมล็ดมีสีขาวอมเหลืองและมีเยื่อหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่มีการระบายน้ำดีและอยู่ในที่ที่แสงแดดส่องถึงหรือร่มเงาบางส่วน ใช้ประโยชน์---ผลไม้รากและส่วนอื่น ๆ ของพืชบางครั้งถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาและมีขายในตลาดท้องถิ่น -ใช้เป็นยา เป็นสมุนไพรที่รู้จักกันดีในเอเชียใช้ในการแพทย์แผนจีนและยาท้องถิ่น ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืช ใช้เมล็ดและรากใช้แบบดั้งเดิมในการรักษาโรคบิดอะมีบา ท้องเสียและมาลาเรีย นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาอาการปวดท้อง, ไอ, ริดสีดวงทวาร, ข้าวโพด, หูด, แผลและมะเร็ง ใบจะถูกใช้ภายนอกเป็นยาพอก ม้ามโต กลากเกลื้อนและตะขาบกัด เปลือกและรากใช้รักษาอาการปวดฟัน ในประเทศไทย ใช้ผลแก่จัด แก้กระษัย บำรุงน้ำดี บำรุงน้ำเหลือง แก้ท้องอืดเฟ้อ แก้ลมวิงเวียน แก้อาเจียน แก้เจ็บอก แก้อาเจียนเป็นเลือด เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ขับพยาธิ แก้โรคบิดไม่มีตัว ท้องร่วง และแก้ไข้มาลาเรีย ใบและรากก็ถูกใช้เป็นยาแก้ปวดโดยชาวพื้นเมืองในภาคเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ -ใช้อื่น ๆ รากที่มีรสขมใช้ป้องกันแมลง เมล็ดมีปริมาณของน้ำมันที่ขมมากใช้เป็นยาฆ่าแมลง ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/กรกฎาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ราชาวดีป่า/Buddleja asiatica
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Buddleja asiatica Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2685315 -The Plant List (2013)แสดงรายการคำพ้องความหมาย 20 คำของB. asiatica คำพ้องความหมายที่ตีพิมพ์ส่วนใหญ่มาจากต้นคริสต์ทศวรรษ 1800 ดังนั้นจึงไม่มีการศึกษาสายวิวัฒนาการสมัยใหม่ที่ตั้งคำถามถึงความถูกต้องของอนุกรมวิธาน ( Kay et al., 2008 ) ตำแหน่งของBuddlejaในระดับครอบครัวถูกกำหนดให้เป็น Scrophulariaceae, Buddlejaceae ( Oxelman and Bremer, 1999 ) และ Loganiaceae ( Moore, 1949 ); ความคิดปัจจุบันวางไว้ใน Scrophulariaceae (The Angiosperm Phylogeny Group, 2003) ชื่อสามัญ--- Asian Butterfly Bush, Winter lilac, Dogtail, White Butterfly Bush. ชื่ออื่น---ราชาวดีป่า, ดอกด้าย, หางหมา (เชียงใหม่-ลำปาง) ไคร้บก (เหนือ) เกียงพาไหล, ไคร้หางหมา, ดอกฟู, มะหาดน้ำ, หญ้าแห้ง, หัวเถื่อน (เชียงใหม่), ดอกด้ายน้ำ (เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน), ดอกถ่อน, ฟอน (เลย), ดอกแม่หม้าย, แม่หม้าย (กาญจนบุรี), ปอกน้ำ (เชียงราย), พู่จีบอย (กะเหรี่ยง), ปุนปุ๊ก (เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน), โพหนองปี๊(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ;[BENGALI: Newarpati, Bhimsenpati.];[CHINESE: Bai bei feng, Bai yu wei.];[HAWAII: Huelo ‘ilio.];[HINDI: Neemda, Dhurbana.];[INDONESIA: Jugul (Sundanese), Daun putihan (Javanese), Kayu saludang (Sumatra).];[LAOS: Dok fon, Dok khap.];[MYANMAR: Kyaung-migo.];[PHILIPPINES: Malasambung, Salibug (Tag.); Lagundisalasa (Bisaya); Tugnang (Iloko).];[THAI: Kiang pha lai (Chiang Mai), Khrai bok (Northern), Khrai hang ma (Chiang Mai), Nguang chang (Chaiyaphum), Dok dai nam (Chiang Mai, Mae Hong Son), Dok dai hang ma (Chiang Mai, Lampang), Dok thon (Loei), Dok fu (Chiang Mai), Dok mae mai (Kanchanaburi), Puak nam (Chiang Rai), Pun-puk (Shan-Mae Hong Son), Phu-chi-boi (Karen-Mae Hong Son), Pho-nong-pi (Karen-Kanchanaburi), Fon (Loei), Ma hat nam (Chiang Mai), Mae mai (Kanchanaburi), Rachawadi pa (Chiang Mai), Ya nam paeng (Chiang Mai), Hua thuean (Chiang Mai).];[VIETNAM: Bọ chó, Túy ngư thảo, Búp lệ.]. EPPO Code--- 1SCPF (Preferred name: Scrophulariaceae.) ชื่อวงศ์---SCROPHULARIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เนปาล บังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกินี Buddleja asiatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มณเฑียรทอง(Scrophulariaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองขึ้นกระจายในพื้นที่กว้างในอินเดีย ,เนปาล ,บังคลาเทศ ,จีน ,ไต้หวัน ,พม่า ,ไทย ,ลาว ,กัมพูชา ,เวียดนาม ,มาเลเซีย ,นิวกินีและฟิลิปปินส์ พบทั่วไปตามที่รกร้างชายป่า สถานที่เปิด, ขอบของป่าเปิด จากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 2,800 เมตร พืชได้หลบหนีจากการเพาะปลูกและกลายเป็นธรรมชาติในบางพื้นที่ของเขตร้อน ได้รับการจัดประเภทเป็น 'รุกราน' ในฮาวายและหมู่เกาะแปซิฟิกอื่น ๆ ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง1-5 เมตร แตกแขนงย่อยออกตามแกน ก้านใบ และช่อดอก มีขนหนาแน่นเป็นดาวกระจาย มีขนสีขาว เทา หรือน้ำตาลอ่อน ใบเดี่ยวกว้าง 3 ซม.ยาว 13 ซม. ออกเป็นคู่ตรงข้าม ก้านใบยาว 2-15 มม. โคนใบสอบปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบมีซี่หยัก ใบแก่บาง ด้านบนเกลี้ยงมีขนเล็กน้อย ด้านล่างสีเทาอ่อนเนื่องจากมีขนรูปดาวปกคลุมหนาแน่น ดอกสีขาว เป็นช่อออกตามง่ามใบและปลายยอด ยาวถึง 25 ซม. ผลแห้งไม่มีเนื้อรูปขอบขนาน ขนาด 0.4-0.5 ซม.แตกเป็น 2 พู เมล็ดสีน้ำตาลอ่อน, รูปไข่, 0.8-1 X 0.3-0.4 มม.มีปีกสั้นที่ปลายทั้งสองข้าง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถรับมือได้ดีกับสถานที่ที่มีแสงน้อยๆ ที่มีระดับแสงที่เหมาะสม ทนต่อดินได้หลายชนิด ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเช่นยา, น้ำหอม, สีผสมอาหารเป็นต้น มักจะปลูกเป็นไม้ประดับในเขตร้อนและเขตอบอุ่น -ใช้กิน รากแห้งทำยาดอง ดอกไม้ปรุงสุกแล้วใช้เป็นเครื่องปรุงของเหลวสีเหลืองที่ได้จากการต้มดอกไม้ใช้เป็นสีสำหรับข้าว -ใช้เป็นยาใช้ในการแพทย์พื้นบ้านเป็นยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่และยาขับปัสสาวะ ทั้งต้น ใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง และเป็นยาทำให้แท้ง ใบรักษาแผลไฟไหม้ น้ำผลไม้ใช้ล้าง รักษาโรคผิวหนัง-;ในฟิลิปปินส์พืชB. asiaticaถูกใช้เป็นยาทำแท้ง รักษาโรคผิวหนัง และเป็นยาหยุดการลดน้ำหนัก ในเวียดนาม ใบจะถูกนำมาใช้ในการสูดดมเพื่อรักษาอาการปวดหัว รักษาโรคผิวหนังและร่วมกับยาอื่นๆหลังคลอด รากแห้งใช้รักษาโรคมาลาเรียในประเทศจีน และเป็นยาบำรุงกำลังในพม่า -ใช้ปลูกประดับ ในประเทศจีนใช้เป็นไม้ประดับในสวนซึ่งสามารถใช้สำหรับตัดดอกในเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ -อื่น ๆ ไม้แกร่งแข็งปานกลาง สามารถใช้สำหรับการทำไม้เท้าและบางครั้งใช้เป็นเชื้อเพลิง น้ำมันหอมระเหยจากพืชใช้เป็นน้ำหอม ในประเทศเนปาลใบของB. asiatica ถูกเก็บรวบรวมเป็นอาหารสัตว์สำหรับสัตว์เลี้ยงและลำต้นถูกตัดเป็นฟืน ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-ตุลาคม/มีนาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ลามเขา/ Rapanea porteriana
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Rapanea porteriana (Wall. ex A. DC.) Mez.(1902) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50228427 ---Myrsine porteriana Wall. & A. DC.(1834) ชื่อสามัญ---Kicar ชื่ออื่น---รังกะแท้(จันทบุรี),โพรงนก(ระยอง),ลามเขา(สุราษฎร์ธานี) ;[MALAYSIA: Dedahruang (Malay).];[THAI: Rang ka thae, Prong nok, Lam khoa.]. EPPO Code---RPNSS (Preferred name: Rapanea sp.) ชื่อวงศ์--- MYRSINACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย สุมาตรา สิงคโปร์และบอร์เนียว Rapanea porteriana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิลังกาสา (Myrsinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Alphonse Louis Pierre Pyrame de Candolle(1806-1893) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสลูกชายของAugustin de Pyrame Candolle.)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Christian Mez (1866–1944) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2445 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย สุมาตรา คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์และบอร์เนียวพบขึ้นตามชายฝั่งที่เป็นหาดหินหรือหาดทราย ป่าทุ่งหญ้าตามชายหาด หรือพื้นที่ที่น้ำทะเลท่วมถึงหลังแนวชายหาด ลักษณะ เป็นไม้พุ่มถึงไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูง3-10เมตรลักษณะทรงต้น เรือนยอดรูปกรวยคว่ำ ลำต้นแตกกิ่งต่ำ เปลือกเรียบถุงแตกเป็นสะเก็ดสีเทา กิ่งแขนงเรียวเล็ก ใบ เดี่ยวเรียงเวียนสลับเป็นกระจุกที่ปลายกอ่ง แผ่นใบรูปรีแคบรูปใบหอกแกมขอบขนาน ขนาดกว้าง1.5-3.5ซม.ยาว5-13ซม.ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้านมีจุดประสีดำเล็กๆ กระจายทั่วแผ่นใบโดยเฉพาะขอบใบ ด้านบนสีเขียวคล้ำ ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ดอก แบบซี่ร่มบนแกนช่อรูปกรวยสั้นๆ ดอกย่อยขนาดเล็กกว้างประมาณ 3 มม.รูปกงล้อสีขาวอมเขียวถึงสีขาวอมม่วง มีกลิ่นหอมแรง ผลแบบผลเมล็ดเดียวแข็ง มีเนื้อนุ่มรูปทรงกลม ขนาดผลกว้าง 5-6 มม.ผลอ่อนสีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพู ผลสุกสีน้ำเงินคล้ำ ระยะออกดอก---เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ลำดวนดอย/ Mitrephora wangii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Mitrephora wangii Hu.(1940) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-1602812 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ลำดวนดอย พรหมดอย ;[CHINESE: Yun nan yin gou hua.];[THAI: Lamduan doi (General).]. EPPO Code---MZTSS (Preferred name: Mitrephora sp.) ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย Mitrephora wangii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Shiu-Ying Hu หรือ Hu Xiuying (1910 –2012) เธอเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวจีน ในปี พ.ศ.2483 พบที่จีนตอนใต้ (ยูนนาน) บนเนินเขาที่มีความลาดชันสูง ที่ระดับ500-1600เมตร ในประเทศไทยเป็นไม้หายากมาก ในธรรมชาติพบขึ้นตามป่าดิบเขาภาคเหนือตอนบน ที่ดอยตุง จังหวัดเชียงราย ที่ระดับความสูงประมาณ 1300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่ผลัดใบสูง 20-25เมตร ลักษณะทรงต้น มีลำต้นเปลาตรงเรือนยอดทรงกระบอกแคบ แตกกิ่งในระดับสูงขนานกับพื้นดิน โคนต้นมีพูพอนเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกเล็กน้อย เนื้อไม้เหนียว ใบรูปรีแกมรูปขอบขนาน กว้าง5-7ซม.ยาว13-20ซม.โคนใบมน ปลายใบเรียวยาวและมีติ่ง แผ่นใบบางเหนียวเป็นมัน ขอบใบเรียบ เส้นกลางใบด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างเป็นสันนูนเด่นออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 1-2 ดอกตรงข้ามใบ เมื่อเรื่มบานกลีบดอกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมแรง กลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม กลีบดอกเรียงเป็น2ชั้น กลีบชั้นนอกรูปไข่กว้าง2.5ซม.ยาว2.8ซม.กลีบดอกโค้งงอขึ้น กลีบชั้นในมีโคนกลีบแคบ ปลายกลีบแผ่กว้างประกบเป็นรูปกระเช้า มีลายประสีแดงอ่อนๆ ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลางดอก4-5ซม. บานวันเดียวแล้วโรย แต่ส่งกลิ่นหอมแรง ผลกลุ่มมี5-7ผล ผลย่อยรูปทรงกระบอกกว้าง1.5-2.5ซม.ยาว4-6ซม.ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เมล็ดกลมแบนเรียงตามขวาง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็น พรรณไม้ที่ขึ้นบนดอยและมีอากาศหนาวเย็นตลอดปี แต่เมื่อนำมาปลูกในกรุงเทพฯก็ออกดอกได้ตลอดและสวยงาม แต่ถ้าปลูกในเขตร้อนและแห้งแล้งดอกจะเล็กและหอมน้อยลง ตวรปลูกในที่ร่มรำไรและความชื้นสูง ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม---ผลแก่-พฤษภาคม-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและทาบกิ่ง
|
ล่ำตาควาย/Diosperos coaetanea
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Diospyros coaetanea H.R. Fletcher.(1937) ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name. ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---ล่ำตาควาย, หอมขวาน ; [THAI: Lam ta khwai (Phitsanulok); Hom khwan (Loei).] ชื่อวงศ์---EBENACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย Diospyros coaetanea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Harold Roy Fletcher (1907-1978) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2480 ที่อยู่อาศัย ล่ำตาควายเป็นไม้ถิ่นเดียวของประเทศไทย พบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออก พบตามป่าดิบแล้ง ป่าผสมผลัดใบ ที่ระดับความสูง 200-500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ผลัดใบสูงถึง 20 เมตร เปลือกต้นสีเทาเข้ม มีร่องแตกลึกตามยาว เปลือกในสีชมพูเข้ม อมส้ม กิ่งมีช่องอากาศ ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 6-20 ซม ใบแก่ด้านล่างมีขนประปราย ก้านใบยาว 0.7-1 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้ก้านดอกยาว 2-3 มม. กลีบเลี้ยงรูประฆัง ยาวประมาณ 2 มม. มี 4 กลีบ แฉกลึกประมาณกึ่งหนึ่ง มีขนสั้นนุ่ม หลอดกลีบดอกยาว 3-4 มม. ปลายแฉกตื้น ๆ เกสรเพศผู้ 10-14 อัน ดอกเพศเมียกลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงขยายในผล แผ่กว้าง ผลขนาด 2-3 ซม.สีเหลืองออกเขียว ก้านผลหนา ยาวประมาณ 1 ซม เปลือกแข็งหนาเรียบเกลี้ยง ใช้ประโยชน์---ผลกินได้ เนื้อไม้แข็งใช้ในการก่อสร้างทำเฟอร์เจอร์ เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/มีนาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ลำพูป่า/ Duabanga grandiflora
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์--- Duabanga grandiflora (Roxb. ex DC.) Walp.(1843) ชื่อพ้อง---Has 4 synonyms ---Basionym: Lagerstroemia grandiflora Roxb. ex DC.(1826) ---Duabanga sonneratioides Buch.-Ham.(1835) ---Leptospartion grandiflora Griff.(1854) ---Leptospartion grandiflorum (Roxb. ex DC.) Griff.(1854) ชื่อสามัญ---Achung, Duabanga, Lampati ชื่ออื่น--- กระดังงาป่า (กาญจนบุรี) กาปลอง (ชอง จันทบุรี) กาลา คอเหนียง (เชียงใหม่) กู โก๊ะ ซังกะ (กะเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน) โก (กะเหรี่ยง กำแพงเพชร, แม่ฮ่องสอน) ขาเขียด (ชุมพร) ตะกาย โปรง (ภาคใต้) ตะกูกา (จันทบุรี) เต๋น ตุ้มเต๋น ตุ้มบก ตุ้มลาง ตุ้มอ้า ลาง ลูกลาง อ้า (ภาคเหนือ) บ่อแมะ (มลายู ยะลา) บะกูแม (มลายู นราธิวาส) ลิ้นควาย (ปราจีนบุรี) ลำแพน (ตรัง) ลำแพนเขา (ยะลา) ลำพูขี้แมว (ระนอง) ลำพูควน (ปัตตานี) สะบันงาช้าง (แพร่) หงอนไก่ (ประจวบคีรีขันธ์) ;[ASSAMESE: Khokan, Hokol, Thora, Bonda-kenda, Khukan.];[BENGALI: Bondorphulla.];[CAMBODIA: Dlom chloeu ter.];[CHINESE: Bā bǎo shù.];[LAOS: Phay.];[MALAYSIA: Magasawih, Berembang bukit, Pedada bukit (Peninsular).];[MYANMAR: Myaukngo, Lampati.];[NEPALI: Lampate.]:[OTHERS: Duyabangga, Duabanga.][THAI: Lamphuu paa (Peninsualr); Kra dangngaa paa (Kanchanaburi); Kaa-plong (Chong-Chanthaburi); Kaalaa, Kho niang (Chiang Mai); Kuu, Ko, Sang-ka (Karen-Mae Hong Son); Ko (Karen-Kamphaeng Phet, Mae Hong Son); Khaa khiat (Chumphon); Takaai, Prong, Takuukaa (Chanthaburi); Ten, Tum ten,Tum bok,Tum laang,Tum aa, Laang, Luuk laang, Aa (Norhtern); Bo-mae (Malay-Yala); Ba-kuu-mae (Malay-Narthiwat); Lin khwaai (Prachin Buri); Lamphaen (Trang); Lamphaen khao (Yala); Lamphuu khee maeo (Ranong), Lamphuu khuan (Pattani); Sabanngaa chaang (Phrae); Ngon kai (Prachuap Khiri Khan).];[VIETNAM: Phay, Bần bằng lăng, Mía tương, Trâm đĩ, Phay vi.]. EPPO Code---DWBGR (Preferred name: Duabanga grandiflora) ชื่อวงศ์--- LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เนปาล สิกขิม อัสสัม พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ (ยูนนาน) คาบสมุทรมาเลย์ Duabanga grandiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส.)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Gerhard Walpers (1816–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2386 หมายเหตุ:มีเพียงสองสปีชีส์และหนึ่งHybridเท่านั้นที่อยู่ในสกุลDuabanga (POWO 2020); สายพันธุ์ที่สองDuabanga moluccanaเกิดขึ้นในฟิลิปปินส์และในภาคกลางและตะวันออกของอินโดนีเซียมีการบันทึกสายพันธุ์ลูกผสมDuabanga × tayloriaในชวา
ที่อยู่อาศัยสายพันธุ์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แผ่ขยายจากอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือผ่านพม่า หมู่เกาะอันดามัน และประเทศไทย ไปจนถึงจีนตะวันออกเฉียงใต้ อินโดจีน และคาบสมุทรมาเลย์ เติบโตบนเชิงเขาและป่าภูเขาและเนินเขาเตี้ย ๆในสถานที่เปิดโล่งโดยเฉพาะบนฝั่งแม่น้ำ ที่ระดับความสูง 900 - 1,500 เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นตามป่าริมน้ำ ริมลำธาร หรือลำห้วยทั่วไปทางภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย ตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขาต่ำ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 300-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง 15-35 เมตร เส้นรอบวงลำต้น 100-200 ซม. ลำต้นเปลาตรง ถ้าตัดเปลือกจะมีน้ำเลี้ยงสีชมพู กิ่งใหญ่จะตั้งฉากกับลำต้นและปลายกิ่งจะห้อยลู่ลง กิ่งอ่อนเป็นสันสี่เหลี่ยมตามยาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปขอบขนาน กว้าง 4-10 ซม.ยาว10-27ซม.โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ เนื้อใบค่อนข้างหนา เรียบเกลี้ยง ใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีสีขาวเคลือบ ช่อดอกเป็นช่อเชิงหลั่นมี 20-30 ดอก เจริญที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาวมีกลิ่นแรง บานตอนกลางคืนถึงตอนเช้า หุบตอนกลางวัน ขนาด 5-7.5 ซม.กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็น 6-7แฉก กลีบดอก 6-7 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลเป็นแคปซูลรูปทรงกลมขนาด 3 - 4 × 4 - 4.5 ซม แห้งแล้วแตก ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลกลีบเลี้ยงติดคงทน เมล็ดจำนวนมาก รูปเส้นยาวมีหาง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดด เป็นพันธุ์ไม้ที่โตเร็ว ใช้ประโยชน์---บางครั้งผลไม้ที่กินได้จะถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ในขณะที่ต้นไม้ถูกใช้เพื่อเป็นไม้ -ใช้กิน ดอกมีน้ำหวาน ใช้กินได้ ยอดอ่อน ดอกอ่อน ผลอ่อน -ดิบ สุก ใช้กินเป็นผักสด รสเปรี้ยว -ใช้เป็นยา เปลือก ตำเข้ายาประคบแก้กระดูกหัก กิ่งและต้น นำมาสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้อาการช้ำใน เมล็ดต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ปวดท้อง โรคกระเพาะอาหาร อาหารไม่ย่อย อาหารเป็นพิษ -; ในเวียตนามใช้รากรักษาภาวะกลั้นปัสสาวะ ปัสสาวะขัด ปัสสาวะขุ่น -อื่น ๆเนื้อไม้สีเทา มักมีเส้นผ่านสีเหลืองหรือน้ำตาล เสี้ยนตรงหรือสั้น เนื้อไม้หยาบ เลื่อยผ่าไสกบง่าย มีความแข็งแรง ทนทานปานกลางในที่ร่มโดยเฉพาะในน้ำ เป็นไม้น้ำหนักเบา ทำให้แห้งได้ง่าย ใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทำฝา พื้นบ้าน ทำกล่อง ลัง แบบหล่อคอนกรีต เนื้อไม้ใช้ทำเรือแคนู ใบเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ดี ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/ผลแก่---พฤษภาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ลำไยป่า/ Dimocarpus longan
ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดยไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ภาควิชาชีววิทยา คณวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์---Dimocarpus longan Lour. subsp. longan Leenhout var. longan Leenhout. ชื่อพ้อง---Has 2 synonyms ---Dimocarpus longan Lour. (1790). ---Euphoria longana Lamk (1792) nom. illeg. ---Nephelium longana Cambess. (1829). ชื่อสามัญ---Dragon’s eye, Dragon’s eye fruit, Longan, Lonagn Tree, Lungan. ชื่ออื่น---ลำไย,ลำไยป่า(ภาคกลาง),เงาะป่า(เหนิอ)เจ๊ะเลอ(กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน),สะแงน(ตะวันออก);[BRAZIL: Olho-De-Dragão (Portuguese).];[CAMBODIA: Mien.];[CHINESE: Lóng Yǎn, Longan, Lung Ngaan, Gui Yuan, Yang Yan Guo Shu, Yuan Yan.];[FRENCH: Longanier, Oeil de dragon.];[INDIA: Ash-Fol (Bengali), Kanakindeli (Kannada).];[INDONESIA/ MALAYSIA: Lengkeng.];[LAOS: Lam nhai, Nam nhai.];[MYANMAR: Kyet mouk.];[THAI: Lamyai, Lamyai pa.(General); Ngo pa (Northern) ; Che-loe (Karen-Mae Hong Son ); Sa ngaen (Eastern).];[VIETNAM: Nhan.]. ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า เวียตนาม จีนตอนใต้ ไต้หวัน ลาว กัมพูชา Dimocarpus longan subsp longan var. longan เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ soapberry (Sapindaceae)
ที่อยู่อาศัย แหล่งกำเนิดถึงห่วงโซ่ภูเขาจากพม่าผ่านทางจีนตอนใต้ ขยายไปยังอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ ศรีลังกา พม่า และ อินโดจีน ลักษณะ เป็นไม้ ไม่ผลัดใบสูงถึง 30เมตร เรือนยอดกลมและทึบ เปลือกต้นเรียบหรือหลุดล่อนเล็กน้อย ใบยาว28-50ซม. ใบย่อยขนาดกว้าง3.2-6ซม.ยาว9-18ซม.ปลายแหลมฐานใบมักไม่สมมาตร ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีอ่อนกว่า ดอกสีเหลืองหรือน้ำตาลเป็่อใหญ่แตกแขนงที่ปลายกิ่งยาว8-40ซม. ผลขนาด1.2-2.5ซม.สีเหลืองหรือน้ำตาล กลมไม่แตกมีเนื้อใสๆห่อหุ้มเมล็ดสีน้ำตาลเป็นมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มที่ ชอบดินปนทรายและดินหินปูน pH 5.5-7.0 สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพดินและความชื้นได้หลากหลาย ทนแล้ง ไม่ทนต่อสภาพเปียกหรือน้ำท่วมมากเกินไป ใช้ประโยชน์----ใช้กิน ผลไม้ที่มีรสชาดอร่อยเช่นเดียวกับชนิดที่มีการปลูกหลายพันธุ์ แต่เนื้อบาง ใช้ทำเครื่องดื่ม เย็น เหล้าทำโดยการหมักเนื้อลำไยในแอลกอฮอล์ -ใช้เป็นยา เมล็ดและเนื้อผลไม้ของลำไยมีสรรพคุณทางยาหลายอย่าง ใบซึ่งมี quercetin และ quercitrin และดอกไม้มีจำหน่ายในตลาดสมุนไพรจีน เนื้อของผลไม้เป็นยาแก้ท้องเฟ้อ ยาแก้อักเสบ ฆ่าพยาธิและถือเป็นยาแก้พิษ ยาต้มจากเนื้อแห้งเป็นยาชูกำลังและรักษาอาการนอนไม่หลับและโรคประสาทอักเสบ ในเวียดนามเหนือและใต้ "ตา"ของเมล็ดใช้เมื่อถูกงูกัดโดยเชื่อว่ามันจะดูดซับพิษ -อื่น ๆ ไม้เนื้อแข็งสีน้ำตาลอ่อนถึงเหลือง ไม้มีคุณภาพดี ใช้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ เมล็ดมีปริมาณซาโปนิน ใช้ทำแชมพู ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/มิถุนายน-กรกฎาคมหรือสิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง เสียบยอด
|
เล็งเก็ง/Magnolia liliifera var. obovata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Magnolia betongensis (Craib) H. Keng. (1978) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Basionym: Talauma betongensis Craib.(1925) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-117464 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เล็งเก็ง (ปัตตานี), มุกาโปกาเจ๊ะ (มลายู ปัตตานี), ยี่หุบเบตง (ทั่วไป) ; [THAI: Leng keng (Pattani); Muk-ka-po-ka-che (Malay-Pattani); Yi hup betong (General).] EPPO Code---MAGBE (Preferred name: Magnolia betongensis) ชื่อวงศ์--- MAGNOLIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภูฏาน, จีน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, เนปาล,ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Magnolia ตั้งชื่อตาม นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Pierre Magnol (1638 –1715) ; ชื่อสายพันธุ์ 'betongensis'ตั้งชื่อตามถิ่นที่พบครั้งแรกที่ อ.เบตง จ.ยะลา ประเทศไทย Magnolia betongensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จำปี (Magnoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hsean Keng (1923-2009) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนในปี พ.ศ.2521 ที่อยู่อาศัยพบในภูฏาน; จีน (ทิเบต [หรือ Xizang]); อินเดีย (อัสสัม); อินโดนีเซีย; มาเลเซีย (คาบสมุทรมาเลเซีย, ซาบาห์, ซาราวัก); เนปาล; ไทย เติบโตในป่าฝนเขตร้อน ในประเทศไทยเล็งเก็งเป็นพรรณไม้ที่สำรวจพบครั้งแรกโดยหมอคาร์ (A.F.G.Kerr)ที่ อ.เบตง จ.ยะลาที่ระดับความสูง 400 เมตร พบขึ้นในป่าดิบระดับต่ำจนถึงระดับสูงถึง 500 เมตร ใน จ.พัทลุง, สงขลา, ตรัง, สตูล, ปัตตานี, ยะลาและนราธิวาสไปจนถึงตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย เคยมีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 8-12 เมตร เปลือกต้นหนาสีดำ กลิ่นฉุน แตกกิ่งจำนวนมากในระดับสูง ทรงเป็นพุ่มกลมโปร่ง เนื้อไม้เหนียว ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปไข่กลับ กว้าง 10-12 ซม. ยาว 24-35 ซม. โคนใบสอบ ปลายใบแหลมหรือมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาแข็งกรอบ ด้านบนผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างมองเห็นเส้นแขนงใบชัดเจน ดอกออกเดี่ยวที่ปลายกิ่งสีขาว ดอกบานตั้งขึ้น มีกลีบดอก 9 กลีบ เรียงเวียนซ้อนเป็น3ชั้น กลีบหนาแข็ง อวบน้ำ เมื่อบานขนาด6-7ซม.-ผลรูปไข่ กว้าง 5-7 ซม. ยาว 8-10 ซม. มีผลย่อย 70-80 ผล เปลือกผลย่อยหนาและแข็งเชื่อมติดกัน เมื่อผลแก่ผลย่อยแตกออกตามรอยเชื่อมและหลุดออก มีเมล็ดสีแดงติดอยู่กับแกนกลางผล ช่องละ 2 เมล็ด ลักษณะเมล็ด กลมรี ยาว 1-1.3 ซม. สีแดงเข้ม ดอกบานทนอยู่ได้1-2วัน กลิ่นหอมแรง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้ชอบร่มรำไรและมีความชื้นสูงขณะยังเล็กถ้าได้แดดจัดจะทำให้ใบไหม้และ โตช้า เมื่อเติบโตแข็งแรงเป็นพุ่มใหญ่แล้วควรได้แสงแดดเต็มที่ ใช้ประโยชน์---นิยมใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกหอม ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - The IUCN Red List of Threatened Species 2014 ---CITES Appendix III ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/มิถุนายน-กันยายน การขยายพันธุ์--- โดยการเพาะเมล็ด
เลือดควาย/Knema erratica
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Photos_by_Rohit_N ชื่อวิทยาศาสตร์---Knema erratica (Hook. f. & Thomson) J. Sinclair.(1961) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:586059-1 ---Knema yunnanensis Hu.(1938) ---Myristica erratica Hook. f. & Thomson.(1855) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เลือดควาย (ชลบุรี) ;[CHINESE: Jiǎ guǎng zi.];[THAI: Lueat khwai.]. EPPO Code--- KEMSS (Preferred name: Knema sp.) ชื่อวงศ์---MYRISTICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า บังกลาเทศ ยูนนาน ไทย Knema erratica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จันทน์เทศ (Myristicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและ Thomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ)ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปี พ.ศ.2504 ที่อยู่อาศัย พบในประเทศจีน อินเดีย บังคลาเทศ ไทยและพม่า เกิดในป่าโปร่งหรือป่าทึบบนเนินเขาเนินเขาเตี้ย ๆ และหุบเขาที่ระดับความสูง 500-1700 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 20 เมตร เรือนยอดแคบแน่น เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา หลุดลอกเป็นแผ่น เปลือกชั้นในมีน้ำยางสีแดงมาก กิ่งก้านและยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลรูปดาว ใบเดี่ยวรูปขอบขนานแคบ ขนาดกว้าง3-7ซม.ยาว16-30ซม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบแก่ผิวใบด้านบนเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ด้านล่างใบสีเขียวอมเทา เกลี้ยงหรือมีขน ดอกออกเป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกเพศผู้ช่อละ1-4ดอกออกเป็นกลุ่มรูปสามเหลี่ยมบนก้านสั้นๆ ดอกเพศเมียยอดเกสรมี 2-4 พู ผลออกเดี่ยวๆหรือเป็นคู่เมื่ออ่อนมีขนสีเหลืองหรือสีแดงอมส้ม ลักษณะผลรูปรีหรือรูปไข่ กว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 2.5 ซม. แตก 2 พู มีเมล็ดขนาดใหญ่รูปไข่รียาว 2-2.8 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.3-1.6 ซม. มีเนื้อหุ้มเมล็ดสีแดง ใช้ประโยชน์---เมล็ดมีน้ำมัน 20.8% ซึ่งสามารถใช้เป็นน้ำมันอุตสาหกรรม ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-กันยายน/เมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
เลือดควายใบใหญ่/Knema furfuracea
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Knema furfuracea (Hook. f. & Thomson) Warb.(1897) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. ---Basionym: Myristica furfuracea Hook.fil. & Thomson.(1855) ---Knema pierrei Warb.(1897) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-21800247 ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---เลือดควายใบใหญ่ (นครศรีธรรมราช), จันทน์ดง (ยะลา), เลือดควาย (ตรัง) ;[CHINESE: Hóng guāng shù.];[THAI: Lueat khwai bai yai, Chan dong, Lueat khwai.]. EPPO Code---KEMFU (Preferred name: Knema furfuracea.) ชื่อวงศ์---MYRISTICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลเซีย ,สิงคโปร์และไทย Knema furfuracea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จันทน์เทศ (Myristicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและ Thomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ)ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Otto Warburg (1859–1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2440
ที่อยู่อาศัยพบทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย บังคลาเทศ พม่า คาบสมุทรอินโดจีน เป็นไม้ที่บ่งชี้ถึงสภาพป่าระดับต่ำที่มีการรบกวนน้อย ประเทศไทยพบเฉพาะในป่าพรุทางภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 20เมตรลักษณะทรงต้น เรือนยอดรูปพีระมิดแคบ กิ่งก้านขนานกับพื้นปลายกิ่งลู่ลง เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาและหลุดลอกตามยาวเป็นริ้ว เปลือกในมีน้ำยางมากสีชมพู ใบเดี่ยวรูปขอบขนานหรือรูปใบหอกขนาดใบ 3-14x10-50 ซม.ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ใบแก่เหนียว ด้านบนใบสีเขียวหม่นด้านล่างสีเขียวอมเทา ก้านใบยาวประมาณ 1.4-2 ซม.ดอกสีน้ำตาลอมเหลืองเป็นช่อสั้นๆ ผลรูปยาวรีขนาด3.5-4.5ซม.มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุม เปลือกหนามาก เมล็ดมีเยื่อบางสีแดงหุ้ม ใช้ประโยชน์---เป็นสมุนไพรใช้ใบรักษาสิว เนื้อไม้ใช้ก่อสร้าง ต้นและกิ่งใช้ทำฟืน -ใช้เป็นยา เป็นยาสามัญประจำบ้านที่ใช้ในวิถีชุมชนมุสลิมรอบป่าเทือกเขาบูโดมานาน นั่นคือ ยาแก้คันจาก เวาะดือแรแฮ นำมาใช้แก้คัน กลากเกลื้อน โดยนำผล เคี่ยวในน้ำมันเป็นยาแก้คันตามผิวหนัง -อื่น ๆเป็นอาหารของนก เทือกเขาบูโดที่เป็นที่รู้จักกันดีในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของนกเงือกจำนวน 6 ชนิด ผลของเลือดควายใบใหญ่ชาวบ้านเป็นที่รู้จักกันดีว่า "เวาะดือแรแฮ" คือ อาหารเฉพาะของนกเงือกและเป็นผลไม้ที่นกทั่วไปไม่กิน เนื่องจากผลมีขนาดใหญ่ ชาวบ้านยังบอกอีกว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเบื่อเมา หรือเป็นพิษสำหรับนกทั่วไปนั่นเอง แต่นกเงือกกินได้เพราะมีกระบวนการดูดซึมอาหารที่แตกต่างจากนกชนิดอื่นผลไม้บางชนิดที่นกเงือกกินเป็นอาหารนั้น ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/สิงหาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ศิลา/ Ilex cymosa
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Ilex cymosa Blume.(1827).This name is unresolved. ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Ilex singapuriana Wall.(1832) Unresolved ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2860621 ชื่อสามัญ---Marsh Holly ชื่ออื่น---ไทรขี้ใต้ (นครศรีธรรมราช), ซีโกะ (มลายู สงขลา), มันสำปะหลังต้น (ภูเก็ต), รานใต้ (ระนอง), ศิลา (นราธิวาส) ; [MALAYSIA: Mensirah, Bangkulatan, Timah-timah, Mesirah Puteh (Malay).];[THAI: Sai khi tai (Nakhon Si Thammarat); Si-ko (Malay-Songkhla); Se-lo (Malay-Narathiwat); Man sampalang ton (Phuket); Ran tai (Ranong); Sila (Narathiwat).];[VIETNAM: Nhựa ruồi, Bùi ba vỏ, Bùi tụ tán, Bùi nú.] EPPO Code---ILECY (Preferred name: Ilex cymosa.) ชื่อวงศ์--- AQUIFOLIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม มาเลเซีย บอร์เนียว อินโดนีเซีย Ilex cymosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ศิลา (Aquifoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัย เป็นสายพันธุ์ที่แพร่หลายในกัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ ไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไนดารุสซาลาม สุมาตรา ชวา บอร์เนียว (ซาบาห์ ซาราวัก บรูไน กาลิมันตัน) ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี มาลุกะ เป็นไม้พุ่มที่พบได้ทั่วไปในพืชพรรณชายฝั่งทะเลบนดินทรายสีขาว ป่าพรุ แม่น้ำ ป่าชายเลน ในป่าเต็งรังผสมบนยอดเขาหรือที่ลาด ป่าดิบชื้นและป่าดิบเขา ที่ระดับความสูงไม่เกิน1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูงถึง 20 เมตรลักษณะทรงต้น เรือนยอดรูปทรงกระบอกหรือรูปกรวยคว่ำ ลำต้นเปลาตรง มีพูพอนเล็กน้อย เปลือกนอเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน มีรูหายใจเป็นตุ่มเล็กๆกระจายทั่วไป กิ่งสีขาวนวล เปลือกในสีเหลืองและมีเม็ดหยาบๆสีน้ำตาลปะปนอยู่ทั่วไป เนื้อเยื่อที่ติดอยู่ระหว่างเปลือกในกับเนื้อไม้ เมื่อถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวขี้ม้า เนื้อไม้ขรุขระ ใบ เดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปรีแกมขอบขนาน ขนาดกว้าง3-7ซม.ยาว5-12ซม. ขอบใบเรียบโคนใบสอบปลายใบเรียวแหลม ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวคล้ำเป็นมัน ด้านล่างสีซีดกว่าเนื้อใบบางถึงอวบน้ำ ดอก แบบช่อกระจุกสองด้านหลายชั้น ออกตามง่ามใบ ช่อดอกโปร่ง ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น สีขาวหรือขาวอมเขียว ขนาดดอก0.3ซม.ผลแบบมีเมล็ดเดียวแข็งรูปทรงกลมหรือรูปไข่ขนาดผล0.4ซม.สีเขียว อมชมพูเมื่อสุกสีแดงคล้าถึงเกือบดำ เมล็ดแบนมีผนังหุ้มแข็งเรียงชิดกัน4-8เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในเวียตนาม ใช้รากเพื่อป้องกันไข้ ใบไม้ ใช้เพื่อรักษาอาการเคล็ดขัดยอก -อื่น ๆ ไม้ใช้ทำฟืน ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่ทราบภัยคุกคามเฉพาะสำหรับสายพันธุ์นี้และไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
สกุณี/Terminalia calamansanai
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia calamansanay (Blanco) Rolfe.(1884) ---The name is spelled Terminalia calamansanai in some publications ชื่อพ้อง---Has 14 synonyms ---Basionym: Gimbernatia calamansanai Blanco.(1845) ---Terminalia blancoi Merr.(1909) ---More.See all https://www.gbif.org/species/3698894 ชื่อสามัญ--Philippine Almond, Yellow terminalia. ชื่ออื่น---ขี้มอด (นครปฐม); ตาโหลน (สตูล); ตีนนก (จันทบุรี, ตราด); ประคำขี้ควาย (ภาคใต้); เปียแคร้ (เขมร-จันทบุรี); สกุณี, สัตคุณี (ราชบุรี); แหนแดง (ภาคเหนือ); แฮ้น (ชุมพร, นครสวรรค์) ;[CHINESE: Ma ni la lan ren (Taiwan).];[MALAYSIA: Mentalun, Ketapang (Malay).];[PHILIPPINES: Bangkalauan, Malakalumpit, Bunlos, Subo-subo (Tag.).];[THAI: Khi mot (Nakhon Prathom); Ta lon (Satun); Tin nok (Chanthaburi, Trat); Pra kham khi khwai; (Peninsular); Pia-khrae (Khmer-Chanthaburi); Sakuni (Ratchaburi); Satta khuni (Ratchaburi); Haen daeng (Northern); Haen (Chumphon, Nakhon Sawan).];[VIETNAM: Chiêu liêu nước.]. EPPO Code---TEMSS (Preferred name: Terminalia sp.) ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ลาว เวียตนาม กัมพูชา ไทย ฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาเลย์ สุลาวาสี นิวกินี Terminalia calamansanay เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae) ด้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFrancisco Manuel Blanco (1778–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Allen Rolfe (1855–1921) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2427
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นบนเนินเขาล่าง หน้าผาหินปูนในป่าที่ลุ่ม ตามถนนและนาข้าว เป็นพืชในเขตร้อนชื้นที่ลุ่มซึ่งสามารถพบได้ที่ระดับความสูงไม่เกิน 500 เมตร ประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าผสมผลัดใบ และป่าดิบแล้งทั่วประเทศที่ระดับความสูง 50-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ผลัดใบ สูงถึง 25-40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสูงถึง 80 ซม. ลักษณะของลำต้นแตกกิ่งต่ำ แตกออกจากจุดเดียวคล้ายฉัตร กิ่งค่อนขนานกับพื้น เปลือกต้นสีเทาปนน้ำตาล แตกเป็นร่องยาวตื้นๆ ตามกิ่งมีขนนุ่มปกคลุม ที่โคนมีพูพอน ขนาดเล็ก ใบเดี่ยวรูปไข่กลับแคบๆ ปลายใบแหลม โคนใบสอบ เรียงเวียนสลับ กว้าง 3-8ซม. ยาว 9-18ซม.โคนใบรูปลิ่ม ก้านใบยาว 2.5-4 ซม. ขอบใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา ด้านล่างสีเขียวมีต่อม1คู่บริเวณกึ่งกลางเส้นใบ ช่อดอกแบบช่อเชิงลดดอกสีขาวแกมเหลืองออกเป็นแกนช่อตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 8-16 ซม.ดอกย่อยไม่มีก้านดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ขนาด 2-2.5 มม.มีกลิ่นหอมเอียน ผลรูปสามเหลี่ยมแก่ไม่แตกมี 2 ปีกมีขนคลุมสีน้ำตาลอ่อน กว้าง 2-4 ซม.ยาว 4-8 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดด ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี pH ในช่วง 5.5 - 6.6 ทนได้ 4.5 - 7.5 ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค และใช้ไม้ -ใช้กิน ใช้กินได้ ผลไม้กินดิบ เมล็ด - กินดิบหรือสุก -ใช้เป็นยา เปลือกต้นมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงหัวใจ ตำรายาไทยจะใช้เป็นยาแก้นิ่วในทางเดินปัสสาวะ แก้ตกเลือด ในฟิลิปปินส์เเปลือกต้นฝาด ใช้เป็นยาทั้งภายใน ภายนอก -อื่น ๆ แก่นไม้ สีขาวเมื่อตัดใหม่ กลายเป็นสีเหลืองอมเทาเมื่อสัมผัส ไม้มีน้ำหนักปานกลางถึงหนัก ใช้งานยากปานกลาง ไม่คงทนมากและมักถูกโจมตีโดยแมลงเต่าทอง ใช้สำหรับงานฐานราก งานโครงสร้างราคาถูกหรืองานชั่วคราว เฟอร์นิเจอร์ราคาถูก ผลใช้เป็นไม้ประดับแห้ง ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ธันวาคม/ธันวาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ส้มแปะ/ Vaccinium sprengelii
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Vaccinium sprengelii (G.Don) Sleumer.(1941) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-12304524 ---Basionym: Agapetes sprengelii G. Don.(1832). See http://legacy.tropicos.org/Name/12304524 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หัวแหวน (ภาคหลาง), ซาบุดอย (กระเหรี่ยง เชียงใหม่), เม้าหิน (เชียงใหม่), ส้มปี, ส้มปี้, ส้มแปะ (ภาคเหนือ), ส้มแสด (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ; [THAI: Hua waen (Central); Sa-boi-du (Karen-Chiang Mai); Mao hin (Chiang Mai); Som saep, Som soi (Loei); Som pi, Som pae (Northern); Som saet (Northeastern); Mueat som (Chiang Mai).]. EPPO Code---VACSP (Preferred name: Vaccinium sprengelii.) ชื่อวงศ์---ERICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์-- จีน อัสสัม พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียตนาม Vaccinium sprengelii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์กุหลาบป่า (Ericaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Don ((1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Otto Sleumer (1906–1993) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในเยอรมัน ในปี พ.ศ.2484
ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายทางตะวันออกเฉียงใต้ของทิเบต จีนตอนใต้ อัสสัม พม่า และอินโดจีน เกิดขึ้นตามป่าไม้ลำธารและพุ่มไม้ ที่ระดับความสูง 1,300 - 1,600 เมตร ในป่าเบญจพรรณป่าสนและพุ่มไม้หนาทึบที่ระดับความสูง 2,300 - 2,700 บางครั้งถึง 3,200 เมตร ในประเทศไทยมักพบทั่วไปตามป่ากึ่งโล่งแจ้งโดยเฉพาะตามสันเขา ปะปนกับไม้สน ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 800-1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง 4-6 เมตรไม่ผลัดใบ ลักษณะทรงต้น ลำต้นสั้นและบิดงอเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มมีรอยแตกลึกๆหนาแน่น เปลือกชั้นในสีครีม ใบ เดี่ยวเรียงเวียนรอบกิ่ง ขนาดของใบกว้าง 2-3 ซม.ยาว 4-8 ซม. รูปรี ใบอ่อนสีส้มแดงปลายใบเรียวแหลม ใบขอบจักฟันเลื่อยคมๆประปรายใกล้ปลายใบ ยอดอ่อนมีขนละเอียดใบอ่อนสีส้มแดง ใบแก่บางและเหนียว เรียบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตามง่ามใบ ห้อยลงมาคล้ายโคมไฟเล็กๆกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก ช่อดอกยาว 3-5 ซม.ดอกขนาดบวกลบ 1 ซม.สีขาวหรือชมพูอ่อน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปคนโทปลายแยกเป็น 5 แฉกน้อยๆ ผลรูปกลมสีเขียวขนาด 0.7-0.8 ซม.เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ผิวบางมีเนื้อและเมล็ดเล็กๆหลายเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่แสงแดดจัดมีที่กำบังลมหรือในที่ร่มที่จะให้ผลดีกว่าในที่ที่มีแสงแดดจ้า ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี มีอินทรีย์วัตถุ ธาตุอาหารสมบูรณ์ ค่า pH 6-7 พืชเป็นไม้ผลัดใบในสภาพอากาศหนาวเย็น ศัตรูพืช/โรคพืช---พืชในสกุลนี้มีความทนทานต่อเชื้อราน้ำผึ้งได้ดี ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร -ใช้กิน ผลไม้ - ดิบหรือสุกกินได้ ยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผักได้มีรสเปรี้ยว -วนเกษตร เป็นไม้ที่ทนต่อไฟป่า และขยายพันธุ์ได้ดี ในบริเวณป่าเสื่อมโทรม ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-เมษายน/กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธ์---เมล็ด ปักชำ(ช้าและยาก)
สมอดีงู/Terminalia citrina
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---Photo: https://efloraofindia.com/2011/04/01/terminalia-citrina/ ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia citrina (Gaertn.) Roxb.ex Fleming.(1810) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2434426 ---Basionym: Myrobalanus citrina Gaertn.(1791). ---Terminalia manii King.(1897) ชื่อสามัญ--- Citrine myrobalan, Black chuglam ชื่ออื่น---สมอดีงู (ภาคกลาง), สมอหมึก (พัทลุง), สมอเหลี่ยม (ชุมพร) ;[ASSAMESE: Hilikha.];[JAPANESE: Bingasu, Ieroo taaminaria.];[MALAYSIA: Antoi Puteh, Belang Rimau, Belawan, Selangan Jambu, Talisai Jambu, Jelawai Belang Rimau, Citrine Myrobalan, Black Chuglam.(Malay).];[MYANMAR: Kya-su, Hpan-kha-ngai.];[SANSKRIT: Abhayā, Pathya, Pra-mathā.];[THAI: Samo di ngu (Central); Samo muek (Phatthalung); Samo liam (Chumphon).];[TURKISH: Sarı halile, Sarı helile.]. EPPO Code: ---TEMCI (Preferred name: Terminalia citrina.) ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Terminalia citrina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตจากอดีต John Fleming (1747–1829)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2353Terminalia citrina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตจากอดีต John Fleming (1747–1829)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2353 ที่อยู่อาศัยพบที่อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและภูมิภาคมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และนิวกินี ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามริมลำธารในป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งหรือที่ราบชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 20-30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 100 ซม.โคนต้นเป็นพูพอน กิ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวผิวใบเกลี้ยงเรียงตรงข้าม กึ่งตรงข้ามหรือสลับ รูปวงรี วงรีแคบ หรือวงรีแกมขอบขนาน กว้าง 2-6 ซม.ยาว 3-14 ซม.ก้านใบยาว 0.5-2.5 ซม. มีต่อม1-2คู่ที่โคนใบ ดอกออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ช่อดอกย่อยแบบช่อเชิงลด ยาวได้ถึง 10 ซม. ดอกย่อยไม่มีก้าน สีขาวอมเหลือง ผล ป็นผลสด รูปกระสวย รูปรี ยาว 2-3 ซม. ผิวเกลี้ยงมีสันตื้น 5สันเมื่อสุกสีม่วงแกมเขียว เมื่อแห้งสีดำเห็นสันชัดเจน เมล็ดรูปรีผิวขรุขระเป็นเหลี่ยม ยาวประมาณ 1.5 ซม. ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งแทนนินและไม้ -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณเป็นยาแก้โลหิตเป็นพิษ ผลมีแทนนินรสฝาด สมานลำไส้ เป็นยาระบาย ใช้เป็นยาแก้ไข้ แก้อาการไอ แก้เจ็บคอ ผลอ่อนมีสรรพคุณเป็นยาแก้ลม ส่วนตำรับยาสมุนไพรล้านนามีการใช้สมอดีงูร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ อีก 3 ชนิดอย่างละเท่ากัน โดยใช้เป็นทั้งยากินและยาทา รักษาโรคตะคริวที่ไม่มีไข้และไม่รู้สึกหนาว ;-ในพม่า ผลไม้เป็นยารักษาโรคโลหิตจางและโรคอื่นๆ ที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ในประเทศอินโดนีเซีย ยาต้มจากสายพันธุ์นี้และ "adaspoelasari" ใช้เป็นยารักษาอาการปวดท้อง ในประเทศฟิลิปปินส์ ผลไม้นี้ถือเป็นยาสมานแผล และยาต้มใช้รักษาอาการท้องเสียและโรคอุจจาระร่วง (Perry 1980) -อื่น ๆแก่นไม้ไม่สม่ำเสมอสีเทาอมน้ำตาลหรืออมม่วงเข้ม ไม้เนื้อแข็งหนักค่อนข้างคงทน เฟอร์นิเจอร์ที่สวยงามของอินโดจีนกล่าวกันว่าทำจากไม้ชนิดนี้ ผลและเปลือกให้สีย้อมสีน้ำเงินเข้ม ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กรกฎาคม/กันยายน-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
สมอทะเล/Shirakiopsis indica
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---Photo: http://www.fpcn.net/m/view.php?aid=1772 ชื่อวิทยาศาสตร์---Shirakiopsis indica (Wild.) Esser.(1999). ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms ---Basionym: Sapium indicum Willd.(1805) ---Excoecaria diversifolia (Miq.) Müll.Arg.(1866) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-190978 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กระหุด,สมอทะเล(กลาง)กือเราะ,กุระ,กุลา,คือรัก,(ใต้-มาเลย์);[CHINESE: Chi ye wu jiu.];[MALAYALAM: Karimatti, Penkolam.];[MALAYSIA: Gurah (Malay).];[THAI: Krahut, Samo thale (Central); Kue-ro, Ku-ra, Ku-la, Khue-rak (Malay-Peninsular).]. EPPO Code---SHYIN (Preferred name: Shirakiopsis indica.) ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันอกเฉียงใต้, หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก Shirakiopsis indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Euphorbiaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow (1765–1812) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Esser (1924- 2019) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2542 ที่อยู่อาศัย กระจายอย่างกว้างขวางใน จีน (กวางตุ้ง)[มีถิ่นกำเนิดในบังคลาเทศ บรูไน อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เมียนมาร์ ปาปัวนิวกินี สิงคโปร์ , ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม; หมู่เกาะแปซิฟิก (หมู่เกาะบิสมาร์ก, หมู่เกาะแคโรไลน์, หมู่เกาะโซโลมอน)]. พบตามแม่น้ำและชายฝั่งทะเล ป่าชายเลนและป่าโกงกาง ป่าปฐมภูมิและทุติยภูมิ พื้นที่ป่าพรุและน้ำท่วมตามฤดูกาล ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 100 เมตร ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ตามริมลำคลองน้ำกร่อยและด้านหลังป่าชายเลนที่น้ำท่วมถึงทางภาคกลางและภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงถึง 30-40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 40 ซม.ทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลม ปลายกิ่งเรียวยาวลู่ลง เปลือกเรียบถึงแตกเป็นร่องตามยาวถี่ๆ เปลือกชั้นในสีเหลือง เปลือกนอกสีเทาคล้าถึงเกือบดำ มียางข้นสีขาวตามยอดอ่อน ช่อดอกและผล ลำต้นเมื่ออายุน้อยมีหนามแหลมแข็ง ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปรีถึงรูปใบหอก ขนาดกว้าง 2-3 ซม.ยาว 8-12 ซม. โคนใบแหลมถึงมน มีต่อม1คู่อยู่ชิดโคนใบ ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. อ้วนใหญ่มีร่องข้างบนมักมีสีแดง ขอบใบหยักมนถึงหยักฟันเลื่อยเป็นคลื่นเล็ก ปลายใบเรียวแหลม เนื้อใบคล้ายแผ่นหนังบางๆ ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีซีดกว่า ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น ออกตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 5-10 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก ดอกเพศผู้ออกเป็นกระจุก 3-7 ดอกเรียงตลอดช่อดอก ก้านดอกยาว 1-2 มม. กลีบเลี้ยงยาว 0.6-0.8 มม. ดอกเพศเมียสีเหลืองอมเขียวมีก้านดอกและขนาดใหญ่กว่ามักออกเดี่ยวๆตามโคนช่อดอก ก้านดอกยาวประมาณ 5 มม. กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 1.5 มม. ผล แห้งแตกตามแนว เปลือกแข็งหนารูปค่อนข้างกลมมี3พูเป็นลอนตื้นๆขนาด2-3ซม. ปลายผลมีก้านเกสรเมียติดอยู่ ผลอ่อนฉ่ำน้ำสีเขียว เมื่อแก่แข็งสีเทาอมน้ำตาล และแตกเป็น3พู แต่ละพูมีเมล็ด1เมล็ดรูปรี ยาว 1-1.3 ซม.ค่อนข้างแบนผิวสีน้ำตาลอ่อนเป็นมัน ใช้ประโยชน์---ได้รับการเพาะปลูกเพื่อใช้เป็นไม้และใช้เป็นยา -ใช้กิน น้ำมันอบแห้งนั้นได้มาจากเมล็ดซึ่งกินได้ -ใช้เป็นยา ใบแก้ไข้ -อื่น ๆเนื้อไม้ของสมอทะเลใช้ทำเรือแคนนู ผลและใบให้สีย้อมสีดำและสีเขียวเหลืองใช้ย้อมผ้า ผลอ่อนใช้เบื่อปลา รู้จักอันตราย--- ผลสดมีพิษ น้ำยางมีพิษอาจทำให้ตาบอดได้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล--- เมษายน - ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
สมอไทย/Terminalia chebula
ภาพประกอบอ้างอิงเพื่อการศึกษา---Photo: https://indiabiodiversity.org/observation/show/324814 ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia chebula Retz.(1789) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Buceras chebula (Retz.) Lyons.(1900) ---Myrobalanus chebula (Retz.) Gaertn.(1790) ---Terminalia zeylanica Van Heurck. & Müll.Arg. ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2431324 ชื่อสามัญ--- Myrobalan Wood, Chebulic Myrombalam, Gallnut, Yellow myrobalan. ชื่ออื่น---สมอไทย, สมออัพยา (ภาคกลาง), ม่าแน่(กระเหรี่ยง เชียงใหม่), หมากแน่ะ (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน);[ASSAMESE: Hilika, Hilikha, Shilikha.];[BENGALI: Haritaki.];[BURMESE: Pangah.];[CAMBODIA: Sram (Central Khmer).];[CHINESE: He zi, He li le (Taiwan).];[FRENCH: Badamier chébule, Myrobalan chébule, Myrabolan noir.];[GERMAN: Chebulische Myrobalane, Myrobolanenbaum, Rispiger Myrobalanenbaum.];[HINDI: Harra, Haritak, Harra.];[INDONESIA: Buah kaduka, Manja lawai (Malay).];[JAPANESE: Haritaki, Ieroo taaminaria, Mirobaran no ki, Mirobaran no ki.];[KANNADA: Alale, Alalekaayi.];[LAOS: Somz moox kh'ook.];[MALAYALAM:Putanam,Kadukka.];[MYANMAR: Hpan-khar-thee, mMai-mak-na, Mai-man-nah, Mana, Pangah, Phan-kha, Thankaungh.];[NEPALI: Harro, Jangalii harro, Thuulo harro.];[PHILIPPINES: Komintana, Laknab, Apunga, Paghubo (Tag.)];[SANSKRIT: Abhaya, Haritaki.];[SPANISH: Mirobolano, Mirobalanos índicos.];[TAMIL: Kadukkaai, Katu-k-kay.];[TIBETAN: A ru ra.];[THAI: Ma na (Northern); Ma-nae (Karen-Chiang Mai); Samo thai (Central); Samo ap phaya (Central).];[VIETNAMESE: Chieu lieu xanh.]. EPPO Code: TEMCH (Preferred name: Terminalia chebula.) ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ จีนตอนใต้: จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, ภูฏาน, เนปาล, บังคลาเทศ , พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม Terminalia chebula เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ(Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anders Jahan Retzius (1742–1821)นักไลเคน, แพทย์ชาวสวีเดนและและศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ที่ Lund Universityในปี พ.ศ.2332 ที่อยู่อาศัยพืชพื้นเมืองเอเชียใต้จากอินเดียและเนปาลตะวันออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน (ยูนนาน ) และทิศใต้ศรีลังกา ,มาเลเซียและเวียดนาม ที่อยู่อาศัยพบกระจัดกระจายอยู่ในป่าสัก ป่าเบญจพรรณ ป่าเบญจพรรณขยายเข้าสู่ป่าที่มีความแห้งแล้ง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตรบางครั้งถึง 2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 20-35 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 - 80 ซมเรือนยอดกลมกว้าง ลำต้นค่อนข้างสั้น เปลือกต้นสีน้ำตาล ขรุขระ เปลือกชั้นในมีน้ำยางสีแดง กิ่งและใบอ่อนมีขนเป็นสนิม ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามหรือเกือบตรงข้าม รูปวงรีกว้าง6-10ซม.ยาว8-15ซม.โคนใบรูปหัวใจปลายใบแหลม ก้านใบยาว1-3ซม.ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบหรือปลายยอด ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบสีเหลือง ผลเป็นผลสด รูปวงรีมีสัน5สัน มีเนื้อเยื่อหนาหุ้มเมล็ด มีเมล็ดเดียวแข็ง ผลโต 2-3 ซม.ยาว 3-4 ซม.ผลแก่สีเขียวอมเหลือง แต่พอแห้งจะเปลี่ยนเป็นสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแดดประสบความสำเร็จในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์พอสมควรมีการระบายน้ำดีตั้งแต่ดินทรายไปจนถึงดินเหนียว ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 แต่ทนได้ 5 - 7.5 มีความทนทานต่อความแห้งแล้งพอสมควร ใช้ประโยชน์---ต้นไม้มีคุณค่าหลากหลาย โดยเป็นแหล่งแทนนินที่ยอดเยี่ยม ให้ไม้ที่มีคุณภาพดี รวมทั้งมีการใช้เป็นยาและกินได้ ในอินเดียมีการปลูกในเชิงพาณิชย์สำหรับแทนนินในผลไม้ใช้คุณสมบัติเป็นยา -ใช้กิน เมล็ด - กินเป็นอาหารว่าง รสชาดที่ชวนให้นึกถึงอัลมอนด์ น้ำมันที่บริโภคได้นั้นมาจากเมล็ด ผลรสเปรี้ยวเก็บรักษาในน้ำเกลือหรือดอง ผลถูกนำมาใช้ในการผลิตเกลือสีดำเป็นส่วนผสมหลักของการผสมผสานเครื่องเทศที่รู้จักกันในชื่อ Chat masala -ใช้เป็นยา มีความสำคัญต่อการแพทย์อายุรเวท ผลรสเปรี้ยวเป็นส่วนประกอบสำคัญของ 'triphala'(ตรีผลา) ซึ่งเป็นยาบำรุงกำลังฟื้นฟูและเป็นยาระบายและใช้สำหรับความผิดปกติของไตและตับ วิธีการรักษาที่สำคัญสำหรับทุกปัญหาการย่อยอาหาร ผลตากแห้งยังใช้ในอายุรเวทเป็นยาขับปัสสาวะและยาระบาย ผลต้มใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง, ยาระบาย, ยาสมานแผล ยาแก้ไข้ -อื่น ๆ แก่นไม้มักมีขนาดค่อนข้างเล็กมีสีน้ำตาลเข้มถึงน้ำตาลแดง ไม้นั้นแข็งมาก หนักถึงหนักมาก ไม่ทนทานในที่แจ้ง ใช้เป็นไม้ก่อสร้างและสำหรับเฟอร์นิเจอร์ เกวียนและอุปกรณ์ไม่ได้มีค่ามากนักตามรายงานในขณะที่บางคนบอกว่าไม้มีคุณภาพดี -ผลอุดมไปด้วยแทนนินใช้ในขนาดใหญ่ในประเทศอินเดีย ใช้เป็นวัสดุสำหรับฟอกหนังและให้สีย้อมสีดำ สำหรับใช้ย้อมสีผ้าดิบและเป็นหมึกพิมพ์ สีย้อมสีเหลืองเตรียมได้จากผลรวมกับสารส้ม ดอกไม้ให้สีย้อมเหลืองใช้สำหรับวาดรายละเอียดสีเหลืองและสีเขียวบน calicos ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/ผลแก่---พฤศจิกายน-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำกิ่ง
สะลีกดง/ Alangium Kurzii
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาสตร์--- Alangium Kurzii Craib.(1911). ชื่อพ้อง----Has 17 Synonyms ---Basionym: Diacicarpium tomentosum Blume.(1826). ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-5589 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ฝาละมี (ปัตตานี); จำปาทอง, ผาเก (สุราษฎร์ธานี); สะลีกดง (เชียงใหม่);[CHINESE: Mao ba jiao feng.];[MALAYSIA: Marapangi (Sabah), Mentulang (Malay).];[THAI: Fa la mi, Pha ke, Sa leek dong.];[VIETNAM: Thôi chanh lông, Co loọc toọc, Lang vang, Trè.]. EPPO Code: ALNSS (Preferred name: Alangium sp.) ชื่อวงศ์--- ALANGIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้-เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Alangium Kurzii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ฝาละมี (Alangiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัยเติบโตตามธรรมชาติจากประเทศจีนไปทางทิศตะวันตกมาเลเซีย พบขึ้นกระจายตามป่าดิบเขาและป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูง150-1,300เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 50-60 ซม. กิ่งก้านมีขนนุ่ม ใบเดี่ยวรูปไข่กว้าง 4-10 ซม.ยาว 10-20 ซม.โคนใบเบี้ยวปลายใบแหลมขอบใบเรียบแผ่นใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ก้านใบ 2.5-4 ซม.ดอก สีขาวหรือเหลืองออกเป็นช่อตามซอกใบ ช่อดอกยาว 2-7 ซม. ดอกย่อย 3-15 ดอก ขนาดยาว1.5-2.5 ซม. กลีบรองดอกเชื่อมติดกันเป็นถ้วย กลีบดอก 7-10 กลีบ มีขนนุ่มเมื่อบานม้วนออกด้านนอก ผลสดเมื่อแก่สีม่วงดำ ขนาดกว้าง 5-8 มม.ยาว 8-14 มม.มีเมล็ด1-2 เมล็ด ใช้ประโยชน์-ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้เปลือก รากรักษาโรคไขข้อ, ชา, ปวดเมื่อยและแก้ปวด ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กรกฏาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
สอยดาว/Mallotus paniculatus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ชื่อวิทยาศาสตร์---Mallotus paniculatus (Lmk.) Mull. Arg.(1865) ชื่อพ้อง---Has 3 synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-50323471 ---Basionym: Croton paniculatus Lamk.(1786) ---Mallotus cochinchinensis Lour.(1868) ---Rottlera paniculata (Lam.) A.Juss.(1824). ชื่อสามัญ---Turn in the Wind; Turn-in-the-wind ชื่ออื่น---สลัดป้าง สตีต้น แสด หลอขน ;[BORNEO: Balik angin, Bayur, Berlekut.];[CHINESE: Lì shù, huáng bèi tóng, bái yèzi.];[INDONESIA: Calik angin (Sundanese), Tutup awu, Tutup kancil (Javanese).];[MALAYA PENINSULAR: Balik angin, Balek angin kechil (Semelai); Buerakaeputeh (Malay); Balek (Sakai).];[PAPUA NEW GUINEA: Poekwa (Hattam).];[PHILIPPINES: Hinlaumong-puti.];[SINGAPORE: Angin Gajah.];[THAI: Spang, Sate (Peninsular), Sate-ton (North-eastern), Soi daao (South-eastern).]. EPPO Code---MLLPA (Preferred name: Mallotus paniculatus.) ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ เมลเซีย ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Mallotus มาจากภาษากรีก=ขน อ้างอิงถึงใบและผลที่มีขนในบางสายพันธุ์ ; = ชื่อสายพันธุ์ 'paniculatus ' มาจากภาษาละติน หมายถึง มีดอกไม้จัดเป็นช่อ (กลุ่มดอกแตกแขนง) Mallotus paniculatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2408
ที่อยู่อาศัย แพร่กระจายในอินเดีย บังคลาเทศ จีน ไต้หวัน เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไทย กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ปาปัวนิวกินี และออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ เกิดขึ้นในสถานที่เปิดโล่งและถูกรบกวน ในป่าเต็งรัง ป่าพรุหนองน้ำ ป่าชายฝั่ง บ่อยครั้งในป่าเสื่อมโทรม ริมถนนและแม่น้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1800 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้น ในบริเวณที่ป่าโล่ง ในภาคตะวันออกและภาคใต้ ที่ระดับความสูง 50-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ หรือผลัดใบระยะสั้นสูง 7-12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25ซม.ลักษณะทรงต้น เรือนยอดแผ่กางตัดตรง เปลือกแตกสะเก็ดสีน้ำตาลเทา กิ่งก้านเรียวเล็กแผ่ขยายออก ใบเดี่ยวรูปไข่เรียงเวียนสลับ ยอดอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปไข่หรือรูปก้นปิด กว้าง5-15ซม.ยาว8-18ซม.โคนใบกลมมนปลายใบเรียวแหลม ใบแก่สีเขียวเข้มขอบใบเรียบหรือหยักตื้นด้านล่างใบมีขนสีเขียวอมเทา เส้นใบสีน้ำตาลออกส้ม ดอกช่อเชิงลดออกที่ปลายยอด ช่อยาว 30 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอกกว้างแตกแขนงห้อยลง ผลกลมเป็นแคปซูล สีน้ำตาลแกมเขียวถึงเทาอมน้ำตาล มีขนดกขนาด 5.5–6 x 4.2–12 มม. หุ้มด้วยหนาม 10–20 อันที่ยาวประมาณ 4 มม. และแต่ละอันมี 3 ช่องภายใน เมล็ดมีลักษณะกลมบางส่วน สีดำมัน และกว้างประมาณ 2.4–4 มม. ผลแห้งแล้วแตก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ ดินทรายหรือดินร่วนปนทราย ดินแห้ง / แล้ง ดินชื้น ที่อุดมสมบูรณ์และระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใบใช้แก้ไข้ รากใช้ดองเหล้าใช้ในสตรีหลังคลอดลูกบุตร ใบของต้นอ่อนจะถูกนำไปใช้กับอวัยวะเพศชายหลังจากการขลิบ -ใช้ปลูกประดับ สวนทั่วไป สวนสาธารณะและสวนขนาดเล็ก, ต้นไม้ริมถนน -อื่น ๆ เนื้อไม้อ่อนผุง่าย มีน้ำหนักเบามาก ใช้สำหรับทำไม้ขีด กล่องใส่ของ เส้นใยเปลือกสามารถนำมาทำเชือกป่านและกระสอบแต่ไม่ค่อยแข็งแรง สามารถใช้น้ำมันสกัดจากผลไม้เพื่ออุตสาหกรรมได้ ไม้ใช้ทำฟืน ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
สะเดาช้าง/Rhus succedanea
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Toxicodendron succedaneum (L.) Kuntze.(1891) ชื่อพ้อง---Has 3 synonyms ---Basionym: Rhus succedanea L.(1771) ---Rhus pubigera Blume ---Rhus erosus Radlk. ชื่อสามัญ---Wax Tree, Wild varnish tree, Red-lac, Poison Sumac, Japanese wax-tree, Japan wax, Scarlet rhus, Rhustree ชื่ออื่น---สะเเดาช้าง ;[AFRIKAANS: Wasboom.];[ASSAMESE: Amsilika.];[BRAZIL: Charão.];[CHINESE: Ye qi.];[GERMAN: Talggiftsumach.];[ JAPANESE: Haze no ki, Hazenoki.];[KANNADA: Ding-keon.];[KOREAN: Geom yang ot na mu.];[PORTUGUESE: Falsa-aroeira, Arvore-da-cera-do-japão.];[SWEDISH: Vaxsumak.];[TAMIL: Karkadagasurgi, Kakeera-sryngi.];[THAI: Sa dao chang.];[VIETNAM: Sơn.]. EPPO Code---TOXSU (Preferred name: Toxicodendron succedaneum.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย ภูมิภาค อินโด-มาเลย์ Toxicodendron succedaneum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2434 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในอนุทวีปอินเดีย (เช่นภูฏาน, เนปาล, อินเดียตอนเหนือและปากีสถานตอนเหนือ) และเอเชียตะวันออก (เช่นจีน, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, กัมพูชา, ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนามและอินโดนีเซียตะวันตก) เติบโตส่วนใหญ่ในเขตอบอุ่น พบขึ้นกระจายตามป่าดิบเขา พบตามริมถนน ในพื้นที่ที่ถูกรบกวนในป่า ในออสเตรเลียแปลงสภาพเป็นธรรมชาติในรัฐควีนส์แลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง 2-8 เมตร ลักษณะ เปลือกต้นมีสีเทาน้ำตาลถึงแดงเข้ม ใบประกอบเป็นใบย่อย 4-8 (11) คู่ ขนาดกว้าง 1-3.5 ซม.ยาว 4-12 ซม.มีต่อมระหว่างซอกของเส้นใบ ก้านใบย่อยเรียวยาว 0.5-0.6 ซม.ก้านใบร่วมไม่มีสันปีกมักมีแต้มสีแดงดอกสีเขียวแยกเพศอยู่รวมเป็นช่อห้อยลงยาว 5-15ซม ผลรูปร่างแบนและเบี้ยวสีเขียวเข้มอมเหลือง -น้ำตาลผิวเป็นมัน แห้งไม่แตก ขนาด 0.6-0.8 ซม.ภายในมีกลุ่มเยื่อใยสีดำฝังในเนื้อไขสีขาว ใช้ประโยชน์---มันถูกใช้ในการผลิตวัสดุเคลือบ ในเวียดนาม แล็คเกอร์ใช้ในการผลิตภาพเขียนเคลือบเงาหรือที่รู้จักในชื่อ sơn mài จากเรซินของต้นไม้ ในเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น มีการผลิตเชื้อเพลิงเทียนแบบดั้งเดิม (หรือที่เรียกว่าขี้ผึ้งญี่ปุ่น ) -ใช้ปลูกประดับ ได้รับการปลูกอย่างกว้างขวางในรูปแบบไม้ประดับสวนและต้นไม้ริมถนนโดยเฉพาะในเขตอบอุ่นของออสเตรเลีย สำหรับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่มีสีสดใส -ใช้เป็นยา มันถูกใช้เป็นพืชสมุนไพรในอินเดีย -ใช้กิน ผลไม้กินได้แม้ว่าจะไม่แนะนำให้บริโภคเนื่องจากความเป็นพิษทั่วไปของพืช รู้จักอันตราย---สมาชิกทั้งหมดของพืชสกุลนี้ผลิต urushiol น้ำมันที่ทำให้ผิวระคายเคืองซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง สิ่งนี้เรียกว่าโรคผิวหนังที่เกิดจากการสัมผัส urushiol (เรียกอีกอย่างว่า Toxicodendron dermatitis และ Rhus dermatitis) ในกรณีส่วนใหญ่อาการผื่นจะปรากฏขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง หากมีปฏิกิริยารุนแรงเกิดขึ้นให้ไปพบแพทย์เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผิวหนัง ผื่นอาจมีอยู่นานถึงหนึ่งหรือสองสัปดาห์ (ในบางกรณีถึงห้าสัปดาห์) หนึ่งในสี่คนมีแนวโน้มที่จะพบอาการรุนแรง เนื่องจากปฏิกิริยาของผิวหนังเป็นอาการแพ้ และบางคนอาจมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากได้รับสัมผัสซ้ำ ๆ สำคัญ---ปัจจุบันจัดเป็นวัชพืชมีพิษในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อย่างเป็นทางการ ;- มันเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ต้นไม้เมืองของคุรุเมะ ฟุกุโอกะ (Kurume, Fukuoka, Japan.) ประเทศญี่ปุ่น ระยะออกดอก---พฤษภาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
สะเดาเทียม/Azadirachta excelsa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Azadirachta excelsa (Jack) M.Jacobs.(1961) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2514956 ---Basionym: Melia excelsa Jack.(1820) ---Azadirachta integrifoliola Merr.(1909).[Spelling variant]. ---Azadirachta integrifolia Merr.(1909) ---Azedarach excelsa (Jack) Kuntze.(1891) ---Trichilia excelsa (Jack) Spreng.(1827) ชื่อสามัญ---Sentang, Bird’s-eye kalantas, Neem Tree. ชื่ออื่น---สะเดาเทียม เทียม ;[INDONESIA: Kayu bawang (General); Surian bawang, Bawang kunyit (Kalimantan).];[MALAYSIA: Limpaga (Sabah); Ranggu (Sarawak); Sentang, Segera, Surian Bawang (Malay).];[PAPAU NEW GUINEA: Azadirachta.];[PHILIPPINES: Maranggo (General); Danggo (Tagalog).];[THAI: Thiam, Sadao-thiam.];[VIETNAM: Sầu đâu cao.]. EPPO Code---AZJEX (Preferred name: Azadirachta excelsa.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ Azadirachta excelsa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Marius Jacobs (1929–1983) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2504 ที่อยู่อาศัยพบในคาบสมุทรมาเลเซีย, สุมาตรา, บอร์เนียว, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, หมู่เกาะอารูและนิวกินี ที่อยู่อาศัยในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้นทั่วไป ป่าฝน แต่พบในป่าเต็งรังหลักจนถึงระดับความสูง 350 เมตร ในประเทศไทยพบ ตามหัวไร่ปลายนาทั่วประเทศแต่พบมากทางภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูงราว 20-35 (-50) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 125 ซม.ไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา เปลือก ต้นสีเทาเรียบ พอต้นอายุมากเปลือกจะแตกเป็นแผ่นล่อนสีเทาปนดำ ใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว 20-60 ซม.ใบย่อย 7-12 คู่ เรียงสลับหรือเยื้องกันเล็กน้อย รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 3-4.5 ซม. ยาว 7-15 ซม.ปลายใบแหลมเป็นติ่งสั้นๆ โคนใบมนเบี้นวไม่เท่ากัน ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบเกลี้ยงสีเขียวเป็นมันใบบางแต่ค่อนข้างเหนียว และย่นเป็นลอน ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกย่อยขนาดเล็ก มี 5 กลีบ สีขาวอมเหลือง ส่งกลิ่นหอมทั้งวัน มี5กลีบ กลีบดอกเป็นรูปทรงรี กว้าง 0.2-0.3 ซม. ยาว 0.5-ซม. ผลรูปกลมรี ขนาด 2.4-3.2×1.3-1.6 ซม ผลแก่มีสีเขียวเมื่อสุกเป็นสีเหลือง เมล็ดรูปกลมรี สีน้ำตาลอ่อน มีเนื้อฉ่ำน้ำ สีขาวขุ่นห่อหุ้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดด ชอบดินลุ่มน้ำขนาดกลางพื้นผิวการระบายน้ำดี ดินที่เป็นกรด ดินลูกรังและหินปูน ต้องการ pH ในช่วง 5 - 6.5 พืชทนน้ำท่วมหรือน้ำท่วมบ่อยครั้ง ใช้ประโยชน์---จัดอยู่ในประเภทของต้นไม้เอนกประสงค์ที่ใช้กินได้ใช้เป็นยารวมถึงการใช้งานอื่น ๆ เช่นน้ำมันจากเมล็ด, ใน วนเกษตร, ยาฆ่าแมลงและไม้ ส่วนใหญ่ถูกเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน หน่ออ่อน ใบและดอกไม้กินสดเป็นสลัด และปรุงเป็นผัก -ใช้เป็นยา ผลิตภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ของ Azadirachta ถูกนำมาใช้เป็นเวลานานในการแพทย์แผนโบราณ หน่ออ่อนและดอกไม้ถูกใช้ในการรักษาโรคกระเพาะและปัญหาจมูก เปลือก ต้มทำยาแก้บิดหรือท้องร่วง -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกตามบ้านเรือน และสวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงาและความร่มรื่น -วนเกษตร ต้นไม้มีศักยภาพในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปลูกเพื่อการอนุรักษ์ดินและการปลูกป่า ใบถูกนำมาใช้ในการเกษตรเพื่อคลุมแทนหญ้า -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงซีด เนื้อไม้มีคุณ-ภาพดี มอดและปลวก ไม่ค่อยทำลาย ใช้สำหรับงานก่อสร้าง เช่นไม้ประตู, ตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์และพื้น เปลือกของต้นไม้มีสารแทนนิน น้ำมันที่ได้จากเมล็ดถูกใช้ในการผลิตสบู่-เมล็ดใช้เป็นฆ่าแมลงโดยมีผลหลายอย่างต่อการพัฒนาของแมลง สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสงขลา ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/ผลแก่---พฤษภาคม - มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
สะเดาอินเดีย/Azadirachta indica
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Azadirachta indica A. Juss.(1830) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Basionym: Melia indica (A. Juss.) Brandis.(1874) ---Melia azadirachta L.(1753) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2667002 ชื่อสามัญ---Neem Tree, Indian Margosa Tree, Indian lilac, Pride of China, Holy Tree, Margosa Tree. ชื่ออื่น---ควินิน (ทั่วไป); สะเดาอินเดีย (กรุงเทพฯ);[ASSAMESE: Neem, Mahaneem, Neem, Maha-neem.];[BENGALI: Neem, Nimgach.];[FRENCH: Margousier.];[GERMAN: Niembaum, Nimbaum.];[HINDI: Balnimb, Neem.];[INDONESIA: Imba, Intaran, Membha, Mempheuh, Mimba.];[KANNADA: Bevu/ Kirubevu, Kahi-beyu, Turakabevu.];[LAOS: Ka dao.];[MALAYALAM: Kaippanveppu, Ariyaveppu, Veppu, Vembu, Nimbam, Ayurveppu.];[MALAYSIA: Baypay, Mambu, Sadu, Veppam.];[MARATHI: Nimb.];[MYANMAR: Bowtamaka, Tamabin, Tamaka, Margosa, Neem.];[PORTUGUESE: Lilás-da-Índia, Sicómoro-bastardo, Margosa, Neem-indiano, Nim-indiano, Nimbo.];[SANSKRIT: Arishtha, Nimbaka, Pakvakrita.];[SINGAPORE: Kohumba, Nimba, Veppam.];[SRI LANKA: Kohomba.];[TAMIL: Sengumaru, Vembu, Veppa, Veppai.];[THAI: Khwinin, Sadao in-dia.];[VIETNAM: Saafu daau.]. EPPO Code---MEIAD (Preferred name: Azadirachta indica.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย พม่า จีน Azadirachta indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adrien Henri Laurent de Jussieu (1797–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2373
ที่อยู่อาศัย ต้นสะเดาไทยและสะเดาอินเดียจะเป็นชนิดเดียวกันแต่ต่างสายพันธุ์ การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติของสะเดาอินเดีย เป็นพื้นที่แห้งแล้งในอัฟกานิสถาน ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่าและจีน ( Abdulla, 1972 ; Tewari, 1992 ; Vietmeyer, 1992 ; Gupta, 1993 ) มันได้รับการปลูก รวมทั้งแปลงสัญชาติในประเทศไทยมาเลเซียและอินโดนีเซีย ศูนย์วนเกษตรโลก(2545) รายงานว่าอาจมีถิ่นกำเนิดในพม่าและจากนั้นก็กระจายไปทั่วอนุทวีปอินเดีย เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 0-1500 เมตร เมื่อไม่นานมานี้มีการปลูก ในคาบสมุทรมาเลเซียและสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาเขตร้อน แคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในประเทศไทยเกิดตามธรรมชาติ ตามป่าเบญจพรรณแล้งและป่าแดงทั่วประเทศ[ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่มีรากหยั่งลึก สูง 8-15 (30) เมตร สามารถมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 100 ซม ทุกส่วนมีรสขม เปลือกต้นมีสีน้ำตาลแกมเทาร่องลึกและแตกเป็นชิ้น ในต้นไม้เก่าสีเทาเข้มด้านนอกและสีแดงด้านใน ใบประกอบแบบขนนก ยาว 20- 40 ซม. ลักษณะการเรียงตัวของใบเหมือนสะเดาบ้านแต่ใบย่อยโค้งเป้นรูปเคียว ใบหอกบางรูปไข่ขนาดของใบย่อยกว้าง2-3ซม.ยาว4-6ซม ดอกออกเป็นช่อตรงบริเวณปลายๆ กิ่ง ช่อดอกตั้งยาว 10-15 ซม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ รูปซ้อน ปลายมนและโค้งไปข้างหลัง ติดอยู่กับหลอดเกสรตัวผู้โดยโคนกลีบเชื่อมติดกันเกสรเพศผู้ 8-10 อัน เชื่อมติดกันเป็นหลอด เส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1 -1.2 ซม. ดอกสีขาวมีกลิ่นหอม ผลค่อนข้างกลม กว้าง 1-2 ซม. ยาว 1.5-3 ซม. เปลือกหนา สีเขียวอมขาว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เมล็ดรูปทรงรี ยาว 1-2 ซม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นไม้เติบโตได้ในดินที่หลากหลาย สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่มีช่วงค่า pH กว้าง การเจริญเติบโตที่เหมาะสมคือ pH 6.2 ถึง 7 แต่ก็สามารถเติบโตได้ดีจนถึง pH 5 และสามารถอยู่รอดได้ในดินระหว่าง pH 3 และ 9 สามารถทนแล้งและทนต่อมลพิษในชั้นบรรยากาศ -ใช้ประโยชน์ เป็นพืชที่มีคุณค่า เป็นสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพมาก เป็นแหล่งอาหาร ไม้ ยาฆ่าแมลงและขับไล่แมลงที่ดีมากรวมถึงสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย -ใช้กิน ใบและช่อดอกกินเป็นผักมีรสขมกว่าสะเดาบ้าน ผลกินสดหรือปรุงสุกหรือเตรียมเป็นของหวานหรือเครื่องดื่ม กิ่งก้านหมักกับเหล้าเป็นยาดอง -ใช้เป็นยา ในแทนซาเนียและรัฐมหาสมุทรอินเดียอื่น ๆ มันเป็นที่รู้จักในนามของ 'ยาครอบจักรวาล' ( 'the panacea')ใน Kiswahili และในวรรณคดี ' ต้นไม้ที่รักษาสี่สิบ [โรค]' นํ้ามัน margosa ซึ่งสกัดได้จากเมล็ด ในอินเดียใช้ทารักษาโรคผิวหนัง ตำรายาไทยใช้ เปลือกต้นแก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยาขมเจริญอาหาร แก้ไข้ นำเปลือกมาต้มกับนํ้าใช้ชะล้างแผลกลาย ก้านใบ เข้ายาแก้ไข้ และแก้ไข้มาลาเรีย ใบสด พอกฝี ดอกใช้เป็น ยาบำรุง บำรุงธาตุ ยาขมเจริญอาหาร ผลเป็น ยาถ่าย และยาถ่ายพยาธิ เปลือกราก เป็นยาฝาดสมาน แก้ไข้ -ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้เป็นที่ยอมรับทั่วทั้งเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน สำหรับความแข็งแกร่งและให้ร่มเงาตลอดทั้งปี -วนเกษตร สายพันธุ์ทนแล้งนี้ปลูกเพื่อป้องกันการพังทลายของดินและช่วยในการอนุรักษ์และปรับปรุงดิน ในประเทศจากโซมาเลียถึงมอริเตเนียเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญในการช่วยป้องกันการแพร่กระจายของทะเลทรายซาฮารา ( Vietmeyer, 1992 )ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและความสามารถในการอุ้มน้ำสามารถแก้ปัญหาดินที่เป็นกรดดังนั้นจึงเป็นประโยชน์สำหรับการฟื้นฟูดินแดนรกร้าง -อื่น ๆ ไม้เนื้อแข็งและทนต่อปลวกและเชื้อรา ใช้สำหรับทำประตูหน้าต่างอุปกรณ์การเกษตร เกวียน เพลา แอก เสารั้ว สร้างเรือและเฟอร์นิเจอร์ ไม้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงใช้ทำถ่านได้ดี ใบแห้งเป็นยาขับไล่แมลงใช้เป็นลูกเหม็นในตู้ผ้าลินินและวางไว้ในหนังสือในห้องสมุด- เมล็ดเป็นยาฆ่าแมลง กำจัดศัตรูพืช -กากที่เหลือจากการสกัดนํ้ามันออกจากเมล็ดสะเดาอินเดีย เรียก “neem cake” ในต่างประเทศใช้เป็นตัวชะลอการสลายตัวของปุ๋ยยูเรีย เนื่องจากปุ๋ยยูเรียเมื่อใส่ลงในดินจะถูกเปลี่ยนเป็นแอมโมเนียภายใน 24 ชั่วโมง รากพืช ไม่สามารถดูดซึมปุ๋ยนี้ไว้ได้ทัน จึงทำให้ปุ๋ยที่ใส่ลงไปนั้นสูญเปล่า แต่ถ้าใส่ neem cake ลงไป ปฏิกริยาของปุ๋ยยูเรียจะค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ รากจะสามารถดูดเก็บปุ๋ยไว้ได้ทัน รู้จักอันตราย---สารสกัดสะเดาอาจมีพิษต่อปลาและสัตว์น้ำอื่น ๆ รวมถึงแมลงที่เป็นประโยชน์ ดังนั้นควรใช้ความระมัดระวังว่าสารสกัดที่ไม่ได้ใช้จะถูกกำจัดด้วยการให้ความร้อนหรือแสงแดดเพื่อทำลายสารออกฤทธิ์ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/ผลแก่--มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
|
สะทางเล็ก/Xylopia pierrei
ชื่อวิทยาศาสตร์---Xylopia pierrei Hance.(1877) ---This name is unresolved. ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2468176 ---Xylopicrum pierrei (Hance) Kuntze.(1891) ---This name is unresolved. ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สะทางเล็ก ;[INDO-CHINA: Yen trang.];[THAI: Sathang lek.];[VIETNAMESE: Diền trắng, Giền trắng.] EPPO Code---XYPSS (Preferred name: Xylopia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - กัมพูชา เวียดนาม Xylopia pierrei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Fletcher Hance (1827–1886)เป็นนักการทูตชาวอังกฤษที่อุทิศเวลาว่างให้กับการศึกษาพืชจีน ในปี พ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัยพบในประเทศกัมพูชาและเวียดนามในป่าภูเขา ในประเทศไทย พบในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทางภาคตะวันออก ที่ระดับความสูง20-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางผลีดใบสูง12-18 (-30) เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น 40 - 60 ซม ลักษณะทรงต้น โคนต้นเป็นพูลึก เปลือกสีน้ำตาลปนเทาปลายกิ่งห้อยลู่ลงเรือนยอดกลมโปร่ง ใบรูปรี ยาว 4.5-6 ซม.ปลายใบมนผิวใบ ด้านบนสีเขียวเรียบเป็นมันด้านล่างใบมีสีนวลเคลือบสีขาว ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 1-3 ดอก ออกที่ซอกใบใกล้ปลายยอดดอกสีขาวนวล ดอกขนาดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.มี กลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน ผลเป็นผลกลุ่มรูปกลมรีหรือบิดเบี้ยวขนาด 3-4 ซม.เปลือกเรียบสีเขียวและหนา เมื่อแก่ผลจะแตกออก เปลือกด้านในของผลสีแดงเข้ม มีเมล็ด 2-3 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เปลือกนั้นฝาดมาก บางครั้งใช้เคี้ยวกับหมากพลู (Areca catecha) -ใช้ปลูกประดับ จัดเป็นไม้ดอกหอมชนิดหนึ่ง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับดอกหอม -อื่น ๆ เนื้อไม้มีสีเหลืองแข็งยืดหยุ่นและน้ำหนักเบาเหมาะสำหรับการก่อสร้างในร่มและเพื่อทำเครื่องใช้ เมล็ดมีกลิ่นหอมมากมีน้ำมันหอมระเหยที่สกัดได้ ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ' (เกิดจากมนุษย์) สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species.2011 ระยะออกดอก---เดือน เมษายน - พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและทาบกิ่ง
|
สะบันงาเกลียว/Dasymaschalon sootepense
ชื่อวิทยาศาสตร์---Dasymaschalon sootepense Craib.(1912) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms --- Basionym: Desmos sootepense (Craib) J.F. Maxwell.(1989) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สะบันงาเกลียว บุหรงสุเทพ ;[CHINESE: Huang hua zao mao hua.];[THAI: Sabun nga kleau, Burong suthep.]. EPPO Code-- DZWSS (Preferred name: Dasymaschalon sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ ไทย เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ 'sootepense' ตั้งชื่อตามดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ที่พบพืชนี้ครั้งแรก Dasymaschalon sootepense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2455 เป็นไม้ถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือตอนบน พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 9 เมษายน พ.ศ. 2454 โดยหมอคาร์ ชาวไอริช ชื่อสปีชีส์ตั้งตามชื่อดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ที่พบพืชนี้ครั้งแรก ต่อมาพบที่ จ.เชียงราย จ.อุตรดิตถ์ และประเทศเวียดนาม ที่อยู่อาศัย พบในประเทศจีนทางตอนใต้ของยูนนานในป่าดงดิบ ป่าดิบชื้นบนลุ่มน้ำหิน/ทรายที่ระดับความสูง 600-1300 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 600-1,000เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูง 2-4 เมตร ลักษณะทรงต้น แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่ิงอ่อนและปลายกิ่งอ่อนห้อยลู่ลง เปลือกสีน้ำตาลและมีช่องอากาศสีขาว กิ่งอ่อนสีเขียว ก้านใบขนาด 5-9 มม. มีขนยาว ใบ รูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง3-6ซม.ยาว 9-15ซม.ใบบางขอบใบเป็นคลื่นโคนใบมนปลายใบเรียวแหลมใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีเขียวอมขาวมีนวลแป้ง ดอก เดี่ยวออกตรงซอกใบหรือนอกซอกใบใกล้ปลายยอด เมื่อดอกบานมีสีเหลืองและหลุดร่วงไปทั้งกรวย กลีบเลี้ยงสีเขียวรูปไข่ ปลายกลีบกระดกขึ้น กลีบดอก3กลีบประกบติดกัน ขอบกลีบแผ่ออกเป็น3แฉกและบิดเวียน ยาว3-4 ซม.โคนดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม.ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อยรูปทรงกระบอก2-6ผล เปลือกผลเป็นข้อตามรอยเมล็ด มี 1-2 เมล็ด เมล็ดรูปไข่ 17-24 × 4-5 มม. ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นพืชสมุนไพร ไม้ประดับ ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฎาคม/ผลแก่---มิถุนายน-กันยายน (หรือขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่) ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
สะบันงาดง/Cyathocalyx martabanicus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดยไซมอน การ์ดเนอร์ , พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyathocalyx harmandii (Finet & Gagnep.) R. J. Wang & R. M. K. Saunders.(2010) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all https://www.gbif.org/species/5836265 ---Basionym: Cyathocalyx martabanicus var. harmandii Finet & Gagnep.(1906) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กล้วย(ชัยภูมิ),เต็งหิน(ชุมพร),นางเลว(จันทบุรี),สะบันงาดง(เหนือ),สาแหรก(ลำปาง,นครสวรรค์),แสลง (พิษณุโลก),หำช้าง(ตาก),หำม้า(ประจวบคีรีขันธ์) ; [THAI: Kluai (Chaiyaphum); Tteng hin (Chumphon); Nang leo (Chanthaburi); Saban nga dong (Northern); Sa raek (Lampang, Nakhon Sawan); Salaeng (Phitsanulok); Ham chang (Tak); Ham ma (Prachuap Khiri Khan).]. EPPO Code---KXYSS (Preferred name: Cyathocalyx sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า อินเดีย ไทย มาเลเซีย Cyathocalyx harmandii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Achille Eugene Finet.(1863 -1913)และ Francois Gagnepain (1866-1952 ) สองนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.) ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Rui Jiang Wang (fl. 1999) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2553 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพม่าอินเดียมีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งของประเทศมาเลเซีย สำหรับในประเทศไทย สามารถพบเห็นได้ทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 10-400 เมตร ขึ้นในป่าที่ถูกรบกวนน้อย หายาก ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง10-40 เมตร ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม หนา และมีกลิ่นฉุน บริเวณโคนต้นมีลักษณะเป็นพูพอน ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนาน โคนและปลายใบแหลม แผ่นใบเกลี้ยงด้านบนเป็นมัน ขอบใบเรียบหยักเป็นคลื่นเล็กน้อย กว้าง 7-10 ซม. ยาว 15-25 ซม. ก้านใบยาว 1 ซม. ดอกออกเป็นช่อกระจุกบริเวณซอกใบ มี 2-3 ดอก กลีบดอกเป็นรูปขอบขนานเรียงซ้อนกันอยู่ 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ มีความยาวของกลีบดอกประมาณ 1.5-2 ซม. ก้านดอกยาวประมาณ 0.5 ซม.ผลเดี่ยวรูปทรงกระบอก หรือกลมรี ขนาดกว้าง3 ซม.ยาว 5-6 ซม. ผิวผลเรียบ เปลือกผลหนาและแข็ง เมื่อสุกจะกลายเป็นสีม่วงอมแดง เมล็ดกลม แบน มีรอยเว้าคอด เรียงกันในผลเป็น 2 แถว มี 10 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับดอกสวยแปลกตาดอกมีกลิ่นหอม ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มีนาคม/กุมภาพันธ์-มีนาคมของปีถัดไป ขยายพันธุ์---เมล็ด
สะบันงาป่า/Goniothalamus griffithii
อ้างอิงภาพประอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Goniothalamus griffithii Hook. f. & Thomson.(1855) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สะบันงาป่า (ทั่วไป) ;[THAI: Saban nga pa (General).]. EPPO Code---GJOGR (Preferred name: Goniothalamus griffithii.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย Goniothalamus griffithii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และ Thomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน พม่า ไทย ในไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคเหนือ ที่ระดับความสูง 700-900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง 2-4เมตรโคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-4 ซม. แตกกิ่งน้อย เปลือกต้นเรียบสีดำ เนื้อไม้แข็งและเหนียว ใบรูปใบหอกแกมขอบขนาน กว้าง 5-8.5ซม. ยาว22-30ซม.โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบแหลมหรือมีติ่ง ขอบใบเรียบ ดอกเดี่ยวขนาด2-2.5ซม.เมื่อดอกบานเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเขียวอมเหลืองมี กลิ่นหอม ผลกลุ่ม มีผลย่อย 5-15ผล ผลอ่อนเปลือกเรียบ สีเขียว เมื่อแก่สีเหลืองอมเขียวมีกลีบเลี้ยงคลุมอยู่จนถึงผลแก่ มีเมล็ด1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---การเลี้ยงต้นกล้าต้องอยู่ในที่ร่มรำไร ใช้ประโยชน์---นำมาปลูกปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกดก และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กันยายน การขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและทาบกิ่ง
|
สะเภาลม/ Agapoetes hosseana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Agapetes hosseana Diels.(1905) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2625330 ชื่อสามัญ---Agapetes ' Red Elf ' ชื่ออื่น--- แมวน้ำ (มูเซอร์-เชียงใหม่); สะเภาลม (ภาคกลาง) ;[CHINESE: Shí luóbo.];[THAI: Maeo-nam (Musoe-Chiang Mai); Sa phao lom (Central).]. EPPO Code---AGFSS (Preferred name: Agapetes sp.) ชื่อวงศ์---ERICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว Agapetes hosseana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในวงศ์กุหลาบป่า (Ericaceae) สกุลประทัดดอย (Agapetes) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Dr. Friedrich Ludwig Emil Diels (1874 –1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2448 ที่อยู่อาศัยพบที่พม่า ไทยและลาว เจริญเติบโตตามโขดหิน หรือบนต้นไม้อื่นมักขึ้นตามคาคบไม้ หรือซอกหินในป่าดิบเขา หรือบริเวณเป็นที่โล่งแจ้ง ที่ระดับความสูง 800-2,500 เมตร ในประเทศไทยพบเป็นพืชหายาก อยู่สกุลเดียวกับประทัดดอย และกุหลาบพันปี พบตามภูเขาสูงแถบภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นดอยอินทนนท์ ดอยอ่างขาง ดอยผ้าห่มปก ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ดอยภูคา จังหวัดน่าน ภูกระดึง ภูหลวง จังหวัดเลย ขึ้นตามต้นไม้ โขดหิน หรือบนดิน โดยเฉพาะตามที่โล่งในป่าดิบเขา ความสูง 1200-2500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มอิงอาศัยลักษณะ ต้นสูงประมาณ 80-100 ซม.โคนต้นหนา รากบวมเหมือนหัวไชเท้าลำต้นและกิ่งมีขนประปราย ใบเดี่ยวชนาดใบกว้าง1-2ซม.ยาว2-4ซม.ออกเวียนสลับเป็นเกลียวรอบต้น ก้านใบสั้นมากยาว 1-3 มม. แผ่นใบหนาแข็ง คล้ายหนัง ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีนวล ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวออกเป็นกระจุกตามซอกใบ2-5 ดอก ปลายดอกห้อยลง ก้านดอกยาว 1-1.8 ซม. ใบประดับขนาดเล็ก มีขนครุย หลอดกลีบเลี้ยงยาวประมาณ 3 มม. กลีบเลี้ยงเชื่อมกันปลายแยกเป็น6แฉก ดอกสีแดงอมส้มหรือเขียว กลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดสีแดงสดปลายแยกเป็น5แฉกสั้นๆยาว 1.5-2.3 ซม. มีสันตามยาว สีเขียวอ่อน ผลเป็นผลสด ทรงกลมอวบน้ำสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1 ซม. เมื่อสุกสีม่วงดำส่วนปลายนูนเป็น 5 แฉก ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา รากที่บวมกินไมได้แต่สามารถใช้เป็นยาได้ มีผลในการล้างความร้อนและล้างพิษ ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและการหยุดชะงักของภาวะชะงักงัน -ใช้เป็นไม้ประดับ ที่มีค่าประดับสูง ใช้เป็นดอกไม้บอนไซ ระยะออกดอก---กรกฏาคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
สะพ้านก๊น/ Sambucus javanica
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-https://www.biodiversity4all.org/taxa/474166-Sambucus-javanica ชื่อวิทยาศาสตร์---Sambucus javanica Reinw. ex Blume.(1826) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:149339-1 ---Ebulum javanicum (Reinw. ex Blume) Hosok.(1938) ---Sambucus javanica subsp. chinensis (Lindl.) Fukuoka.(1967) ชื่อสามัญ---Chinese Elder, Javanese Elder, Sweet elder, Elderberry. ชื่ออื่น---อูนน้ำ, สะพ้านก๊น (เหนือ) (ลั้วะ-เชียงใหม่); เส่งแกะบลี้ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน);[CHINESE: Shuo huo, Lu ying, Jie gu gao.];[FRENCH: Sureau du Japon.];[JAPANESE: Kusa-niwatoko, Sokuzu.];[MALAYSIA: Kerak Nasi, Sangitan (Malay), Sengitan (Bahasa).];[MYANMAR: Pale-ban.];[PHILIPPINES: Sauko (Tag.).];[THAI: Sa phan kon (Northern); No (Lawa-Chiang Mai); Seng-kae-bli (Karen-Mae Hong Son);[VIETNAM: Cơm cháy, Thiết đả, Sóc dịch, Thuốc mọi.]. EPPO Code---SAMJA (Preferred name: Sambucus javanica) ชื่อวงศ์---ADOXACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Sambucus javanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Adoxaceae ที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นครอบครัว moschatelได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Caspar Georg Carl Reinwardt (1773–1854) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์-ปรัสเซียน จากอดีต Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัยพบตามธรรมชาติในภูฏาน, พม่า, กัมพูชา, จีน (ไต้หวัน, ทิเบต), อินเดีย, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, ลาว, มาเลเซีย (ซาบาห์ ) ฟิลิปปินส์, ภาคใต้ของประเทศไทยและเวียดนาม พบตาม เนินเขา, ป่า, ลำธาร, ทุ่งหญ้าที่ระดับความสูง 300 - 2,600 เมตรในประเทศจีนและในสถานที่อื่นๆ ในป่าดงดิบและป่าดิบชื้นอยู่ในพื้นที่ที่มีร่มเงามากหรือน้อย ที่ระดับความสูง 350 - 2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบสูง 3 เมตร ลำต้นเกือบกลมเรียบไม่มีขนสีเขียวอ่อน กิ่งเป็นเหลี่ยมสีเขียวเข้มและกลวงมีไขสีขาว กิ่งอ่อนมีขนขึ้นปกคลุมเล็กน้อย ส่วนกิ่งแก่ไม่มีขน ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อย 5-9 ใบ รูปขนานถึงใบหอกปลายสอบเข้า ยาว 8-15 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ก้านใบย่อยยาว 3ซม. ผิวใบเรียบมันไม่มีขนปกคลุม หลังใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเป็นสีเขียวอ่อน ดอกสีขาวออกเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอม ออกเป็นช่อใหญ่ๆที่ปลายกิ่ง ช่อดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 20-30 ซม. มีขนสั้น ๆ ดอกย่อยมีขนาดเล็กมีกลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม 5 กลีบกลีบเลี้ยงยาวประมาณ 0.5 มม. มีกลีบดอกอยู่ 5 กลีบยาว 2-3 มม เป็นรูปกลมรีปลายแหลม ต่อมน้ำหวานสีเหลืองรูปถ้วย เกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมียปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 มม.ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง-ดำ มีเมล็ดรูปไข่ 3-5 เมล็ด ทุกส่วนของพืชชนิดนี้ถ้านำมาขยี้ดมดูจะมีกลิ่นแรง ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นและอาจใช้เป็นอาหารได้ -ใช้กินได้ ผลไม้ดิบหรือปรุงสุก - ดอกไม้ดิบหรือปรุงสุก - ใบและลำต้นอ่อนสุก - รากสุก -ใช้เป็นยา ตามการแพทย์แบบตะวันออก ทั้งต้นมีรสเปรี้ยว ขม ชุ่ม กลิ่นเหม็น เป็นยาสุขุม ออกฤทธิ์ต่อตับและไต ใช้เป็นยาฟอกเลือด กระจายเลือดอุดตัน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ทั้งต้นช่วยขับลมชื้น ผลใช้กินเป็นยาระบาย รากใช้ช่วยแก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ต้นและรากใช้เป็นยาแก้ปวดข้อ ช่วยต่อกระดูกและบรรเทาอาการปวดในรายที่กระดูกหัก-รากใช้แก้โลหิตไหลออกจากทวารทั้งห้า ด้วยการใช้สดประมาณ 90-120 กรัม นำมาตุ๋นกับกระเพาะหมู ใช้รับประทานเป็นยาติดต่อกันประมาณ 3-4 วัน -ในเวียตนามใช้ทำยาขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ โรคไขข้อ, คัน, กลาก,หิก เกลื้อน ใบตำพอกแก้เต้านมบวมคัด เป็นยาที่ดีมากสำหรับสตรีหลังคลอด ลำต้นและใบรักษาโรคไตอักเสบ -อื่น ๆ ชาวลั้วะจะใช้ดอกนำไปวัดหรือบูชาพระ ชาวม้งจะใช้ผลเป็นของเล่น โดยนำมาใส่ในกระบอกไม้ไผ่แล้วอัดทำให้เกิดเสียงดัง รู้จักอันตราย---รากและส่วนอื่น ๆ ของต้นไม้มีความเป็นพิษสูงซึ่งอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยในกระเพาะอาหาร สตรีมีครรภ์ห้ามใช้สมุนไพรชนิดนี้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-พฤศจิกายน/สิงหาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
สะแล่งหอมไก๋/Rothmannia sootepensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rothmannia sootepensis (Craib.) Bremek.(1957) ชื่อพ้อง---has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-180076 ---Randia sootepensis Craib.(1911) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สะแล่งหอมไก๋, พุดสุเทพ ;[THAI: Salaeng hom kai (Northern), Poot su thep.]. EPPO Code---RTJSS (Preferred name: Rothmannia sp.) ชื่อวงศ์--- RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ไทย Rothmannia sootepensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Cornelis Eliza Bertus Bremekamp (1888– 1984) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2500 พบครั้งแรกในประเทศไทยโดย หมอคาร์ (A.F.G. Kerr) บนดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ที่ระดับความสูง 660-800 เมตร
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น, จิรพันธ์ ศรีทองกุล, อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ที่อยู่อาศัยเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่สำรวจ และมีรายงานการตั้งชื่อเมื่อปีพ.ศ.2454 กระจายพันธุ์อยู่ในป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางตอนบน ในระดับความสูง300-1,500เมตร มีสถานภาพยังพอหาได้ในถิ่นกำเนิด ลักษณะ สะแล่งหอมไก๋เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูงประมาณ 4-8 เมตร ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลออกเทาเข้ม มีรอยแตกละเอียดและหลุดลอก แตกกิ่งออกจากจุดเดียวกันเป็นชั้นคล้ายฉัตร กิ่งค่อนทอดนอนขนานกับพื้น กิ่งก้านเมื่ออ่อนอยู่จะแบน ใบเดี่ยวขนาดกว้าง 2-5 ซม.ยาว 8-14 ซม.เรียงตรงข้ามรูปรีปลายใบเรียวแหลม มีหูใบ 1 คู่ อยู่ระหว่างก้านใบ ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมันทั้งสองด้าน ช่อดอกออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง1-3 ดอกมีกลิ่นหอมขนาดของดอก 5-7.5 ซม. ยิ่งตอนพลบค่ำกลิ่นหอมยิ่งแรงขึ้น ผลขนาด 2.5-6 ซม.สีน้ำตาลถึงเหลืองเข้มเมื่อสุก รูปมนรีหรือเกือบกลม ปลายผลบุ๋มมีติ่งอยู่ตรงกลางผลมี 2 ช่องแต่ละช่องมีเมล็ดแบนๆหลายเมล็ดฝังตัวอยู่ในเนื้อที่เป็นเมือกสีส้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ดินมีอินทรียวัตถุสูง ได้รับความชื้นเป็นช่วงๆน้ำไม่ขังแฉะ และมีอากาศค่อนข้างเย็น การขุดล้อมต้นขนาดใหญ่จากป่าออกมาปลูกจะตายทั้งหมด โดยเริ่มตายตั้งแต่เดือนแรกหลังย้ายปลูก หรือในเดือนถัดมา และถึงแม้ว่าจะอยู่ได้ทนนาน1ปีก็จะตายในโอกาสต่อมาจึงต้องใช้วิธีการเพาะเมล็ด รวมทั้งใช้วิธีการทาบกิ่งที่ใช้หมักม่อเป็นต้นตอ แล้วปลูกลงในที่ร่มรำไร ใช้ประโยชน์---จัดเป็นไม้ที่มีเรือนพุ่มสวยงามและดอกมีกลิ่นหอมแรงต้นหนึ่ง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกหอม ระยะออกดอก---มกราคม - มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ทาบกิ่ง
สักขี้ไก่/Premna tomentosa
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Premna tomentosa Willd.(1800). ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Premna cordata Blanco.(1837) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-165181 ชื่อสามัญ---Bastard teak, Woolly leaved fire-brand teak ชื่ออื่น---กะเปียด (ประจวบคีรีขันธ์) เกีย (มาเลย์-ปัตตานี) ปอฟาน (ลำปาง) เปียด (ใต้) สักขี้ไก่ สักขี้ควาย สักผู้ (เหนือ)สามป้าง สามป้าว (จันทบุรี);[CHINESE: Ta xu dou fu chai.];[KANNADA: Naruvalu, Eegi, Ije.];[MALAYALAM: Kozhukkattathekku, Naithekku, Pincha, Katutekka.];[MALAYSIA: Bebaus, Sarang Burong, Tembaroh (Malay).];[MARATHI: Chambara.];[PHILIPPINES: Magilik, Mala api, Malagas, (Tagalog).];[TAMIL: Kolakattai thekku, Malaithaekku, Malai Thekku, Podaganari.];[TELUGU: Nagaru.];[THAI: Kapiat (Prachuap Khiri Khan); Kia (Malay-Pattani); Po fan (Lampang); Piat (Peninsular); Sak khi kai, Sak khi khwai, Sak phu (Northern); Sam pang, Sam pao (Chanthaburi).]. EPPO Code---PRETO (Preferred name: Premna tomentosa.) ชื่อวงศ์--- LAMIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อนุทวีปอินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย หมู่เกาะโซโลมอน Premna tomentosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow (1765–1812) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2343
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามัน, อรุณาจัลประเทศ, อัสสัม, ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์), บังคลาเทศ, ภูฏาน, บอร์เนียว, กัมพูชา, จีน (กวางตุ้ง), ดาร์จีลิ่ง, อินเดีย, เกาะชวา, เกาะซุนดา มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, หมู่เกาะนิโคบาร์ ฟิลิปปินส์, หมู่เกาะโซโลมอน, สิกขิม, ศรีลังกา, สุลาเวสี, สุมาตรา, ไทยและเวียดนาม เติบโตในป่าเปิดและป่าผลัดใบ ป่าที่แห้งแล้ง และป่าทึบมักขึ้นตามแนวลำธารน้ำซึ่งมีความสูง 600- 1300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูงถึง13-20 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 30 ซม.เปลือกต้นสีน้ำตาลอมครีม ลอกหลุดเล็กน้อย ใบออกเป็นกลุ่มที่ปลายก้าน กว้าง 5-8 ซม.ยาว (5)12-16 ซม.ปลายแหลมฐานป้าน หรือรูปหัวใจ ขอบใบเรียบแต่ส่วนบนของใบมีหยักซี่ไม่สมำ่เสมอ เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นคล้ายกระหล่ำปลี ด้านบนมีขนหยาบประปราย ด้านล่างมีขนแน่นกว่า ใบจะคล้ายใบสักแต่เล็กกว่าและเห็นก้านใบเด่นชัดกว่า ดอกขนาด 0.5-0.8 ซม.สีครีมหรือเขียวอมเหลือง เป็นช่อด้านบนแบน ยาว 6-13 ซม.ผลขนาด 0.4-0.6 ซม.สีเขียวสุกสีดำมีน้ำเล็กน้อย ชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง 4 หน่วย มีรอยย่น แต่ละหน่วยมีเมล็ด 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์--พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของไม้ -ใช้เป็นยา ยาต้มของรากและใบถูกนำมาใช้ในส่วนผสมเป็นยาบำรุงกำลัง ของสตรีหลังจากการคลอดบุตร ใบไม้มีสรรพคุณขับปัสสาวะและใช้ภายนอกเพื่อรักษาท้องมาน ใบใช้ตำพอกแผล เปลือกไม้ถูกใช้รักษาอาการท้องเสีย -อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลอ่อนเรียบสนิทและแข็ง ใช้สำหรับสร้างบ้าน, ทำเฟอร์นิเจอร์และสำหรับงานการแกะสลัก ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ - เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
สังหยูเขา/Pseuduvaria monticola
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา----หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Pseuduvaria monticola J. Sinclair.(1955) ---This name is unresolved. ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2407286 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สังหยูเขา ; [THAI: Sang yu khao (General).] EPPO Code---1ANNF (Preferred name: Annonaceae) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Pseuduvaria monticola เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปี พ.ศ.2498 ที่อยู่อาศัย พบในไทย มาเลเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ตอนล่าง ที่ระดับความสูง 900-1200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง3-5เมตร ลักษณะเปลือกเรียบสีเทาอมขาว กิ่งอ่อนสีเขียวและมีขนนุ่มตามกิ่งหรือก้านอ่อน แตกกิ่งยาวและห้อยลู่ลง ทรงพุ่มโปร่งใบ รูปขอบขนานกว้าง 4-6 ซม.ยาว12-19 ซม. ใบบางเรียบและเหนียว เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างนูนเด่น ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกคว่ำลงแยกเพศเป็นดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย ก้านดอกยาว 0.8-1 ซม.มีขนหนานุ่มและมีใบประดับ1ใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่ สีม่วงแดง กลีบดอกชั้นนอกสีขาว กลีบดอกชั้นในสีม่วงแดง ดอกบานขนาด1ซม.ผลกลุ่มมีจำนวน 2-5 ผล ผลรูปกลมขนาด1.5-2 ซม.เปลือกผลขรุขระ ผลแก่สีเขียวอมเหลืองมีเมล็ด 1เมล็ด ใช้ประโยชน์-- เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง -ใช้เป็นยา แก้ไข้ ปวดหัว ปวดท้อง ระยะออกดอก---กันยายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
ส้านช้าง/ Dillenia pentagyna
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Dillenia pentagyna Roxb.(1795) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms ---Dillenia augusta Roxb.(1832) ---Dillenia baillonii Pierre ex Laness.(1886) ---Dillenia hainanensis Merr.(1934) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2768315 ชื่อสามัญ---Five-carpelled simpoh, Nepalese elephant apple. ชื่ออื่น---ส้านช้าง, มะส้านแข็ง (ภาคกลาง), ส้านนกเปล้า, ส้านแว้ (ภาคเหนือ), ส้านนา (ภาคเหนือ,ภาคกลาง), แพ่ง (นครพนม,เลย) ;[ASSAMESE: Oua, Ou-bonsolta, Okshi.];[BENGALI: Ban Chalta, Karkotta.];[CAMBODIA: Chheu muoy roy (Central Khmer).];[CHINESE: Xiao hua wu ya guo.];[HINDI: Karmal.];[KANNADA: Madathaega, Malegeru, Koolateegu.];[KHASI: Dieng-sah-bar, Dieng Soh Bar.];[MALAYALAM: Punna, Vaazhappunna, Malampunna.];[MARATHI: Piwala Karmal.];[NEPALI: Tantri, Tatera, Agaaai, Taatarii.];[SANSKRIT: Aksikiphal, Nagakesaram, Punnaga.];[TAMIL: Kalluccilaikay, Nay-t-tekku, Punnai Vakai, Naitekku.];[TELUGU: Chinna Kalinga, Ravadi chettu, Partake.];[THAI: San chang, Ma san khaeng, San nok plao, San wae.]. EPPO Code--- DLNPE (Preferred name: Dillenia pentagyna.) ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Dillenia pentagyna เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2338
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบในป่าไม้หนาแน่นและป่าไม้สัก สถานที่ที่เปิดในเชิงเขา พืชเขตร้อนชื้นที่ลุ่มซึ่งพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 900 เมตร ประเทศไทยพบตามป่าผลัดใบหรือป่าดิบแล้งที่ระดับความสูง 700-900เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 25เมตรมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100 ซม ลักษณะทรงต้น เรือนยอดค่อนข้างโปร่ง มีกิ่งห้อยลงไม่เป็นระเบียบ เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอ่อน .ใบเดี่ยวเวียนรอบกิ่ง ใบกว้าง10-20 ซม.ยาว 20-50.ซม ใบอ่อนมีขนละเอียดปกคลุม แต่จะเรียบเกลี้ยงเมื่อใบแก่ เส้นใบขนานกันชัดเจน ท้องใบมีขนสากประปราย ขอบใบหยักตื้นๆดอก บานเต็มที่ ขนาด 2.5-6 ซม.สีเหลืองมีกลิ่นหอม ออกเป็นกระจุก 2-10 ดอกตามกิ่ง กลีบรองดอก 5กลีบ กลีบนอก 2 กลีบมีขนาดใหญ่กว่าอีก 3 กลีบด้านใน กลีบดอกหลุดร่วงง่าย เกสรเพศผู้สีเหลืองจำนวนมากและแบ่งเป็น2ชั้น วงในมีขนาดใหญ่กว่าและปลายโค้งออก ผลค่อนข้างกลมขนาด1.5-2ซม.แก่จัดออกสีเหลืองหรือสีส้ม ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นอย่างกว้างขวางรวมถึงอาหารไม้และไฟเบอร์ -ใช้กิน ดอกตูม - ดิบสุกหรือดองรสเปรี้ยว ผลอ่อนดิบกินเป็นผักหรือดอง -ใช้เป็นยา ใช้ในอายุรเวท ใช้รักษาทวารทวารหนัก, บาดแผล, เบาหวาน, โรคประสาทอักเสบ, เยื่อหุ้มปอดอักเสบ, ปอดบวม, และความรู้สึกแสบร้อน -ผลแก่ใช้เป็นยาแก้ไข้หวัด ใบเป็นยาพอกรักษาแมงป่องกัด -อื่น ๆไม้ ใช้สำหรับปูกระดานเสาบ้านและทำเฟอร์นิเจอร์ ไม้มีคุณภาพค่อนข้างดี แต่ไม่ค่อยได้ใช้เพราะลำต้นมักคดงอ ถ่านคุณภาพดีทำจากไม้ เปลือกมีแทนนินประมาณ 6% ใบเก่ามีซิลิกาจำนวนมากและถูกใช้เป็นกระดาษทราย เส้นใยที่ได้จากเปลือกชั้นในนั้นใช้ทำเชือก ใบไม้ใช้ คลุมแทนหญ้า ระยะออกดอก/ติดผล--- กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ส้านใบเล็ก/Dillenia ovata
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดยไซมอน การ์ดเนอร์ , พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Dillenia ovata Wall. ex Hook.f. & Thomson.(1855). ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2768306 ---Dillenia grandifolia Wall. ex Hook.f. & Thomson.(1855) ชื่อสามัญ---Ovate Dillenia. ชื่ออื่น---ส้านใบเล็ก (ปัตตานี), ไข่เน่าดง, ตานกกด (เลย), ปล้อ (ส่วยสุรินทร์), มะโตน (ชลบุรี), ส้านกวาง (ภาคใต้), ส้านโดยเด (นครพนม) ;[CAMBODIA: Phlouthom (Central Khmer).];[MALAYSIA: Kedah Simpoh, Simpoh Beludu (Malay).];[THAI: San lek san bai lek, Ta nok kot, Kai nao dong, Plo, Ma ton, San kwang, San doi dae,]. EPPO Code--- DLNOV (Preferred name: Dillenia ovata.) ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย ลาว อินโดนีเซีย Dillenia ovata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉยงใต้พบได้ในบริเวณที่เป็นทรายหรือค่อนข้างแห้งที่ระดับต่ำในประเทศไทยพบเห็นได้ง่ายทุกภาค ตามป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ทุ่งหญ้า ที่ระดับน้ำทะเลปานกลาง-1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบหรือผลัดใบระยะสั้นในฤดูแล้ง ต้นสูงได้ถึง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง30-40 (-100 )ซม.เปลือกต้นสีเทาหรือสีน้ำตาลแดง เปลือกเรียบหรือแตกสะเก็ด เปลือกในสีชมพู ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปขอบขนานขนาด10-20x7-12 ซม.ปลายใบมนหรือเว้าเล็กน้อย โคนใบมนกว้างบางครั้งเบี้ยว ก้านใบยาว 3-4.5 ซม.ขอบใบหยักหลังใบมีขนนุ่ม ท้องใบมีขนสาก ก้านใบมีขนนุ่มปกคลุม ดอกสีเหลืองสด ออกเดี่ยวๆหรือเป็นคู่ ตามปลายกิ่ง ดอกขนาดใหญ่ถึง16 ซม.ผลค่อนข้างกลมขนาด 5-6 ซม.มีกลีบเลี้ยงหนาอุ้มน้ำซ้อนทับหุ้มผล เมื่อสุกสีเหลือง มีเมล็ดขนาดเล็กจำนวนมาก ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยา ผลไม้และไม้ ที่ใช้ในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ผลไม้ - สุก กินสดหรือทำเป็นเยลลี่ -ใช้เป็นยา เปลือกไม้นั้นมีฤทธิ์ฝาด มันถูกใช้ในการรักษาโรคท้องร่วง -อื่น ๆ ไม้ใช้ในการก่อสร้างเหมาะสำหรับทำคาน ไม้กระดานและเฟอร์นิเจอร์ และใช้ทำสิ่งของเล็กๆ ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ส้านหลวง/ Dillenia aurea
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Dillenia aurea Sm.(1806) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Dillenia pulcherrima Kurz.(1871) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2768220 ชื่อสามัญ---Dillenia ชื่ออื่น---ปังดาว (ละว้า-เชียงใหม่); มะส้าน (เลย, นครราชสีมา); มะส้านหลวง, มะส้านหิ่ง, ส้านแว้ (เชียงใหม่); ส้าน (ทั่วไป) ;[BENGALI: Chalta.];[NEPALI: Mechiaphal.];[THAI: Pang-dao (Lawa-Chiang Mai), Ma san (Loei, Nakhon Ratchasima), Ma san luang (Chiang Mai), Ma san hing (Chiang Mai), San (General), San wae (Chiang Mai).]. EPPO Code---DLNAU (Dillenia aurea.) ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ไทย พม่า Dillenia aurea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2349
ที่อยู่อาศัย ในอินเดีย พม่า พบในป่าผลัดใบเขตร้อนเชิงเทือกเขาหิมาลัยและคาบสมุทรตะวันออก ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูง 250-1300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 4-15 เมตร ลักษณะ เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปไข่แกมรี กว้าง5-20ซม.ยาว12-40ซม.ปลายมนทู่ ขอบใบหนักห่างๆ เห็นเส้นใบขนานชัดเจน เนื้อใบสากหนา ก้านใบยาว 3-6 ซม.เป็นร่อง ดอกสีเหลืองสดและมักออกดอกเดี่ยวหรือไม่เกินสองดอก บริเวณปลายกิ่ง ขนาดดอกบานเต็มที่ กว้าง10-13ซม.กลีบรองดอกสีเขียว 5 กลีบไม่เท่ากัน กลีบดอกรูปไข่กลับบางหลุดร่วงง่าย เกสรผู้จำนวนมากแยกกันเป็น2ชั้น ปลายเกสรชั้นนอกจะงุ้มเข้า ปลายเกสรชั้นในจะชี้ออก ยอดเกสรเมียแผ่เป็นวง ผลสดแก่ไม่แตก รูปทรงกลมอวบน้ำ ขนาด3-3.5ซม.สุกแล้วสีเหลืองอมส้ม เมล็ดไม่มีเยื่อหุ้ม รูปไข่ขนาด 4 x 3 มม. สีน้ำตาลเข้ม ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลแก่กินได้และเป็นยาแก้ไข้หวัด ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-เมษายน
ส้านหิ่ง/Dilenia Parviflora
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Dillenia parviflora Griff.(1854) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2768310 ---Dillenia kerrii Craib.(1911) ---Dillenia parviflora var. kerrii (Craib) Hoogland.(1952) ชื่อสามัญ---Dillenia ชื่ออื่น---ควองปะดุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); มะส้านแคว้ง, มะส้านหิ่ง (เชียงใหม่); ละเว (ภาคกลาง); ส้านจา, ส้านหิน (ลำปาง); ส้านหิ่ง (เลย) ;[THAI: Khwong-pa-du (Karen-Kanchanaburi); Ma san khwaeng (Chiang Mai); Ma san hin (Chiang Mai); Lawe (Central); San cha (Lampang); San hing (Loei); San hin (Lampang).] EPPO Code---DLNPF (Preferred name: Dillenia parviflora.) ชื่อวงศ์---DILLENIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย Dillenia parviflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้าน (Dilleniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2397
ที่อยู่อาศัย พม่า ไทย พบทั่วไปในป่ากึ่งโล่งแจ้ง ที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบในฤดูแล้งสูง 10-40 เมตร เรือนยอดค่อนข้างโปร่ง กิ่งก้านเปราะหักง่าย เปลือกเรียบสีน้ำตาลอ่อน ใบยาว 15-25 ซม.แต่ในต้นอ่อนมักมีขนาดใหญ่มาก(ถึง100 ซม.) รูปไข่กลับแคบ ปลายป้านค่อยๆสอบลง โคนยอดอ่อนมีขนปกคลุม แผ่นใบหนามีขนนุ่มปกคลุมทั่วทั้งใบ และจะทิ้งใบหมด ดอกออกเป็นกระจุกตามกิ่ง กระจุกละ2-7ดอก สีเหลืองขนาด 3-5 ซม. กลีบดอกบางหลุดร่วงง่าย ผลขนาด 1.5-1.8 ซม.สีเหลืองถึงส้มอ่อน ผลสดไม่แตก ผลสุกกินได้ ส้านหิ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ในร่มและของตกแต่งบ้าน ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ส้านเห็บ/Saurauia roxburghii
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Saurauia roxburghii Wall.(1831) ---This name is unresolved. ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2521317 ---Ternstroemia serrata Roxb.(1832) ชื่อสามัญ---Singkrang ชื่ออื่น---เกืองพาป่า (ลำปาง), กุลาทีปอ, คล้าทีปอ (กระเหรี่ยง เชียงใหม่), ตำแยตัวผู้ (กาญจนบุรี), ส้านเห็บ (ภาคเหนือ) ;[ASSAMESE: Ban Pachala, Hengunia, Porbotia hengunia, Pani-posola,Porbotia-sengunia.];[KHASI: Dieng-so-la-pied.];[NEPALI: Gogun-aule.];[THAI: kueang pha pa (Lampang), ku-la-thi-po (Karen-Chiang Mai), khla-thi-po (Karen-Chiang Mai), tamyae tua phu (Chanthaburi), san hep (Northern).];[VIETNAM: Duong Dao.]. EPPO Code---ZUURO (Preferred name: Saurauia roxburghii.) ชื่อวงศ์---ACTINIDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า เวียตนาม ไทย กัมพูชา Malesia (Malaya) Saurauia roxburghii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศช้าส้าน (Actinidiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2374
ที่อยู่อาศัยพบในอินเดียตะวันออก พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม และ Malesia (Malaya) ขึ้นริมลำธาร ชายป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1250 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จันทบุรี และภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี พบขึ้นกระจายกว้างขวางทั่วไปในที่โล่งแจ้งที่ชุ่มชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูง 6 เมตร ลำต้นสั้นกิ่งก้านหนา และแผ่กว้าง เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม ใบ กว้าง 5-9 ซม.ยาว18-35 ซม.ออกเป็นช่อที่ปลายใบมีขอบจักซี่เล็กๆ ขนานกันและห่างเท่ากัน เส้นใบชัดเจน ผิวด้านล่างและก้านใบมีเกล็ดสีส้มอ่อนเล็กๆปกคลุม ปนอยู่กับขนสีเหลืองปนน้ำตาลเส้นยาวๆซึ่งจะหนาแน่นมากเมื่อใบยังอ่อน กิ่งก้านมักกลวง ดอก ขนาด 0.8-1.3 ซม.สีขาวหรือชมพูอ่อนออกบนกิ่งแก่ของลำต้น ผลกลมขนาดประมษณ 1.2 ซม.สีเขียวอ่อนออกเหลืองมีชั้นกลีบเลี้ยงติดอยู่ แตกได้ มีเมล็ดเล็กๆมากมาย ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค -ใช้กิน ผลกินเมื่อสุก ใบใช้เพื่อส่งเสริมการหมักอย่างรวดเร็วเมื่อทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ -ใช้เป็นยา การแช่ใบจะถูกใช้ในห้องอาบน้ำเพื่อรักษาฝี มันถูกใช้โดยเฉพาะสำหรับเด็ก -อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลแดงอ่อน ๆ ไม่น่าดึงดูด ความมันวาวค่อนข้างต่ำ อาจไม่คงทน มีประโยชน์ในท้องถิ่นสำหรับงานช่างไม้ทั่วไปและงานก่อสร้างภายใน สารเหนียวหรือเมือกที่ได้จากใบใช้เป็นน้ำมันใส่ผม ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/พฤษภาคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species:
Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/Global Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ -กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images ---Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Update--- 28/11/2019
Update---28/11/2021
|
[Back] 1 2
|
|
Great Article good to read such an amazing post Electrical Estimator , Electrical Estimating Outsourcing , Low Voltage Estimating Services
This article gives the light in which we can observe the reality. This is very nice one and gives indepth information. Thanks for this nice article. ucdm videos
Great content material and great layout. Your website deserves all of the positive feedback it’s been getting. big file transfer
Thank you for the update, very nice site.. essen in baden baden
Wishing George Harrison happy birthday on February 25 or other celebrities you like with information from celeb networth