สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 08/11/2024
สถิติผู้เข้าชม 55,496,062
Page Views 62,325,670
 
« November 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

ไม้น้ำ ไม้ริมน้ำ

ไม้น้ำ ไม้ริมน้ำ


พรรณไม้น้ำ

(Aquatic plant, Aquatic weed, Water plant)

For information only the plant is not for sale

พืชน้ำ หรือ พรรณไม้น้ำ (อังกฤษ: aquatic plant, aquatic weed, water plant) เป็นพืชที่อาศัยหรือเจริญเติบโตในน้ำ หรือมีช่วงหนึ่งที่เจริญเติบโตอยู่ในน้ำ อาจอยู่ใต้น้ำทั้งหมดหรือมีบางส่วนขึ้นสู่บริเวณผิวน้ำ ลอยอยู่ตามผิวน้ำ เจริญเติบโตบริเวณที่มีน้ำตามแนวชายฝั่ง พืชที่เจริญเติบโตในที่มีน้ำขัง พื้นที่ชื้นแฉะ ทั้ง น้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม โดยสามารถแยกเป็นสี่ประเภทหลัก

-พืชใต้น้ำ (submerged plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตใต้น้ำทั้งหมด หรือหมายถึงพืชที่ทั้งราก ลำต้น ใบ อยู่ใต้น้ำทั้งหมด ทั้งนี้รากอาจยึดกับพื้นดินใต้น้ำหรือไม่ก็ได้ โครงสร้างลำต้นและใบจะมีช่องว่างมากสำหรับใช้เป็นที่สะสมก๊าซ และช่วยให้ลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ส่วนใบมักจะกรอบและบาง ไม่มีปากใบและคิวติน พืชจำพวกนี้พบมากในกลุ่มสาหร่ายต่าง ๆ

-พืชโผล่เหนือน้ำ (emerged plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตในน้ำเพียงบางส่วน เช่น รากและลำต้น ส่วนรากอาจยึดพื้นดินใต้น้ำหรือไม่ก็ได้ มีใบหรือดอกโผล่พ้นน้ำหรืออาจอยู่ที่ผิวน้ำ บางชนิดอาจมีทั้งใบใต้น้ำและใบเหนือน้ำในลำต้นเดียวกัน ลำต้นมีลักษณะแข็งแรงกว่าพืชใต้น้ำมีคิวตินมีปากใบและคิวติน พบมากในพืชกลุ่มบัวต่าง ๆ ผักตับเต่า แว่นแก้ว สาหร่ายญี่ปุ่น

-พืชลอยน้ำ (floating plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้โดยลอยอยู่บริเวณผิวน้ำ รากจะอยู่ใต้น้ำ ส่วนของลำต้น ใบ และดอก อยู่เหนือน้ำหรือผิวน้ำ สามารถลอยไปมาได้ หากพืชเหล่านี้อยู่บริเวณน้ำตื้นรากของพืชชนิดนี้อาจยึดอยู่กับพื้นดินใต้น้ำได้ พืชจำพวกนี้ได้แก่ ผักตบไทย ผักตบชวา จอกหูหนู กระจับ ผำ ผักบุ้ง แหน

-พืชชายน้ำ (merginal plant) เป็นพืชที่เจริญเติบโตบริเวณริมน้ำหรือริมตลิ่ง ทั้งบริเวณหนองน้ำ ริมคลอง บริเวณที่มีน้ำขัง โดยรากจะฝังในดิน ส่วนลำต้น ใบ และดอก จะอยู่เหนือน้ำ
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3

EPPO code---รหัสEPPOคือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int


เตยทะเล/Pandanus odorifer


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Pandanus odorifer (Forssk.) Kuntze.(1891)
ชื่อพ้อง---Has 55 Synonyms
---Basionym: Keura odorifera Forssk.(1775)
---Keura odora Thunb.(1781)
---Pandanus odoratissimus L.f.(1782)
---Pandanus littoralis Jungh.(1845)
---See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-286310
ชื่อสามัญ---Seashore screwpine, Fragrant screw pine
ชื่ออื่น---เตยทะเล (ภาคกลาง); ปะหนัน, ปาแนะ (มาเลย์-นราธิวาส); ลำเจียก (ภาคกลาง) ;[ASSAMESE: Keteki-phul.];[HINDI: Gagan-dhul, Jambala, Jambul, Keora, Ketaki, Kevara, Panshuka, Pansuka, Pushp-chamar, Tikshna-gandha.];[INDONESIA: Pandan laut, Pandan pasir, Pandan pudak duri.];[MALAYALAM: Kainaari, Kaitha.];[KANNADA: Kedage, Kedagi, Kedige, Ketake, Taale hu.];[MARATHI: Kegad, Ketaki, Kevada.];[PORTUGUESE: Pandano-odorífero.];[SANSKRIT: Hanilha, Jambul, Ketaki, Panshuka, Pansuka, Sugandhini.];[TAMIL: Ketakai, Talai.];[TELUGU: Gedaga, Gojjangi, Ketaki.];[THAI: Toei thale, Lam chiak'.].
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
EPPO Code---PADOD (Preferred name: Pandanus odorifer.)
ถิ่นกำเนิด---เมลเซีย ออสเตรเลีย หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อนทั่วไป
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pandanus' มาจากภาษามาเลย์ “pandan หรือ pandang” ที่ใช้เรียกพวกเตย
Pandanus odorifer เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เตยทะเล (Pandanaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskal (1732–1763) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย พบในเอเชียตามหมู่เกาะและชายฝั่งทะเล  ตั้งแต่หมู่เกาะของฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนาม คาบสมุทรมลายู หมู่เกาะฮาวาย อินเดีย ออสเตรเลีย พอลินีเชีย และวานูอาตู ในประเทศไทย พบทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ คล้ายกับการะเกด P. tectorius Parkinson ex Du Roi
ลักษณะ เตยทะเลเป็นไม้พุ่มสูงได้ถึง 4-8 เมตรมีหนามสั้นๆทู่ๆ ที่ผิวของลำต้น มีรากอากาศช่วยค้ำจุนลำต้น ใบเดี่ยวเรียงสลับกระจุกอยู่ที่ปลายยอด ยาว 40-70ซม. แผ่นใบแข็งคล้ายหนัง ขอบใบมีหนาม ดอกแยกเพศต่างต้น ช่อดอก ออกที่ปลายยอด มีเฉพาะดอกตัวเมียไม่มีกลีบดอกห่อหุ้มด้วย ใบประดับรูปร่างเรียวยาวสีขาวมี กลิ่นหอม ผลกลุ่มรูปรี ยาวได้ถึง 30 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางโตได้ถึง 20 ซม. แต่ละกลุ่มย่อยรูปไข่กลับเป็นเหลี่ยม แก่แล้วแยก ยาว 3-8 ซม. โคนที่เชื่อมติดกันเป็นเส้นใย ผลย่อยผนังชั้นในแข็ง ผนังชั้นนอกสด สุกสีแดงอมส้ม มีเส้นใย ยอดเกสรเพศเมียติดทน
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---เป็นพรรณไม้ที่ชอบขึ้นตามชายน้ำ ต้องการความชื้นและน้ำในปริมาณที่มาก ปลูกขึ้นดีในดินอุดมร่วนซุย หรือดินเหนียวปนทราย พื้นที่ดินเค็ม ชายน้ำ ชายหาด ลำคลอง หนอง บึง สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อม น้ำขังแฉะ น้ำเค็ม โรคและเมลงศัตรูพืชได้ดี
การใช้ประโยชน์---พืชเป็นแหล่งอาหารยาน้ำมันหอมระเหยและวัสดุสำหรับทอผ้า
-ใช้กิน ผลกินได้ ใบ - หอม ใช้เพื่อให้รสชาติเหมือนกระเทียมกับอาหาร
-ใช้เป็นยา ช่อดอกเพศผู้ของต้นเตยทะเลจัดอยู่ในตำรับยาเกสรทั้งเก้า ใช้ปรุงเป็นยาหอม และยาบำรุงหัวใจ รากมีรสเย็นและหวานเล็กน้อย มีสรรพคุณเป็นยาแก้พิษโลหิต แก้พิษไข้ รากอากาศใช้ปรุงเป็นยาแก้ปัสสาวะพิการและแก้นิ่ว
-ใช้ปลูกประดับ  พืชมักจะปลูกเป็นไม้ประดับซึ่งมีมูลค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับดอกไม้หอมซึ่งสวมใส่เป็นเครื่องประดับใช้ในวัดและขายทั่วไปในตลาดท้องถิ่น นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในสวนน้้ำ ในพื้นที่ชุ่มน้ำ
-วนเกษตรใช้ ปลูกอย่างกว้างขวางในฐานะพืชป้องกันความเสี่ยงในเขตชายฝั่งทะเลของอินเดีย ชาวบ้านยังนิยมปลูกไว้เพื่อบังลมเป็นรั้วบ้าน หรือปลูกเป็นพืชคลุมวัชพืชเพราะมีใบหนาแน่น
-อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนด้านนอกค่อนข้างแข็ง แต่ภายในนุ่มมาก ใบซึ่งประกอบด้วยเส้นใยยาวเหนียวสีขาวมันเงา นำมาใช้ในการปิดกระท่อม เครื่องสายและอื่น ๆ เส้นใยใบที่ถูกสกัดใช้สำหรับทำสายระโยงระยางและเส้นด้ายหยาบ ทั้งรากและใบอาจใช้เป็นกระดาษได้ -น้ำหอมยอดนิยมที่เรียกว่า 'kewda attar' ได้มาจากดอกไม้ น้ำมันหอมระเหย (kevda oil)  และน้ำมันหอมระเหย (otto)  เรียกว่า keorra-ka-arak สกัดจากดอกไม้เพศผู้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ พืชเริ่มออกดอกเมื่ออายุ 3 - 4 ปี
**การพูดคุยส่วนตัว เตยต้นนี้สำคัญ ถ้าใครเคยได้ยินชื่อดอกลำเจียกแล้วไม่รู้ว่าต้นลำเจียกเป็นยังไง ก็ขอให้รู้ไว้ว่าคือเตยทะเล นี่เอง (แต่แตกต่างกันตรงไหนเดี๋ยวจะเฉลย)ชาว ไทยมุสลิมเรียก มะกูแวปาตา (มะกูแปลว่า เตย ปาตาแปลว่า ทะเล) ชาวบ้านนิยมใช้ใบเตยทะเลมาตากแห้ง สานเสื่อและเครื่องใช้ ดอกเพศผู้มีกลิ่นหอมแรง ชาวมาลายูและชาวไทยมุสลิมใช้เป็นเครื่องประทินผิว อบเสื้อผ้า และเรียกเตยชนิดนี้ว่า เตยหอม (คนละต้นกับคนไทยพุทธเรียก) ตรงกับคำว่า ปาหนัน หรือ ปะหนัน ในวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงนิพนธ์คำกลอนที่กล่าวถึง “กลิ่นดอกปาหนัน คล้ายกับกลิ่น จินตะหรา” แล้วเลยคิดไปถึงเพลง “ ปาหนันเจ้าเอยแสนงาม” ไปนู่น เดี๋ยวเรียกสติไม่คืน สำหรับต้นที่เรียกว่าลำเจียกต้นจะมีเฉพาะดอกเพศผู้ไม่มีกลีบดอกเหมือนกัน

เตยด่าง/Pandanus baptistii (Aureus)

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandanus baptistii (Aureus)--Variegated Dwarf Pandanus.
ชื่อสามัญ---Indian Screw Pine, Variegated Dwarf Pandanus
ชื่ออื่น---เตยด่าง, เตยทอง
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
ถิ่นกำเนิด---โพลินีเซีย
ใน ธรรมชาติพบตามริมน้ำหรือบริเวณทั่วไปที่มีน้ำกร่อยแตกรากค้ำจุนที่โคน เหมาะ สำหรับปลูกเป็นไม้ริมตลิ่งเพราะรากค้ำยันจะช่วยป้องกันการพังทลายของดินได้ ต้นเป็นกอสูงประมาณ 0.30-0.90 เมตร ใบออกจากลำต้นเวียนชิดกัน ใบแคบเรียวยาวปลายใบแหลม ใบเรียงเวียนเป็นเกลียวสีเขียวมีแถบสีขาวตรงกลาง 1-4 เส้น ขอบใบมีหนามละเอียด ดอก มีกลิ่นหอม แต่จะออกดอกเมื่อต้นโดเต็มที่เท่านั้น การขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อมาปลูกไม่นิยมเพาะเมล็ด ขนาด ออกดอกยังใช้เวลานาน กว่าเมล็ดจะสมบูรณ์นำมาใช้เพาะได้ก็เลยเสียเวลารอ แยกหน่อง่ายกว่าควรปลูกไว้ในที่ที่มี แสงแดดครึ่งวัน ตอนต้นเล็กใบยังไม่มีหนามควรเลี้ยงไว้ในที่ที่มี แสงแดดครึ่งวันพอต้นโตเต็มที่จะมีหนามเกิดขึ้นค่อยนำไปปลูกในที่มีแสงแดด ตลอดวัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกง่ายพอสมควร สามารถปรับให้เข้ากับดินได้หลายประเภท ในช่วงแดดจัดเป็นส่วน ๆ ดูดีที่สุดในแสงแดดโดยการรดน้ำเป็นประจำในช่วงฤดูร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้ใบไม้ไหม้เกรียม
การใช้งาน---เหมาะสำหรับสวนเขตร้อน ไซต์ชายฝั่ง สวนพื้นเมือง การปลูกเชิงพาณิชย์ปลูกเป็นไม้กระถาง
ระยะเวลาออกดอก---เมื่อต้นโตเต็มที่
การขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ


เตยด่าง/Pandanus baptistii (sanderi)

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandanus baptistii (sanderi) -Variegated Dwarf Pandanus.
ชื่อสามัญ---Gold-striped Screw Pine, Variegated Screw Pine, Compact Golden Screw Pine.
ชื่ออื่น---การะเกด ปาหนัน ปาแนะ
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ตามชายหาดทั่วคาบสมุทรในแถบเส้นศูนย์สูตรรอบโลก
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย ออสเตรเลียตะวันออก และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
Pandanus  baptistii 'Variegated' เป็นหนึ่งในหลายสายพันธุ์ในสกุล Pandanus ซึ่งประกอบด้วยพันธุ์ที่ได้รับการยอมรับประมาณ 750 ชนิด ไม้พุ่มขนาดใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งในที่สุดจะพัฒนาลำต้นที่แข็งแรงและสูงได้ถึงประมาณ 2 เมตร มีรากไม้ค้ำยันหนาจำนวนมากใกล้กับฐานซึ่งให้การสนับสนุนเมื่อพืชเจริญเติบโตเต็มที่ด้วยใบผลไม้และกิ่งก้าน ความงามที่แตกต่างกันด้วยใบที่ฉูดฉาดโดยมีแถบสีเหลืองทองกว้างที่กลางใบและคั่นกลางระหว่างขอบสีเขียว ใบไม้ถูกจัดเรียงเป็นเกลียวโค้งอย่างสง่างามและเรียวยาว ใบไม่มีหนามตามขอบใบและไม่มีกลิ่นหอม
เตย ด่างต้นนี้ ด่างไม่เหมือนกับต้นข้างบน นิยมกันมากเหมือนกัน เตยพวกนี้เวลาโตเต็มวัยจะแตกกิ่งก้านสาขา เป็นกอเป็นพุ่ม นำมาใช้จัดสวนในพื้นที่กว้างได้ ไม่จำเป็นว่าจะใช้แต่อยู่ริมน้ำให้น้ำทั่วถึงก็แล้วกันไป
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งดวงอาทิตย์เต็มแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ถ้าโดนแสงแดดโดยตรงมากเกินไปอาจทำให้ใบไหม้ได้ ต้องการดินที่อุดมด้วยฮิวมัสดินร่วนและระบายน้ำได้ดี รดน้ำอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากต้องการดินที่ชื้นตลอดเวลา แต่สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีเป็นพืชที่ทนทานทั้งทนแล้งและทนเค็ม
การใช้งาน---ใช้ปลูกประดับ มีใบหลากสีสวยงามเหมาะสำหรับสวนขนาดใหญ่มากไม้ประดับที่ใบปราศจากหนามซึ่งมักใช้ในการจัดดอกไม้ พืชชนิดนี้สามารถปลูกกลางแจ้งในสวนเป็นลักษณะหรือพืชตัวอย่าง แต่จะต้องมีที่ว่างเพื่อรองรับนิสัยที่แผ่กิ่งก้านสาขา
ระยะเวลาออกดอก---เมื่อต้นโตเต็มที่
การขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

การะเกดหนูด่าง /Pandanus pygmaeus


ชื่อวิทยาศาสตร์--- Pandanus pygmaeus Thouars.(1808)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.plantlist.org/tpl1.1/record/kew-284810
---Freycinetia leucacantha Miq.(1853)
---Foullioya graminifolia H.Wendl.(1854) [Invalid]    
---Freycinetia racemosa Gaudich.(1841) [Invalid]    
---Pandanus racemosus Kurz.(1869)
ชื่อสามัญ---Dwarf pandanus, Small Screwpine, Dwarf Screwpine, Pygmy Screwpine
ชื่ออื่น--- ลำเจียกหนูด่าง, เตยหนูด่าง; [FRENCH: Pandanus nain.];[JAPANESE: Himetakonoki.];
ชื่อวงศ์--- PANDANACEAE
EPPO Code---PADPY (Preferred name: Pandanus pygmaeus.)
ถิ่นกำเนิด---ตะวันออกของทวีปแอฟริกาบนมหาสมุทรอินเดีย
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ เขตร้อนและเขตมรสุม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pandanus' มาจากภาษามาเลย์ “pandan หรือ pandang” ที่ใช้เรียกพวกเตย
Pandanus pygmaeus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เตยทะเล (Pandanaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Louis-Marie Aubert du Petit-Thouars (1758–1831) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2351
ที่อยู่อาศัย มีถิานกำเนิดใน มาดากัสการ์ กระจายพันธุ์ทั่วเขตร้อนและเขตมรสุม
ลักษณะ ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน ใบเดี่ยว รูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบจักซี่ฟันเลื่อย เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง สีของใบด้านบนมีสีเขียวเข้มขอบเหลือง ท้องใบสีเขียวอ่อน กว้างประมาณ 0.5-1 ซม. ยาวประมาณ 15-20 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งดวงอาทิตย์เต็มแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ถ้าโดนแสงแดดโดยตรงมากเกินไปอาจทำให้ใบไหม้ได้ ต้องการดินที่อุดมด้วยฮิวมัสดินร่วนและระบายน้ำได้ดี รดน้ำอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากต้องการดินที่ชื้นตลอดเวลา แต่สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีเป็นพืชที่ทนทานทั้งทนแล้งและทนเค็ม
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมใช้จัดสวนอยู่ระยะหนึ่ง ตอนหลังมี 2 ต้นข้างบนมาแทน อาจเป็นเพราะการะเกดหนูต้นนี้ขอบใบจะเป็นขอบจักฟันเลื่อยและมีความคม เวลาเก็บตัดใบแห้งจะเจ็บหนัก
ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ


เตยหอม/Pandanus amaryllifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandanus amaryllifolius Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-285639    
---Pandanus hasskarlii Merr.(1917)
---Pandanus latifolius Hassk.(1842) nom. illeg.
---Pandanus odorus Ridl.(1925)
ชื่อสามัญ---Pandan, Fragrant Pandan, Fragrant screwpine
ชื่ออื่น---เตยหอม, ปาแนะวองิง ;[INDONESIA: Pandan wangi.];
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
EPPO Code---PADAM (Preferred name: Pandanus amaryllifolius.)
ถิ่นกำเนิด---Uncertain but is probably Indonesia
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pandanus' มาจากภาษามาเลย์ “pandan หรือ pandang” ที่ใช้เรียกพวกเตย
Pandanus amaryllifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เตยทะเล (Pandanaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปีพ.ศ.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในโมลุกกะ แพร่กระจายใน ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิวกินี
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นพุ่มเล็ก ขึ้นเป็นกอ มีใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับเวียนเป็นเกลียวจนถึงยอดใบ ลักษณะของใบเป็นทางยาว สีเขียวเป็นมัน ใบค่อนข้างแข็ง มีขอบใบเรียบ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งดวงอาทิตย์เต็มแสงแดดกรองหรือกึ่งเงา ถ้าโดนแสงแดดโดยตรงมากเกินไปอาจทำให้ใบไหม้ได้ ต้องการดินที่อุดมด้วยฮิวมัสดินร่วนและระบายน้ำได้ดี รดน้ำอย่างสม่ำเสมอเนื่องจากต้องการดินที่ชื้นตลอดเวลา แต่สามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีเป็นพืชที่ทนทานทั้งทนแล้งและทนเค็ม
ใช้ประโยชน์---เตย หอมนิยมปลูกเป็นไม้ประจำบ้านทั่วไทย เพราะกลิ่นหอมจากใบเตย ใช้เป็นภาชนะห่อและใส่เพื่อปรุงกลิ่น อาหาร คาวหวาน  และยังเป็นพันธุ์ไม้ที่ชาวสวนปลูกตัดใบออกจำหน่ายเป็นการค้า
-ใช้ปลูกประดับ นักจัดสวนนิยมนำมาปลูกประดับสวนชายน้ำที่สวยงามอีกชนิดหนึ่ง
ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ


เตยแก้ว/Pandanus pacificus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandanus pacificus H.J.Vietch.(1892)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Pandanus dubius Spreng.(1826)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-286535
ชื่อสามัญ---Veitch's screwpine
ชื่ออื่น---เตยแก้ว, เตยญี่ปุ่น
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
EPPO Code---PADSS (Preferred name: Pandanus sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเดเชีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์)
ที่อยู่อาศัยพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) พบได้ในบริเวณชายฝั่งทะเล เช่น ชายหาดและหินปูนที่โผล่ขึ้นมา
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเล็กๆ สามารถเติบโตได้สูงถึง 3 ถึง 10 เมตร มีรากค้ำหนา ใบกว้างสีเขียวมันวาวขอบใบหยักใบเรียงเป็นเกลียว ดอกแยกเพศ อยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลมีลักษณะเป็นพวงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-30 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ปลูกได้ในดินร่วนปนทราย ดินที่มีน้ำขัง (พื้นที่ระบายน้ำ), ดินเค็ม/ไอเกลือ
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ **การพูดคุยส่วนตัว เตยแก้วหรือเตยญี่ปุ่น เป็นไม้ประดับที่นิยมกันทั่วไป ฮิตกันมากมายเมื่อประมาณ30กว่าปีที่แล้วปลูกกันทั่วบ้านทั่วเมือง ใช้จัดสวนประดับริมน้ำในที่โล่งแจ้งที่มีเนื้อที่กว้างขวาง หรือปลูกริมตลิ่งยึดดิน ริมน้ำเป็นแนวยาว
การขยายพันธุ์---เตยแก้วขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมาก โดยการแยกหน่อของเตยชนิดนี้ไปปลูก ไม่ว่าจะแยกต้นเล็กต้นใหญ่ต้นนิดต้นน้อย เตยแก้วจะให้หน่อเป็นต้นเร็วจำนวนมากท่านที่จะทำบ้านริมน้ำ ให้ปรับแนวตลิ่งให้ราบจัดสวนชายน้ำให้สวยงาม พวกนี้น้ำท่วมถึงก็ไม่เป็นไร ปลูกง่ายตายยาก น้ำลดมีหน่อมีเหง้าอยู่เดี๋ยวก็ขึ้นใหม่**


เตยหนู/Pandanus obovatus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pandanus obovatus H.St.John.(1963)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---.See all The Plant List http://www.plantlist.org/tpl1.1/record/kew-286413
ชื่อสามัญ---Karaket Nu(Thai), Padang, Pandanus Palm, Fragrant screw pine, Umbrella tree, Screw tree.
ชื่ออื่น---เตยหนู การะเกดหนู เตยปาหนัน เตยหนาม
ชื่อวงศ์---PANDANACEAE
EPPO Code---PADSS (Preferred name: Pandanus sp.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pandanus' มาจากภาษามาเลย์ “pandan หรือ pandang” ที่ใช้เรียกพวกเตย
Pandanus obovatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เตยทะเล (Pandanaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Harold St.John (1892–1991) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2506

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย
ลักษณะ ต้นเป็นกอ ต้นที่มีอายุยังอ่อนลำต้นจะสูงจากพื้นประมาณ 10-15 ซ.ม.แต่ต้นที่แก่มากจะสูงได้ถึง 90-120 ซม.หรือมากกว่านั้น แล้วแต่อายุ ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับกันแน่น รูปขอบขนานแคบ ตามขอบใบและเส้นกลางใบทางต้านล่างมีหนามเล็กๆ หนาแน่นแต่หนามบริเวณหลังของใบจะสวนทางกันกับหนามของใบ ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกตามปลายยอด ดอกเล็กมีจำนวนมาก ติดกันบนแกนของช่อ ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ช่อดอกเพศเมียตั้งตรง มีดอก 4 - 6 ดอก กาบรูปท้องเรือ ขอบจักฟันเลื่อยละเอียด ผลรูปรี ขนาดประมาณ 1.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบขึ้นในดินร่วนปนทรายและขยายพันธ์ได้รวดเร็วมาก
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ
ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกหน่อ


กกอียิปต์/Cyperus papyrus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyperus papyrus L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms.    
---Chlorocyperus papyrus (L.) Rikli.(1895)
---Cyperus papyraceus Crantz.(1766)
---Cyperus syriacus Parl.(1852)
---Cyperus antiquorum (Willd.) Chiov.(1931)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-237889
ชื่อสามัญ---Egyptian paper plant, Papyrus, Egyptian-Paper reed, Papyrus sedge, Paper reed, Indian matting plant, Nile grass
ชื่ออื่น---กกอียิปต์, กกกระดาษ;[ARABIC: Bardi.];[CZECH: Sáchor papírodárný.];[DUTCH: Papirus.];[EGYPT: Tjufy.];[FRENCH: Jonc du Nil, Papier du Nil, Papyrus, Souchet à papier.];[GERMAN: Papyrus, Papyrusstaude, Papyrus-Zypergras.];[ISRAEL: Gomeh.];[ITALIAN: Giunco del Nilo, Papiro.];[JAPANESE: Kamigayatsuri, Papirusu.];[KENYA: Mafunjo, Njaanjaa.];[MADAGASCAR: Hisatra.];[PORTUGUESE: Papiro, Papiro-do-Egipto.];[RUSSIA: Papirus, Sytʹ papirusnaya.];[SPANISH: Papiro, Papiro del Nilo.];[SWEDISH: Papyrussäv.];[TANZANIA: Lifwama, Matere.];[USA/Hawaii: Kaluha, Papulo.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---CYPPA (Preferred name: Cyperus papyrus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---ซูดาน อียิปต์ มาดากัสการ์ อนุทวีปอินเดีย อเมริกาใต้ แคริบเบียน และประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cyperus' มาจากภาษากรีกโบราณ 'kypeiros' ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกต้นsedgeในท้องถิ่นบางต้น ;ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'papyrus' เป็นคำภาษาละตินที่ยืมมาจากภาษากรีก πάπυρος (papyros) ที่ใช้สำหรับกระดาษที่ทำเป็นม้วนจากพืชชนิดนี้ในอียิปต์โบราณ
Cyperus papyrus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
มี 4 สายพันธุ์ย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ;-
---Cyperus papyrus subsp. madagascariensis (Willd.) Kük.(1935)
---Cyperus papyrus subsp. nyassicus (Chiov.) Kük.(1935)
---Cyperus papyrus subsp. papyrus
---Cyperus papyrus subsp. zairensis (Chiov.) Kük.(1935)

 

ที่อยู่อาศัย พบในแอฟริกา มาดากัสการ์ และประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน ในธรรมชาติ มันเติบโตในช่วงแดดจัดในหนองน้ำที่มีน้ำท่วมขัง และริมทะเลสาบ ได้รับการแนะนำนอกขอบเขตไปยังเขตร้อนทั่วโลก (เช่นอนุทวีปอินเดีย อเมริกาใต้และแคริบเบียน) ที่ระดับความสูงถึง 1,800 เมตร
ลักษณะ กกอียิปต์หรือกกกระดาษมีลักษณะใหญ่กว่ากกทั่วไป มีความสูง 4-5 เมตรหรือมากกว่านั้น ลำต้นสีเขียวรูปสามเหลี่ยมที่งอกขึ้นจากเหง้าที่มีเนื้อไม้ ก้านแต่ละต้นจะมีกระจุกหนาแน่นบางสีเขียวสดใส ยาวประมาณ 10-30 ซม.คล้ายขนนก แม้ว่าจะไม่มีใบปรากฏอยู่เหนือแนวดิน แต่ส่วนที่อายุน้อยกว่าของเหง้าก็ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีน้ำตาลแดง คล้ายกระดาษ เป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งครอบคลุมโคนต้นด้วย ในทางเทคนิค ใบเหล่านี้เป็นใบลดรูป ช่อดอกมีขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 30-50 (-60) ซม.มีเมล็ดสีน้ำตาลอมดำจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดถึงมีร่มเงาเป็นบางส่วน แสงแดดเต็มที่ ช่วยให้ลำต้นสูงและแข็งแรง ควรมีที่กำบังลมซึ่งอาจพัดให้ก้านใบหักได้ กกอียิปต์จะงอกงามดีในน้ำตื้นหรือพื้นที่เป็นหนองน้ำบนดินทรายอุดมไปด้วยฮิวมัสที่เปียกชื้นพอสมควร pH 6.0–8.5
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน รากและยอดกินเป็นผัก ส่วนเหง้าที่เป็นแป้งและส่วนล่างของลำต้น กินดิบ ต้มหรือคั่ว
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนน้ำในภูมิภาคที่อบอุ่นของโลก
-อื่น ๆ เส้นใยจากเปลือกลำต้นถูกนำมา ใช้ ทำสิ่งของ ทั่วไปเช่น เสื่อ ผ้าขาวม้า รองเท้าแตะ ตะกร้า
-การใช้แบบโบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยไอยคุปต์โบราณถือว่า กกอียิปต์ เป็นพืชที่มีความสำคัญ เนื่องจากพืชชนิดนี้ใช้ในการผลิตเสื้อผ้า ใบเรือ เชือก และกระดาษที่มีชื่อเสียงที่สุดของไอยคุปต์ โดยนำไส้ใยของพืชชนิดนี้มาแผ่ออกสองด้านเท่ากันจากนั้นไขว้เส้นใยตั้งฉากทับ เส้นใยอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นใช้น้ำจากเยื่อของต้นไม้ที่มีลักษณะเหนียวคล้ายกาว เชื่อมประสานแต่ละชั้นเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นแผ่นกระดาษ รวมกันเป็นม้วน และทำหนังสือ ซึ่งเล่มหนึ่งจะมีกระดาษ 20 แผ่น ชาวอียิปต์ใช้ทุกส่วนของพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ต้นกกเป็น "ของขวัญแห่งแม่น้ำไนล์" ที่สำคัญซึ่งยังคงรักษาและคงอยู่ต่อไปในวัฒนธรรมอียิปต์
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมดได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
ได้รับรางวัล---Royal Horticultural Society 's Award of Garden Merit (2017)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ

กกรังกา/Cyperus alternifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyperus alternifolius L.(1767)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-235591
---Cyperus frondosus Salisb.(1796) [Illegitimate]    
---Cyperus onustus Steud.(1854)    
---Cyperus racemosus Poir.(1806)
---Eucyperus alternifolius (L.) Rikli.(1895)
ชื่อสามัญ---Umbrella plant, Umbrella sedge
ชื่ออื่น---กกรังกา;[CHINESE: Yě shēng fēng chē cǎo.];[CUBA: Farolito chino.];[FRENCH: Cypérus à feuilles alternes, Papyrus commun, Plante ombrelle, Souchet à feuilles alternées.];[GERMAN: Wechselblättriges Zypergras.];[ITALIAN: Falso papiro.];[MALAYSIA: Teruntum merah(Malay).];[PORTUGUESE: Cípero-de-jardim, Erva-chapéu-de-sol, Palmeira-umbela, Papiro, Papiro-anão, Planta-umbela, Sombrinha-chinesa.];[RUSSIA: Tsiperus ocherednolistnyy.];[SPANISH: Cipero, Juncia, Juncia de estanque, Paragüitas, Planta paraguas, Planta sombrilla, Quitasol, Quitasol chino.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---CYPAL (Preferred name: Cyperus alternifolius.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ เขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cyperus' มาจากภาษากรีกโบราณ 'kypeiros' ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกต้นsedgeในท้องถิ่น ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'alternifolius' =มีใบเรียงสลับกัน
Cyperus alternifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2310
มี 3 สายพันธุ์ย่อย (Subspecies) ที่ยอมรับ;-
---Cyperus alternifolius subsp. alternifolius
---Cyperus alternifolius subsp. flabelliformis Kük.(1936)
---Cyperus alternifolius subsp. textilis (Thunb.) Verloove.(2014)

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกมาดากัสการ์และคาบสมุทรอาหรับแต่กระจายไปทั่วโลก นิยมปลูกกันทั่วเขตร้อน เมดิเตอร์เรเนียน, ปากีสถาน, บังคลาเทศ, จีน (รวมถึงไต้หวัน), อินโดจีน, มาเลเซีย, สหรัฐอเมริกา (ตะวันตก), เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ, ชิลี), นิวซีแลนด์
ลักษณะ กกรังกาเป็นพืชที่มีลำต้นออกเป็นกอมีหัวอยู่ใต้ดิน ลำต้นตั้งตรงไม่มีกิ่งก้านสูงประมาณ 100-150 ซม.ลำต้นกลมสีเขียว ใบแผ่ซ้อนกันอยู่ปลายยอดของลำต้น มีใบประมาณ 18-25 ใบ ใบโค้งงอเป็นรูปทรงกลมสวยงามจนดูเหมือนซี่ลวดของร่ม บริเวณจุดนี้จะมีดอกเล็กๆขึ้นโดยรอบ ดอกออกเป็นกระจุกอยู่รวมกันกับใบ ดอกมีขนาดเล็กเป็นสีขาวแกมเขียว ก้านดอกเป็นเส้นเล็ก ๆ สีเขียว ดอกเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผลแห้ง รูปรีหรือรูปไข่  สีน้ำตาล เปลือกแข็ง มีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบที่ชื้นแฉะ ขึ้นในที่ระดับต่ำ ตามหนอง บึง ชอบพื้นที่ร่มเงามีความชุ่มชื้นและชุ่มน้ำ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นำไปปลูกเลี้ยงเป็นไม้ประดับทั่วโลก ในสวนน้ำ แอ่งน้ำ บริเวณรอบสระน้ำ สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภาชนะหรือกระถางที่มีจานรองน้ำขังตลอดเวลาจัดเป็นพืชน้ำในร่มที่ดูแลรักษาง่าย เพียงแต่ต้องตัดก้านใบที่เสียทิ้งเท่านั้น
ได้รับรางวัล--- Garden Merit จาก Royal Horticultural Society.(2019)
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมดได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2013)
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด แยกหน่อ


กกสามเหลี่ยมเล็ก/Cyperus pilosus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyperus pilosus Vahl.(1805)
ชื่อพ้อง---Has 28 Synonyms.
---Cyperus donianus A.Dietr.(1833)
---Cyperus fimbriatus Nees.(1833)
---Cyperus hebes Steud.1855
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-237995
ชื่อสามัญ---Strawcolored flatsedge, False nut sedge, Fuzzy flatsedge
ชื่ออื่น---กกสามเหลี่ยมเล็ก, กกช่อดอกขน;[JAPANESE: Onigayatsuri, Onigayatsuku, Ke-jiku sasō.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---CYPPI (Preferred name: Cyperus pilosus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น นิวกินี ออสเตรเลีย
Cyperus pilosus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ในปี พ.ศ.2348

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในบางส่วนของเอเชียและออสเตรเลีย พบในเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน (ไทย ลาว กัมพูชา เวีบตนาม) มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน ทิเบต) ญี่ปุ่น นิวกินี ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์) เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา (ตะวันออกเฉียงใต้) พบทั่วไปตามที่ชื้นแฉะ คูน้ำ หนองน้ำ ในที่ลุ่มน้ำขัง ข้างถนนและในท้องนา พบที่ระดับความสูง 0-1500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุอยู่ได้หลายฤดูหรือไม้ยืนต้น ลำต้นมีเหง้าเจริญขึ้นเป็นกอสูง 50–100 ซม.ใบมีริ้วประดับ 3-4 ใบไม่เท่ากันถึง 35 x 1.2 ซม.ดอกเป็นดอกแบบซี่ร่มประกอบด้วยก้านช่อดอกสั้น ช่อดอกย่อยมีดอก 5-7 ดอก ผลเป็นผลแห้งไม่แตก (Achenes) สีน้ำตาล 1-1.2 × 0.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินทรายที่ชื้นแฉะ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สวนน้ำทั่วไป
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมดได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

กกดอกขาว/Cyperus brevifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cyperus brevifolius (Rottb) Hassk.(1844)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:30313989-2#synonyms
---Basionym: Kyllinga brevifolia Rottb.(1773)
ชื่อสามัญ---Globe Kyllinga, Green Kyllinga, Shortleaf spikesedge, Perennial greenhead sedge.
ชื่ออื่น---กกดอกขาว, กกตุ้มหู, หญ้าหัวโม่ง;[JAPANESE: Himekugu.];[SPANISH: Espadilla.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---CYPSS (Preferred name: Cyperus sp.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---ภูมิภาคที่อบอุ่นทั่วโลก
Cyperus brevifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christen Friis Rottboell (1727–1797) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Justus Carl Hasskarl (1811-1894)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2387
ความหลากหลาย (Varieties);-
---Cyperus brevifolius var. brevifolius
---Cyperus brevifolius var. stellulatus (Valck.Sur.) Kük.

 

ที่อยู่อาศัย เขตร้อนชื้นของทวีปอเมริกาแพร่กระจายไปในภูมิภาคที่อบอุ่นทั่วโลก
ลักษณะ ลำต้นอยู่ใต้ดินเลื้อยทอดขนานไปกับดิน ชูส่วนที่เป็นยอดและช่อดอก สูง 15-20 ซม. มีกาบหุ้มลำต้นสีน้ำตาลอมแดง ลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 มม.ระบบรากเป็นระบบรากฝอยออกตามข้อของลำต้นใต้ดิน ใบเดี่ยวออกจากส่วนโคนของลำต้น ใบมีรูปร่างเรียว ยาวประมาณ 5-15 ซม.ขอบใบเรียว มีปลายใบที่แหลม ฐานใบมีสีน้ำตาลแดงแผ่ห่อหุ้มลำต้น ดอกออกเป็นช่อแบบhead มีดอกย่อยเป็นจำนวนมากอัดแน่นอยู่ที่ปลายยอดของลำ ช่อดอกสีเขียวอ่อน เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ ผลมีลักษณะกลมรีค่อนข้างแบน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินทรายที่ชื้นแฉะ
ใช้ประโยชน์----ใช้เป็นอาหารสัตว์
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมดได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2021)
ขยายพันธุ์---เมล็ด


หญ้าหัวไม้ขีด/Eriocaulon cinereum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Eriocaulon cinereum R.Br.(1810)
ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms.
---Eriocaulon amboense Schinz.(1896)
---Eriocaulon ciliiflorum F.Muell.(1859)
---Eriocaulon formosanum Hayata.(1921)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-243590
ชื่อสามัญ---Ashy pipewort
ชื่ออื่น---หญ้าหัวไม้ขีด, หญ้าไม้ขีด;[CHINESE: Bái yào gǔ jīng cǎo.];[FRENCH: Eriocaule cendré.];[ITALIAN: Eriocaulon cinerino.];[JAPANESE: Hoshi-kusa, Mizutamasô.];[KOREA: Gok jeong cho.].
ชื่อวงศ์--- ERIOCAULACEAE
EPPO Code---ERCSI (Preferred name: Eriocaulon cinereum.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา,ทวีปเอซีย, ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชีย: เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี-แอฟริกา: เซเนกัลถึงชาด แทนซาเนีย ถึงแองโกลาและนามิเบีย-ออสเตรเลีย ในพื้นที่ลุ่ม ที่ระดับความสูง 0–1000 เมตร
Eriocaulon cinereum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดุมเงิน (Eriocaulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Brown (1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2343
ที่อยู่อาศัย พบใน เอเชียตะวันตก เอเชียกลาง เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี เซเนกัลถึงชาด แทนซาเนีย ถึงแองโกลาและนามิเบีย ออสเตรเลีย (ตะวันตก เหนือ ควีนส์แลนด์) ชอบขึ้นตามนาข้าวหรือทุ่งหญ้าที่มีน้ำขัง
ลักษณะ เป็นพืชน้ำล้มลุกอายุฤดูเดียว ลักษณะลำต้นขึ้นเป็นกอคล้ายกก ใบเดี่ยวออกสลับถี่ๆรอบโคนต้น รูปเรียวยาวปลายใบแหลม กว้าง0.1-0.2ซม.ยาวประมาณ5-8ซม.ดอกขนาดเล็กออกที่ปลายก้านเป็นตุ่มคล้ายหัวไม้ขีด สีขาว ขนาด 0.5-1ซม.ก้านดอกตั้งตรงยาวประมาณ10-30ซม.ภายในดอกมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อนมันวาวขนาด 0.3 x 0.2 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินทรายที่ชื้นแฉะ
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมดได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด


กกแก้ว/Rynchospora nervosa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhynchospora nervosa (Vahl) Boeckeler.(1869)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.
---Basionym: Dichromena nervosa Vahl.(1805)
---Dichromena ciliata var. vahliana C.B.Clarke.(1900)
---Dichromena pilosa Spreng.(1824)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-262045
ชื่อสามัญ---Star grass, Star sedge, Whitetop sedge
ชื่ออื่น---กกแก้ว;[SPANISH: Totes, Santa Juana, Yerba de estrella.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---RHCNE (Preferred name: Rhynchospora nervosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เม็กซิโกถึงอเมริกาเขตร้อน อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้
Rhynchospora nervosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย ohann Otto Boeckeler (1803–1899) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2387

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกถึงอเมริกาเขตร้อน พบในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ที่ระดับความสูง 240-3,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ริมน้ำลำต้นเจริญเป็นกอมีเหง้าเล็กๆ ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินเป็นเหลี่ยมที่เกิดจากกาบซ้อนกันแน่น สูง 30-50 ซม.ใบรูปใบหอกเล็ก ปลายเรียวแหลม ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด ดอกย่อยขนาดเล็ก สีขาว มีกาบรองช่อดอกเรียวแหลม สีขาว ปลายเขียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ชอบดินทรายที่ชื้นแฉะ
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ
-ใช้เป็นยา ใช้ในการรักษาความผิดปกติที่ไม่ระบุรายละเอียด  
ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกกอ


กระจูด/Lepironia articalata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lepironia articalata (Retz.) Domin.(1915)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.
---Basionym: Restio articulatus Retz.(1786)
---Chondrachne articulata (Retz.) R.Br.(1810)
---Choricarpha aphylla Boeckeler.(1858)
---Scirpus coniferus Poir.(1805)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-252230
ชื่อสามัญ---Grey Sedge, Blue Rush, Cicao, Cigar Rush
ชื่ออื่น---กระจูด;[CHINESE: Shí lóng chú shǔ.];[[MALAYSIA: Purun Danau, Rumput Kercut (Malay).].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---LPRAR (Preferred name: Lepironia articalata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา ตอนใต้ของจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิวกินี เกาะต่างๆ ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก
Lepironia articalata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anders Jahan Retzius (1742–1821)นักไลเคนวิทยา, แพทย์ชาวสวีเดนและศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karel Domin (1882–1953) นักพฤกษศาสตร์และนักการเมืองชาวเช็ก ในปีพ.ศ.2458


ที่อยู่อาศัย พื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนตั้งแต่มาดากัสการ์ ผ่านเอเชียใต้สู่ออสเตรเลียและแปซิฟิกตะวันตก มาดากัสการ์ อินเดีย ศรีลังกา ตอนใต้ของจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (มาเลเซีย อินโดจีน อินโดนีเซีย) นิวกินีและเกาะต่างๆ ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก (หมู่เกาะริวกิว หมู่เกาะแคโรไลน์ ฟิจิ ตองกา นิวแคลิโดเนีย ) มันยังเกิดขึ้นในภาคเหนือและตะวันออกของออสเตรเลีย ไกลถึงทางใต้ของอุทยานแห่งชาติ Thirlmere Lakesในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ขึ้นตามหนองน้ำเปิด ส่วนใหญ่อยู่ในที่ราบลุ่ม ในประเทศไทยพบขึ้นในพื้นที่น้ำขังซึ่งเรียกว่าโพระหรือพรุ
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นกลมสีเขียวอมเทา สูงประมาณ 1 - 2 เมตร ออกดอกเป็นกระจุกแน่นคล้ายดอกกระเทียมที่ข้างลำต้นใกล้ยอดกระจุกหนึ่ง แต่มีช่อดอกปลายลำต้นอีกหนึ่งช่อซึ่งมีใบเล็กประกอบช่อด้วย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงา ดินที่มีความเป็นกรดอ่อนๆ และเป็นกลาง และสามารถเติบโตได้ในดินที่เป็นกรดและเค็มมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ลำต้นใต้ดินที่เป็นเหง้ากินได้ทั้งแบบดิบและปรุงสุก
-ใช้ปลูกประดับ มีศักยภาพสูงในการใช้ปลูกเป็นไม้น้ำประดับ
-อื่น ๆต้นกระจูด นำไปฝึ่งแดดให้แห้งสนิท สามารถนำมาผลิตงานจักสานเป็น เสื่อปูรองนั่งที่เรียกกันว่า 'เสื่อกระจูด' ใบใช้สำหรับทำตะกร้า
-มีศักยภาพที่จะเป็นหลอดสีเขียวที่ใช้เป็นหลอดดื่ม กระบวนการผลิตหลอดไม่ยาก เพียงทำความสะอาดลำต้นของพืชและปล่อยให้แห้งในแสงแดด หลอด Lepironia นำเสนอวิธีแก้ปัญหาในการใช้แทนหลอดพลาสติก
-ถุงหรือฟางทอหัตถกรรมจากหญ้า Lepironia Articulata ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของความงามทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตกเฉียงใต้ จุดเด่นคือผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดโดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ะยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ


จอก/Pistia stratiotes

ชื่อวิทยาศาสตร์---Pistia stratiotes L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 30 Synonyms.
---Apiospermum obcordatum (Schleid.) Klotzsch.(1853)
---Pistia occidentalis Blume.(1836)
---Limnonesis commutata (Schleid.) Klotzsch.(1853)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-156674
ชื่อสามัญ---Water cabbage, Water lettuce, Water bonnet, Water fern, Water lily, Nile-cabbage, Floating aroid, Shell-flower, Tropical duckweed.
ชื่ออื่น---ผักกอก, กากอก, จอกใหญ่;[BANGLADESH: Tokapan.];[BOLIVIA: Lamparilla.];[BRAZIL: Alface-de-água.];[CAMBODIA: Chak thom, Chal thom.];[CHINESE: Dà piāo.];[COLOMBIA: Flor de totumo.];[CUBA: Lechuga cimarrona.];[CZECH: Babelka řezanovitá.];[DUTCH: Mosselplant, Slakroos, Watersla.];[FRENCH: Laitue d'eau, Pistie, Salade d’eau.];[GERMAN: Muschelblume, Wassersalat.];[INDIA: Akasathamarai, Antharathamra, Boranjhanji, Jalakumbi, Kumbi.];[INDONESIA: Apon-apon, Apu-apu, Kiapu.];[ITALIAN: Lattuga acquatica, Pistia, Vela d'acqua.];[JAPANESE: Botanukikusa.];[MALAYSIA: Alface-de-água, Kiambang.];[MEXICO: Pasta murure.];[PORTUGUESE: Mururé-pajé.];[RUSSIA: Vodyanoy salat, Pistiya.];[SOUTH AFRICA: Waterslaai.];[SPANISH: Lechuga de agua, Lechuguilla de vaca, Lechuguilla de agua, Lechuguita de agua, Repollito de agua, Repollo de agua, Repollo de sapo, Verdolago de agua.];[THAI: Chok, Jawg.];[VIETNAM: Beo cai.].
ชื่อวงศ์---ARACEAE
EPPO Code---PIIST (Preferred name: Pistia stratiotes.)
ถิ่นกำเนิด---The nativity of this plant is not known.
เขตกระจายพันธุ์---ทั่วไปในเขตร้อน
Pistia stratiotes พืชใบเลี้ยงเดี่ยวในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย วัชพืชน้ำรุกรานซึ่งไม่ทราบแหล่งกำเนิดที่แน่นอน ปัจจุบันพบมากในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน พบในเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียตะวันตก, เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, ศรีลังกา, บังคลาเทศ, อินโดจีน, มาเลเซีย, จีน, แอฟริกาโดยทั่วไป, มาดากัสการ์, เม็กซิโก, สหรัฐอเมริกา (ตะวันออกเฉียงใต้), อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้, ออสเตรเลีย (เหนือ, ควีนส์แลนด์), นิวกินี แนะนำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนเหนือ, ทะเลดำ, เอเชียกลาง, ญี่ปุ่น, สหรัฐอเมริกาตอนใต้ รุกรานในออสเตรเลียและญี่ปุ่น พบที่ระดับความสูง 0-2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชน้ำที่มีใบเลี้ยงเดี่ยวยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้ล้มลุกอายุอยู่ได้หลายฤดู ลำต้นสั้นมีไหลซึ่งแตกแขนงและทอดยาวขนานกับผิวน้ำ รากยาวได้ถึง 40 ซม.มีรากเป็นเส้นฝอยๆจำนวนมากที่โคนต้น ใบเดี่ยวเป็นแผ่นกว้างเวียนเป็นเกลียวถี่ๆรอบต้นสีเขียวซีด ขนากใบยาวไม่เกิน 20 ซม.และกว้าง 10 ซม.ผิวใบทั้งสองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นผิวด้านล่าง ปกคลุมด้วยพรมขนสีขาวหนาแน่น ช่อดอกออกตามซอกใบ ดอกสีขาวหรือเขียวอ่อน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ขนาดเล็กมาก มีใบประดับสีเขียวอ่อนเป็นแผ่นหุ้มอยู่ตรงซอกใบ เนื่องจากดอกเล็กมาก และซ่อนอยู่ตามซอกใบจึงมักไม่มีใครเห็น ทำให้เข้าใจกันว่าจอกเป็นพืชไม่มีดอก ผลเป็นผลสดผนังบาง มีเมล็ดรูปทรงกระบอก หลายเมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในแหล่งที่อยู่อาศัยทางน้ำที่หลากหลาย เป็นพืชที่ลอยได้อิสระ แต่ก็ชอบน้ำที่ค่อนข้างนิ่ง ดีที่สุดในน้ำที่มีค่า pH เท่ากับ 7 ทนทานต่อความเค็มต่ำ ความเข้มข้นของเกลือ 1.66% เป็นพิษต่อพืช สามารถอยู่รอดได้เป็นเวลานานบนดินชื้น
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เป็นยาพื้นบ้าน ทางอีสานใช้ ทั้งต้น ต้มน้ำดื่มขับปัสสาวะ
-อื่น ๆพืชได้รับการปลูกฝังเพื่อเป็นอาหารสัตว์
-ใช้ปลูกประดับ**การพูดคุยส่วนตัว จอกนี่ไม่ใช่ จอกๆนะ สมัยก่อนลอยเป็นแพเต็มบ้านเต็มเมือง เดี๋ยวนี้เอามาเลี้ยงใส่ตุ่มไว้ดูเล่น ว่ามันน่ารักแต่ด้วยการ ทึ่จอก ขยายพันธุ์โดยแตกหน่อใหม่จากไหล จึงเพิ่มปริมาณและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็นปัญหาแก่แหล่งน้ำ นำจอกมาใส่ตุ่มตกแต่งสวนน้ำเฉพาะที่แบบนี้ก็ได้อยู่ แต่อย่าได้โยนลงบ่อเชียว...เป็นเรื่อง**
ขยายพันธุ์---แยกหน่อ


ผักตบชวา/Eichornia crassipes


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Eichornia crassipes (Mart.) Solms.(1883)
ชื่อพ้อง ---Has 12 Synonyms
--- Basionym: Pontederia crassipes Mart.(1824)
--- Eichhornia speciosa Kunth.(1843) [Illegitimate]
--- Piaropus crassipes(Mart.) Raf.(1837)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-242133
ชื่อสามัญ---Water-hyacinth, Common water hyacinth, Floating water-hyacinth, Lilac devil, Nile lily, Pickerelweed, Water orchid, Water violet.
ชื่ออื่น---ผักตบชวา, ผักป่อง, ผักตบป่อง, ผักปอด, ผักปง;[ARGENTINA: Aquapey, Camalotes, Jacinto de agua.];[BANGLADESH: Kachuripana.];[BRAZIL: Aguape de flor roxa, Aguape puru-a, Baronesa, Dama del lago, Jacinta d'agua, Murumurii.];[CAMBODIA: Kamplauk.];[CHILE: Jiro de agua, Violeta de agua.];[COLOMBIA: Buchon, Lirio de agua, Tarulla.];[CONGO: Kongo ya sika.];[COSTA RICA: Lirio de agua.];[CUBA: Boniatillo de agua, Flor de agua, Hierba de jicotea, Jacinto de agua, Lirio acauático, Malangueta.];[CZECH: Tokozelka, Vodin hyacint.];[DENMARK: Almindelig vandhyacint, Vandhyacint.];[DOMINICAN REPUBLIC: Lila de agua.];[EGYPT: Bisnidh, Habba, Halassandi/halassant, War-el-nil, Zanim, Zoqqeym et-tani.];[EL SALVADOR: Halsa, Lechugo, Lechugo de concha.];[FIJI: Babadabeniga, Bekabekairaga, Jalkhumbe.];[FRENCH: Bofinace, Héliotrope, Jacinthe d'eau, Eichhornie.];[GERMAN: Wasserhyazinthe.];[GUATEMALA: Lirio acuatico, Ninfa.];[INDIA: Akasa thamarai, German pana, Jalkhumbi, Kachuripana, Kajor pati, Kolavazha, Kulavali, Neithamarai, Pisachi thanana, Sokh-samundar, Yagoi, Vilayati pana.];[INDONESIA: Bengai gondo, Bengok, Bia bia, Eceng, Eceng gondok, Eceng padi, Gendot, Ilung ilung, Mampau/mampoh, Nappong, Sekar bopong, Wewehan.];[ISRAEL: Yakinton hamaim.];[ITALIAN: Aichornia, Giacinto d'acqua.];[JAMAICA: Water lily'.];[JAPANESE: Hotei-aoi, Torin, Uchikusa, Weinchan.];[MADAGASCAR: Tetezanalika, Tsikafokafona.];[MALAYSIA: Bunga jamban, Keladi bunting, Kemeling telur.];[MUARITIUS: Hoteiaoi.];[MEXICO: Jacinto acuatico, Lirio acuatico.];[MYANMAR: Beda-bin, Ye-padauk.];[NICARAGUA: Lirio de agua.];[PAKISTAN: Gulbakauli, Kalali.];[PERU: Camalote, Lirio de agua.];[PHILIPPINES: Water lily.];[PORTUGUESE: Jacinto aquatico.];[PUERTO RICO: Flor de agua.];[SOUTH AFRICA: Florida devil, Lilac devi, Waterhiasint.];[SPANISH: Cola de pato, Hierba jicotea, Lagunero, Lechuguilla, Lila de agua, Lila de caño, Pontederia azul, Reina del agua, Taruya.];[SRI LANKA: Diya kehel, Diya manel, Habara/habarala, Sabara, Yapura.];[SURINAME: Badawaro, Moessiri, Oponopa-joelire.];[TAIWAN: Putailien.];[THAI: Paktopjava, Sawah, Top-chawa.];[TURKISH: Su sümbülü.];[URUGUAY: Aguape/aguape-puru.];[USA: River raft.];[VENEZUELA: Bora, Lagunera.];[VIETNAM: Luc-binh.].
ชื่อวงศ์---PONTEDERIACEAE
EPPO Code---EICCR (Preferred name: Eichornia crassipes.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย เอเซีย
Eichornia crassipes เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Pontederiaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann zu Solms-Laubach อีกนัยหนึ่งคือ Hermann Maximilian Carl Ludwig Friedrich Graf zu Solms-Laubach (1842–1915) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2426

Image credits ; http://www.eastafricanplants.senckenberg.de/root/index.php?page_id=47&id=615

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันมีการแปลงสัญชาติในแอฟริกา ออสเตรเลีย อินเดีย และประเทศอื่นๆ อีกมาก พบที่ระดับความสูง 5 - 2,600 เมตร เป็นวัชพืชน้ำจืดที่สำคัญในพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ปราศจากน้ำค้างแข็งของโลก และโดยทั่วไปถือว่าเป็นพืชน้ำที่มีปัญหามากที่สุด ( Holm et al., 1997 ) เมื่อใดก็ตามที่มันได้พบกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มันก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วอย่างมหัศจรรย์เพื่อสร้างพื้นที่ monotypic ขนาดใหญ่ในทะเลสาบ แม่น้ำ และนาข้าว จากนั้นจะส่งผลเสียต่อกิจกรรมของมนุษย์ (การประมง การขนส่งทางน้ำ) และความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัด มักจะมีเพียงกลยุทธ์การจัดการแบบบูรณาการ ซึ่งรวมถึงการควบคุมทางชีวภาพเท่านั้นที่สามารถเป็นวิธีแก้ปัญหาระยะยาวสำหรับศัตรูพืชชนิดนี้
ลักษณะ เป็นพืชน้ำล้มลุกขนาดเล็ก อายุอยู่ได้หลายฤดู ลำต้นเป็นกอลอยไปตามน้ำหรือถ้าน้ำตื้นก็หยั่งรากลงดิน รากยาวและเกิดแน่นเป็นกระจุก ตาของซอกใบจะพัฒนาเป็นระยะ ๆ เป็น stolon โดยจะเติบโตในแนวนอนประมาณ 10-50 ซม.ก่อนสร้างต้นลูก ใบประกอบด้วยก้านใบ (มักบวมหนา 2-5 ซม.) และใบ (ประมาณกลม รูปไข่หรือรูปไต กว้างไม่เกิน 15 ซม.) โคนก้านใบและใบที่ตามมาจะถูกปิดล้อมด้วยก้านใบยาวไม่เกิน 6 ซม.ก้านใบพองอวบน้ำข้างในเต็มไปด้วยช่องอากาศคล้ายฟองน้ำ ดอกสีม่วงอ่อนออกเป็นช่อ ช่อดอกมีลักษณะเป็นยอดแหลมซึ่งพัฒนาจากเนื้อเยื่อปลายยอด มีดอก 8-15 ดอก ดอกไม้แต่ละดอกมีหลอด perianth ยาว 1.5 ซม. ขยายออกเป็นสีม่วงหรือสีม่วง 6 แฉก ยาวไม่เกิน 4 ซม. กลีบหลักมีแพทช์รูปเพชรสีเหลืองสดใสล้อมรอบด้วยสีม่วงเข้ม เมื่อช่อดอกหลุดออกจากฝักจนหมด ดอกจะบานพร้อมกัน เริ่มตอนกลางคืน เสร็จสิ้นกระบวนการในตอนเช้า และเหี่ยวเฉาในคืนถัดไป ผลเป็นแคปซูลแต่ละเม็ดสามารถบรรจุเมล็ดขนาดเล็กได้มากถึง 450 เมล็ด โดยแต่ละเม็ดมีขนาดประมาณ 1 x 3 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด น้ำที่มีค่า pH เหมาะสมอยู่ระหว่าง 6 ถึง 8 และค่า pH ต่ำกว่า 4.5 หรือสูงกว่า 10  อาจสร้างความเสียหายได้ ความเข้มข้นของแคลเซียมมีความสำคัญ โดยมีเกณฑ์ที่สังเกตได้คือ 5 มก./ลิตร ซึ่งหากต่ำกว่านี้การเจริญเติบโตจะหยุดลง อัตราการเจริญเติบโตเร็วมากพืชสามารถขยายขนาดประชากรได้เป็น2เท่าใน 6 ถึง 18 วัน
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นไม้ประดับน้ำทั่วโลกในเขตอบอุ่น เนื่องจากมีดอกไม้ที่โดดเด่น มูลค่าไม้ประดับที่สูงของพืชเปิดขึ้นสำหรับการขายบนอินเทอร์เน็ต
-อื่น ๆ สามารถใช้เป็นวัสดุคลุมดินสำหรับทำปุ๋ยหมัก อิฐเชื้อเพลิง กระดาษหรือกระดาน สำหรับผลิตก๊าซมีเทนชีวภาพ และสำหรับการกำจัดสารอาหารและสารเคมีที่เป็นพิษออกจากน้ำ งานล่าสุดเกี่ยวกับการทำปุ๋ยหมักซึ่งพบว่าระบบทำปุ๋ยหมักขนาดใหญ่ที่ใช้ผักตบชวาเป็นวัตถุดิบหลักมีอุณหภูมิสูงพอที่จะทำให้เมล็ดพืชและเชื้ออื่นๆ หยุดทำงาน และทำให้พืชสามารถหมักได้โดยไม่มีอันตรายจากการแพร่กระจาย
-ผักตบชวามีความสำคัญมากในการบำบัดน้ำเสีย ทนต่อมลพิษประเภทต่างๆ Yan และคณะ (2012)ทดสอบE. crassipesสำหรับการกำจัดมลพิษในทะเลสาบเฉาไห่ ประเทศจีน และพบว่าพืชไม่เพียงแต่สามารถกำจัดฟอสฟอรัสในน้ำเท่านั้น แต่ยังกำจัดฟอสฟอรัสที่ละลายน้ำได้ในตะกอนของทะเลสาบเฉาไห่ - Ndimele and Ndimele (2013) แนะว่าสายพันธุ์ดูดซับปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน และสามารถนำมาใช้สำหรับการฟื้นฟูระบบนิเวศทางน้ำที่ปนเปื้อนน้ำมันดิบ
-มันถูกใช้เป็นอาหารสัตว์อย่างแพร่หลาย
งานเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์รวมถึง
-การใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ในบังคลาเทศ ( Nasima et al., 1997 );
-เป็นปุ๋ยหมักเพื่อปราบปรามไส้เดือนฝอยในอินเดีย ( Verma et al., 1997 );
-สำหรับการทำน้ำให้บริสุทธิ์ ( Ayade, 1998 );
-สำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ ( Rodriguez et al., 1997 ; Sarkar and Banergee, 2013 ));
-สำหรับให้อาหารควายในอินเดีย ( Mitra et al., 1997 );
-สำหรับเป็นวัสดุคลุมดินเพื่อกำจัดวัชพืชในประเทศอินโดนีเซีย ( Lamid and Wahab, 1996 )
ระยะออกดอก---การออกดอกเป็นฤดูกาลในบางประเทศ แต่ไม่ชัดเจนในบางประเทศ เห็นได้ชัดว่ามีการตอบสนองต่อช่วงแสงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่มีหลักฐานจำนวนมากที่แสดงว่าการออกดอกอาจเกิดจากการขาดสารอาหาร
ขยายพันธุ์---โดยการเกิดไหลตามซอกใบแล้วเจริญเป็นต้นอ่อนที่ปลายไหล


กระจับ/Trapa bispinosa


ชื่อวิทยาศาสตร์---Trapa natans var. bispinosa (Roxb.) Makino.(1897)
ชื่อพ้อง --- Has 17 Synonyms.
---Basionym: Trapa bicornis Osbeck.(1757)
---Trapa bispinosa Roxb.(1815)
---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77098653-1#synonyms
ชื่อสามัญ ---Water chestnut, Water Caltrops, Buffalo nut, Bat nut, Devil pod, lLng nut, Singhara Nut.
ชื่ออื่น ---กระจับ, มะแง่ง;[ASSAMESE: Bor singori, Paniphal.];[CHINESE: Ou líng.];[INDIA: Singara.];[JAPANESE: Hishi.];[KOREA: Ma reum.].
ชื่อวงศ์ ---TRAPACEAE
EPPO Code---TRPNB (Preferred name: Trapa natans var. bispinosa.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'natans' = ลอยหรือว่ายน้ำ
Trapa natans var. bicornis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Trapaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Tomitaro Makino (1862–1957) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ในปี พ.ศ.2440
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในไต้หวัน จีน เกาหลี และญี่ปุ่น แพร่กระจายในเขตร้อน อเชีย ยุโรป และแอฟริกา พบในในน้ำลึกถาวร ในน้ำนิ่งที่ไหลช้าของแม่น้ำและทะเลสาบ
ลักษณะ เป็นไม้น้ำล้มลุกหลายฤดู เป็นกอลอยอยู่เหนือน้ำรากหยั่งลงดิน ใบมี 2 ชนิด ชนิดหนึ่งลอยปริ่มน้ำ รูปใบลักษณะคล้ายพัดด้ามจิ้ว ก้านใบยาว พองเป็นกระเปาะตรงกลางใบอีกชนิดหนึ่งอยู่ในน้ำเป็นเส้นฝอยๆ ดอกสีขาวบานเหนือน้ำ ดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 4 กลีบ กลีบดอก 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ติดสลับกับกลีบดอก รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ เมื่อผสมพันธุ์แล้วก้านจะงอลงน้ำเพื่อให้รังไข่เจริญเติบโตเป็นผล ผลอ่อนสีม่วงแดง ผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีดำ ผลหรือที่เรียกกันว่าฝักกระจับ คล้ายหน้าควาย หรือวัว มีเขาโค้ง 2 ข้าง ซึ่งเจริญมาจากกลีบเลี้ยง 2 กลีบ ส่วนอีก 2 กลีบฝ่อ และหลุดร่วงไป ผลไม้จะสุก จากนั้นจะจมลงในตะกอนเมื่อพืชเริ่มเสื่อมสภาพ พืชสลายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เมล็ดสามารถอยู่เฉยๆได้นานถึง 10 ปี
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด สามารถเติบโตได้ในแหล่งน้ำจืดทุกแห่งและพบได้ทั่วไปในน้ำลึก 0.3 ถึง 3.6 เมตร น้ำต้องอุดมด้วยสารอาหารที่มีค่า pH 6.7 - 8.2
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อในฝักกินได้ แต่ต้องต้มสุกก่อน ควรระวังพยาธิใบไม้ ในต่างประเทศทำแป้งจากกระจับซึ่งมีแป้งอยู่ถึงร้อยละ 16 และมีโปรตีนร้อยละ 3 แต่ในประเทศไทยยังไม่มีผู้ใดทำ
-ใช้เป็นยา สรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง แก้ปวดท้อง บำรุงผิว บำรุงกระดูก
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกประดับในสวนน้ได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-พฤศจิกายน/ตุลาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


ปรงไข่/Acrostichum aureum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Acrostichum aureum L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 32 Synonyms.
---Acrostichum guineense Gand.(1920)
---Acrostichum inaequale Willd.(1810)
---Chrysodium aureum (L.) Mett.(1856)
---Chrysodium inaequale (Willd.) Fée.(1845)
---Chrysodium vulgare Fée.(1845)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:319061-2
ชื่อสามัญ---Coast Leather Fern, Coastal Leather Fern, Leather fern, Swamp fern, Golden leather fern, Mangrove fern, Swamp fern.
ชื่ออื่น---ปรงทะเล, ปรงแดง, ผักชล, ปรงทอง, ปรงใหญ่, ปรงไข่;[BENGALI: Hudo.];[CAMBODIA: Prâng' tük, Brang tuk (Central Khmer).];[CUBA: Palmita de rios.];[FRENCH: Fougère dorée.];[GERMAN: Mangrovefarn.];[JAPANESE: Mimimochishida.];[INDONESIA: Paku laut (general), Paku cai (Sundanese), Krakas (Java)];[MALAYALAM: Machchin-thol.];[MALAYSIA: Daun Peye (Kedah); Larat, Paku Larat, Paku Laut, Piai, Piai Paya, Piai Raya (Malay).];[MARATHI: Aankur.];[PHILIPPINES: Lagolo, Pakong-laut, Pagaypay.];[PORTUGUESE: Samambaia do brejo, Samambáia-do-mangue.];[SPANISH: Ranconcha.];[TAMIL: Minni.];[THAI: Prong khai, Prong thale (general); Prong daeng, Phak chol; Pee-yo (Malay-Satun).];[VIETNAM: Rasang daji, Cay rasang.].
ชื่อวงศ์---PTERIDACEAE
EPPO Code---AOHAU (Preferred name: Acrostichum aureum.)
ถิ่นกำเนิด---เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย แอฟริกา แคริเบียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล '' มาจากถาษากรีก 'akros' = terminal และ 'stichos' = a row
Acrostichum aureum เป็นสายพันธุ์ของพืชตระกูลเฟินในครอบครัววงศ์ Pteridaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก พบในเอเชียตะวันตก (อาหรับ), อินเดีย, ศรีลังกา, บังคลาเทศ, อินโดจีน, มาเลเซีย (มาลายา, สุลาเวสี, ฟิลิปปินส์), จีน (รวมถึงไต้หวัน), เซเนกัลถึงไนจีเรียและแคเมอรูน, ซาเอียร์, แอฟริกาตะวันออก, แองโกลาถึงโมซัมบิก, เคป, มาดากัสการ์, สหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา), เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ, ตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล), นิวกินี, ออสเตรเลีย (เหนือ, ควีนส์แลนด์) พบมากในป่าชายเลนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นไม้พื้นล่าง ส่วนมากมักขึ้นตามบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เช่น ป่าชายเลน และบริเวณแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่ระดับความสูง 0-950 เมตร ในประเทศไทยจะพบเป็นส่วนมากที่ภาคใต้และภาคตะวันออก
ลักษณะ เป็นเฟิร์นล้มลุกขนาดใหญ่ ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินส่วนที่อยู่บนดินขนานไปกับพื้น สูงประมาณ 1-3 เมตร ส่วนใบจะชูขึ้นมาเป็นกอด้านบน ด้านล่างของโค่นต้นจะมีรากค้ำยัน ใบมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือตอนที่ต้นปรงไข่ยังมีขนาดเล็กจะมีใบแบบใบเดียวเป็นรูปไข่ สีเขียวและขอบขนาน เมื่อโตขึ้นจะลักษณะแบบใบประกอบขนนกคล้ายหอกแต่ปลายมน ใบขนาดใหญ่ยาวถึง 1.8 เมตร ใบมีลักษณะเป็นมัน กว้างและเป็นปีกนก ส่วนปลายมีสีเขียวเข้ม ลักษณะเป็นหนัง เรียงสลับกันและเว้นระยะห่างกันมาก ใบด้านนอกโค้งไปด้านข้าง แต่ใบตรงกลางเกือบจะตรง ใบที่ใหญ่กว่าบางใบจะมี sporangia  (อวัยวะสืบพันธุ์) อยู่ที่.ใบย่อยห้าถึงแปดคู่ สีแดงอิฐและทำให้ใบย่อยมีลักษณะเป็นแผ่น มียอดอ่อนสีแดง ลักษณะหนาหยาบ เป็นการสร้างสปอร์อยู่ใต้ใบ ที่ท้องใบมีจุดสีน้ำตาลแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในเกือบทุกสภาพแสง ตั้งแต่แสงแดดจัดไปจนถึงร่มเงาที่หนาแน่น ต้องการตำแหน่งที่ชื้นอย่างถาวร เป็นพืชที่ชอบดินชุ่มชื้นมีความชื้นสูงและมีอินทรีย์วัตถุมากพื้นผิวเปียกตลอดเวลา ปรงไข่เป็นพืชที่ความทนทานสูงและมีอายุยืน
ใช้ประโยชน์----มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อาหารสัตว์ ยา และ อาหาร
-ใช้กิน ในกัมพูชา ใบอ่อนมาก - สุก กินในสลัด ในรัฐกัว ของอินเดีย เฟิร์นถูกกินสุกในน้ำเกรวี่รสเผ็ดที่รู้จักกันในชื่อ 'tonak' ถือว่าเป็นอาหารอันโอชะของคนในท้องถิ่น
-ใช้เป็นยา ส่วนพืชใช้ เหง้าและใบ เหง้าบดเป็นผงใช้รักษาบาดแผลเรื้อรัง และฝี ใช้ใบกับงูพิษกัดเป็นยาแก้พิษ รักษาอาการเจ็บคอ เจ็บหน้าอก เท้าช้าง ยาขับลม แก้ปวดเมื่อย ใช้แก้ปัสสาวะขุ่นในสตรี
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกประดับในสวนน้ได้ดีมีความสวยงามทนทาน
-อื่น ๆเฟิร์นแห้ง พันเป็นท่อน ใช้แทนฟางมุงหลังคา
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
ขยายพันธุ์---สปอร์ เหง้า


พุทธรักษา/Canna x generalis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Canna indica L.(1753)
ชื่อพ้อง ---Has 140 Synonyms.
---Canna coccinea Mill.(1768)
---Canna warszewicwii Dietr.(1851)
---Canna edulis Ker Gawl.(1824)
---Canna aurantiaca Roscoe.(1826)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-223906
ชื่อสามัญ ---Canna lily, Common garden canna, Indian shot, African arrowroot, Edible canna, Purple arrowroot, Sierra Leone arrowroot.
ชื่ออื่น---พุทธรักษา, บัวละวงศ์ (ลำปาง); บัวละวง (ลพบุรี); พุทธศร (พายัพ); พุทธสร (ภาคเหนือ); สาคูหัวข่า สาคูมอญ (ภาคกลาง); ปล้ะย่ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน);[ARGENTINA: Cucuyus.];[ASSAMESE: Parijat/ Sarbojaya/ Kolaboti.];[AUSTRALIA: Indian shot.];[BENGALI: Sarbajaya.];[BOLIVIA: Achira, Blatanillo.];[BRAZIL: Cana-da-índia.];[CAMBODIA: Chék téhs.];[CHINESE: Měi rén jiāo shǔ.];[CZECH: Dosna indická.];[DUTCH: Indisch bloemriet.];[FRENCH: Balisier, Balisier rouge, Canna, Canna comestible, Canna d'Inde.];[GERMAN: Indisches Blumenrohr.];[HINDI: Sarvajjaya.];[HUNGARIAN: Ehető kanna.];[INDONESIA: Buah tasbeh, Ganyong, Ubi pikul.];[ITALIAN: Canna d'India.];[JAPANESE: Dandoku, Hana-kanna, ;Kanna.];[KANNADA: Kalahu.];[LAOS:  Kwàyz ké, Kwàyz ph'uttha son.];[MALAYSIA: Daun tasbeh, Ganjong, Pisang sebiak.];[MARATHI: Kardal.];[MYANMAR: Adalut, Butsarana.];[PAKISTAN: Kalee.];[PHILIPPINES: Balunsaying, Kukuwintasan, Yikas-tikas.];[PORTUGUESE: Araruta-bastarda, Bengaleira, Cana-da-índia, Conteira, Cuquilho, Roca-viana.];[RUSSIA: Kanna indiyskaya.];[SAMOA: Fa‘i masoa, Fagamanu, Fanamanu.];[SOUTH AFRICA: Indiese kanna.];[SPANISH: Bandera española, Caña comestible, Platanillo, Yuquilla.];[TAMIL: Kalvazhai.];[THAI: Bua lawong, Phuttharaksa, Phutthason.];[TONGA: Misimisi.];[USA/Hawaii: Ali‘ipoe, Li‘ipoe, Poloka.];[VIETNAM: Chuoosi hoa, Dong rieefng, Khoai dao.].
ชื่อวงศ์---CANNACEAE
EPPO Code---CNNIN (Preferred name: Canna indica.)
ถิ่นกำเนิด--- ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์--- อเมริกาใต้ อเมริกากลาง อินเดียตะวันตก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'indica' = of India
Canna indica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Cannaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ อเมริกากลาง อินเดียตะวันตก และเม็กซิโก แปลงสัญชาติในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (ฟลอริดา เท็ กซัสลุยเซียนาและเซาท์แคโรไลนา ) และส่วนใหญ่ของยุโรปแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโอเชียเนีย ชอบขึ้นตามที่แฉะๆริมน้ำ พบตามหนองน้ำหรือริมน้ำที่โล่งแจ้ง พื้นที่ที่มีการรบกวน สวน คูระบายน้ำ ช่องชลประทาน ขอบเขื่อน ขอบป่า/ช่องว่าง พื้นที่ราบลุ่ม พื้นที่ชุ่มน้ำ และแหล่งน้ำ  ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 1,900 เมตร C. indica เป็นเป็นสายพันธุ์รุกราน ถูกรวมอยู่ในGlobal Invasive Species Database
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกหลายฤดูมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นมีความสูงประมาณ 0.5-2.4 เมตร มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอ ใบใหญ่คล้ายใบตองแต่เล็กว่ายาว 20-60 ซม. และกว้าง 10-30 ซม ดอกออกเป็นช่อตรงส่วนยอดของลำต้น แต่ละดอกขนาดใหญ่สีสวยสดุดตา มีหลายสี เช่น แดง แสด เหลือง กลีบดอกบางนิ่ม ขนาดของดอกและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์ ผลเป็นแคปซูลกลมรีสีเขียวผิวขรุขระยาว 1.5-3 ซม. และกว้าง 1.5-2 ซม แก่แล้วแตกภายในมีเมล็ดกลมสีดำจำนวนมาก เมล็ดเหล่านี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ยาว 5-8 มม. และกว้าง 4-7 มม.แข็งมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินที่ลึก อุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำดี ค่า pH อยู่ระหว่าง 5.5–7.5  ทนได้ 5 - 8 พืชที่สามารถทนต่ออุณหภูมิต่ำได้ (ลดลงถึง -10 °C ในภูมิภาคที่มีสภาพอากาศไม่รุนแรง) อย่างไรก็ตาม ใบสามารถได้รับผลกระทบได้ที่ 0 °C. พืชโตเร็ว และสามารถออกดอกได้ในปีแรกของการเจริญเติบโตจากเมล็ด
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง เป็นพืชที่แข็งแรงและมีโรคและแมลงศัตรูพืชเพียงไม่กี่ชนิด ด้วงและตั๊กแตนอาจกินใบและหนอนเจาะ ( Agrotis spp.) โจมตีเหง้า
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เป็นพืชอาหารรองที่ปลูกโดยชนพื้นเมืองในอเมริกาเป็นเวลาหลายพันปี หน่ออ่อนนำมาต้มกินเป็นผัก เหง้าขนาดใหญ่กินดิบได้ แต่มักนำไปอบ เมื่อสุกเหง้าจะโปร่งแสง มีเมือก และมีรสหวาน แป้งที่ได้จากเหง้าสามารถย่อยได้ง่ายจึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารสำหรับทารก
-แป้งจากรากพุทธรักษาใช้เป็นแป้งเท้ายายม่อม ซึ่งสามารถทดแทนแป้งหรือแป้งข้าวโพดได้ รากมีแป้งประมาณ 25%
-เป็นส่วนผสมในสูตรอาหารของศตวรรษที่ 19 เช่น เค้ก และถูกเรียกว่าtous-les-mois
-แป้งที่สกัดจากพุทธรักษาใช้ทำบะหมี่ในเวียดนาม
-ในพื้นที่ชนบทของอินเดีย พุทธรักษาใช้ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เรียกว่า raksi
ใช้เป็นยา--- ใช้รักษาอาการปวดประจำเดือนได้ รากสามารถใช้รักษาโรคหนองในและประจำเดือนได้
-ในไนจีเรีย ผู้คนเปลี่ยนรากเป็นผงและรับประทานเพื่อรักษาอาการท้องร่วงและโรคบิด พวกเขายังใช้ดอกไม้เป็นยารักษาโรคมาลาเรีย
-ในส่วนอื่น ๆ ของแอฟริกา พุทธรักษาถูกนำมาใช้ในห้องอาบน้ำเพื่อรักษาไข้ และดอกไม้ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาโรคตา
-ในฟิจิ ใบของพืชถูกนำมาใช้เป็นยาต้ม ซึ่งมักจะให้สตรีหลังคลอดรักษาอาการปวดหัว ยาต้มจากเปลือกของพืชยังใช้ในการรักษาบาดแผลและรักษาอาการพิษจากปลา
-ในคอสตาริกา ใบของพืชใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
-ในบังคลาเทศยาแปะทำมาจากพุทธรักษาเพื่อรักษาต่อมทอนซิลอักเสบ
-ในซามัว น้ำผลไม้ถูกสร้างขึ้นด้วยพุทธรักษาเพื่อรักษาอาการอักเสบ
ใช้ปลูกประดับ--- ปลูกประดับเป็นไม้ชายน้ำ ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเพื่อเป็นไม้ประดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดอกไม้และใบไม้ที่สวยงาม
ใช้อื่น ๆ--- เส้นใยจากลำต้นสามารถปั่นให้เป็นเส้นเหมือนปอ เมล็ดพุทธรักษาใช้ในเครื่องดนตรี ทำสร้อยคอและสายประคำ
-ใบสามารถใช้ทำสีย้อมสีม่วงและกระดาษสีน้ำตาลได้ และใช้สำหรับมุงหลังคา
-สามารถปลูกในน้ำที่มีมลพิษทางเคมีเพื่อใช้ในการบำบัดได้ สามารถใช้สำหรับการบำบัดน้ำเสียจากอุตสาหกรรมผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำที่สร้างขึ้น มีประสิทธิภาพในการกำจัดสารอินทรีย์ที่มีโหลดสูง สี และสารประกอบอินทรีย์ที่มีคลอรีนจากน้ำเสียจากโรงงานกระดาษ
-ในประเทศจีนแป้งCanna indicaและโพลิเอทิลีนถูกใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ พลาสติกประเภทนี้มีราคาไม่แพงและสามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยเพื่อการผลิตพืชผลได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
สำคัญ---วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันพ่อแห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ.2523 เป็นต้นมา ดอกพุทธรักษาคือดอกไม้สัญลักษณ์ วันพ่อแห่งชาติ
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดหรือเหง้า เมล็ดมักจะงอกใน 3 - 9 สัปดาห์

พุทธรักษาไทย/Canna Qlauca

ชื่อวิทยาศาสตร์---Canna glauca L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 27 Synonyms.
---Canna angustifolia L.(1753)
---Canna fintelmannii Bouch?.(1845)
---Canna siamensis Kraenzl.(1912)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-223895
ชื่อสามัญ---Aquatic Canna,Maraca amarilla, Louisiana canna, Water Canna
ชื่ออื่น---พุทธรักษา, บัวละวงศ์, บัวละวง, พุทธศร, พุทธสร;[BRAZIL: Bananeirinha, Coquilho, Erva-das-feridas.];[COLOMBIA: Bandera amarilla.];[FRENCH: Balisier jaune.];[PORTUGUESE: Canna-do-brejo, Canna-do-brejo-amarela, Piriquiti.];[SPANISH: Maraca amarilla.];[SWEDISH: Louisiana-kanna.];[THAI: Bua lawong, Phuttharaksa, Phutthason.].
ชื่อวงศ์---CANNACEAE
EPPO Code---CNNGL (Preferred name: Canna glauca.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์ ---S. America- อาร์เจนตินา, อุรุกวัย, ปารากวัย; C. America- เม็กซิโกและเท็กซัส, คาริบเบียน, ฟลอริดา,  S แคโรไลนา; ศรีลังกา, ไทย, เวียตนาม, ชวา, ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Canna' มาจากคำภาษากรีก 'kanna' หมายถึง "reed" ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'glauca' =  
Canna Qlaucaเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Cannaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ความหลากหลาย (varieties);-
---Canna glauca var. glauca
---Canna glauca var. siamensis (Kraenzl) N.Tanaka.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ชุ่มน้ำแถบตะวันออกเฉียงใต้และใต้ตอนกลางของสหรัฐอเมริกา(เท็กซัส, ฟลอริดา, ลุยเซียนาและเซาท์แคโรไลนา)เช่นเดียวกับเม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้และหมู่เกาะอินเดียตะวันตก แปลงสัญชาติในศรีลังกา ไทย เวียดนาม ชวาและฟิลิปปินส์ ชอบขึ้นตามที่แฉะๆริมน้ำ ริมหนองบึงและคูน้ำ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 50-100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกหลายฤดูมีเหง้าอยู่ใต้ดิน มีการเจริญเติบโตโดยแตกหน่อเป็นกอ ลำต้นมีความสูงประมาณ 0.80-1 เมตร ใบแคบสีเขียวอมฟ้า (glaucous) ยาวได้ถึง 45 ซม.ดอกสีขาวขุ่นอมเหลืองขนาดเล็ก ผลแห้งมีเมล็ดสีเข้มและกลม  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มที่หรือในที่ร่มบางส่วน (ไม่สามารถเติบโตในที่ร่มได้เต็มที่)พืชมีใบขนาดใหญ่และไม่ชอบสภาพที่มีลมแรงเพราะอาจทำให้ใบฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ต้องการดินอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ระบายน้ำได้ดี สามารถปลูกได้ดีในน้ำและสามารถปลูกในน้ำที่สูงได้ถึง 6 นิ้ว พืชโตเร็ว และสามารถออกดอกได้ในปีแรกของการเจริญเติบโตจากเมล็ด
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไวต่อ ด้วงญี่ปุ่น หนอนผีเสื้อ ทาก และหอยทากกินใบไม้ อาจเกิดโรคใบจุด ราสนิม และโรคราน้ำค้าง
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชก็เก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้ราก  
-ใช้กิน ราก - สุก แป้งสามารถสกัดและใช้เป็นแป้งเท้ายายม่อม แป้งได้มาจากการขูดรากให้เป็นเนื้อ จากนั้นล้างและรัดเพื่อกำจัดเส้นใย หัวอ่อนมากสามารถกินได้ รสหวาน แต่มีเส้นใย
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนน้ำ สามารถปลูกลงดินหรือในภาชนะขนาดใหญ่
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม และเมล็ดจะสุกในเดือนตุลาคม
ขยายพันธุ์--- เมล็ด เหง้า หรือหัว (รวมทั้งหน่อ) เมล็ดมักจะงอกใน 3 - 9 สัปดาห์


บัวหลวง/Nelumbo nucifera

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nelumbo nucifera Gaerth.(1788)
ชื่อพ้อง ---Has 28 Synonyms.
---Nelumbium speciosum Willd.(1799)
---Nelumbium nuciferum G?rtner.(1788)
---Nymphaea nelumbo L.(1753)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2384945
ชื่อสามัญ---Lotus, Indian lotus, East Indian lotus, Chinese water lily, Sacred lotus, Oriental lotus, Bean of India, Egyptian bean
ชื่ออื่น---บัวหลวง, ปทุมชาติ;[ASSAM: Padam.];[BENGALI: Padma, Komol.];[CHINESE: Li?n sh?.];[DUTCH: Heilige lotus.];[FRENCH: F?ve d'Egypte, Lotus des Indes, Lotus sacr?, Nelumbo d'Orient.];[GERMAN: Indische Lotosblume.];[HINDI: Kamal, Kanwal.];[HUNGARIAN: Indiai l?tusz.];[INDIA: Aravindam, Chenthamara, Kamal, Thamara.];[ITALIAN: Fior di loto, Fior di loto asiatico, Loto d'Egitto, Loto indiano.];[JAPANESE: Chawambasu, Hasu.];[KANNADA: Tavare.];[KOREA: Yeon kkot.];[MALAYALAM: Tamara.];[MARATHI: Kamal.];[PORTUGUESE: Flor-de-l?tus, L?tus.];[SANAKRIT: Ambuj, Kamala, Pankaja, Sharada, Sarsija.];[SPANISH: Flor de loto, Loto, Loto asi?tico, Loto indiano, Loto indio, Loto sagrado, Lotus de la India, Nelumbo.];[SWEDISH: Indisk lotus.];[TAMIL: Ambal, Tamarai.];[TELUGU: Tamara.];[THAI: Bua louang, Pathumchaat.];[URDU: Nilufer.];[VIETNAM: Hoa sen.].
ชื่อวงศ์---NELUMBONACEAE
EPPO Code---NELNU (Preferred name: Nelumbo nucifera.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียเขตร้อน ควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย
Nelumbo nucifera เป็นสายพันธุ์ของไม้ดอกน้ำในครอบครัววงศ์บัวหลวง (Nelumbonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2331
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายพันธุ์พื้นเมืองที่กว้างมาก ตั้งแต่ตอนกลางและตอนเหนือของอินเดีย (ที่ระดับความสูงถึง 1,400 เมตรในเทือกเขาหิมาลัยตอนใต้) ผ่านอินโดจีนตอนเหนือและเอเชียตะวันออก สายพันธุ์นี้ยังพบในอินเดียตอนใต้ ศรีลังกา แทบทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิวกินี และออสเตรเลียตอนเหนือและตะวันออก เติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำ (ลึกไม่เกิน 2.5 เมตร.) เช่น ที่ราบน้ำท่วมขัง บ่อน้ำ ทะเลสาบ แอ่งน้ำ หนองบึง ฯลฯ
ลักษณะ เป็นไม้น้ำยืนต้น ดอกไม้เป็นดอกเดี่ยว สีชมพู สีม่วงอมชมพู สีขาว ( N. nucifera ) หรือสีเหลืองซีด ( N. lutea ) ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ดอกไม้ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง 14-30 กลีบ โดยมีเกสร้พศผู้จำนวนมาก (100 – 400) ล้อมรอบช่องรับรูปกรวยที่มี (2)-10-30 carpels
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---
ศัตรูพืช/โรคพืช---
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ทุกส่วนของพืชสามารถกินได้ (ใบ ดอก เหง้า ราก เมล็ด และลำต้น) เช่น ใบ ลำต้น และเหง้า สามารถดอง ทอด ต้ม หรือกินดิบได้ แป้งจากเหง้ายังสามารถสกัดและใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารหรือทำเครื่องดื่มประเภทแป้งได้ เมล็ดสามารถกินได้ทั้งแบบดิบ ต้ม หรือคั่ว ในเกาหลีมีการใช้กลีบดอกบัวเพื่อทำสุราดอกบัว ในขณะที่ในประเทศจีน ใชเเกสรตัวผู้จากอินโดจีนจากดอกไม้นั้นใช้ปรุงแต่งรสชา
ใช้เป็นยา--- เป็นพืชที่รู้จักกันดีในศาสตร์การแพทย์โบราณและการแพทย์แผนจีน เมล็ดแห้งใช้เป็นยากล่อมประสาทและยาชูกำลัง เอ็มบริโอแห้งจากเมล็ดสุก ใช้เป็นยากล่อมประสาทและห้ามเลือด
-ในอายุรเวท ลำต้นใช้รักษาอาการบวมน้ำ อาการปัสสาวะลำบาก การติดเชื้อปรสิต หรือโรคผิวหนังและระบบประสาท ดอกไม้ถูกนำมาใช้เพื่อรักษาปัญหาทางเดินอาหาร ไข้ อหิวาตกโรค ใบถูกใช้เพื่อป้องกันเลือดออกทั้งภายในและภายนอก ในเอเชีย เมล็ดพืชและผลไม้ใช้รักษาโรคต่างๆ มากมาย เช่น อาการทางเดินอาหาร การอักเสบ มะเร็ง ไข้ โรคเรื้อน เลือดออก ความกังวลใจ นอนไม่หลับ ฯลฯ (Mehta et al. 2013)
ใช้ปลูกประดับ-- นิยมปลูกในสวนน้ำ บ่อน้ำจืดและทะเลสาบ
พิธีกรรม/ความเขื่อ---ภายใต้สถานการณ์ที่เอื้ออำนวย เมล็ดของไม้ยืนต้นในน้ำนี้อาจคงอยู่ได้นานหลายปี โดยที่การงอกของดอกบัวที่เก่าแก่ที่สุดที่บันทึกไว้มาจากเมล็ดอายุ 1,300 ปี ซึ่งฟื้นจากก้นทะเลสาบที่แห้งแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ดังนั้น คนจีนจึงถือว่าพืชชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุ ยืนยาว
สำคัญ---ไม้น้ำต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนา นับตั้งแต่วันประสูติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
-เป็นดอกไม้ประจำชาติเวียดนาม
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

บัวเผื่อน/Nymphaea nouchali


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Nymphaea nouchali Burm.f.(1768)
ชื่อพ้อง --Has 12 Synonyms.
---Nymphaea cyanea Roxb. ex G.Don.(1831)
---Nymphaea stellata Willd.(1799)
---Nymphaea stellata var. cyanea (Roxb. ex G.Don) Hook.f. & Thomson.(1855)
---Leuconymphaea stellata (Willd.) Kuntze.(1891)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2384389
ชื่อสามัญ---Blue lotus, Blue Lotus of India, Star lotus, Red and blue water lily, Blue star water lily, Manel flower.
ชื่ออื่น---บัวเผื่อน, นิลุบล, นิโลบล;[BENGALI: Nil sapla, Scundi.];[CHINESE: Yán yào shuì lián.];[FRENCH: Lotus bleu des Indes.];[GERMAN: Blaue indische Seerose.];[SANSKRIT: Utpala, Nilopala.];[SPANISH: Nenúfar rojo-azul, Nenúfar de Sri Lanka.];[SRI LANKA: Mānel, Nil mahanel.];[SWEDISH: Stjärnlotus.];[TAMIL: Neelotpalam.];[THAI: Ubonchaat, Nilobon, Ubon.].
ชื่อวงศ์---NYMPHAECEAE
EPPO Code---NYMST (Preferred name: Nymphaea nouchali.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน ผ่านเอเชียไปยังอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกินี และออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Nymphaea' มาจากภาษาละติน "nymphae" = นางไม้ ซึ่งเป็นเทพในตำนานภาษาละติน อาศัยอยู่ในป่า ทะเล แม่น้ำ และทะเลสาบ ; ชื่อของสายพันธุ์ 'nouchali' ดูเหมือนจะมาจากชื่อสถานที่ในบังคลาเทศ
Nymphaea nouchali เป็นสายพันธุ์ของไม้ดอกน้ำในครอบครัววงศ์บัวสาย (Nymphaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกชายของ Johannes Burman.ในปี พ.ศ.2311
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในภูมิภาคกว้างตั้งแต่อัฟกานิสถาน อนุทวีปอินเดียไปจนถึงไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย พบในเอเชียตะวันตก (อัฟกานิสถาน ปากีสถาน) เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) นิวกินี ออสเตรเลีย เติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ ตามคูคลอง หนอง บึง บ่อน้ำตื้น คูน้ำ และทะเลสาบที่ระดับความสูงถึง 500 เมตร
ลักษณะ อุบลชาติล้มลุกบานกลางวัน ดอกเล็ก ชูเหนือน้ำบานวันแรกสีครามและจะเปลี่ยนเป็นสีขาววันสุดท้าย ปลายกลีบดอกสีคราม จึงเรียกว่า บัวเผื่อน เป็นพันธุ์พื้นเมืองของไทย กลีบดอก 13-15 กลีบมีลักษณะเป็นมุมทำให้ดอกไม้ดูเป็นรูปดาวจากด้านบน กลีบเลี้ยงคล้ายถ้วยมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-15 ซม.ดอกมีกลิ่นหอม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ประสบความสำเร็จในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ชอบตำแหน่งที่มีแดดจัดในสระน้ำตื้น น้ำควรมีความเป็นกรดหรือเป็นกลางเล็กน้อย และพื้นผิวที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์ ซึ่งอาจเกิดจากชั้นของดินสวน ชั้นมูลสัตว์ และกรวดเป็นวัสดุปกคลุม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบและก้านดอก -กินเป็นผัก หัวดิบ ต้มหรือคั่วอุดมไปด้วยแป้ง นอกจากนี้ยังสามารถนำมาตากแห้งแล้วบดเป็นแป้ง ซึ่งสามารถใช้ทำโจ๊กได้
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในภาชนะ มักใช้ในตู้ปลาเนื่องจากใบที่แช่น้ำไว้ประดับ
-ใช้เป็นยา---เป็นพืชสมุนไพรในยาอายุรเวทอินเดียภายใต้ชื่อ ambal ส่วนใหญ่ใช้เพื่อรักษาอาการอาหารไม่ย่อย เมล็ดพืชได้รับการกำหนดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรักษาโรคเบาหวาน
-เหง้าเป็นยาสมาน ยาขับปัสสาวะ และยาชูกำลัง ยาต้มใช้รักษาอาการท้องร่วง โรคบิด ปวดท้อง อาการจุกเสียดและอาการอาหารไม่ย่อย การแช่เหง้าสดใช้รักษา blennorrhagia และการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
-เหง้าผงใช้เป็นยาระบายแก้โรคริดสีดวงทวาร
-น้ำใบและก้านใบที่มีรสขมเล็กน้อยใช้ในการรักษาโรคหนองใน ดอกไม้ถูกนำมาเป็นยาบำรุงหัวใจ
-ใช้อื่น ๆในอินเดียเพื่อเป็นอาหารสัตว์ เหง้าเป็นแหล่งของแทนนิน
พิธีกรรม/ความเขื่อ---ใช้สำหรับเทศกาลประเพณีและวัฒนธรรมในศรีลังกา ได้รับการกล่าวถึงในวรรณคดีสันสกฤต บาลี และสิงหลตั้งแต่สมัยโบราณภายใต้ชื่อ Kuvalaya, Indhīwara, Niluppala, Nilothpala, และ Nilupul แปลว่า เป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม วินัย และความบริสุทธิ์
-ตำนานในศรีลังกาอ้างว่าดอกไม้นี้เป็นหนึ่งในเครื่องหมายมงคล 108 ประการที่พบบนรอยพระบาทของเจ้าชายสิทธารถะ ว่ากันว่าเมื่อพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ ดอกบัวจะเบ่งบานทุกที่ที่พระองค์เสด็จดำเนินไปในชีวิต
สำคัญ---เป็นดอกไม้ประจำชาติของบังคลาเทศ พันธุ์สีขาว และศรีลังกา พันธุ์สีฟ้าอ่อน
รูัจักอันตราย---อัลคาลอยด์ nymphaeine พบได้ในทุกส่วนของพืช ยกเว้นในเมล็ด สารอัลคาลอยด์นี้เป็นพิษต่อกบและก่อให้เกิดอาการคล้ายบาดทะยัก
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

บัวผัน/Nymphaea nouchali var. caerulea

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nymphaea nouchali var. caerulea (Savigny) Verdc.(1989)
ชื่อพ้อง---Has 25 Synonyms.
---Basionym: Nymphaea caerulea Savigny.(1798)   
---Nymphaea capensis Thunb.(1800)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:605522-1
ชื่อสามัญ---Blue Egyptian lotus, Sacred blue lily, Cape blue waterlily, Sacred blue lily of the Nile
ชื่ออื่น---บัวผัน, บัวขาบ, บัวนิล;[AFRIKAANS: Amalebo-emfula (Ndebele); Hapa, Hobvwe (Shona); Ikalala (Ndebele); Kwibu (ตองกา: ซิมบับเว); Makalala (Hlengwe); Matiwu (Hlengwe).];[CHINESE: Āijí lán shuìlián.];[DUTCH: Blauwe lotusbloem, Blue lotus of the Nile.];[FRENCH: Lotus bleu, Lotus bleu du Cap, Lotus égyptien, Nénuphar bleu.];[GERMAN: Blaue Kapseerose, Blaue Lotosblume, Blaue Seerose, Blaue Wasserlilie.];[HINDI: Neelkamal.];[ITALIAN: Ninfea blu tropicale del Nilo.];[PORTUGUESE: Flor-de-lis-sagrada-das-águas, Lótus-azul, Ninféia-azul.];[SPANISH: Loto azul egipcio, Loto de Egipto, Nenúfar azul.];[SWEDISH: Blå egyptisk vattenlotus.];[THAI: Bua phan, Bua khaap, Bua nil.].
ชื่อวงศ์---NYMPHAECEAE
EPPO Code---NYMCA (Preferred name: Nymphaea nouchali var. caerulea.)
ถิ่นกำเนิด---แอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---อียิปต์ แอฟริกาเขตร้อน ควาซูลู-นาตาล แอฟริกาใต้ บังคลาเทศ อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Nymphaea' มาจากภาษาละติน "nymphae" = นางไม้ ซึ่งเป็นเทพในตำนานภาษาละติน อาศัยอยู่ในป่า ทะเล แม่น้ำ และทะเลสาบ ; ชื่อของสายพันธุ์ 'nouchali'
Nymphaea nouchali var. caerulea เป็นสายพันธุ์ของไม้ดอกน้ำในครอบครัววงศ์บัวสาย (Nymphaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Marie Jules César Lelorgne de Savigny (1777–1851) นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bernard Verdcourt (1925–2011) นักชีววิทยาและ นักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2532
ที่อยู่อาศัย แพร่หลายตั้งแต่อียิปต์ ทั่วแอฟริกาเขตร้อนจนถึงควาซูลู-นาตาล แอฟริกาใต้ เปิดตัวในบังคลาเทศ อเมริกาใต้ (ตะวันออก) เป็นพันธุ์พื้นเมืองที่ขึ้นตามริมคลองหนองบึง แม่น้ำ ทะเลสาบ และแอ่งน้ำ พบที่ระดับความสูง 10–1,650 เมตร
ลักษณะ เป็นอุบลชาติล้มลุกบานกลางวัน เติบโตจากเหง้าที่มีหัวใต้ดิน ดอกใหญ่ชูเหนือน้ำ กลีบเลี้ยงปกติ 4กลีบ กลีบดอก 12-24 กลีบส่วนใหญ่จะมีสีคราม สีฟ้าอ่อน - เข้ม หรือสีม่วง (จึงมีชื่อเรียกทางท้องถิ่นว่า บัวขาบ บัวนิล) ผลมีเนื้อขนาด2.2 x 3.2 ซม.และมีลักษณะกลมแบน เมล็ดเป็นทรงรียาว 1.2 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด น้ำควรมีความเป็นกรดหรือเป็นกลางเล็กน้อย ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1 °C)
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เหง้ากินได้เหมือนสายพันธุ์อื่น
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับสำหรับสวนน้ำในเขตร้อนถึงกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
-อื่น ๆดอกไม้ ใช้ทำน้ำหอมมาตั้งแต่สมัยโบราณ มันยังใช้ใน aromatherapy
พิธีกรรม/ความเขื่อ---มีaporphine อัลคาลอยด์ที่ออกฤทธิ์ทางจิตซึ่ง เป็นที่รู้จักของทั้งชาวมายาและชาวอียิปต์โบราณ ผลที่ทำให้สงบอย่างอ่อนโยน
-ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในตำนานอียิปต์ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์เนื่องจากดอกไม้ปิดในเวลากลางคืนและเปิดอีกครั้งในตอนเช้า
-เป็นสัญลักษณ์ของเทพอียิปต์Nefertem
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี โดยเฉพาะ พฤษภาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

บัวสาย/Nymphaea pubescens

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nymphaea pubescens Willd.(1799)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2384479
---Nymphaea lotus var. pubescens (Willd.) Hook. f. & Thomson).(1872)
ชื่อสามัญ---Lotus stem, Water lily, Red indian water lily, Hairy water lily, Night Lotus.
ชื่ออื่น---บัวแดง, สัตตบรรณ, บัวสายสีชมพู, โกมุท, ลินจง;[BENGALI: Shaluk, Shapla.];[FRENCH: Lotus indien.];[HINDI: Ko kaa.];[INDIA: Kamal, Neerambal, Periambal.][ITALIAN: Ninfea asiatica.];[MALAYSIA: Bunga Teratai, Telipuk Putih (Malay).];[RUSSIA: Kuvshinka opushënnaya.];[SANSKRIT: Kumuda.];[SWEDISH: Bronslotus.];[TAMIL: Allitamarai, Vellambal.];[THAI: Bua daeng, Bua sai si chomphoo, Komut, Linchong.].
ชื่อวงศ์---NYMPHAEACEAE
EPPO Code---NYMPU (Preferred name: Nymphaea pubescens.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน อินโดนีเว๊ย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Nymphaea' มาจากภาษาละติน "nymphae" = นางไม้ ซึ่งเป็นเทพในตำนานภาษาละติน อาศัยอยู่ในป่า ทะเล แม่น้ำ และทะเลสาบ ; ชื่อของสายพันธุ์ 'pubescens' = "มีขน"
Nymphaea pubescens เป็นสายพันธุ์ของไม้ดอกน้ำในครอบครัววงศ์บัวสาย (Nymphaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2342
มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับดอกบัวหลวง มีผู้เขียนบางคนที่ถือว่ามันเป็นสายพันธุ์ที่หลากหลาย
เป็นไม้พื้นเมืองในเขตร้อน พันธุ์พื้นเมืองของไทยได้แก่
---บัวแดง - สัตตบรรณ รัตตอุบล
---บัวขาว - เศวตอุบล
---ดอกสีชมพู - โกมุท
---มีผู้เรียกว่าลินจง หรือบัวสาย เพราะก้านดอกเป็นอาหาร ประเภทผัก
ที่อยู่อาศัย พืชชนิดนี้พบได้ทั่วไปในทะเลสาบและแอ่งน้ำตื้นทั่วเอเชียเขตร้อน: บัง คลาเทศ อินเดีย ศรีลังก ายูนนาน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ลาวเมียนมาร์ ไทย เวียดนาม อินโดนีเซียและมาเลเซีย และพบได้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียและปาปัวนิวกินี ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นอุบลชาติประเภทล้มลุก บานกลางคืน พืชน้ำที่มีเหง้า ยืนต้นหยั่งราก เหง้าตั้งตรงหรือคืบคลาน แตกกิ่งก้านสาขาและบางครั้งแตกแขนง ใบเป็นใบหลายรูป ใบขนาด 15–26(–50) ซม.มีขนหนาแน่นตามแนวแกน ขอบใบเลื่อยเป็นคลื่น ด้านบนมีสีเขียวมะกอกเข้ม และด้านล่างเป็นสีม่วงจนถึงก้านใบสีเขียว ใบที่จมน้ำมีสีน้ำตาลอมส้ม ดอกมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 15 ซม.ปิดในเวลากลางวันและบานในเวลากลางคืน สีของมันแตกต่างกันไปตั้งแต่สีขาวไปจนถึงสีชมพูม่วงหรือม่วง ขึ้นอยู่กับพันธุ์หรือ ลูกผสม ผล 3.5-5 ซม. ผลกลม สุกใต้น้ำ เมล็ดพืชจำนวนมาก ยาว 2 มม.สีดำอมชมพูเป็นรูพรุน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด พืชน้ำที่มีน้ำนิ่งลึก 0.5 - 2.5 เมตร เติบโตได้ดีในดินที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำนิ่งลึกอย่างน้อย 30 ซม.หากดินอุดมสมบูรณ์หรือน้ำลึกเกินไปก็สามารถยับยั้งการออกดอกได้ ชอบน้ำที่ไม่เป็นกรด และไม่ทนต่ออุณหภูมิต่ำกว่า 15 °C
ใช้ประโยชน์---ยังคงใช้พืชชนิดนี้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและอินเดีย เพื่อเป็นแหล่งอาหารและยา ในขณะที่ยังปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นไม้ประดับ
-ใช้กิน ก้านดอก - ดิบหรือสุก, ราก - ดิบหรือสุกต้มกินเป็นผัก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาตากแห้งแล้วบดเป็นแป้ง ซึ่งสามารถใช้ทำโจ๊กได้ เมล็ด - สุก. เมล็ดสามารถบดเป็นผงและผสมกับแป้งสำหรับทำเค้ก สามารถนำไปคั่ว ใส่แกง หรือดอง
-ใช้เป็นยา นิยมใช้ในยาอายุรเวท ดอกบัวเป็นสมุนไพรที่บรรเทาและสมานแผลที่มีผลขับปัสสาวะและยากล่อมประสาท รากสดหรือแห้ง ถูกนำมาใช้ภายใน ในการรักษาโรคอาหารไม่ย่อย, ลำไส้อักเสบ, ท้องร่วง, ริดสีดวงทวาร, ปัญหาทางเดินปัสสาวะ, ไข้และนอนไม่หลับ
-น้ำผลไม้ถูกนำมาใช้ภายในในการรักษาเลือดในปัสสาวะจากงูกัด - มักจะรวมกับ Setaria italica และเกลือ
-เมล็ดที่บดในน้ำเป็นยารักษาโรคเบาหวานแบบเก่า
สำคัญ---เป็นดอกไม้ประจำชาติบังคลาเทศ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า

บัวกระด้ง/Victoria amazonica

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Victoria amazonica (Poepp.) J.C.Sowerby.(1850)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-22600136
---Basionym: Euryale amazonica Poepp.(1832)
ชื่อสามัญ ---Victoria Waterlily, Royal water-lily, Amazon water-lily, Victoria-lily, Giant water lily, Water platter.
ชื่ออื่น---บัวกระด้ง, บัวถาด, บัววิกตอรีย;[DUTCH: Reuzenwaterlelie.];[FRENCH: Nénuphar géant, Victoria d'Amazonie.];[GERMAN: Amazonas Wasserlilie, Königin der Nacht, Riesenseerose.];[PORTUGUESE: Aguapé-assú, Vitória-régia, Forno-d'água, Forno-de-jaçanã, Jaçanã, Milho-d'água, Nanpé, Rainha-dos-lagos, Nenúfar-victória, Vitória-régia.];[RUSSIA: Viktoriya amazonskaya, Vodyanaya liliya amazonskaya, Vodyanaya liliya ogromnaya.];[SPANISH: Abatiyú, Agoapé, Aguapé, Hoja de sol, Iguapé, Irupé, Maíz de agua, Maruru, Ninfa real, Plato de agua.];[SWEDISh: Jättenäckros.];[THAI: Bua kradong, Bua taat, Bua Victoria.].
ชื่อวงศ์---NYMPHAECEAE
EPPO Code---VIJAM (Preferred name: Victoria amazonica.)
ถิ่นกำเนิด ---อเมริกาใต้
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนและเขตอบอุ่น
นิรุกติศาสตร์---สกุล 'Victoria' เป็นเกียรติแก่ราชินีวิกตอเรีย (1819-1901) ราชินีแห่งสหราชอาณาจักร ; ชื่อละตินของสายพันธุ์ "amazonica" = Amazonia ระบุพื้นที่ต้นกำเนิด
Victoria amazonica เป็นสายพันธุ์ของไม้ดอกน้ำในครอบครัววงศ์บัวสาย (Nymphaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Eduard Friedrich Poeppig (1798–1868) นักพฤกษศาสตร์ นักสำรวจ และนักสัตววิทยาชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James De Carle Sowerby (1787–1871) นักแร่วิทยา นักพฤกษศาสตร์และนักวาดภาพประกอบชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2393 
ที่อยู่อาศัย เป็นบัวที่มีต้นกำเนิดจากลุ่มแม่น้ำอเมซอน ในทวีปอเมริกาใต้ ชนิดนี้ Victoria amazonica ขึ้นในที่อากาศค่อนข้างร้อน ชนิดที่ชอบขึ้นในที่อากาศค่อนข้างเย็นคือ Victoria cruzianica
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นน้ำจืด rhizomatose เป็นไม้ล้มลุกที่มีเหง้าฝังอยู่ในตะกอนด้านล่าง มีใบเดี่ยวลอยอยู่เกือบกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2,5 ม. ปลายเป็นหนาม ก้านใบยืดหยุ่นได้ ซึ่งอาจยาวได้ถึง 8 เมตร.ใบมีลักษณะแบนราบเรียบ (โดยก้านก้านใบแทรกเกือบตรงกลางแผ่น) โดยให้ขอบยกเป็นมุมฉากสูง 5-15 ซม. แต่มีร่องสองใบตรงข้ามกันสำหรับการไหลของน้ำ ขอบที่ยกขึ้นจะขัดขวางไม่ให้พวกมันทับซ้อนกัน ซึ่งมักเกิดขึ้นกับดอกบัว ปล่อยให้ใบนำเสนอพื้นที่เดียวกันเพื่อการสังเคราะห์แสง ใบที่ใหญ่โตลอยอยู่บนผิวน้ำที่โตกว่ากระด้งฝัดข้าว มาปลูกในไทยเลยเรียกกันว่าบัวกระด้ง อีกชื่อ ลักษณะที่แตกต่างจากบัวชนิดอื่นคือมีหนามทั่วลำต้น ก้านใบหลังใบและดอก ดอกบานเวลากลางคืน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-35 ซม. โดดเดี่ยวเหนือผิวน้ำ บนก้านมีหนามมีช่องระบายอากาศ มีกลีบเลี้ยงสีน้ำตาล 4 กลีบ หุ้มด้วยหนาม มีกลีบดอก 50 กลีบขึ้นไป กลีบดอกเป็นสีขาวครีมในคืนแรก สีชมพูในคืนที่สอง จากนั้นก็ร่วงไป ผลมีลักษณะเป็นเนื้อ ไม่ซีด (ซึ่งเมื่อสุกจะไม่เปิดออกเอง) ลูกกลมสีเขียวปกคลุมด้วยหนาม มีเมล็ดทรงกลมหลายร้อยเมล็ดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-8 มม.สีน้ำตาล มีรูพรุน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ต้องการอุณหภูมิน้ำไม่ต่ำกว่า 22-24 องศา C
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เหง้าและเมล็ดพืชอุดมไปด้วยแป้งสามารถกินได้และบางครั้งก็ถูกบริโภคโดยประชากรพื้นเมือง
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในในสวนน้ำขนาดใหญ่และสวนพฤกษชาติ
สำคัญ---เป็นดอกไม้ประจำชาติ กายอานา
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เมล็ด การงอกเกิดขึ้นใน 15-30 วัน จะออกดอกซึ่งอาจเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปประมาณ 7 เดือน


ลานไพลิน/Bacopa caroliniana

ชื่อวิทยาศาสตร์---Bacopa caroliniana (Walt.) B.L. Robins.(1908)
ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms.  
---Basionym: Obolaria caroliniana Walter.(1788)  
---Bacopa amplexicaulis (Pursh) Wattst.(1891)
---Herpestis amplexicaulis Pursh.(1813)
---More.See allhttps://www.gbif.org/species/3171189
ชื่อสามัญ---Blue Water-hyssop, Carolina water hyssop, Lemon bacopa.
ชื่ออื่น---ลานไพลิน, ผักแบ้ว;[FINLAND: Isobakopa.]:[SWEDISH: Tjockblad.];[THAI: Lan phai lin.].
ชื่อวงศ์---SCROPHULARIACEAE
EPPO Code---BAOCA (Preferred name: Bacopa caroliniana.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Bacopa' =ใบมีกลิ่นมะนาว
Bacopa caroliniana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แววมยุรา (Scrophulariaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Walter (1740–1789) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันที่เกิดในอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Benjamin Lincoln Robinson (1864 –1935) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2451
ที่อยู่อาศัย เป็นพืชพื้นเมืองที่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เติบโตในหนองน้ำหรือในสภาพกึ่งใต้น้ำ ปรับตัวได้ดีหากถูกน้ำท่วมและจมอยู่ใต้น้ำจนสุด
ลักษณะ เป็นพืชสะเทินน้ำสะเทินบกอายุข้ามปี มีลำต้นกลมใหญ่มีขน อาจขึ้นใต้น้ำหรือเลื้อยทอดไปตามพื้น แล้วชูยอดตั้งขึ้น ลำต้นอวบน้ำกลมเรียวมีขนดก ยาวและตั้งตรงสูงประมาณ 10 ซ.ม ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ ส่วนโคนใบกว้างกว่าปลายใบ ขอบใบเรียบ แตกจากลำต้นแบบตรงกันข้าม ใบเหนือน้ำหนาและแข็งกว่าใบใต้น้ำ หากบดขยี้ใบจะปล่อยกลิ่นมะนาวออกมา ดอกเป็นดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ เจริญเหนือน้ำ มีก้านดอกสั้น กลีบดอกสีฟ้าคราม โคนกลีบติดกันเป็นรูปกรวย ปลายกลีบดอกมี 5 แฉก ภายในมีขน เกสรเพศผู้มี 4 อัน ดอกที่บานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม ดอกบานเพียงวันเดียว ผลเป็นแคปซูล แห้งแล้วแตก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน ดินเหนียวที่มีความชุ่มชื้นมีอินทรียวัตถุสูง pH 6.0 – 8.0 สามารถปลูกริมสระน้ำในระดับน้ำที่สูงประมาณ 10-15 ซม ชอบขึ้นในที่น้ำขังในที่ที่มีอากาศอบอุ่น และแสงน้อยหรือร่มเงา หากปลูกในบริเวณที่แสงรำไรจะไม่ออกดอก แต่ถ้าได้รับแสงแดดจัด ใบจะมีสีเขียวอ่อน ขอบใบมีสีแดงเรื่อ อุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุด 20 – 28 °C อัตราการเจริญเติบโตช้า
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน กินได้และสามารถนำมาใช้ทำสลัดได้
-ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ที่นิยมพอกันกับแว่นแก้วเหมาะที่จะคลุมปากบ่อ ริมน้ำ หรือสามารถปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา ภาชนะน้ำตื้น หรือเป็นพืชบ้านก็ได้
-อื่น ๆ เรืองแสงได้ เมื่อนำอนุภาคนาโนทองคำเข้าไปในพืช Bacopa caroliniana พวกมันทำให้คลอโรฟิลล์ผลิตแสงสีแดง ในขณะที่มีแสงสว่าง พืชพรรณของพืชเรืองแสงกินคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศมากกว่าปกติ (กล่าวคือ การเรืองแสงทำให้เซลล์เกิดการสังเคราะห์ด้วยแสง) ทีมวิจัยชาวไต้หวันที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบนี้หวังว่าจะนำพืช Bacopa caroliniana ที่ดัดแปลงมาเป็นโคมไฟถนนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Popular Science เรียกสิ่งนี้ว่า "Triple threat" โดยที่ "ต้นไม้" สามารถลดต้นทุนด้านพลังงาน ลดภาวะโลกร้อน และทำให้ถนนมีแสงสว่างเพียงพอในตอนกลางคืน
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกตลอดปี ออกดอกมากเดือน พฤษภาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---ปักชำกิ่ง


กระจับแก้ว/Ludwigia sediodes


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ludwigia sediodes (Humb. & Bonpl.) H.Hara.(1953)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2494057
---Basionym: Jussiaea sedioides Humb. & Bonpl.(1805)
ชื่อสามัญ---Mosaic Plant, False Loose-strife
ชื่ออื่น---กระจับแก้ว, กระจับญี่ปุ่น ;[SPANISH: Canario de agua.].
ชื่อวงศ์---ONAGRACEAE
EPPO Code---LUDSD (Preferred name: Ludwigia sediodes.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เมริกากลาง อเมริกาใต้ และเมริกาเหนือ
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ludwigia' ได้รับการตั้งชื่อตามนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ Christian Gottlieb Ludwig (1709-1773) ; ชื่อสปีชีส์ 'sedoides' หมายถึง 'sedum' อ้างอิงถึงใบที่คล้ายกับใบของ Sedum บาง ชนิดในแง่ของรูปลักษณ์และการเปลี่ยนแปลงสีภายใต้แสงจ้า
Ludwigia sediodes เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ evening primrose (Onagraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย ( Friedrich Wilhelm Heinrich Alexander von Humboldt (1769–1859) นักภูมิศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา นักสำรวจชาวเยอรมัน และ Jacques Alexandre Bonpland (1773–1858) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hiroshi Hara (1911–1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ในปี พ.ศ.2496
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในเวเนซุเอลา ปานามา โคลัมเบีย และบราซิล พบได้ในเขตอบอุ่นของทวีปอเมริกาเหนือ เติบโตในพื้นที่เปียกชื้นและเป็นแอ่งน้ำในเขตพื้นที่ตั้งแต่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำจนถึงระดับความสูงประมาณ 800 เมตร ถูกระบุว่าเป็นพืชที่อาจรุกรานในศรีลังกาในอนาคตอาจเป็นภัยคุกคามต่อความหลากหลายทางชีวภาพของศรีลังกา
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกลำต้นมีรากออกตามข้อ ทอดเลื้อยอยู่ใต้น้ำและแตกไหลได้ ใบรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนยาว 0.5–2 ซม สีเขียวเข้มเป็นมัน ออกเวียนรอบเป็นรัศมีประมาณ 7–10 ซม. ขอบใบหยักและขลิบสีแดง ก้านใบเล็ก สีแดง ดอกสีเหลืองสดออกตามซอกใบ บานเป็นรูปถ้วยขนาด 1 ซม. มีกลีบดอก 3 กลีบ มีเกสรเพศผู้ 8 อัน ผลไม้เป็นแคปซูลเกลี้ยงยาว 0.8–1.4 ซม.แก่แล้วแตก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด สามารถอยู่ในน้ำอุณหภูมิถึง 72 องศาC เนื่องจากมีใบเป็นฉนวนกันร้อนส่วนใบมีทั้งใบเขียวและใบสีแดงมีลักษณะเป็นเหมือนลายกนกลอยน้ำตอนเย็นจะหุบ ชอบดินโคลนหรือดินเหนียว(ดินที่มีฟอสฟอรัสสูง) ระดับน้ำ 15-30 ซม.อัตราการเจริญเติบโต  30 ซม/เดือน แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ ใบและดอก ใบนำมาล้างและตากให้แห้งเอามาตำให้ละเอียดใช้รักษาแผลผุพองน้ำร้อนลวกส่วนดอกเอาไปตากให้แห้งแล้วนำมาใส่น้ำร้อนเพื่อทำชากระจับญี่ปุ่นรักษาโรคหัวใจได้
-ใช้ปลูกประดับ มีใบสวยงาม นิยมปลูกในอ่างหรือสระน้ำตื้นๆ ปลูกเป็นไม้น้ำประดับในแอ่งน้ำเขตร้อนของคอลเล็กชั่นพฤกษศาสตร์และในยุโรป
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกตลอดปี แต่จะออกดกช่วง เดือนมิถุนายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---ดัวยการปักชำไหล


ผักแว่น/Marsilea crenata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Marsilea crenata C.Presl.(1825)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-26600218
ชื่อสามัญ ---Clover fern, Water clover fern, False pepperwort, Pepper wort.
ชื่ออื่น ---ผักแว่น, ผักลิ้นปี่, หนูเต๊าะ;[JAPANESE: Nangokudenjiso.];[PHILIPPINES: Semanggi, Semanggen, Paku tapak itik.].
ชื่อวงศ์---MARSILEACEAE
EPPO Code---MASCR (Preferred name: Marsilea crenata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เมดิเตอร์เรเนียนตอนใต้, เอเชียตะวันตก, เทือกเขาหิมาลัย, เอเซียตะวันออกเฉียงใต้, แอฟริกา, มาดากัสการ์, นิวกินี, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา
Marsilea crenata เป็นสายพันธุ์ของเฟิร์นน้ำ (Salviniales) ตระกูล pepperwort (Marsileaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Karel Bo?ivoj Presl (1794–1852)นักพฤกษศาสตร์ชาวเช็ก ในปีพ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย พบใน เมดิเตอร์เรเนียนตอนใต้, เอเชียตะวันตก, เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, บังคลาเทศ, ศรีลังกา, จีน (รวมถึงไต้หวัน), ญี่ปุ่น, อินโดจีน, มาเลเซีย, แอฟริกา, มาดากัสการ์, นิวกินี, เปิดตัวในสหรัฐอเมริกา (ตะวันออกเฉียงใต้), บราซิล (ตะวันออก) เติบโตในน้ำจืดตื้นและในโคลนแห้ง และมักพบเติบโตในนาข้าว ในน้ำตื้น หรือชายตลิ่งที่มีน้ำท่วมถึง
ลักษณะ เป็นไม้ทอดเลื้อยตามชายน้ำ มีเหง้าผอมยาวเรียว เหง้าแตกแขนงมาก มีเกล็ดอยู่ตรงปลายใบยาว 1-20 ซม.เดี่ยวหรือเป็นกอ ก้านใบมักอยู่ติดกัน ใบมีใบย่อยสี่แฉก เมื่อยังอ่อนใบจะม้วนงอเมื่อโตก็จะคลี่ออก มีสปอร์ สองประเภท ที่มีเพศต่างกัน อีกชนิดคือผักแว่นขน (Bristly water-clover) ลักษณะจะใกล้เคียงกับผักแว่นธรรมดา แต่ใบจะหนากว่า สีเขียวอ่อนกว่าและคลุมไปด้วยขนสีเงินหนาแน่น
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินชื้นสม่ำเสมอ pH 5.5-7.5 อุณหภูมิระหว่าง 22-28°C อัตราการเติบโตปานกลาง ทนต่อสภาพแสงน้อยและอุณหภูมิสูง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อนของพืชชนิดนี้สามารถใช้เป็นอาหารได้ไม่ว่าจะรับประทานโดยตรง ในผัก ผัดหรือนึ่ง
-ใบของMarsilea crenata เป็นส่วนหนึ่งของ อาหารชวาตะวันออก ของ อินโดนีเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองสุราบายาที่เสิร์ฟพร้อมกับมันเทศและซอสถั่วลิสงเผ็ดPecel
-ใบเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารอีสาน ของ ประเทศไทย กินดิบกับน้ำพริก
-อื่น ๆมีศักยภาพในการเป็น พืชบำบัดทางชีวภาพเนื่องจากสามารถดูดซับโลหะหนัก Cdและ Pb ได้.
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ขยายพันธุ์--- สปอร์ เหง้า


แว่นแก้ว/Hydrocotyle umbellata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydrocotyle bonariensis Comm. ex Lam.(1789)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Hydrocotyle umbellata var. bonariensis (Comm. ex Lam.) Spreng.(1820)
---Hydrocotyle multiflora Ruiz & Pav.(1802)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:125117-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Manyflower marshpennywort, Dollarweed, Coast pennywort, Coastal plain pennywort, Largeleaf marsh pennywort, Largeleaf pennywort.
ชื่ออื่น---แว่นแก้ว, บัวแก้ว, ผักหนอก, ผักหนอกใหญ่, ผักหนอกเทศ;[ARGENTINA: Paraguita, Redondita de agua, Sombrilla japonesa.];[AUSTRALIA: American pennywort, Beach pennywort, Californian pennywort, Kurnell's curse, Large-leaved pennywort.];[BOLIVIA: Berro macho, Sombrerito de agua.];[BRAZIL: Acaricoba.];[FRENCH: Herbe bol, Herbe tam-tam, Hydrocotyle de Buenos Aires.];[ITALIAN: Soldinella di Buenos Aires.];[PORTUGUESE: Chapéus.];[RUSSIA: Shchitolistnik buenos-ayresskiy.];[SPANISH: Sombrerillo, Redondita de agua, Paragüita.];[THAI: Waen keow, Bua keow, Phak hnok.].
ชื่อวงศ์---AEALIACEAE
EPPO Code---HYDBO (Preferred name: Hydrocotyle bonariensis.)
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
Hydrocotyle bonariensis ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมาชิกของครอบครัว Apiaceae ตอนนี้อยู่ในวงศ์วงศ์มือพระนารายณ (Araliaceae) ในสกุล Hydrocotyleได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Philibert Commerçon (1727–1773) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส จากอดีต Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2332

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ แนะนำเป็นวัชพืชในพื้นที่อื่น ๆ รวมทั้งยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกา (ชายฝั่งตะวันตก) และออสเตรเลีย ในดินแดนที่แห้งแล้งซึ่งถูกน้ำท่วมในบางครั้ง ที่ระดับความสูง 100-1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปีเลื้อยคลุมดินริมน้ำหรืออยู่เหนือน้ำมีรากตามข้อและลำต้น ใบสีเขียวขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบหนาเป็นมัน พุ่มใบชูขึ้นรับแสง ดอกสีขาวถึงสีเหลืองครีมจำนวนมาก ก้านดอกสามารถสูงได้ถึง 30 ซม.ผลแห้งเมื่อครบกำหนดจะแยกออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่าแต่ละส่วนมีเมล็ดเดียว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัด ถ้าปลูกในร่ม ก้านใบจะหยักมีดอกเล็กๆ ดินร่วนปนทรายชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ในอเมริกาใต้ใช้เพื่อรักษาอาการผื่นแดงที่ผิวหนัง คุณสมบัติต้านการอักเสบในการรักษาสภาพผิว เช่น รา โรคสะเก็ดเงิน การแช่ชิ้นส่วนทางอากาศใช้สำหรับคุณสมบัติต้านการอักเสบ ขับปัสสาวะ สารกระตุ้น และน้ำยาฆ่าเชื้อ
-ใช้ปลูกประดับ แว่นแก้วใช้จัดสวนปลูกอยู่ในบริเวณที่มีน้ำตื้นหรือริมน้ำคลุมปากบ่อ หรือจะเลี้ยงในอ่างหรือกระถางก็ได้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำลำต้นที่มีรากติดอยู่


บัวบก/Centella asistica


ชื่อวิทยาศาสตร์---Centella asiatica (L.) Urb.(1879)
ชื่อพ้อง---Has 42 Synonyms
---Centella boninensis Nakai ex Tuyama.(1936)
---Hydrocotyle asiatica L.(1753)
---Trisanthus cochinchinensis Lour.(1790)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2708815
ชื่อสามัญ---Asiatic Pennywort, Coinwort, Spadeleaf, Indian pennywort.
ชื่ออื่น---บัวบก;[ASSAMESE: Bor manimuni, Manimuni.];[BANGLADESH: Pahartali.];[CHINESE: Jī xuě cǎo.];[CUBA: Oreja de ratón.];[DANISH: Asiatisk centella.];[DUTCH: Gotu kola.];[FIJI: Tatandra, Tododro, Totono.];[FRENCH: Fausse violette, Hydroctyle asiatique, Herbe du tigre, Hydrocotyle asiatique, Hydrocotyle indien.];[GERMAN: Indischer Wassernabel, Asiatische Sumpfpfennigkraut.];[HINDI: Brahma manduki, Brahmi.];[INDONESIA: Daun pegaga, Pegaya.];[ITALIAN: Centella, Erba della tigre e dell'elefante.];[JAPANESE: Tsubokusa, Ttsubo-kusa.];[KOREA: Byeong pul.];[MALAYSIA: Pegaga (Malay).];[MALAYALAM: Kodangal, Kudakan, Kuthirakkulambuchedi, Mutthil, Vellara.];[MARATHI: Karinga.];[PORTUGUESE: Centela, Pangana.];[RUSSIA: Tsentella aziat·skaya.];[SANSKRIT: Bhandi, Bhandiri, Mandukaparni.];[SPANISH: Manduki, Antanan, Brahmi, Gotu kola, Pegaga, Hierba de clavo, Sombrerito.];[SWEDISH: Sallatsspikblad.];[TAMIL: Vallarai.];[TELUGU: Saraswataku.];[THAI: Buabok.];[USA/Hawaii: Pohe kula];[VIETNAM: Lei Gong gen.].
ชื่อวงศ์---APIACEAE (UMBELLIFERAE)
EPPO Code---CLLAS (Preferred name: Centella asistica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาใต้ ออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และบางเกาะในแปซิฟิก
Centella asistica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักชีฝรั่ง (Apiaceae หรือUmbelliferae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ignatz Urban (1848–1931) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2422
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน คอเคซัส, เอเชียตะวันตก (เยเมนถึงปากีสถาน), เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, ศรีลังกา, บังคลาเทศ, อินโดจีน, มาเลเซีย, จีน (รวมถึงไต้หวัน), ญี่ปุ่น, เกาหลี, แอฟริกาเขตร้อน, มาดากัสการ์, นิวกินี, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ เปิดตัวในอเมริกาใต้ (โคลอมเบีย) พบได้ในทุ่งหญ้าโล่งชื้น ขึ้นตามที่ชื้นแฉะ ริมห้วย ริมน้ำ ตั้งแต่ระดับความสูง 300-1450 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นลำต้นทอดเลื้อยตามพื้นดิน มีใบและรากออกตามข้อ ใบเดี่ยว โคนใบเว้าลึก ขอบใบหยัก ผิวใบเรียบ ก้านใบค่อนข้างยาวถึง 20 ซม. ดอกออกเป็นช่อซี่ร่ม ดอกขนาดเล็กมาก ประมาณ 4 มม.แต่ละดอกมีเกสรเพศผู้ 4-6 ตัว ผลมีขนาดเล็ก mericarp
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ที่มีความชื้นสูง เนื่องจากพืชสามารถเป็นไม้น้ำ จึงมีความไวต่อสารมลพิษทางชีวภาพและเคมีในน้ำเป็นพิเศษ ซึ่งอาจดูดซึมเข้าสู่พืชได้ สามารถปลูกในดินที่แห้งได้ตราบเท่าที่มีการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพียงพอ (เช่นการจัดสวนในบ้าน) เติบโตได้บนดินหลายประเภท รวมทั้งดินเหนียว แต่ชอบดินที่เบากว่าที่มีปริมาณดินเหนียวต่ำกว่า 50%
ใช้ประโยชน์---ใช้กินเป็นผักและเป็นยา
-ใช้กิน ในอาหารพม่า ใช้ใบดิบเป็นส่วนประกอบหลักในสลัดที่ผสมกับหัวหอม ถั่วลิสงบด ผงถั่ว และปรุงรสด้วยน้ำมะนาวและน้ำปลา
-ใบบัวบกใช้เป็นพืชผักใบเขียวในอาหารศรีลังกา ส่วนใหญ่มักจะเตรียมเป็น กับข้าวและอาหารมังสวิรัติแบบดั้งเดิม เช่น แกงขนุนหรือแกงฟักทอง. ถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ นอกจากพืชที่สับละเอียดแล้ว อาจรับประทานกับมะพร้าวขูด หอมแดงหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า น้ำมะนาว (หรือมะนาว) และเกลือทะเล ส่วนผสมเพิ่มเติม ได้แก่ พริกเขียวสับละเอียด พริกป่น ผงขมิ้น หรือแครอทสับ
-ในประเทศกัมพูชา เวียดนาม และไทย ใบนี้ใช้สำหรับเตรียมเครื่องดื่ม ในกรุงเทพฯ ผู้ขายในตลาดนัดสวนจตุจักรขายพร้อมกับน้ำมะพร้าว น้ำกระเจี๊ยบแดง น้เก็กฮวย น้ำส้ม และเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอื่นๆ
-ในอาหารมาเลย์เรียกว่า pegaga และใบของต้นนี้ใช้สำหรับ ulam ซึ่งเป็นสลัดผักชนิดหนึ่ง
-ใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารประจำภูมิภาคของอินเดีย ในบังคลาเทศและอินเดีย (โดยเฉพาะในรัฐเบงกอลตะวันตก) ใบบัวบกเรียกว่า Thankuni Pata และใช้ในอาหารต่างๆ อาหารจานหนึ่งที่น่ารับประทานมากที่สุดคือขนมคล้ายปาโกรา (pakora) ที่เรียกว่า Thankuni Patar Bora ทำจากใบบัวบกบด ถั่วเลนทิล หอมหัวใหญ่ และพริกเขียว
-ใช้เป็นยา พืชถูกนำมาใช้ในอายุรเวทและยาจีนโบราณเพื่อบรรเทาอาการของภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล ในอายุรเวทสูตรสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มความจำ ฟื้นฟูการขาดดุลทางปัญญา และปรับปรุงการทำงานของจิต นอกเหนือจากฤทธิ์ป้องกันระบบประสาทแล้ว สมุนไพรยังใช้ในการรักษาบาดแผล รักษาสภาพผิวต่างๆ เช่น โรคเรื้อน โรคลูปัส แผลขอด กลาก และโรคสะเก็ดเงิน ท้องร่วง ไข้ ประจำเดือน และโรคของระบบสืบพันธุ์สตรี
-ในการแพทย์แผนจีน ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นยาแก้อักเสบ ปรับปรุงหน่วยความจำ ฤทธิ์ต้านเนื้องอก และสำหรับการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ใบถือเป็นสารกระตุ้น และใช้สำหรับการฟื้นฟู สำหรับโรคตับ โรคเรื้อน และซิฟิลิส
-ในประเทศอินโดนีเซียและบราซิลในการรักษาโรคผิวหนัง โรคความดันโลหิตสูง เป็นยาฟอกเลือด และเพื่อเพิ่มความจำ
-ในประเทศมาเลเซีย ใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน รักษาโรคหลอดลมอักเสบ โรคหอบหืด โรคกระเพาะ โรคบิด โรคไต โรคท่อปัสสาวะอักเสบ วัณโรค ปัสสาวะเป็นเลือด และท้องมาน
-ในเวียตนาม ใบบัวบกสามารถเพิ่มความต้านทานของผิวหนังชั้นกำพร้า, ต้านการอักเสบเฉพาะ, ยากล่อมประสาท, ล้างพิษ, ผล detumescence. สามารถให้ความยืดหยุ่นของผิว เสริมสร้างความนุ่มนวลของผิว ชะลอความแก่ ช่วยสมานเนื้อเยื่อที่เสียหายและผิวเต่งตึง เรียกว่า "น้ำมันวิเศษ" แห่งความงามและการดูแลผิว
-รากใช้กับนมและชะเอมเมื่อมีไข้และโรคบิด และผงโรยบนแผล และทาภายนอกในโรคผิวหนังเรื้อรัง เช่น กลาก โรคลูปัส โรคสะเก็ดเงิน แผลซิฟิลิสทุติยภูมิ และผื่นที่ผิวหนัง
ระยะออกดอก---เมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำลำต้น ในธรรมชาติ ต้นตอประกอบด้วยเหง้าที่เติบโตในแนวตั้งและสโตลอนที่เติบโตในแนวนอน โดยเชื่อมโยงพืชหนึ่งกับอีกต้นหนึ่งเข้าด้วยกัน


ฝิ่นน้ำ/Hydrocleys nymphoides

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydrocleys nymphoides (Humb. & Bonpl. ex Willd.) Buchenau.(1871)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.
---Basionym: Stratiotes nymphoides Humb. & Bonpl. ex Willd.(1806)
---Hydrocleys azurea Schult.f.(1847)
---Limnocharis humboldtii Rich.(1815) [Illegitimate]
---Stratiotes nymphoides Humb. & Bonpl. ex Willd.(1806)
---Vespuccia humboldtii (Rich.) Parl.(1854)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-278722
ชื่อสามัญ---Water Poppy, Common water poppy.  
ชื่ออื่น---ฝิ่นน้ำ;[FRENCH: Hydrocléide commune.];[GERMAN: Gewöhnlicher Wassermohn.];[ITALIAN: Idrocleide.];[SPANISH: Casave común.];[PORTUGUESE: Golfe, Largatissa.];[THAI: Phinnam.].
ชื่อวงศ์---ALISMATACEAE
EPPO Code---HDYCO (Preferred name: Hydrocleys nymphoides.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกาใต้ อเมริกากลาง
เขตกระจายพันธุ์--- เปอร์โตริโก ทรินิแดด เนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ เฟรนช์โพลีนีเซีย
Hydrocleys nymphoides  เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ water-plantains (Alismataceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  [Friedrich Wilhelm Heinrich Alexander von Humboldt (1769–1859) นักภูมิศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา นักสำรวจชาวเยอรมัน และ Jacques Alexandre Bonpland (1773–1858) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส.) จากอดีต Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน.] และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Franz Georg Philipp Buchenau (1831–1906) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2414
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายตัวใน ทวีปอเมริกาใต้ อเมริกากลาง เปอร์โตริโก, ทรินิแดด และ เนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส มีปลูกเป็นไม้ประดับในหลายประเทศเช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ฟิจิ เฟรนช์โพลีเนเซีย ชอบขึ้นในที่น้ำตื้น ที่ระดับความสูง 400 - 1,900 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชน้ำมีรากยึดเกาะกับดินใต้น้ำ ลำต้นเป็นสายยาว ใบแตกออกเป็นกลุ่มตามข้อของลำต้น ใบค่อนข้างกลมแกมรูปไข่ โคนใบเว้าใบหนา สีเขียวเป็นมัน ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ออกตามซอกใบ ขนาด 4 – 5 ซม.กลีบดอก มี 3 กลีบติดกันเป็นรูปถ้วยกลีบดอกบาง สีเหลืองเข้มหรืออ่อน กลางดอกมีแต้มสีน้ำตาลเข้ม ดอกเล็กคล้ายดอกบัวขนาดจิ๋ว ชูสูงขึ้นเหนือน้ำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แสงแดดเต็มวัน
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ต่างประเทศที่นำเข้ามาปลูกเป็นไม้ประดับ นิยมปลูกในอ่างร่วมกับไม้น้ำชนิดอื่น เพราะดูแลรักษาง่าย
ระยะออกดอก---ออกดอกตลอดปี
ขยายพันธุ์---แยกกอ


ว่านน้ำ/Acorus calamus

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Acorus calamus L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 26 Synonyms.    
---Acorus angustifolius Schott.(1864)
---Acorus aromaticus Gilib.(1792)
---Acorus terrestris Spreng.(1825)
---Calamus aromaticus Garsault.(1764)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2304
ชื่อสามัญ---Sweet flag, Muskrat root, Beewort, Bitter pepper root, Calamus root, Flag root, Gladdon, Myrtle flag, Myrtle grass, Myrtle root, Myrtle sedge, Pine root, Sea sedge, Sweet cane, Sweet cinnamon, Sweet grass, Sweet myrtle, Sweet root, Sweet rush, Sweet sedge.
ชื่ออื่น---ว่านน้ำ;[ALBANIA: Prese.];[ASSAM: Boch.];[CHINESE: Chāng pú.];[CZECH: Puškvorec obecný.];[DUTCH: Echte kalmus.];[ESTONIAN: Harilik kalmus.];[FINNISH: Rohtokalmojuuri.];[FRENCH: Acore calame, Acore odorant, Acore vrai, Canne aromatique, Jonc odorant, Roseau aromatique.];[GERMAN: Arzneikalmus, Deutscher Ingwer, Kalmus.];[HINDI: Gorbach.];[INDONESIA: Jerangau.];[ITALIAN: Acoro aromatico, Calamo aromatico, Calamo odoratico.];[JAPANESE: Shôbu.];[KOREA: Chang po.];[MALAYALAM: Vashanpa, Vayambu.];[MYANMAR: Lin-ne, Lin-lay.];[PORTUGUESE: Cálamo-aromatico, Acoro-cheiroso, Acoro-verdadeiro.];[RUSSIA: Air bolotnyy, Air obyknovennyy.];[SPANISH: Acoro, Acoro indio, Acoro verdadero, Cálamo acuático, Cálamo aromático, Cálamo verdadero.];[SWEDISH: Blomsteriberis, Gråsenap, Roseniberis, Sorgört, Kalmus.];[TAMIL: Vasambu.];[THAI: Wannam.];[TURKISH: Eğir otu.].
ชื่อวงศ์---ACORACEAE
EPPO Code---ACSCA (Preferred name: Acorus calamus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศในเขตร้อน อินเดีย เอเซียตอนกลาง ตะวันออกของยุโรป
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลคือคำภาษาละติน 'acorus' มาจากภาษากรีก 'áchórou' ของDioscorides (โปรดทราบว่าเวอร์ชันต่างๆ ของข้อความมีการสะกดต่างกัน)  คิดว่ามาจากคำว่า 'kóri' ซึ่งแปลว่าลูกศิษย์ (ของตา) เพราะน้ำจากรากของพืชถูกนำมาใช้เป็นยารักษาโรคตา ; ชื่อเฉพาะ 'calamus' มาจากภาษากรีก 'kálamos' หมายถึง "กก" สืบเชื้อสาย มาจาก ภาษาละติน 'culmus' ="stalk"  และ 'Healm' ภาษาอังกฤษโบราณ = "straw"
Acorus calamus เป็นสายพันธุ์ของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว สกุลเดียวในตระกูลนี้แต่ก่อนจัดอยู่ในวงศ์ Araceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย เอเชียกลาง รัสเซียตอนใต้และไซบีเรีย ยุโรปและอเมริกาเหนือ เติบโตตามริมทะเลสาบขนาดเล็ก สระน้ำและแม่น้ำ หนอง บึง และพื้นที่ชุ่มน้ำอื่นๆ
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นในพื้นที่ชุ่มน้ำ มักมีน้ำมันหอมระเหยโดยเฉพาะในเหง้า ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินเป็นแท่งค่อนข้างแบน ใบแข็งตั้งตรงเรียวยาว ปลายใบแหลม ใบเรียงสลับซ้ายขวาเป็นแผง ดอกออกเป็นช่อมีสีเขียวอ่อนขนาดเล็กอัดแน่นเป็นแท่งกระบอก ทั้งใบเหง้ารากมีกลิ่นฉุน ผลไม้ (ผลเบอร์รี่) สีเขียว เชิงมุม 3 เซลล์ มีเมล็ดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 1-3 เมล็ด ไม่ค่อยพบ หายากมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดรำไร เจริญเติบโตได้ดีในฤดูฝน เมื่อเข้าปลายฤดูฝนเหง้าจะเริ่มมีใบแห้ง เริ่มจากเหง้าข้อที่ 1 ไปเรื่อยๆ ถ้าขาดน้ำในช่วงนี้เป็นเวลานาน เหง้าอาจจะแห้งตายได้แต่ถ้ามีน้ำอยู่ เหง้าก็ยังคงสดอยู่และแตกรากและใบใหม่ต่อไป
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ก้านอ่อนสามารถดึงออกมาได้เมื่อมีความสูงไม่เกิน 30 ซม.ลำต้นด้านในสามารถกินดิบได้ รากสามารถล้าง ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ต้มและเคี่ยวในน้ำเชื่อมเพื่อทำขนม
-ใช้เป็นยา ราก ถ้านำมารับประทานมากๆ จะทำให้อาเจียน แต่ว่ามีกลิ่นหอม รับประทานน้อยๆ สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง บำรุงธาตุ แก้จุก ขับลมในลำไส้ ปรุงลงในยาขมต่างๆ ทำให้ระงับอาการปวดท้องได้เพราะในว่านน้ำมีสารชนิดหนึ่งเรียกว่า อาโกริน ที่มีรสขมและแอลคาลอยด์ คาลาไมท์ เป็นยาแก้บิด เป็นยารักษาบิดของเด็ก (คือมูกเลือด) และหวัดลงคอ (หลอดลมอักเสบ) ได้เป็นอย่างดี เป็นยาขับเสมหะอย่างดี และรากยังใช้เป็นยาเบื่อแมลงต่างๆ เช่น แมลงวัน เป็นยาแก้เส้นกระตุก แก้หืด ขับเสมหะ แก้ปวดศีรษะ แก้ปวดกล้ามและข้อ แก้โรคผิวหนัง
-เหง้า นำมาใช้ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้โรคผิวหนัง เป็นยาหอมได้
-น้ำมันหอมระเหยจากต้น สามารถแก้โรคชัก เป็นยาขมหอม ขับแก๊สในท้อง ทำให้เจริญอาหาร ช่วยการย่อยอาหารได้ดี
-นอกจากนี้ว่านน้ำยังมีสรรพคุณ ในการช่วยเสริมสร้างสติปัญญาและช่วยพัฒนาความจำให้มีความจำดี ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ อีกทั้งช่วยให้นมมารดาบริสุทธิ์ ในตำราของอินเดีย ใช้ว่านน้ำผสมกับยารักษาโรค รักษาเกี่ยวกับโรคสมอง ท้องร่วง โรคตา แก้หอบหืด โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
-อื่น ๆรากที่แห้งและบดเป็นผงประกอบด้วยสารประกอบซึ่งมีประโยชน์ใช้เป็นยาฆ่าแมลง
รู้จักอันตราย---แม้ว่าดอกคาลามัสจะถูกนำมาใช้เพื่อกลิ่นหอมและรับประทานเข้าไป แต่ก็ยังไม่ได้รับการศึกษาโดยการวิจัยทางคลินิกอย่าง เข้มงวด รายงานทางการแพทย์ส่วนบุคคลเกี่ยวกับความเป็นพิษกล่าวถึงอาการคลื่นไส้ อย่างรุนแรง และการอาเจียน เป็นเวลานาน หลายชั่วโมงหลังการใช้ช่องปาก การศึกษาวิจัยในห้องปฏิบัติการของสารสกัดบ่งชี้ถึงความเป็นพิษในรูปแบบอื่นๆ เนื่องจากสาเหตุหลักมาจาก สารประกอบ ทางอารมณ์ β- asarone                                                           ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล--- เมษายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---โดยการแตกหน่อ ปักชำเหง้า


ผักปลาบ/Commelina bengalensis

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Commelina bengalensis L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms.
---Commelina canescens Vahl.(1805)
---Commelina rhizocarpa Afzel. ex C.B.Clarke.(1881)
---Commelina uncata C.B.Clarke.(1881)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-233742
ชื่อสามัญ---Benghal day flower, Tropical spiderwort, Hairy commelina, Hairy wandering Jew.
ชื่ออื่น---ผักกาบปลี, ผักงอง, ผักขาบ, ผักปลาบใบกว้าง, ผักปราบ;[ASSAMESE: Kona-shimolu, Kona Simolu.];[AUSTRALIA: Hairy wandering-jew.];[BENGALI: Kanshira.];[CHINESE: Fàn bāo cǎo.];[FRENCH: Herbe aux cochons.];[GERMAN: Bengalische Commeline.];[HINDI: Buchna, Kana, Kanchara, Kinkawa.];[India: Kanasiri, Kanchara, Kankaua, Kena, Konasimalu, Krishnaghas, Mankawa.];[INDONESIA: Gewor.];[JAPANESE: Marubatsuyukusa, Tsuyukusa.];[MALAYALAM: Adukkavettila, Kanavazhai, Vazhaplaachi, Vuzhaipadathi.];[MARATHI: Kena.];[MYANMAR: Myet-cho.];[PHILIPPINES: Alikbangon, Bias-bias, Kuhasi, Kulkulasi, Sabilau.];[PORTUGUESE: Andaca, Andarca, Erva-de-santa-luzia, Folhas-de-pé-de-áden, Maria-mole, Marianinha-branca, Mata-brasil, Rabo-de-cachorro, Trapoeraba.];[RUSSIA: Kommielina bienhaĺskaja.];[SWEDISH: Indisk himmelsblomma.];[TAIWAN: Ju-ye-tsai.];[THAI: Phakplap.];[ZIMBABWE: Chidyahumba, Gezi, Idabane.].
ชื่อวงศ์---COMMELINACEAE
EPPO Code---COMBE (Preferred name: Commelina bengalensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซียและแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา อนุทวีปอินเดีย (ปากีสถาน อินเดีย ภูฎาน เนปาล ศรีลังกา) จีนตอนใต้ ญี่ปุ่น พม่า ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
Commelina bengalensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักปลาบ (Commelinaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียและแอฟริกาเขตร้อน พบในเอเชียตะวันตก (อาหรับถึงปากีสถาน), เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, บังคลาเทศ, อินโดจีน, จีน (รวมถึงไต้หวัน), มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, แอฟริกา (ตลอด) เปิดตัวในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนบางประเทศ สหรัฐอเมริกา (ตอนใต้) อเมริกากลาง แคริบเบียน อเมริกาใต้ (โบลิเวีย ปารากวัย บราซิล) ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ นิวเซาธ์เวลส์) เติบโตในแหล่งอาศัยที่หลากหลายตั้งแต่ดินที่มีน้ำอิ่มตัวไปจนถึงดินแห้ง พบได้ทั่วไปในพื้นที่รกร้าง ริมชายป่า ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 2,300 เมตร ถือว่าเป็นวัชพืชร้ายแรงสำหรับพืชผลจำนวนมากตั้งแต่ชาและกาแฟ ไปจนถึงมันสำปะหลังและถั่วลิสง ความเสียหายทางการเกษตรเพิ่มเติมเกิดจากการที่มันสามารถโฮสต์ไส้เดือนฝอย Meloidogyne incognita และไวรัส Groundnut rosette
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กอายุปีเดียวมีลำต้นคืบคลานซึ่งอยู่ในตำแหน่งจากน้อยไปมาก ยาว 15-40 ซม.แตกแขนงและแตกกิ่งที่โหนด ใบเป็นรูปไข่ปลายใบแหลม ยาว 3-7 ซม. กว้าง 1-2.5 ซม. มีโคนใบแคบเป็นก้านใบ ดอกไม้ถูกย่อยด้วยกาบโดยให้ขอบของมันถูกเชื่อมเข้าด้วยกันเป็นความยาวประมาณ 10 มม.เพื่อสร้างสไปเดอร์รูปกรวยแบน ยาว 1.5 ซม.ดอกมี 3 กลีบสีม่วงไลแลคยาว 3-4 มม. ด้านล่างค่อนข้างเล็กกว่าสองข้างและบางครั้งมีสีขาว ผลไม้ประกอบด้วยแคปซูลรูปลูกแพร์ที่มีเมล็ดห้าเมล็ดและแคปซูลเปิดเมื่อสุก (dehiscent) เมล็ดรูปไข่ ยาว 2 มม.และกว้าง 1.5 มม.หนึ่งต้นสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ประมาณ 1600 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน เติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทรายที่ชื้นและมีความอุดมสมบูรณ์สูง มีความสมบูรณ์เท่ากันในดินและ pH ทุกประเภท
ใช้ประโยชน์---ใบไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น ในหลายพื้นที่ถูกมองว่าเป็นอาหารกันดารอาหารและกินเฉพาะในยามขาดแคลน พืชยังมีการใช้เป็นยาในท้องถิ่นและเป็นแหล่งของสีย้อม พืชสดมีจำหน่ายในสมุนไพรจีนในมาเลเซีย
-ใช้กิน ใบ - สุก เนื้อเมือกและรสขมเล็กน้อย ชาวเนปาลกินใบอ่อนเป็นผัก ใบและลำต้นอ่อนสับและปรุงเพียงอย่างเดียวหรือกับผักอื่น ๆ เช่น Bidens pilosa หรือ Cleome hirta จากนั้นจะเสิร์ฟพร้อมกับอาหารหลัก เช่น อูกาลีหรือข้าว ใบแก่มักถูกมองว่าเป็นกรดและขมเกินกว่าจะใช้การกินใบในปริมาณมากอาจทำให้ท้องร่วงได้
-ใช้เป็นยา ในประเทศจีนใช้เป็นสมุนไพรที่กล่าวกันว่ามีฤทธิ์ขับปัสสาวะแก้ไข้และต้านการอักเสบ ในขณะที่ในปากีสถานใช้รักษาอาการบวมของผิวหนัง โรคเรื้อนและเป็นยาระบาย
-อื่น ๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกามันถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ ในซิมบับเวถูกใช้เป็นอาหารสัตว์สำหรับสุกรและกระต่าย
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
ระยะออกดอก---เดือนสิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการปักชำลำต้นหรือเพาะเมล็ด

บัวอเมซอน/Echinodorus cordifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์--Echinodorus cordifolius (L.) Griseb.(1857)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.    
---Basionym: Alisma cordifolium L.(1753)
---Echinodorus radicans (Nutt) Engelm.(1848)
---Sagittaria cordifolia (L.) Lam.(1788)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-305238
ชื่อสามัญ---Burhead, Creeping burhead, Spade-leaf sword, Creeping burhead, Texas mud baby.
ชื่ออื่น---บัวอเมซอน, อเมซอนใบกลม;[ARGENTINA: Jacinto de agua.];[GERMAN: Herzblättriger Igelschlauch.];[PORTUGUESE: Chapéu-de-couro.];[SPANISH: Aguapey, Calamote, Llantén cimarrón.];[SWEDISH: Hjärtsvalting.].
ชื่อวงศ์---ALISMATACEAE
EPPO Code---ECOCO (Preferred name: Echinodorus cordifolius.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเหนือ; ตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก , อเมริกากลาง, ภาคเหนือของ อเมริกาใต้, หมู่เกาะเวสต์อินดืส
Echinodorus cordifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ water-plantains (Alismataceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2400
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกหมู่เกาะอินเดียตะวันตกอเมริกากลางอเมริกาใต้ (ไกลถึงใต้สุดของปารากวัย) และทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา (เท็กซัสถึงฟลอริดาและไกลออกไปทางเหนือถึงไอโอวา) พบในหนองบึง หนองบึง คูน้ำ และบ่อน้ำที่ระดับความสูง 50-50 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นเป็นเหง้าสั้นๆอยู่ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินเป็นกอสูง 30-60 ซม. มีใบแตกรอบๆประมาณ10 ใบ ใบเดี่ยว เรียงเวียนเป็นกอ รูปไข่ป้อม กว้าง 8-15 ซม. ยาว 10-20 ซม.ปลายใบมน โคนใบเว้า เป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาเเข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ก้านใบกลมตั้งตรงชูใบขึ้นเหนือผิวน้ำ ยาว 8-20 ซม.โคนก้านใบเป็นกาบหุ้นต้น ลักษณะของดอก มีสีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงจากกอ ก้านช่อดอกยาว 1-1.5 เมตร มีดอกย่อยจำนวนมาก มีใบประดับสีเขียว กลีบเลี้ยงสีเขียว 3 กลีบ กลีบดอกสีขาว 3 กลีบ บางและร่วงง่าย เกสรตัวผู้มีสีเหลืองเป็นกระจุก ดอกบานเต็มที่กว้าง 2 ซม. ลักษณะของผลเป็นผลแห้ง ทรงกลม ขนาดประมาณ 1 ซม.มีเมล็ดเดียว เมล็ดล่อน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม----ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินที่อุดมสมบูรณ์ รวมทั้งดินเหนียว อัตราการเจริญเติบโตเร็ว
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ พบได้ทั่วไปในการค้าขายตู้ปลา
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า


แหนเป็ดเล็ก/Lemna perpusilla

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lemna perpusilla Torr.(1843)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-109326
---Hydrophace perpusilla (Torr.) Lunel.(1915)
ชื่อสามัญ---Duckweed, Minute duckweed, Common duckweed, Lesser duckweed
ชื่ออื่น---แหนเป็ดเล็ก, แหน, กาแหน, แหนเล็ก;[BRAZIL: Caparosa, Pesca-miuda.];[CUBA: Lenteja de agua.];[FRENCH: Lenticule très petite, Petite lentille d'eau.];[GERMAN: Entenflott, Entengruetze, Kleine Wasserlinse, Weniggerippte Wasserlinse.];[INDONESIA: Kiambang (Sumatra).];[ITALIAN: Lenticchia d'acqua.];[JAPANESE: Aoukikusa, Koukikusa.];[KOREA: Jom gae gu ri bap.];[LAOS: Nae hang hern.];[PORTUGUESE: Lentilhas-de-agua-menores. pasta-miuda.];[SAMOA: Fala’o’oto.];[SUDAN: Ganggeng.];[SWEDISH: Andmat.];[SPANISH: Lenteja acuatica.];[THAI: Nae, Nae ped lek, Kanae, Nae lek.];[VIETNAM: Beo tam.].  
ชื่อวงศ์---LEMNACEAE
EPPO Code---LEMPA (Preferred name: Lemna perpusilla.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อนและเขตศูนย์สูตรของทวีปเอเชีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อ สายพันธุ์ " perpusilla " มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า "พิเศษ" และ "เล็กมาก"
Lemna perpusilla เป็นพืชแทลลอยด์ลอยอิสระขนาดเล็กของตระกูลLemnaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Torrey (1796–1873) นักพฤกษศาสตร์ นักเคมีและแพทย์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2386

 

ที่อยู่อาศัย มีการกระจายพันธุ์ในเขตร้อน โดยเกิดขึ้นในแคนาดา (ตะวันออก), สหรัฐอเมริกา (มิดเวสต์, ตะวันออกเฉียงเหนือ) เปิดตัวในฝรั่งเศส เอเชียตะวันตก (อิหร่าน เยเมน) เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ มาเลเซีย (มาลายา) เกาหลี พบในแหล่งน้ำทั่วไป Lacustrine (ในทะเลสาบหรือสระน้ำ) ในแม่น้ำหรือลำธาร จากระดับน้ำทะเลถึงเกือบ 10,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชลอยน้ำขนาดเล็ก "ใบ" (thalli) มักมีติ่งเล็กๆที่ปลาย ด้านใต้ทัลลัสมีรากเพียง1ราก และรากของมันจะสั้นมาก ยาวเพียง 3.5 ซม. (ยาวกว่า 1 นิ้วเล็กน้อย) ใบยาว 1-4 มม. กว้าง 0.8-3.0 มม. สีเขียวสด ลอยปริ่มน้ำหรือเหนือผิวน้ำเล็กน้อย หรือติดเป็นกลุ่ม  ดอกออกเป็นช่อเล็กๆเกิดอยู่ภายในถุงตรงขอบทัลลัส ผลเป็นแบบ utricle (มีเมล็ดเดียวแก่แล้วไม่แตกและมีลักษณะคล้ายถุงเล็กๆ หรือกระเปาะเล็กๆ)ขนาดเล็กมาก ผลยาว 0.7-1.0 มม. กว้าง 0.5-0.7 มม.ด้านข้างมีขอบปีก มี 1 เมล็ด เมล็ด    เป็นแบบ pericarp (ผนังเปลือกของผล ประกอบด้วยผนังผลชั้นนอก ผนังชั้นกลาง และผนังผลชั้นใน) ที่สามารถงอกได้ทันที
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดด เต็มวัน พื้นที่น้ำนิ่งหรือไหลอย่างช้า ๆอุณหภูมิของน้ำอยู่ระหว่าง 15-28 ° C, pH อยู่ระหว่าง 6.9-7.8
ใช้ประโยชน์---นำไปตากแห้งทำเป็นปุ๋ย เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์หรือผสมในอาหารของสัตว์ เช่น อาหารของเป็ด ห่าน ปลา ไก่ นกกระทา และสุกร มีผู้ศึกษาประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียจากฟาร์มเป็ด พบว่า ในระยะเวลา 100 วัน สามารถดูดปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด (TKN) ได้สูงสุดถึง 49.10% ดังนั้น จึงนิยมนำแหนเป็ดเล็กมาใช้เป็นอาหารโปรตีนราคาถูกสำหรับเลี้ยงเป็ดเทศ
ระยะออกดอก/ติดผล---หายากมักมองไม่เห็น
ขยายพันธุ์---แตกหน่อ หรือแยกกลุ่มใบไปปลูก

แหนแดง/Azolla pinnata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Azolla pinnata R.Br.(1810)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50009388    
ชื่อสามัญ---Mosquito fern, Feathered mosquitofern, Ferny azolla, Pinnate mosquito fern, Water velvet
ชื่ออื่น---แหนแดง;[AUSTRALIA: Red azolla, Red water fern, Water moss.];[CHINESE: Man chiang hung.];[GERMAN: Afrikanischer Algenfarn, Gefiederter Algenfarn.];[JAPANESE: A-Aka-ukikusa.];[INDONESIAN: Mata lele, Kayu apu dadak, Kakarewoan.];[KOREA: Mul gae gu ri bap.];[SWEDISH: Fjädermossbräken.];[THAI: Nae daeng.];[VIETNAM: Beo-dau.].
ชื่อวงศ์---AZOLLACEAE
EPPO Code---AZOPI (Preferred name: Azolla pinnata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์ ---แอฟริกา, เอเชีย (บรูไนดารุสซาลาม, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี และฟิลิปปินส์ ) และบางส่วนของออสเตรเลีย
Azolla pinnata เป็นพืชน้ำเล็ก ๆ ตระกูลเฟิร์นลอยน้ำ (Azollaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Brown (1773–1858)นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2353
มี3 ชนิดย่อย (Subspecies)
---Azolla pinnata subsp. africana (Desv.) R.M.K. Saunders & K. Fowler.(1992.)    
---Azolla pinnata subsp. asiatica R.M.K.Saunders & K.Fowler.(1992)
---Azolla pinnata subsp. pinnata.(1810)

 

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา เอเชียตะวันตก เทือกเขาหิมาลัย บังคลาเทศ อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดจีน มาเลเซีย แอฟริกาเขตร้อน มาดากัสการ์ นิวกินี ออสเตรเลีย พบได้บนพื้นผิวของแอ่งน้ำขนาดเล็กที่นิ่งไม่มีคลื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในน้ำที่มีระดับสารอาหารสูง เช่น บ่อในคอกปศุสัตว์และบ่อเลี้ยงสัตว์ ซึ่งสามารถปกคลุมผิวน้ำได้อย่างสมบูรณ์ มีความสามารถในการอยู่รอดบนดินชื้นในและรอบ ๆ แม่น้ำ คูน้ำ และบ่อน้ำ ซึ่งอาจช่วยให้พืชสามารถดำรงชีวิตได้ในระดับน้ำต่ำและช่วงฤดูแล้ง การกระจายตัวของระดับความสูงจะแบ่งออกเป็นสองช่วงที่แยกจากกัน ประชากรที่ลุ่มที่ระดับความสูง 3-60 เมตร; และประชากรบนพื้นที่สูงที่ระดับความสูง 1,000-3,000 เมตร
บทสรุปของการรุกราน---สามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทำให้เกิดมวลพืชหนาแน่นในบริเวณที่มีน้ำนิ่ง ซึ่งจะจำกัดแสงที่มีอยู่สำหรับพืชน้ำอื่นๆ และออกซิเจนที่ใช้กับสัตว์น้ำอื่นๆ ในนิวซีแลนด์ มีผลเสียต่อสายพันธุ์พื้นเมือง รวมอยู่ในรายการวัชพืชที่เป็นพิษของรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา (USDA-NRCS, 2004)
ลักษณะ ลำต้นเป็นแท่งสั้นทอดเลื้อยแตกสาขาแบบสลับ ยาว 1.5-2.5 ซม. กว้าง 1-1.5 ซม ทรงต้นเป็น รูปสามเหลี่ยมมีรากจมอยู่ในน้ำยาวและมีรากขนอ่อนมากมาย มีใบ bilobed สองแถว สีม่วงถึงชมพูและแดง ในต้นที่มีอายุมากผิวบนมีปุ่มเล็กๆและมีเยื่อเหนียวกึ่งใสอยู่ในบริเวณขอบ ต้นแก่ที่ได้รับแสงเต็มที่จะเป็นสีแดงคล้ำ ต้นอ่อนหรือได้รับแสงไม่เต็มที่จะเป็นสีเขียว แตกกิ่งแบบขนนก รากเป็นรากพิเศษ ยาวอยู่ทางด้านใต้ของลำต้น ทั้งต้นและกิ่งมีใบขนาดเล็กปกคลุม เรียงสลับซ้อนกัน ใบแต่ละใบแบ่งเป็น 2 ส่วนเท่าๆกัน ส่วนบนหนา สีเขียวหรือสีแดง ส่วนล่างบางอยู่ใต้น้ำ ไม่ค่อยมีสี ใบล่างสุดสร้าง sporocrap 2-4 อัน ที่แกนของใบด้านใต้ใบ ภายในมีเมกะสปอร์และไมโครสปอร์
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีที่สุดที่มีแสงประมาณ 50 – 70 เปอร์เซ็นต์ของแสงสว่าง อุณหภูมิ 20 – 30 องศาเซลเซียส pHที่เหมาะสม 4.0 – 5.5 ความลึกของน้ำประมาณ 10 ซม.อัตราการเติบโตสูงสุด สามารถเพิ่มมวลชีวภาพเป็นสองเท่าใน 1.9 วัน โดยสายพันธุ์ส่วนใหญ่บรรลุการเติบโตดังกล่าวภายในหนึ่งสัปดาห์ภายใต้สภาวะที่เหมาะสม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ในฟิลิปปินส์ มีรายงานว่าเกษตรกร ใช้เป็นส่วนผสมในสลัด pinangat, mungo และไข่เจียว
-ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ในนาข้าวทดแทนปุ๋ยเคมีไนโตรเจน ลดปริมาณวัชพืชในนาข้าว แหนแดงจะคลุมผิวน้ำป้องกันไม่ให้แสงแดดส่องลงไปในน้ำ ทำให้วัชพืชในน้ำเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
-ใช้เป็นอาหารสัตว์ การศึกษาได้แสดงให้เห็นศักยภาพมหาศาลในฐานะอาหารสัตว์ ในเอเชียและบางส่วนของแอฟริกา เคยเลี้ยงสุกร เป็ด ไก่ วัวควาย ปลา แกะ แพะ และกระต่าย
-อื่น ๆแหนแดงเป็นพืชน้ำมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เป็นทรัพยากรที่ใช้ไม่หมดสิ้น และแหนแดงมีโปรตีนสูง เน่าสลายปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาได้อย่างรวดเร็ว และสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย
-โครงสร้างของชีวมวลของแหนแดงมีหมู่คาร์บอกซิลและหมู่ฟอสเฟตจึงใช้เป็นตัวดูดซับโลหะหนักได้ โดยแหนแดงที่ทำปฏิกิริยากับแมกนีเซียมคลอไรด์จะดูดซับ ตะกั่ว แคดเมียม ทองแดงและสังกะสีในน้ำเสียได้ดี
ขยายพันธุ์---สปอร์ ใบ 


ไข่น้ำ/Wolffia arrhiza

Image credits ; https://www.plantarium.ru/page/image/id/106593.html
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wolffia arrhiza (L.) Horkel ex Wimm.(1857)
ชื่อพ้อง---Has 7  Synonyms.    
--- Bruniera vivipara Franch.(1864)
--- Horkelia arrhiza (L.) Druce.(1898)
--- Lemna arrhiza L.(1857)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214819
ชื่อสามัญ---Water meal, Spotless watermeal, Least Duckweed, Rootless Duckweed.
ชื่ออื่น--- ไข่น้ำ, ผำ;[CHINESE: Wú píng.];[CZECH: Drobnička bezkořenná.];[DUTCH: Wortelloos endekroos, Wortelloos kroos.];[FRENCH: Wolffia sans racines.];[GERMAN: Entenlinse, Gemeine Zwerglinse, Gemeine Zwergwasserlinse, Wurzellose Wolffie, Zwerglinse, Zwergwasserlinse.];[HUNGARIAN: Vízidara.];[ITALIAN: Wolffia.];[JAPANESE: Konaukikusa, Mijinkôkikusa.];[RUSSIA: Volʹfiya beskornevaya.];[SPAKISH: Lentejilla de agua.];[THAI: Khai nam, Khai-Nam, Pham.].
ชื่อวงศ์---LEMNAXEAE
EPPO Code---WOLAR (Preferred name: Wolffia arrhiza.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ยุโรป แอฟริกา เอเชียตะวันตก และบราซิลตะวันออก ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ไทย
Wolffia arrhiza เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวพืชวงศ์ Lemnaceae เช่นเดียวกับแหนเป็ด ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johann Horkel (1769–1846) เป็นแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดึต Christian Friedrich Heinrich Wimmer (1803–1868) นักพฤกษศาสตร์และนักการศึกษาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2400
ที่อยู่อาศัย บริเวณอากาศอบอุ่น กึ่งเขตร้อน และเขตร้อนของยุโรป แอฟริกา เอเชียตะวันตก และบราซิลตะวันออก ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ไทยโดยมีฤดูหนาวค่อนข้างอบอุ่นและฤดูร้อนไม่ร้อนมาก เติบโตในแหล่งน้ำที่ไหลช้าทั่วโลก
ลักษณะ เป็นพันธุ์ไม้ที่มีต้นเล็กที่สุดในโลกเป็นพืชน้ำที่ไม่มีรากประเภทลอยบนผิวน้ำ มีรูปร่างค่อนข้างกลมหรือยาวรี ผิวด้านบนค่อนข้างเขียวเข้มเป็นมัน (ไม่โปร่งใส) มีขนาดยาว 0.5-1.5 มม. กว้าง 0.4-1.2 มม.พืชออกดอกเป็นครั้งคราวและไม่ค่อยติดผล  เมล็ดยาว 0.4-0.5 มม. หนาประมาณ 0.4 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ชอบขึ้นในที่อากาศร้อนและแสงแดดมาก เติบโตในแสงธรรมชาติ แต่ไม่ควรปล่อยให้แสงแดดส่องถึงโดยตรง ชั่วโมงแสงควรมีอย่างน้อย 12 ชั่วโมงต่อวัน ในน้ำที่เป็นกลางถึงเป็นด่าง pH 5.0-6.0 อัตราการเจริญเติบโตจะสูงมากเมื่อน้ำมีความเป็นด่างมากขึ้นและอุณหภูมิ 23-26 ° C
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เป็นแหล่งอาหารของมนุษย์และเป็นที่ต้องการอย่างมากในพม่า ลาว และไทย เนื่องจากมีราคาไม่แพง อัตราการเติบโตที่รวดเร็ว และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีนประมาณ 20% คาร์โบไฮเดรต 44% ไขมัน 5% และอุดมไปด้วยวิตามิน A, B2, B6, C และกรดนิโคตินิก
-ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย นิยมรับประทานเป็นอาหารโปรดด้วย เพราะเมื่อนำไปใส่ในแกงเผ็ดและแกงพื้นบ้านจะเพิ่มรสชาติให้กับอาหารอย่างดี ไข่น้ำจึงมีชื่อเรียกตามภาษาพื้นบ้านว่า “ผำ”
-ใช้เป็นอาหารสัตว์ ในทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ จัดเป็นอาหารธรรมชาติประเภทพืชที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับการเลี้ยงลูกปลานิล (Oreochromis niloticus) ได้ สัตว์น้ำเกือบทั้งหมดรวมทั้งปลา กบ กุ้ง พยาธิใบไม้ และตัวอ่อนแมลงปอกินพืชชนิดนี้
-อื่น ๆ นอกจากนี้ยังใช้ดูดซับไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจากน้ำเสียจากฟาร์มกุ้งกุลาดำและอุตสาหกรรมอื่นๆ พืชที่ปลูกในน้ำเสียดังกล่าวมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการเลี้ยงสัตว์ต่างๆ เช่น ไก่และปลา
ระยะออกดอก---มีนาคม – พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---แพร่กระจายโดยการแบ่ง พืชที่โตเต็มวัยเมื่อถึงขนาดที่กำหนดจะเริ่มแบ่งออกเป็นส่วน ๆ อนุภาคกลายเป็นพืชอิสระอย่างรวดเร็ว


บัวบา/Nymphoides indica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Nymphoides indica (L.) Kuntze.(1891)
ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms.
---Basionym: Menyanthes indica L.(1753)
---Limnanthemum indicum (L.) Thwaites.(1860.)
---Villarsia indica (L.) Vent.(1803)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2385097
ชื่อสามัญ---Water Snow Flake, Floating-heart, Robust marshwort, Banana plant, Water gentian.
ชื่ออื่น---บัวบา, ตับเต่าใหญ่, ผักเต่าใหญ่, ผักนองม้า, อีบา, อีแปะภู;[AUSTRALIA: Water snowflake.];[BENGALI: Chandmala.];[CHINESE: Jīn yín lián huā.];[FRENCH: Faux Nénuphar des Indes, Menyanthe de l'Inde.];[GERMAN: Indische Seekanne.];[HINDI: Kumudini.];[JAPANESE: Gaga-buta.];[KANNADA: Neeru thaavare.];[KOREA: Eo ri yeon kkot.];[MALAYALAM: Nedel-ambel.];[MARATHI: Kumud.];[PORTUGUESE: Coração-flutuante.];[SPANISH: Ninfoides.];[TAMIL: Chinnamba.];[TELUGU: Anthara, Thaamara.];[THAI: Bua-baa.];[SWEDISH: Franssjögull.].
ชื่อวงศ์---MENYANTHACEAE
EPPO Code---NYPIN (Preferred name: Nymphoides indica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล อินเดีย ศรีลังกา พม่า จีนตอนใต้ ญี่ปุ่น เกาหลี ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'indica' = of India
Nymphoides indica เป็นพืชน้ำในวงศ์ Menyanthaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบัน Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2434

 

ที่อยู่อาศัย เอเชียตะวันตก เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา  อินโดจีน มาเลเซีย (มาลายา) จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก พบได้ตามแหล่งน้ำนิ่ง บึง บ่อ หนองน้ำและตามลำคลองทั่วไป บางครั้งในสระตามฤดูกาลเนื่องจากสามารถทนต่อช่วงเวลาที่แห้งแล้งได้
ลักษณะ เป็นพืชลอยน้ำที่มีอายุหลายปี หยั่งรากในดินด้านล่างและที่โหนดต้นกำเนิด ลำต้นเป็นไหลกลมเรียวยาวลอยอยู่ในน้ำ ยาวประมาณ 3 เมตร ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจน ถ้าน้ำตื้นรากอาจเกิดจากข้อ ยึดกับพื้นดิน ใบเดี่ยวก้านใบสั้นแผ่นใบเหมือนใบบัวลอยบนผิวน้ำ แผ่นใบหนาสีเขียวสด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใบประมาณ 10-30 ซม.ขอบใบทั้งหมดเป็นคลื่น ดอกเดี่ยวเกิดเป็นกระจุกที่ข้อลำต้นตรงโคนก้านใบ ขนาดดอกประมาณ 5 ซม. เป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยงสีเขียว 5-8 กลีบ กลีบดอกสีขาวจำนวนเท่ากับกลีบเลี้ยง โคนกลีบเชื่อมติดกัน ขอบกลีบดอกแตกเป็นครุยละเอียด โคนดอกด้านบนเป็นสีเหลืองสด ดอกไม้มีอายุเพียงวันเดียว ผลเดี่ยวแคปซูลรูปไข่ (3-5 มม.) แบบผลแห้งแก่แล้วแตก มีเมล็ดไม่กี่เมล็ด เมล็ดมีสีน้ำตาล ทรงกลม เรียบ และกว้างน้อยกว่า 1.5 มม.ใบมักพบร่วมกับต้นอ่อนที่เกี่ยวข้อง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่ง แสงแดดเต็มวัน ชอบดินเหนียวที่มีอินทรียวัตถุ เจริญได้ดีที่ระดับน้ำ 15–30 ซม.อัตราการเจริญเติบโตเร็ว
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับลอยน้ำ ปลูกเป็นไม้น้ำในกระถาง
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-พฤษภาคม
การขยายพันธุ์---ปักชำไหล ต้นลูก เหง้า และใบ (แต่ละใบสามารถผลิตต้นอ่อนได้ เรียกว่า viviparity)

  

สันตะวาใบพาย/Ottelia alismoides

Image credits ; https://www.naturamediterraneo.com/forum/topic.asp?TOPIC_ID=57837
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ottelia alismoides (L.) Pers.(1805)
ชื่อพ้อง---Has 35 Synonyms.
---Basionym: Stratiotes alismoides (L.).R.Br.(1753)
---Damasonium alismoides (L.) R.Br.(1810)
---Ottelia japonica Miq.
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-308360
ชื่อสามัญ---Duck-lettuce, Water-plantain ottelia.
ชื่ออื่น---สันตะวาใบพาย, ผักโตวา, หอบแหบ;[ASSAMESE: Hentepa/ Kechoir/ Panikola, Panikola.];[BENGALI: Parmikalla.];[CHINESE: Lóng shé cǎo, Shui bai cai, Lung she ts'ao, Shui che qian.];[DUTCH: Duikerbloem.];[FRENCH: Ottélie.];[GERMAN: Froschlöffelähnliche Ottelie.];[INDIA: Pokok kelur, Dainithalir.];[ITALIAN: Erba coltella delle risaie, Mestolaccia falsa.];[JAPANESE:  Mizu-ôbako, Mizu-ôba-ko, Mizuô-bako, Omizu-ôbako.];[KANNADA: Hasiru Neeru Paathre, Kottigensu Balli.];[KOREA: Mul-jil-gyeong-i, Ga neun ip mul jil gyeong i.];[MALAYALAM: Ottel-ambel.];[MALAYSIA:  Keladi ayer, Kreboboth.(Malay).];[MARATHI: Bhat(Rice)-kamal, Olek-alsem.];[PHILIPPINES: Damong-ilalim, Kalabua, Lanten-sapa,Lanting-sapa (Tag.); Lanting (Bik.); Maraduyug (It.); Tarabang (Ilk.).];[SPANISH: Espada, Tangila.];[SWEDISH: Ottelia.];[TAMIL: Nirkkuliri.];[TELUGU: Edukula Thaamara, Neeru Veniki.];[THAI: San tawa, Santawa bai phai, Phak to wa, hop-hap.].
ชื่อวงศ์---HYDROCARITACEAE
EPPO Code---OTEAL (Preferred name: Ottelia alismoides.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และแปซิฟิก
เขตกระจายพันธุ์---ตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และในอเมริกาเหนือ
Ottelia alismoides เป็นพืชน้ำในวงศ์วงศ์สันตะวา (Hydrocharitaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบัน Christiaan Hendrik Persoon (1761–1836) นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาเชื้อรา,นักไลเคนและแพทย์ ชาวแอฟริกาใต้ ในปีพ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิด ในแอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย และแปซิฟิก กระจายพันธุ์ตั้งแต่ตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกา(รัสเซีย, ตะวันออกไกล)ถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี นิวกินี) และออสเตรเลีย พบในน้ำไหลช้าหรือน้ำนิ่งในแอ่งน้ำขนาดเล็ก หนองน้ำ นาข้าว ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลใกล้ถึง 1200 เมตร ในอเมริกาเหนือจัดเป็นพืชรุกราน
ลักษณะ เป็นพืชน้ำอายุปีเดียว มีลำต้นสั้นมาก ไม่มีไหล มีแต่รากฝอย ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่แตกเป็นกอรอบต้น กว้าง 8-20 ซม.ยาว 10-22 ซม.โคนของก้านใบจะแผ่ออกเป็นแผ่น มีสีขาว แผ่นใบใหญ่บางและกรอบ ลักษณะเป็นรูปหอกสำหรับแผ่นที่จม และเป็นรูปไข่ สำหรับ แผ่นที่ลอยพยุงตัวอยู่ใกล้ผิวนํ้า ยาว 6-12 ซม.กว้าง 2.5 -10 ซม.ฐานใบกลม หรือมักเว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ หรือหยักเป็นคลื่น ดอกเป็นดอกเดี่ยวสีขาว ก้านดอกยาว 15-20 ซม.ขึ้นเหนือระดับน้ำ เมื่อบานเต็มที่กว้างประมาณ 2 ซม.กลีบดอกมี 3 กลีบ รวมกันเป็นก้านชูยาว 4 มม.ภายในรังไข่มี 6 ช่อง ผลเป็นผลเดี่ยวรูปรีแกมขอบขนาน ยาวประมาณ 3-5 ซม.ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดทรงกระบอกแคบ ยาว 0.9–1.3 มม.กว้าง 0.3–0.5 มม.เมล็ดแก่สีม่วงดำ สามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ถึง 2,000 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ก้านใบและใบของพืชชนิดนี้รับประทานเป็นผักในอินเดียและมาเลเซีย
-ใช้เป็นยา ในประเทศจีนใช้เป็นยารักษาฝีเต้านม มะเร็ง แผลเปื่อย และแผลไหม้
-ในประเทศฟิลิปปินส์ใช้ลดไข้และรักษาโรคริดสีดวงทวาร
-ในรัฐทมิฬนาฑูประเทศอินเดียใบที่ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร
-ในรัฐเบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย, เมล็ดแห้งบดใช้ทาภายนอกเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อน ผงใบแห้งทาภายนอกสำหรับโรคผิวหนังต่างๆ
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017)
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---โดยการแยกหน่อ และเมล็ด


สันตะวาใบข้าว/Vallisneria spiralis

Image credits ; https://www.plantarium.ru/page/image/id/122353.html
ชื่อวิทยาศาสตร์---Vallisneria spiralis L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Vallisneria aethiopica Fenzl.(1865)
---Vallisneria jacquiniana Spreng.(1826)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-308987
ชื่อสามัญ---Channel grass, Coiled vallisneria, Eel grass, Eelweed, Straight eelgrass, Straight vallisneria, Tape grass, Tapeweed
ชื่ออื่น--- สันตะวาใบข้าว, เทปเล็ก, หญ้าช้อง; สันตะวาขนไก่ (สุราษฎร์ธานี);[DUTCH: Vallisneria.];[FRENCH: Vallisnerie en spirale.];[GERMAN: Gemeine Wasserschraube, Gewöhnliche Wasserschraube, Wasserschraube.];[HINDI: Shaival, Sival.];[ITALIAN: Alga di chiana.];[NETHERLANDS: Wierblad.];[PORTUGUESE: Saca-rolhas.];[THAI: Santawa bai khao, Santawa hang kai, Yaa chong, Thep lek.];[TURKISH: Kordelaotu.].
ชื่อวงศ์---HYDROCHARITACEAE
EPPO Code---VAISP (Preferred name: Vallisneria spiralis L.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---ยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ อเมริกาเหนือ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิวซีแลนด์ นิวแคลิโดเนีย และหมู่เกาะฮาวาย
Vallisneria spiralis เป็นพืชน้ำในวงศ์สันตะวา (Hydrocharitaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยา และนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ความหลากหลาย (Varieties) ;-
---Vallisneria spiralis var. spiralis
---Vallisneria spiralis var. wylii Chodat.(1917)


Image credits ; https://rybyakwariowe.eu/roslina-akwariowa/nurzaniec-srubowy-spiralny-vallisneria-spiralis-l/
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในยุโรปตอนใต้ แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันแพร่กระจายไปทางเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือในฝรั่งเศส เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักรตอนใต้ โปแลนด์ และรัสเซีย แนะนำให้รู้จักกับอเมริกาเหนือ หมู่เกาะอินเดียตะวันตก นิวซีแลนด์ นิวแคลิโดเนีย และหมู่เกาะฮาวาย พบในแหล่งน้ำจืดที่อยู่นิ่งหรือไหลนิ่ง รวมทั้งทะเลสาบ บ่อน้ำ แหล่งน้ำ และพื้นที่ชุ่มน้ำ ในประเทศไทยพบทั่วทุกภาค ตามลำธารที่มีน้ำไหล บริเวณภูเขาหินปูน
ลักษณะ เป็นพืชใต้น้ำ มีอายุหลายปี ลำต้นมีทั้งที่เป็นเหง้าสั้นและที่เป็นไหล ใบเดี่ยว เรียงเวียน ออกเป็นกอ ใต้กอมีรากยึดติดพื้นดิน แผ่นใบรูปแถบ ยาวตามระดับน้ำ กว้างประมาณ 1 ซม.และยาว 100 ซม.ขึ้นไป โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มซ้อนกัน มีดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ดอกเพศเมียมีก้านดอกยาวชูดอกขึ้นมาบานที่ผิวน้ำ เมื่อได้รับการผสมแล้วก้านดอกจะหดสั้น ดึงผลให้มาเจริญใต้น้ำ ผลรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 9.5–10 ซม.ภายในมีเมล็ดจำนวนมาก ทรงรี striate ยาว 1.3–2.0 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้เร็วที่สุดในอุณหภูมิน้ำที่ 25 องศาC ที่ระดับความลึก 1 เมตร และบนตะกอนที่เป็นโคลน ทราย หรือกรวด ( Hussner and Lösch, 2005 ) สายพันธุ์นี้ชอบน้ำใส โดยมีการชะลอการเจริญเติบโตในน้ำขุ่น ในนิวซีแลนด์ในระดับความลึกน้อยกว่า 9 เมตร ทนต่อความเค็มต่ำ ทนต่อการรบกวนของคลื่นสูง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา
-อื่น ๆ ด้านสิ่งแวดล้อม ชนิดของพืชที่จมอยู่ใต้น้ำถือว่ามีคุณค่าสำหรับ phytoremediation เนื่องจากรากที่เกาะกับดิน เหง้า และ stolons ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการตั้งรกรากด้วยสาหร่ายหน้าดิน จุลินทรีย์อื่นๆ และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง
-พบว่าช่วยลดระดับโครเมียม แคดเมียม และทองแดงในน้ำภายใต้สภาวะของห้องปฏิบัติการ ( Sinha et al., 1994 ; Vajpayee et al., 2001 ) จากการศึกษาที่แสดงให้เห็นการกำจัดโครเมียมออกจากน้ำทิ้งจากโรงฟอกหนังอย่างมีประสิทธิภาพ ได้มีการเสนอโรงงานที่เหมาะสมกับการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อปรับปรุงน้ำเสียที่มีโครเมียม โดยมีเงื่อนไขว่าจำเป็นต้องมีวิธีการกำจัดพืชที่ปนเปื้อนอย่างปลอดภัย (Vajpayee et al., 2001 ). อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาศักยภาพของพืชน้ำในการกำจัดโลหะหนักออกจากน้ำเสียV. spiralisมีประสิทธิภาพน้อยที่สุดในพืชที่ทดสอบ ( Rai et al., 1995 )
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---ตัดลำต้นปักชำใต้น้ำ


คล้าน้ำช่อห้อย/Thalia geniculata

ชื่อวิทยาศาสตร์---Thalia geniculata L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms.
---Maranta geniculata (L.) Lam.(1791)
---Thalia welwitschii Ridl.(1887)
---Thalia trichocalyx Gagnep.(1904)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-268132
ชื่อสามัญ---Arrowroot, Alligator Flag, Bent alligator-flag, Fire-flag, Giant water canna, Greater thalia.
ชื่ออื่น---คล้าน้ำช่อห้อย;[BRAZIL: Agouti-guepe, Talia.];[PORTUGUESE: Arumarana, Caete, Paquivir, Talia.];[SPANISH: Bihao, Bijao, Bijao de fardo, Bocachica, Platanillo del rio.];[SWEDISH: Stor thalia.];[THAI: Khlaa nam cho hoi.].
ชื่อวงศ์---MARANTACEAE
EPPO Code---THAGE (Preferred name: Thalia geniculata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้  และหมู่เกาะเวสต์อินดีส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Thalia' ตั้วเป็นเกียรติแก่ Johannes Thal (1542–83) แพทย์ชาวเยอรมันผู้เขียนดอกไม้แห่งเทือกเขา Harz; ชื่อสายพันธุ์ 'geniculata' หมายถึง "ด้วยหัวเข่า"
Thalia geniculata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ เท้ายายม่อม (Marantaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในพื้นที่ขนาดใหญ่ในแอฟริกา ตั้งแต่เซเนกัลทางตะวันตกไปจนถึงซูดานทางตะวันออก ทางใต้สู่ซิมบับเวและแองโกลา นอกจากนี้ยังถือว่ามีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก อเมริกากลาง หมู่เกาะอินเดียตะวันตก อเมริกาใต้ส่วนใหญ่ และทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา(เปอร์โตริโก, ฟลอริดา, ลุยเซียนา, แอละแบมาและจอร์เจียตอนใต้) เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่ชุ่มน้ำพบตามหนองน้ำ หนองบึง คูริมถนน มักอยู่ในบริเวณที่มีสารอาหารค่อนข้างสูงและแสงค่อนข้างสูง ไม่ค่อยอยู่ใต้ร่มไม้หนาทึบ พบที่ระดับความสูง 6-400 เมตร
ลักษณะ เป็นวัชพืชน้ำยืนต้นไม่ผลัดใบสูงได้ประมาณ 1-3 เมตร.งอกจากเหง้าหนา มักขึ้นเป็นกออยู่ริมน้ำ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่แกมรี โคนใบป้าน ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ หลังใบมีสีขาวนวล ใบไม้หลายใบที่เติบโตรวมกันจะหุ้มที่โคน ก้านใบกลม ยาวประมาณ 60-150 ซม.ดอกออกเป็นช่อยาวมีกาบดอกสองใบโผล่ออกมาบนก้านดอกสูง ดอกไม้สีม่วงขนาดเล็กหลายดอกห้อยลงมาจากกาบ ดอกมี 3 กลีบ ผลเป็นแคปซูลเนื้อรูปกลมรี สีน้ำตาล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินเหนียวถึงดินโคลน pH 5.5-7
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน รากสด ดอก เหง้า และโคนลำต้นกินได้ เป็นพืชอาหารที่สำคัญพอสมควรสำหรับ Seminoles เหง้าที่เป็นแป้ง ผสมกับเนื้อสัตว์และไขมันที่ปรุงแล้ว แล้วต้มในใบเหมือน tamale เรีบกว่า 'paluee'
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามริมน้ำทั่วไป หรือปลูกในภาชนะน้ำขนาดใหญ่
-อื่น ๆใช้ใบขนาดใหญ่ห่ออาหาร
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ระยะออกดอก---ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---จากเหง้าหรือเมล็ด


คล้าน้ำช่อตั้ง/Thalia dealbata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Thalia dealbata Fraser.(1794)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-252982   
---Malacarya dealbata (Fraser) Raf.(1819)
---Maranta dealbata (Fraser) A.Dietr.(1831)
---Peronia stricta F.Delaroche.(1812)
---Spirostalis biflora Raf.(1838)
---Spirostylis biflora Raf.(1838)
---Thalia barbata Small.(1903)
ชื่อสามัญ---Powdery thalia, Hardy canna, Powdery alligator-flag
ชื่ออื่น---คล้าน้ำช่อตั้ง, พุทธรักษาน้ำ, สังฆรักษา;[THAI: Khjaa nam cho tang, Putharaksa nam, Sankharaksa.].
ชื่อวงศ์---MARANTACEAE
EPPO Code---THADA (Preferred name: Thalia dealbata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา หมู่เกาะเวสต์อินดีส
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Thalia' ตั้วเป็นเกียรติแก่ Johannes Thal (1542–83) แพทย์ชาวเยอรมันผู้เขียนดอกไม้แห่งเทือกเขา Harz; ชื่อสายพันธุ์ 'dealbata' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "dealbatus, a, um" = whitewashed โดยอ้างอิงถึงคราบขี้ผึ้งที่ปกคลุมใบ
Thalia dealbata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ เท้ายายม่อม (Marantaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Fraser, FLS, F.R.H.S. (1750 – 1811) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก๊อต ในปี พ.ศ.2337
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในภาคกลางของภาคตะวันออกของสหรัฐอเมริกา (แอละแบมา อาร์คันซอ จอร์เจีย อิลลินอยส์ ลุยเซียนา มิสซิสซิปปี้ มิสซูรี โอคลาโฮมา เซาท์แคโรไลนา และเท็กซัส) ซึ่งเติบโตในแอ่งน้ำและริมสระน้ำและลำธาร
ลักษณะ เป็นวัชพืชน้ำยืนต้นไม่ผลัด ลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดินขึ้นเป็นกอ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปไข่กลับ ถึงรูปขอบขนาน รูปใบหอก ปลายใบแหลม ยาว 20-55 ซม. และ 8-20 กว้าง ซม.สีเขียว และปกคลุมด้านล่างด้วยคราบขี้ผึ้งสีขาวอมน้ำเงิน ก้านใบยาว 30-90 ซม.ดอกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ออกที่โคนต้น ชูตั้งขึ้น ยาวประมาณ 40 ซม.ดอกสีม่วงเข้ม กาบรองช่อดอกเรียวยาว ติดทน กลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ โดยกลีบดอก 1 กลีบยื่นแผ่ออกมาเป็นปากล่าง ขนาดประมาณ 2 ซม.อีก 2 กลีบมีขนาดเล็กกว่า ผลเป็นแคปซูลกลมถึงรูปไข่ ยาว 1-1.2 ซม.มีเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม 1เมล็ดยาวประมาณ 0.8 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ในดินร่วนอินทรีย์ที่รักษาความชื้นตลอดเวลา ปลูกได้ในก้นสระได้โดยตรงความลึกของน้ำ 10-50 ซม.ถ้าให้ดินที่มีสารอินทรีย์เป็นชั้นที่เหมาะสม ควรมีสภาพเป็นกรดถึงเป็นกลาง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามริมน้ำทั่วไป หรือปลูกในภาชนะน้ำขนาดใหญ่ ปลูกเป็นไม้ประดับน้ำตั้งตรง
ระยะออกดอก---ช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---จากเหง้าหรือเมล็ด


บอน/Colocasia esculenta


ชื่อวิทยาศาสตร์---Colocasia esculenta (L.) Schott.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 65 Synonyms.
---Basionym: Arum esculentum L.(1753)
---Colocasia esculenta var. aquatilis Hassk.(1840)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-46275
ชื่อสามัญ---Elephant ear, Coco yam, Dasheen, Elephant's-ear, Japanese taro, Taro, Wild taro, Chinese potato, Egyptian colocasia.
ชื่ออื่น--ตูน, บอนหอม, บอนจืด, บอนท่า, บอนน้ำ;[AFRICA: Madumbe.];[ARGENTINA: Colocasia, Taro, Yautia melendez.];[ASSAMESE: Kola Kochu, Kola-kochu/ Kochu, Kolia Kochu.];[BENGALI: Alti Kachu, Kachu.];[BRAZIL: Taio.];[BOLIVIA: Pituca.];[CHINESE: Yù.];[CUBA: Malanga isleña, Oreja de elefante.];[FRENCH: Arum d'Egypte, Chou caraïbe, Choue-Chine, Colocase, Colocasia antique, Dachine, Madère, Saonjo, Songe, Taro.];[GERMAN: Echte Blattwurz, Zehrwurzel.];[HAITI: Caraibe; Caraibe manzoubelle, Malanga, Malanga deux palles, Malanga thiote, Taro bombou, Tayo bambou, Tayo blanc, Tayo noir.];[HINDI: Ashukachu, Arvi, Kachalu.];[ITALIAN: Aro d'Egitto, Colocasia, Fava d'Egitto, Pampini del paradiso, Taro, Trombe del paradiso.];[JAPANESE: Sato-imo.];[KANNADA: Kesavedantu, Keshavanagadde.];[KOREA: To ran.];[LAOS: Bon, Phüak.];[MALAYALAM: Chembu, Chempakizhanna, Chempu, Kaattuchembu, Madantha, Seppankizhangu.];[MALTA: Għorgħas.];[MALAYSIA: Daun keladi.];[MARATHI: Aaloo, Chempu, Ran Aalu.];[PHILIPPINES: Abalong; gabi, Natong.];[PORTUGUESE: Alcolcas, Colcas, Colocásia, Inhame, Inhame-coco, Inhame-da-costa, Inhame-de-enxerto, Inhame-do-Egipto, Inhame-dos-Açores, Taro.];[RUSSIA: Kolokaziya sʺyedobnaya, Taro.];[SANSKRIT: Aaluki, Alukam, Alupam, Kachchi.];[SPANISH: Chamol, Malanga, Ocumo chino, Quequeisque, Quiquisque, Tiquisque,Nampi.];[TAMIL: Chamadumpa, Chamagadda, Chamakura.];[TELUGU: Sempu, Shamakkilangu.];[THAI: Bon nam, Tun, Bon hom.];[TURKISH: Gölevez.];[VIETNAM: Khoai nuwowsc, Khoai soj, Moon nuwowsc.].
ชื่อวงศ์---ARACEAE
EPPO Code---CXSES (Preferred name: Colocasia esculenta.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา
Colocasia esculenta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Heinrich Wilhelm Schott (1794–1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบที่เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ อินโดจีน (เมียนมาร์ ไทย ลาว) มาเลเซีย (มาลายา สุมาตรา) จีน (รวมถึงไต้หวัน) นำเข้าแถบเมดิเตอร์เรเนียนตะวันตกและตอนเหนือ อินโดจีน (กัมพูชา เวียดนาม), มาเลเซีย (ชวา, ซูลาเวซี), ญี่ปุ่น, เกาหลี, แอฟริกาตะวันตก (หลายประเทศตั้งแต่เซเนกัลถึงแคเมอรูน), แอฟริกากลาง (จากซูดานถึงซิมบับเว), มาดากัสการ์, สหรัฐอเมริกา, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้ (ยกเว้น กรวยใต้), นิวกินี, ออสเตรเลีย (ตะวันตก, ควีนส์แลนด์, นิวเซาท์เวลส์) พบได้ทั่วไปมักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ หลายต้นเกระจายตามที่ลุ่มริมน้ำ ในประเทศไทยพบทุกภาค ชอบขึ้นบนดินโคลนหรือบริเวณที่มีน้ำขังตื้นๆ
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกอยู่ได้หลายปีมีเหง้าลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกอยู่ใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 0.7-1.2 เมตร ใบรูปไข่แกมรูปหัวใจ ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบเว้าลึกรูปสามเหลี่ยม ยาว 25–90 ซม. x กว้าง 20–70 ซม. สีเขียวถึงสีเขียวเข้ม บางครั้งก็มีสีม่วงเข้มตามแนวแกน สีเขียวซีดหรือสีเขียวขุ่นตามแกน ดอก สีครีมหรือเหลืองนวล ออกดอกเป็นช่อเป็นแท่งเดี่ยว ๆ จากลำต้นใต้ดิน มีกาบสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองนวลหุ้มอยู่ ยาวประมาณ 26 ซม. ดอกย่อยแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ฉ่ำน้ำ ดอกเป็นกระเปาะสีเขียวเป็นแท่งอยู่ตรงกลาง มีกลิ่นหอม ผลสด รูปขอบขนาน ประมาณ 1 × 0.7 ซม.เมล็ด ขนาดเล็กยาวน้อยกว่า 2 มม  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด และปรับให้เข้ากับอุณหภูมิสูง (20-35°C) และสภาวะที่มีร่มเงาได้เป็นอย่างดี มีศักยภาพที่จะเติบโตในดินที่หลากหลาย รวมทั้งดินเหนียว ทราย และดินร่วนที่มี pH ปกติตั้งแต่ 4.2-7.5
ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงเผือก โรคใบไหม้เผือกที่เกิดจากเชื้อราPhytophthora colocasiae ;ไวรัสบาซิลลิฟอร์มขนาดใหญ่เผือก (TLBV) ซึ่งติดต่อโดยเพลี้ยจักจั่นTarophagus proserpina ;Taro small bacilliform virus (TSBV) ซึ่งติดต่อโดยเพลี้ยแป้งPlanococcus citri; เพลี้ยไฟHeliothrips indicus
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ปลูกเพื่อกินหัวลำต้นที่เป็นแป้งและเหง้า ต้ม ทอด หรือย่างเป็นเครื่องเคียงหรือใช้ทำแป้ง น้ำซุปข้น ใช้ทำเป็นอาหารในยามขาดแคลน
-ในพื้นที่ของประเทศอินโดนีเซียที่ไม่มีการปลูกข้าว จะกินเป็นอาหารหลัก อบ ต้ม หรือปรุงในหลอดไม้ไผ่ ในชวา ขนมถูกเตรียมจากเผือกปรุงด้วยมะพร้าวและน้ำตาล: เผือกทอดเป็นอาหารว่างยอดนิยม ใบใช้ในการเตรียม 'buntil' (ปลาเค็มกับเครื่องเทศ มะพร้าวขูดและผัก ห่อและนึ่งในใบเผือก)
-ในมาเลเซีย ก้านใบสุก ปรุงในลักษณะเดียวกัน ใบต้มกินเป็นสลัดกับน้ำจิ้มรสเผ็ด ก้านใบปรุงด้วยกะทิ เนื้อ และกุ้ง
-ในฟิลิปปินส์มักใช้เมื่อแป้งและผักใบเขียวที่ได้รับความนิยมมากกว่าขาดตลาด ต้ม ทอด หรือทำเป็นลูกกวาด
-ในฮาวายและบางส่วนของโพลินีเซีย นำเหง้าต้มและโขลกให้เป็นน้ำพริกที่หมักไว้เพื่อผลิต 'poi' พุดดิ้งนึ่งทำจากเผือกขูดและมะพร้าว
-ใช้เป็นยา ในเอเชียและแอฟริกา สายพันธุ์นี้ยังใช้ในยาแผนโบราณเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับตับ แผล งูกัด และโรคไขข้อ
-อื่น ๆเส้นใยที่ได้จากก้านใบมานำมาใช้ถักทอ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
ระยะออกดอก/ติดผล--- พฤษภาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีการแยกหน่อ ไหล และวิธีการปักชำหัว


พรหมิ/Bacopa monnieri


ชื่อวิทยาศาสตร์---Bacopa monnieri (L.) Pennell.(1891)
ชื่อพ้อง---Has 32 Synonyms.
---Basionym: Lysimachia monnieri L.(1756)    
---Bacopa monnieri (L.) Wettst.(1895)
---Herpestis monnieri (L) Kunth.(1891)
---More.See all https://www.gbif.org/species/174882151
ชื่อสามัญ---Waterhyssop, Brahmi, Thyme-leafed gratiola, Water hyssop, Herb of grace, Indian pennywort, Monnier water hyssop, Coast bacopa, Thyme-leafed gratiola.
ชื่ออื่น---พรหมิ, ผักมิ;[ARABIC: Farfakh.];[ASSAMESE: Brahmi Hak, Brahmisak.];[CHINESE: Jiǎ mǎ chǐ xiàn.];[CUBA: Graciola.];[HEBREW: Peshetah ser'ah.];[HINDI: Brahmi, Neer Brahmi.];[JAPANESE: Otomeazena.];[MALAYALAM: Bhrammi, Neerbrahmi, Nirbrahmi.];[PORTUGUESE: Bacopa.];[RUSSIA: Bakopa, Brakhmi, Shchitolistnik indiyskiy.];[SANSKRIT: Kapotavanka, Sarasvati, Tiktalonika.];[SPANISH: Hierba de culebra.];[TAMIL: Hi, Ka, Neerpirami, Nilappachai.];[THAI: Phrom mi, Phak mi .].
ชื่อวงศ์---PLANTAGINACEAE
EPPO Code---BAOMO (Preferred name: Bacopa monnieri.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ปากีสถาน จีน ไต้หวัน ไทย ลาว เวียตนาม สหรัฐอเมริกา(ฮาวาย ฟลอริดา)
Bacopa monnieri เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เทียนเกล็ดหอย (Plantaginaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Francis Whittier Pennell (1886–1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2434
ที่อยู่อาศัย เมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก, เอเชียตะวันตก, อินเดียถึงอินโดจีน, จีน (รวมถึงไต้หวัน), มาเลเซีย (มาเลย์), บางประเทศในแอฟริกา, สหรัฐอเมริกา (ตอนใต้), เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน, อเมริกาใต้ พบตามพรุน้ำร้อน หนองน้ำที่โล่ง และตามริมน้ำทั่วไป เติบโตในที่เปียกชื้นสูงที่ระดับความสูงถึง 1200 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกขนาดเล็กอวบน้ำ ลำต้นทอดเลื้อยไปตามพื้นดินที่ชุ่มชื้นหรือมีน้ำขัง ชูปลายยอดกระดกขึ้นเหนือน้ำสูงถึง 30 ซม. รากแตกตามข้อที่ติดดิน ลำต้นเกลี้ยงอวบน้ำ ใบเดี่ยว แตกจากลำต้นตรงข้ามเป็นคู่ ไม่มีก้านใบ ใบขนาด 1-1.5 x 0.4-0.6 ซม.แผ่นใบรูปไข่กลับ ขอบใบเรียบ ปลายใบมน ดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ กลีบเลี้ยง 5 กลีบโคนติดกันเป็นรูปกรวย กลีบดอกสีม่วงอ่อนเกือบขาวติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลเดี่ยวแบบ แคปซูล 3-4 x 1.5-2 มม.ผลแห้งแก่แล้วแตก เมล็ดขนาด 0.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด สามารถเติบโตได้ในสภาพที่เป็นน้ำกร่อยเล็กน้อย
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ใช้ในยาแผนโบราณอายุรเวทเพื่อปรับปรุงความจำและรักษาโรคต่างๆ มันยังใช้เป็นยาแก้ท้องอืด ย่อยอาหาร ฟื้นฟูส่งเสริมความจำและสติปัญญา สำหรับความผิดปกติของผิวหนัง และเป็นยากันชัก ยาลดไข้ และยาแก้ปวด
-ในปี 2019 องค์การอาหารและยาได้ออกจดหมายเตือนไปยังผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีBacopa monnieriซึ่งโฆษณาคำกล่าวอ้างด้านสุขภาพสำหรับการรักษาหรือป้องกันโรคกระเพาะ โรคอัลไซเมอร์ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำความดันโลหิตและความวิตกกังวลยังไม่ได้รับการพิสูจน์และผิดกฎหมาย องค์การอาหารและยาระบุว่า ผลิตภัณฑ์ Bacopa monnieriยังไม่ได้รับการอนุมัติสำหรับวัตถุประสงค์ทางการแพทย์เหล่านี้หรือใดๆ
-ใช้ปลูกประดับและปลูกเป็นสมุนไพร.
รู้จักอันตราย---ผลข้างเคียงที่รายงานบ่อยที่สุดของBacopa monnieriในมนุษย์ ได้แก่อาการคลื่นไส้การเคลื่อนไหวของลำไส้เพิ่มขึ้นและอารมณ์เสียในทางเดินอาหาร
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี พบมาก กรกฎาคม - กันยายน
ขยายพันธุ์---ปักชำ


ช่อครามน้ำ/Pontederia cordata

Image credits ; https://keyserver.lucidcentral.org/weeds/data/media/Html/pontederia_cordata.htm
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pontederia cordata L.(1753)
ชื่อพ้อง ---Has 64 Synonyms
---Pontederia cordata var. angustifolia (Pursh) Torr.(1824)
---Pontederia cordata var. lanceolata (Nutt.) Griseb.(1866)         
---Pontederia cordata var. lancifolia (Muhl) Torr.(1824)   
---Pontederia lanceolata Nutt.(1818)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-259449
ชื่อสามัญ---Pickerel Weed, Pickerel-weed, Wampee, Blue pickerel, Blue pickerel weed, Blue-flag, Dog-tongue, Pickerel rush, Lance-leaf pickerel weed.
ชื่ออื่น---ช่อครามน้ำ ;[BRAZIL: Murure, Orelha-de-veado.];[CUBA: Jacinto de agua de hojas estrechas.];[CZECH: Modráska srdčitá.];[DANISH: Blå vandhyacint, Hjerte-vandkærte.];[DUTCH: Moerashyacint, Snoekkruid.];[FRENCH: Pontédéria à feuilles en coeur, Pontédérie à feuilles cordées.];[GERMAN: Herzblättriges Hechtkraut, Pontederie.];[ITALIAN: Pontederia, Pontederia a foglie cordate.];[PORTUGUESE: Aguape, Orelha-de-veado.];[RUSSIA: Pontederiya serdtsevidnaya.];[SPANISH: Pontederia de hoja acorazonada, Lechuga de agua.];[SWEDISH: Pontederia.];[THAI: Cho khram nam.].
ชื่อวงศ์---PONTEDERIACEAE
EPPO Code---POFCO (Preferred name: Pontederia cordata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แคนาดา สหรัฐอเมริกา เบลีซ คิวบา บราซิล โคลัมเบีย อาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pontederia'ตั้งเป็นเกัยรติแก่ศาสตราจารย์วิชาพฤกษศาสตร์ที่ Padua ชาวอิตาลี  Guilio Pontedera (1688–1757) ; ชื่อ Species 'cordata'= “Heart-shaped” อ้างอิงถึงโคนหัวใจมนของใบ
Pontederia cordata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักตบชวา (Pontederiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยCarl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแคนาดาตะวันออก สหรัฐอเมริกาตะวันออก อเมริกากลาง ( เบลีซ) แคริบเบียน ( คิวบา) และอเมริกาใต้ ( บราซิล โคลัมเบีย อาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย)  มันเติบโตในพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่หลากหลาย ใน Lacustrine (ในทะเลสาบหรือสระน้ำ) ที่ระดับความสูง 20 - 325 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกไม้น้ำ เหง้าหนาแผ่ออกเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่ ต้นสูง1-1.5 เมตร ใบเดี่ยวเรียงกระจุกใกล้ราก (ใบจะเติบโตที่โคนต้นเท่านั้น มีหนึ่งใบต่อโหนดตามลำต้น) รูปใบหอก ปลายใบแหลม โคนใบมน ขนาดใบ 6-22 ซม. ก้านใบยาว ดอกไม้ของสปีชีส์มีลักษณะเป็น tristylous ซึ่งหมายความว่ารูปแบบของพืชแต่ละชนิดเกิดขึ้นใน morphs ที่แตกต่างกันสามแบบ โดยประชากรส่วนใหญ่มีทั้งสามแบบ ดอกออกเป็นช่อเชิงลดที่ปลายยอด ดอกย่อยจำนวนมาก สีน้ำเงินหรือสีขาว ผลเป็น achene (ผลแห้งมักมีเมล็ด 1 เมล็ด ไม่แยกหรือแตกออกเมื่อโตเต็มที่) ความยาวของผล 4–6 มม.  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในตำแหน่งแสงแดดส่องถึงในดินร่วนปนที่อุดมสมบูรณ์ สามารถทนต่อแสงแดดบางส่วน ดินที่ไม่ดี น้ำจืดที่ความลึกสูงสุด  30 ซม.และน้ำท่วมเป็นครั้งคราวได้ถึง 50 ซม.
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง ระวัง Spider mites.
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ก้านใบอ่อนสามารถรับประทานแบบดิบได้ เมล็ดเป็นเมล็ดดิบ และสามารถบดเป็นแป้งได้ เมล็ดสามารถรับประทานได้จากพืชหรือนำไปตากให้แห้งและใส่ลงในซีเรียลกราโนล่า (granola cereals)
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับตามริมสระหรือคูน้ำ สามารถปลูกในภาชนะขนาดใหญ่หรือในสวนน้ำ
ได้รับรางวัล---Garden Merit Award จาก Royal Horticultural Society.2017
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ

ผักหนาม/Lasia spinosa

ชื่อวิทยาศาสตร์---Lasia spinosa (L.) Thwaites.(1864)
ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms    
---Lasia crassifolia Engl.(1898)
---Lasia aculeata Lour.(1790)
---Lasia heterophylla (Roxb.) Schott.(1832)
---Pothos lasia Roxb.(1820)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-108423
ชื่อสามัญ---Spiny lasia, Pimply lasia, Unicorn plant
ชื่ออื่น---ผักหนาม, กะลี;[ASSAMESE: Chengmora, Seng-mora, Kanta-kochu, La-ghatua.];[BENGALI: Kantakachu, Kattosh.];[CHINESE: Cì yù, Toge imo, Shān lián ǒu.];[JAPANESE: Rashia supinosa.];[HINDI: Indiver Kand.];[LAOS: Pak norm.];[MALAYSIA: Ngambing, Sambeng, Geli Geli, Keladi Keris (Malay).];[SANSKRIT: Laksmana.];[SINHALESE: Kohila, Maha kohila, Engili kohila.];[TAMIL: Mulasari.];[THAI: Phak hnam, Kali.];[VIETNAM: Chóc gai, Cừa, Móp , Ráy gai.].
ชื่อวงศ์---ARACEAE
EPPO Code---LBASP (Preferred name: Lasia spinosa.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศอินเดีย ตอนใต้ของประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงอินโดนีเซีย
Lasia spinosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บอน (Araceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Henry Kendrick Thwaites (1812-1882) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2407


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนและเอเชียเขตร้อนจากจีนไปยังอินเดียถึงเวียดนามและอินโดนีเซีย ประเทศ - พื้นเมือง: บังคลาเทศ, ภูฏาน, กัมพูชา. ประเทศจีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ยูนนาน), อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ศรีลังกา, ไต้หวัน, ไทย, เวียดนาม พบในหนองน้ำ ริมแม่น้ำและในคูน้ำ ที่ชื้นในป่าผลัดใบและป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงถึง 1 เมตร ลำต้นเป็นเหง้าแข็งอยู่ใต้ดินขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-2 ซม มีหนามแหลมตามก้านใบ ใบอ่อนม้วนเป็นแท่งกลมปลายแหลม ก้านใบยาว 60 ซม.ใบย่อย 5(–7)ใบ เป็นรูปขอบขนาน-วงรี กว้าง 13–16 × 6 ซม.ก้านช่อดอกยาวถึง 85 ซม.ดอกออกเป็นช่อเชิงลด ยาวไม่เกิน 4 ซม มีดอกย่อยอัดแน่น ใบดัดแปลง (กาบ) ด้านนอกสีม่วง ด้านในสีเขียว ยาว 35-40 ซม. ผลอ่อนสีเขียว แก่สีเหลืองแกมแดง เรียงชิดกันแน่นเป็นรูปทรงกระบอก ผลแข็งผิวหยาบจะเกิดบนแกนของช่อดอก ผลไม้ obpyramidal กว้าง 1 ซม. มีลักษณะกระดกแน่น ด้านข้างไม่มีหนาม เมื่อยางแห้งและมียางไม่ปกติ ปลายจะตัดออก เมล็ดรีคอร์เดต 5-7 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดรำไรที่ชื้นแฉะดินโคลนที่มีน้ำขังซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหาร
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ใบอ่อน ก้านใบและช่อดอก ใช้กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ใช้ในอายุรเวท การแพทย์แผนจีน เหง้าใช้เป็นยารักษาวัณโรคต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองบวม ปวดท้อง งูและแมลงกัดต่อย และโรคไขข้อ
-ในศรีลังกา ใบถูกนำมาใช้ในยาสิงหลโบราณเพื่อช่วยลดอาการของปัญหาทางเดินอาหาร
-ในบังคลาเทศ พืชแนะนำสำหรับอาการจุกเสียด, โรคไขข้ออักเสบในลำไส้
-ในอินเดีย เหง้าใช้รักษาอาการปอดอักเสบ ไอมีเลือดออก และทั้งต้นในมดลูก
-ในเวียตนาม พืชถูกใช้เป็นยาแก้ไขข้อและต้านการอักเสบ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก---กรกฎาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและแยกหน่อ


ผักแขยง/Limnophila aromatica

ชื่อวิทยาศาสตร์---Limnophila aromatica (Lam.) Merr.(1917)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.
---Basionym: Ambulia aromatica Lam.(1783)    
---Limnophila aromaticoides Yang. & Yen.(1997)
---Limnophila gratissima Blume.(1826)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-29200312
ชื่อสามัญ---Finger Grass, Limnophila, Rice paddy herb, Swamp Leaf
ชื่ออื่น---ผักแขยง, หญ้าปลาแขยง, นางออม;[FRENCH: Limnophile aromatique.];[MALAYALAM: Manganaari.];[RUSSIA: Ambuliya aromatnaya.];[THAI: Phakkayang, Yaa plaa kayang, Nang om.];[VIETNAM: Ngổ, Ngò ôm.].
ชื่อวงศ์---SCROPHULARIACEAE
EPPO Code---LIOAR (Preferred name: Limnophila aromatica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน เอเซียใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย
Limnophila aromatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มณเฑียรทอง (Scrophulariaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2460
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตในพื้นที่แอ่งน้ำหรือในน้ำตื้น มักพบเป็นวัชพืชในนาข้าวที่ถูกน้ำท่วม
ลักษณะ เป็นพืช ล้มลุกอายุปีเดียว ลำต้นอวบน้ำ สูง20ซม.ใบเดี่ยวแตกจากลำต้นแบบเป็นวงรอบข้อ 3 ใบ รูปหอกแกมขอบขนาน ใบาวยาว2-4ซม.กว้าง 0.5-1 ซม.ไม่มีก้านใบ ขอบใบหยักฟันเลื่อยละเอียด ดอกออกเป็นช่อเดี่ยว ก้านดอกยาว2-4 มม. กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอด กลีบดอกสีม่วงโคนกลีบสีขาว ปลายแยกเป็น2ส่วน ส่วนบน2แฉก ส่วนล่าง 3 แฉก ผลเดี่ยวแบบแคปซูลกว้าง 4-5 มม.ผลแห้งแก่แล้วแตก เมล็ดจำนวนมากรูปเหลี่ยม สีน้ำตาลปนดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการพื้นผิวเปียกที่อุดมไปด้วยสารอาหาร (เช่น ดินร่วน) แสงปริมาณมาก และความชื้นในอากาศในระดับสูง ใบที่จมอยู่ใต้น้ำจะมีความแข็งน้อยกว่าและใหญ่กว่าใบที่โผล่เหนือน้ำขึ้นมา มีสีเขียว ด้านล่างสีม่วง เปลี่ยนเป็นสีแดงทั้งหมดภายใต้สภาพแสงสูง
ใช้ประโยชน์---ทางภาคอีสานนิยมนำมารับประทานทั้งเป็นผักสดและนำมาประกอบอาหาร ปัจจุบันมีการปลูกเลี้ยงเพื่อการค้าอีกด้วย
-ใช้กิน มีรสชาติและกลิ่นหอมชวนให้นึกถึงทั้งมะนาวและยี่หร่า มักใช้ในอาหารเวียดนามที่เรียกว่า ngò om เป็นส่วนผสมใน canh chua ซุปทะเลเปรี้ยวหวานซึ่งรวมถึงมะขามด้วย
-ใช้ปลูกประดับ สามารถอยู่ใต้น้ำได้อย่างสมบูรณ์และเป็นพืชในตู้สัตว์น้ำที่ได้รับความนิยม
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล--- เดือนสิงหาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


ผักปอด/Sphenoclea zeylanica


Image credits ; http://publish.plantnet-project.org/
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sphenoclea zeylanica Gaertn.(1788)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.    
---Gaertnera pangati Retz.(1791)
---Pongatium indicum Lam.(1793)
---Pongatium zeylanicum Kuntze.(1891)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2605571
ชื่อสามัญ---Goose Weed, Chickenspike, Wedgewort, Hollowstem
ชื่ออื่น---ผักปอด, ผักกุ่มป่า, ผักปุ่มป่า, ผักปุ่มปลา, ผักปอดนา;[ASSAMESE: Jheel-morich.];[CAMBODIA: Kâm'-péén tük.];[CHINESE: Jiān bàn huā.];[CUBA: Esfenoclea.];[FRENCH: Sphénoclée de Ceylan.];[HINDI: Phulanghas.];[INDIA: Nandu Kannu.];[INDONESIA: Gunda.];[JAPANESE: Nagabonôrushi.];[LAOS: Kaad naa.];[MALAYSIA: Cabai kera, Cempedak air.];[NIGERIA: Ekologwe.];[PAKISTAN: Mirch booti.];[PHILIPPINES: Silisilihan, Burat-aso (Tagalog); Mais-mais (Bisaya).];[RUSSIA: Sfenokleya tseylonskaya.];[SPANISH: Sfenoclea.];[SURINAME: Pinda grasie.];[THAI: Pak pawd, Phak pot, Phakpot-na.];[VIETNAM: Xa bong.].
ชื่อวงศ์---SPHENOCLEACEAE
EPPO Code---SPDZE (Preferred name: Sphenoclea zeylanica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---ทั่วไปในเขตร้อนของทวีปแอฟริกา เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกาเหนือ กลาง ใต้
Sphenoclea zeylanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Sphenocleaceae เป็น monotypic มีสกุลเดียวคือ Sphenoclea ที่มีเพียงสองสายพันธุ์ ซึ่งก่อนหน้านี้จัดอยู่ในวงศ์ Campanulaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2341              ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในวัชพืชที่แย่ที่สุดในโลก (One of the worst weeds in the world) โดย Holm et al (1977). เป็นเรื่องที่สร้างความรำคาญให้กับข้าวในที่ราบลุ่มส่วนใหญ่ใน 28 ประเทศและฝ้ายในรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา มันแข่งขันกับข้าว ขัดขวางการเก็บเกี่ยว และยืดเวลาการอบแห้งเมื่อข้าวเป็นสีเขียวและอวบน้ำ
ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดมาจากแอฟริกาเขตร้อน ปัจจุบันมีการแพร่กระจายเป็นวัชพืชทั่วโลกในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เจริญเติบโตในสภาพชื้นรวมทั้งทุ่งนา หนองน้ำ หรือหนองน้ำซึ่งมีน้ำท่วมเป็นระยะ ชอบน้ำนิ่ง นอกจากนี้ยังพบตามริมสระน้ำ คูน้ำ แม่น้ำ ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 350 เมตร ในประเทศไทยพบเป็นวัชพืชในนาข้าวบริเวณภาคกลาง
ลักษณะ เป็นพืช ล้มลุกอายุปีเดียว สูงประมาณ 0.70-1.50 เมตร ลำต้นตั้งตรง ทรงกระบอก และกลวงซึ่งมีน้ำยางสีขาวและรากคล้ายสายสะดือ ตอนโคนต้นมีเนื้อเยื่อเป็นนวมสีขาว (aerenchymatous) หุ้มไปจนถึงปลายราก ลำต้นแตกกิ่งก้านสาขา ใบเดี่ยวแตกจากลำต้นแบบสลับ แผ่นใบรูปไข่ปลายเรียวแหลมขอบใบเรียบ ขนาดของใบกว้าง 0.5-1.5 ซม.ยาว1-1.5 ซม.ก้านใบยาว 3-30 ซม.ดอกออกเป็นช่อสีเขียวช่อดอกยาว 0.75-7.5 ซม.ดอกย่อยไม่มีก้านดอก สีขาวรูประฆัง ผลเดี่ยวเป็นแคปซูลทรงกลมแบนแบบผลแห้งแก่แล้วแตกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 มม.แบบเปิดตามขวาง ภายในมีเมล็ดเล็กๆสีน้ำตาลอ่อนจำนวนมาก ขนาด 0.5-0.8 x 0.2 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด เติบโตได้ในดินชื้นแทบทุกชนิด ในดินเหนียวน้ำลึก 20 ซม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ต้นอ่อนและยอดอ่อนของพืชกินได้ พวกเขาจะนึ่งเป็นผักและกินเป็นกับข้าว ในประเทศไทยและอินโดนีเซีย
-ใช้เป็นยา ใบใช้เป็นยาพอก แมลงกัดต่อยของสัตว์มีพิษและแก้แผลเปื่อย
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


ผักเป็ดน้ำ/Alternanthera philoxeroides

Image credits ; https://www.eddmaps.org/distribution/point.cfm?id=3045360
ชื่อวิทยาศาสตร์---Alternanthera philoxeroides (Mart.) Griseb.(1879)
ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms.
---Basionym: Bucholzia philoxeroides Mart. (1825)
---Achyranthes paludosa Bunbury.(1841)
---Alternanthera philoxerina Suess.(1934)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1024156-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Alligator grass, Pig weed    
ชื่ออื่น---ผักเป็ดน้ำ, ผักเป็ด;[ARGENTINA: lagunilla.];[ASSAMESE: Jal-sechi, Menmeni, Pani-khutura.];[AUSTRALIA: mukuna-menna; pannankarni.];[BRAZIL: erva de jacare, tripa-de-sapo.];[CHINESE: xi han lian zi cao.];[DANISH: Alligator-urt.];[DUTCH: Alligatorkruid.];[ECUADOR: hierba lagarto.];[FRENCH: Alternanthère.];[GERMAN: Alligatorkraut.];[HONDURUS: hierba del caimán.];[INDIA: phackchet.];[JAPANESE: mizu-tsuru-nogeitô, nagae-tsuru-nogeitô.];[MEXICO: hierba caimán; hierba del Caiman.];[PORTUGUESE: erva jacare; periquito-saracura; piriquito.];[SPANISH: hierba caiman; hierba lagarto; lagunilla; yerba lagarto.];[SRI LANKA: kimbul-wenna.];[SWEDISH: Alligatorblad.];[THAI: Phak pet, Phak pet nam.];[URUGUAY: raiz colorado.];[USA: alligatorweed.].    
ชื่อวงศ์---AMARANTHACEAE
EPPO Code---ALRPH (Preferred name: Alternanthera philoxeroides.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกาใต้
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้ (อาร์เจนตินา บราซิล ปารากวัย อุรุกวัย) ; เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ อินโดจีน (เมียนมาร์ ไทย) มาเลเซีย (มาลายา ชวา) จีน (รวมไต้หวัน) ญี่ปุ่น; สหรัฐอเมริกาตอนใต้ เม็กซิโก ;ออสเตรเลีย (นิวเซาท์เวลส์) นิวซีแลนด์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Alternanthera'= อับละอองเกสร ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'philoxeroides' = คล้าย Philoxerus ซึ่งเป็นสกุลที่เกี่ยวข้อง
Alternanthera philoxeroides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์บานไม่รู้โรย (Amaranthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2422
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอาร์เจนตินา แต่ได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และได้ถูกจัดเป็นพืชพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานในออสเตรเลีย จีน นิวซีแลนด์ ศรีลังกา ไทย และสหรัฐอเมริกา ขึ้นตามขอบของแอ่งน้ำในที่ที่มีน้ำ และปัจจุบันพบบุกรุกท่อระบายน้ำ ลำธาร หนองน้ำ และแหล่งที่อยู่อาศัยที่เปียกชื้นที่คล้ายกัน มันยังสามารถพบได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยริมฝั่งน้ำที่ลอยอย่างอิสระในเสื่อหนาทึบบนผิวน้ำ   
ผักเป็ดน้ำเป็นพืชพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน (invasive alien species) ที่สร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศธรรมชาติ และเป็น 1 ใน 100 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน ตามGlobal Invasive Species Database (GISD) ที่จัดทำขึ้นโดย IUCN (International Union for Conservation of Nature) สปีชีส์นี้อยู่ในรายชื่อสายพันธุ์ต่างด้าวที่รุกรานของ Union Concern ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งหมายความว่าห้ามนำเข้าและค้าขายสปีชีส์นี้ในสหภาพยุโรปทั้งหมด
ลักษณะ เป็นไม้น้ำหรือไม้ล้มลุก อายุประมาณ 1 ปี ขึ้นตามแอ่งน้ำหรือริมน้ำ ส่วนของลำต้นยาวประมาณ 1 เมตร.อยู่เหนือผิวน้ำเลื้อยทอดไปตามผิวน้ำหรือพื้นดิน มีการแตกกิ่งมาก ภายในของลำต้นกลวง มีการแตกรากตามข้อของลำต้น ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว สีเขียว รูปรียาวหรือรูปใข่กลมรี ปลายและโนใบแหลม ขอบใบเรียบ กว้าง 1-1.8 ซม.ยาวประมาณ 3-5 ซม.ออกตรงข้ามเป็นคู่ๆตามข้อต้น มีขนขึ้นปกคลุมทั่วใบ ก้านใบสั้น ส่วนของดอกเป็นดอกช่อหรือดอกเดี่ยว ออกตามส่วนยอดของลำต้นหรือง่ามใบ ก้านช่อยาว 1-4 ซม.กลีบดอกเป็นสีขาวเรียงซ้อนกัน แต่ละดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน ผลแบนกลมรี ยาว1 มม.กว้าง 1-1.5 มม.ขอบหนาและเป็นหนาม มีเมล็ด 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด การสังเคราะห์แสงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นระหว่าง 30°C ถึง 37°C สามารถทนต่ออุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีได้ตั้งแต่ 10 ถึง 20°C การเจริญเติบโตจะถูกระงับที่อุณหภูมิต่ำกว่า 7°C เติบโตในน้ำที่มีค่า pH ตั้งแต่ 4.8- 7.7 และค่อนข้างทนต่อเกลือและสามารถอยู่รอดได้ในชายหาดที่มีน้ำขึ้นน้ำลงและสภาพน้ำเค็มอื่น ๆ (10-30% ของน้ำทะเล)
ศัตรูพืช/โรคพืช---พบว่ามีสัตว์ขาปล้องมากกว่า 40 สายพันธุ์กินผักเป็ดน้ำ ด้วงหมัด กินใบและเจาะเข้าไปในลำต้น เพลี้ยไฟทำให้ใบยอดบิดเบี้ยว ผีเสื้อกลางคืนตัวเล็กที่วางไข่บนใบยอด ตัวอ่อนเจาะเข้าไปในลำต้นและเคลื่อนตัวไปตามลำต้น ส่งผลให้พืชเหี่ยวเฉา
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนสามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหาร แต่ในปัจจุบันมีกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าเป็นพืชที่มีพิษที่เป็นอันตราย และยังมีการสะสมไอออนของโลหะหนักจากมลพิษทางน้ำ ตามแหล่งน้ำหรือในแหล่งน้ำและที่อยู่อาศัยอื่นๆที่หมักหมมด้วย
-ใช้เป็นยา ทั้งต้น ใช้เป็นยาแก้ไข้ ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้หัด ทำให้เลือดเย็น ช่วยแก้อาการไอเป็นเลือด ช่วยแก้เยื่อสมองอักเสบชนิดบี ขับปัสสาวะช่วยขับน้ำชื้นในร่างกาย ช่วยแก้ตับอักเสบชนิดเอ แก้อีสุกอีใส รักษาโรคหนองใน ใช้ภายนอกแก้งูสวัด รักษาโรคผิวหนังผดผื่นคัน ฝีหนอง ใช้แก้พิษงูหรือถูกงูกัด
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา
-อื่น ๆใช้เป็นอาหารสัตว์  
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม - กันยายน
ขยายพันธุ์---โดยแบ่ง เหง้า หรือหัว (รวมทั้งหน่อ) แยกต้นไปปลูก ปักชำ


ตับเต่านา/Hydrocharis dubia

Image credits ; https://atlas.roslin.pl/plant/8297

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydrocharis dubia (Blume) Backer.(1925)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.  
---Basionym: Pontederia dubia Blume.(1827)
---Hydrocharis morsus-ranae var. asiatica (Miq.) Makino.(1914)  
---Hydrocharis asiatica Miq.(1856)
---Boottia renifolia Merr.(1909)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-308131
ชื่อสามัญ---Frogbit, Frog bit
ชื่ออื่น---ผักตับเต่า, ตับเต่านา, ตับเต่าน้ำ, ผักเต่า, ผักปอดม้า, บัวฮาวาย;[CHINESE: Shui bie, Shuǐ biē shǔ.];[JAPANESE: Tochi-kagami.];[KOREA: Ja-ra-pul.];[RUSSIA: Vodokras aziat·skiy, Vodokras somnitelʹnyy.];[THAI: Phak tap tao, Tap tao naa, Tap tao nam, Phak tao, Phak pot maa, Bua hawai.].
ชื่อวงศ์---HYDROCHARITACEAE
EPPO Code---HYHDU (Preferred name: Hydrocharis dubia.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซีย ตอนเหนือของออสเตรเลีย
Hydrocharis dubia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Hydrocharitaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Cornelis Andries Backer (1874–1963) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2468
ที่อยู่อาศัย พบได้ทั่วโลกในแหล่งอาศัยที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่เป็นเขตร้อน พบในทะเลสาบ และลำธารที่ไหลช้าๆ อาจจะลอยอยู่ในน้ำลึกหรือหยั่งรากในน้ำตื้นที่น้ำขังนิ่ง ที่ระดับใกล้น้ำทะเลจนถึงระดับ 1,200 เมตร ในประเทศไทย พบได้ทุกภาค พบเป็นวัชพืชในนาข้าวบริเวณภาคกลาง
ลักษณะ เป็นพืชลอยน้ำ มีอายุหลายฤดู มีลำต้นสั้นๆ ใบแตกเป็นกอรอบต้น รากยึดดินใต้น้ำ ใบเดี่ยวมี2แบบ คือใบใต้น้ำที่เกิดก่อน มีลักษณะเป็นแถบเรียวยาว ขอบใบเรียบปลายใบแหลม ยาวประมาณ 8ซม.กว้าง1ซม.และใบลอยน้ำเกิดทีหลัง มีแผ่นใบและก้านใบชัดเจน แผ่นใบเป็นรูปไข่ปลายใบแหลมมน ฐานใบหยักเว้าลึกขนาดกว้าง 3-4 ซม.ยาว 4-10 ซม.ผิวใบเรียบเป็นมันขอบใบเรียบ  แผ่นใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ส่วนด้านล่างจะสีอ่อนกว่า และมักจะมีเนื้อเยื่อลักษณะคล้ายกับฟองน้ำอยู่บริเวณกลางใบ ซึ่งมีหน้าที่ในการช่วยพยุงลำต้น ดอกออกเป็นช่อ มีดอกย่อย 2-6 ดอก มีใบประดับรองรับช่อดอกสีเขียว 2 ใบ ดอกย่อยมีทั้งดอกสมบูรณ์เพศและแยกเพศ มี 3 กลีบ สีขาวขนาดประมาณ 3 ซม.ผลรูปทรงกระบอก มีสัน 6 สัน ขนาด 8-10 มม. และสุกใต้น้ำ เมล็ดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7 มม.เมล็ดค่อยๆ แหลมไปทางยอด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดในน้ำตื้นที่น้ำขังนิ่ง
ใช้ประโยชน์---*ใช้กิน ต้นอ่อนหรือยอดอ่อนใช้กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ช่วยบำรุงธาตุไฟในร่างกาย ช่วยแก้เสมหะ ช่วยแก้ลม (ไม่ระบุส่วนที่ใช้)  
-ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นไม้ประดับหรือปลูกในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อช่วยคลุมผิวน้ำ* ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---โดยวิธีการแตกไหล หรือใช้เมล็ด


ตับเต่า /Mimulus orbicularis

Image credits ; https://faunaandfloraofvietnam.blogspot.com/2015/05/ho-hoa-mom-soi.html
ชื่อวิทยาศาสตร์---Mimulus orbicularis Wall. ex Benth.(1835)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://www.gbif.org/species/5563633
---Mimulus orbicularis Wall.(1831)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ตับเต่า, ผักอีแปะ, ตับเต่านา [Tap tao,Tap tao naa,Phak i-pae.].
ชื่อวงศ์---PHRYMACEAE  
EPPO Code---MIUOR (Preferred name: Mimulus orbicularis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม
ขึ้นอยู่ตามแหล่งน้ำจืด ในท้องนาและหนองบึงทั่วไป
Mimulus orbicularis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Phrymaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2378
ที่อยู่อาศัย พบใน บังคลาเทศ กัมพูชา อินเดีย เมียนมาร์ ไทย เวียดนาม เป็นวัชพืชในนาข้าวหรือขึ้นตามแหล่งน้ำนิ่งทั่วไป
ลักษณะ เป็นพืชลอยน้ำอายุหลายฤดู ลำต้นเป็นไหลกลมเรียวทอดไปตามผิวน้ำยาวถึง 10 ซม มีข้อปล้องชัดเจน รากแตกตามข้อ ใบเดี่ยวแตกแบบตรงข้าม ขนาดใบ 1.5 x 1.2 ซม.แผ่นใบรูปกลมพองหนา ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเรียบเป็นมัน ผิวใบด้านล่างสีจาง ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นคู่ เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ขนาดดอกประมาณ 2 ซม.ประกอบด้วยกลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูประฆังปลายแยกเป็น 5 แฉก กลีบดอกติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมี 2 แฉกและอีกส่วนมี 3 แฉก ขนาดใหญ่และยาวกว่าส่วนแรก กลีบดอกสีม่วงอ่อน แฉกที่ขนาดใหญ๋สุดมีแต้มสีเหลืองและมีขนละเอียด ผลแห้งแคปซูล 5 x 2.5 มม แก่แล้วแตกภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลอ่อนคล้ายเมล็ดข้าว
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดในน้ำตื้นที่น้ำขังนิ่ง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อน และดอกตูม ใช้กินเป็นผักสด
-ใช้ปลูกประดับ ใช้เป็นไม้ประดับหรือปลูกในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อช่วยคลุมผิวน้ำ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(1992)
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---โดยใช้เมล็ดและไหล


แพงพวยน้ำ/Ludwigia adscendens

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ludwigia adscendens (L.) H.Hara.(1953)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2493615
---Basionym: Jussiaea adscendens L.(1767)    
---Jussiaea repens L.(1753)
ชื่อสามัญ---Water-primrose, Creeping water primrose, Floating water primrose, Red Ludwigia, Creeping ludwigia, Water Dragon, Marshy jasmine.
ชื่ออื่น---ผักแพง, ผักปอดน้ำ, ผักพังพวย, แพงพวย;[ASSAMESE: Pani khutora.];[BENGALI: Kesara-dam.];[CAMBODIA: Kampingpuoy (Central Khmer).];[CHINESE: Shuǐ lóng.];[HINDI: Pani Ki Ghas.];[JAPANESE: Mizukinbai.];[KANNADA: Neeru haavu, Neerudantu.];[MALAGACY: Bonaka,Volondrano, Koromoke.];[MALAYALAM: Nir-charambu.];[NEPALI: Jadelo.];[SPANISH: Clavo de agua, Clavito, Mimbra.];[TELUGU: Neeru, Bachhali, Neeti theegalu.];[THAI: Phak pot nam (Northern); Phak phang phuai (Central); Phaeng phuai (Central).].
ชื่อวงศ์---ONAGRACEAE
EPPO Code---LUDAC (Preferred name: Ludwigia adscendens.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันตก เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย อินโดจีน บังคลาเทศ ศรีลังกา จีน มาเลเซีย เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน
นิรุกติศาสตร์---สกุลนี้ตั้งชื่อโดยCarl Linnaeusตามชื่อ Christian Gottlieb Ludwig (1709-1773) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน
Ludwigia adscendens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Evening primrose (Onagraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hiroshi Hara (1911–1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ในปีพ.ศ.2496
มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies);-
---Ludwigia adscendens subsp. adscendens
---Ludwigia adscendens subsp. diffusa (Forssk.) Raven.(1935)


ที่อยู่อาศัย การกระจายพื้นเมืองไม่ชัดเจน แต่อาจมีต้นกำเนิดในอเมริกาใต้ พบในเอเชียตะวันตก เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ถึง อินโดจีน บังคลาเทศ ศรีลังกา จีน (รวมถึงไต้หวัน) มาเลเซีย เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน พบเป็นพืชลอยน้ำทั่วไป ปัจจุบันเป็นวัชพืชทั่วไปในนาข้าวในเอเชียและเกิดขึ้นในออสเตรเลียและแอฟริกาด้วย พบที่ระดับความสูง 1,900 เมตร
ลักษณะ ลำต้นเป็นไหลกลมอวบยาวเลื้อยทอดไปตามน้ำยาวได้ถึง 6 เมตร รากแตกตามข้อเป็นกระจุก มีทั้งรากปกติและรากเปลี่ยนเป็นทุ่นช่วยพยุงลำต้น ใบเดี่ยวแตกจากลำต้นแบบสลับ รูปไข่กลับหรือขอบขนานปลายใบกลมมนฐานใบเรียวเล็ก ขนาดใบกว้างประมาณ 1-2 ซม.ยาว 1.5-5 ซม.แผ่นใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1 ซม.ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบ สีขาวนวลโคนกลีบสีเหลืองมี 5 กลีบ ร่วงหลุดง่าย ขนาดดอก 1.5-2.5 ซม.และเกสรเพศผู้ 10 อัน ผลเดี่ยวรูปทรงกระบอกขนาด 2.5-3.5 ซม.สีเขียวอ่อน เมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลอ่อน มีขนปกคลุม ภายในมีเมล็ดมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้บนดินที่หลากหลาย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนนำมารับประทานเป็นผักหรือเป็นยาสมุนไพร
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี พบมาก พฤษภาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ


ผักบุ้ง/Ipomoea aquatica

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ipomoea aquatica Forssk.(1775)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms
---Ipomoea repens Roth.(1821)
---Ipomoea reptans Poir.(1814)
---Ipomoea natans Dinter & Suess.(1952)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-8500040
ชื่อสามัญ---Chinese water-spinach, Swamp Morning-glory, Water Morningglory, Water Spinach, River spinach, Water convolvulus
ชื่ออื่น---ผักบุ้ง, ผักทอดยอด, ผักคองแคง;[AUSTRALIA: Potato vine.];[BENGALI: Kalami.];[BOLIVIA: Camotillo.];[CHINESE: Wèng cài, Tung choi, Kōngxīncài .];[FRENCH: Liseron d'eau, Patate aquatique.];[GERMAN: Sumpfkohl, Wasserspinat, Sumpftrichterwinde.];[PORTUGUESE: Campainha-d'água.];[HINDI: Kalmi sag, nali.];[INDONESIA: Kangkung, Kangkung.];[JAPANESE: Yôsai.];[KANNADA: Niru hambu.];[LAOS: Phak bong.];[MALAYSIA: Kangkoong, Kangkoong (Malay).];[MARATHI: Naadi shaak, Nali chi bhaji.];[PHILIPPINES: Balangog, Cancong, Galatgat, Kangkong, Tangkong.];[PORTUGUESE: Cancom, Batata acuática, Batata aquática, Hortaliça-de-água.];[SANSKRIT: Kalamba.];[SPANISH: Batatilla acuatica, Batatilla de puerco, Espinaca de agua.];[SUDAN: Argala.];[TAMIL: Nali, Nalikam, Vallai, Vallai-k-kirai, Variparni.];[TELUGU: Tigabaccali.];[THAI: Phak boong, Phak totyot,Phak kongkang.];[USA: Creeping swamp morning-glory, Water convolvulus, Water green.];[VIETNAM: Rau muong.].
ชื่อวงศ์---CONVOLVULACEAE
EPPO Code---IPOAQ (Preferred name: Ipomoea aquatica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ipomoea' มาจากคำภาษากรีก 'ips' หมายถึง "หนอน" และ 'homoios' หมายถึง "คล้าย" โดยอ้างอิงถึงรากใต้ดินที่แผ่กิ่งก้านสาขาของพืชในสกุลนี้ ; ฉายาเฉพาะ 'aquatica' หมายถึงการเติบโตในหรือใกล้น้ำ
Ipomoea aquatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักบุ้ง (Convolvulaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskal (1732–1763) นักธรรมชาติวิทยาและนักสำรวจชาวสวีเดน ในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียเขตร้อน (อาจเป็นอินเดีย) และสามารถพบได้ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกาเขตร้อน อเมริกากลางและใต้ และโอเชียเนีย เกิดขึ้นในบริเวณที่ชื้น แอ่งน้ำ หรือน้ำท่วมขัง ในแอ่งน้ำตื้น คูน้ำ จากระดับน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นพืชลอยน้ำอายุหลายปี ลำต้นเป็นไหลกลมเรียวยาวได้ถึง 2-3 เมตร ลอยไปตามผิวน้ำปลายยอดชูกระดกขึ้น ผิวลำต้นเกลี้ยงภายในลำต้นกลวงทำให้ลอยน้ำได้ มียางสีขาว ลำต้นมีข้อปล้องชัดเจน รากและใบออกตามข้อ ใบเดี่ยว แผ่นใบใหญ่ขอบใบเรียบยาวประมาณ 3-15 ซม. และกว้าง 1-10 ซม.ก้านใบมีความยาวตั้งแต่ 3-20 ซม.ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 3-5 ดอก สีขาวหรือม่วงอ่อน ดอกเหมือนระฆังกว้างประมาณ 7 ซม. ผลเดี่ยวแห้งแล้วแตก ภายในมีเมล็ดขนาดใหญ่ 4 เมล็ด
ผักบุ้งที่ขึ้นมาเองตามสวน หรือตามท้องนา จะมีลำต้นค่อนข้างแข็ง ปล้องยาว ยอดอ่อน มีทั้งสีเขียวล้วน และสีแดงแกมม่วง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด มันถูกปรับให้เข้ากับสภาพดินที่หลากหลายโดยปกติดินเหนียว (หนักหรือปนทราย) มักจะเหมาะสม ดินที่มีอินทรียวัตถุสูง ช่วง pH ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตคือ 5.3-8.5 และสามารถเติบโตได้ในดินที่มีกรดมาก ไม่สามารถเติบโตในที่ร่มได้พืชที่ปลูกในที่ร่มจะอ่อนแอและบาง ชอบดินชื้นหรือเปียกและสามารถเติบโตในน้ำได้ ไม่ทนต่อน้ำกร่อยหรือน้ำเค็ม
ศัตรูพืช/โรคพืช---เป็นโฮสต์ของหอยทากซึ่งส่งปรสิตของมนุษย์ Fasciolopsis burki เป็นโฮสต์ของไส้เดือนฝอยที่มีรากปม มีความอ่อนไหวต่อโรคราสนิมขาว (Albugo ipomoeae-aquaticae) เชื้อรา Phomopsis sp. ทำให้เกิดโรคใบจุด
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เป็นผักใบที่นิยมมากในเอเชีย มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในอาหารอินโดนีเซีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลย์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีน ใบและยอดอ่อนนำมาปรุงหรือรับประทานดิบ
-ใช้เป็นยา ใช้ในยาแผนโบราณของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และในยาแผนโบราณของบางประเทศในแอฟริกา ในยาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะใช้กับโรคริดสีดวงทวาร เลือดกำเดาไหล เป็นยาถ่ายพยาธิและรักษาความดันโลหิตสูง
-ในอายุรเวท สารสกัดจากใบใช้รักษาโรคดีซ่านและอาการอ่อนเพลียทางประสาท
-ในการแพทย์พื้นบ้านในศรีลังกา ผักบุ้งมีคุณสมบัติเหมือนอินซูลิน
-ใบจะถูกบดและนำมาพอกบนแผลและฝี ใช้รักษากลากเกลื้อน รากใช้แก้พิษสารหนูและริดสีดวงทวาร
-ในตำรายาไทย ใช้ต้นต้มกับน้ำตาลรับประทานเป็นยาถอนพิษเบื่อเมา
-ใช้เป็นอาหารสัตว์ พืชสามารถเลี้ยงปศุสัตว์ สุกร เป็ด และไก่ ในประเทศมาเลเซียมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในบ่อเลี้ยงปลาและใช้เป็นอาหารสุกร
-อื่น ๆ พันธุ์ที่สีเขียวล้วนมักเรียกว่า ผักบุ้งไทย พันธุ์ที่มีสีแดงแกมม่วง เรียกว่า ผักบุ้งแดง นิยมรับประทานเป็นผักสดแกล้มกับอาหารอื่นๆ หรือใช้ประกอบอาหาร ผักบุ้งที่มีลำต้นอวบ สีเขียวสด ใบดก รูปใบเป็น แถบแคบยาวที่ขายกันตามตลาดเรียกว่า ผักบุ้งจีน มีการปลูกเป็นการค้าโดยเฉพาะ ไม่ได้ขึ้นเองตามธรรมชาติ
รู้จักอันตราย---ในเอเชีย มีรายงานการสะสมของโลหะหนักในพืช สาเหตุหลักมาจากพืชมักปลูกในน้ำเสีย
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำราก


ผักกะเฉด/Neptunia oleracea


ชื่อวิทยาศาสตร์---Neptunia oleracea Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms
---Neptunia natans (L.f.) Druce.(1917)
---Neptunia prostrata (Lam.) Baill.(1883)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-123
ชื่อสามัญ---Water-mimosa, Sensitive neptunia, Garden puff
ชื่ออื่น---ผักหนอง, ผักหละหนอง, ผักรู้นอน, ผักฉีด;[BENGALI: Pani-wajak.];[CAMBODIA: Kanchait (Central Khmer).];[GERMAN: Gemeine Wassermimose.];[HINDI: Chui-Mui, Lajalu.];[INDONESIA: Kangkung puteri.];[LAOS: Khamək.];[MALAGASY: Anatsiriry (Ouest, Nord-ouest).];[SINHALESE: Diya nidikumbā.];[SPANISH: Dormidera aquática, Sensitiva acuática.];[SWEDISH: Neptunia.];[TAMIL: Cuṇṭi, Nīrc-cuṇṭi.];[THAI: Phak krachet, Phak nong, Phak runon, Phak cheed.].[VIETNAM: Rau nhút.].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE)
EPPO Code---NPTPR (Preferred name: Neptunia oleracea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวัปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาเขตร้อน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย อเมริกาใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Neptunia' มาจากคำภาษาละติน 'Neptunus' สำหรับดาวเนปจูน เทพเจ้าแห่งท้องทะเล แม่น้ำ และน้ำพุ โดยอ้างอิงถึงแหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นน้ำ; ชื่อสายพันธุ์ 'Oleracea' หมายถึง "ผัก/สมุนไพร" ในภาษาละตินและเป็นรูปแบบของ holeraceus (Oleraceus)
Neptunia oleracea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae หรือ Leguminosae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปีพ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย เทือกเขาหิมาลัย อินเดียถึงอินโดจีน มาเลเซีย แอฟริกาเขตร้อน เม็กซิโก อเมริกากลาง แคริบเบียน อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือถึงโบลิเวียและบราซิลตอนกลาง) พบในน้ำทั่วไป โดยเฉพาะในที่น้ำไหลช้าๆ หรือในน้ำนิ่ง
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกลอยน้ำอายุหลายปี มีลำต้นแผ่ตามพื้นดินหรือลอยอยู่บนผิวน้ำ ลำต้นกลมเรียวยาวรูปทรงกระบอกยาวได้ถึง 1.5 เมตร  ปล้องต่อกันเป็นเถา ภายในลำต้นตัน รากออกตามข้อจำนวนมาก ลำต้นเมื่ออายุมากจะมีเนื้อเยื่อสีขาวห่อหุ้มเรียกว่า"นมผักกะเฉด" ล้อมรอบลำต้นไว้ เพื่อพยุงให้ต้นลอยน้ำ ใบประกอบแบบขนนกปลายใบคู่ (paripinnate) ชูเหนือน้ำใบย่อยขนาดเล็กยาวประมาณ 1 ซม.ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้เร็วมาก ดอกออกเป็นช่อที่มองเหมือนดอกเดี่ยว ขนาด 2 ซม. ปลายก้านช่อดอกยาว 3 ถึง 5 ซม. ออกในซอกใบ ดอกย่อยเกิดเป็นกระจุกเกือบกลมรอบก้านปลายช่อดอก แต่ละหัวประกอบด้วยดอกไม้ 30 ถึง 50 ดอก ดอกตอนบนสมบูรณ์เพศ ดอกตอนล่างเป็นหมัน ดอกสีเหลืองสด ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนาน โค้งเล็กน้อยลักษณะเป็นลูกคลื่น ยาว 5-10 ซม. กว้าง 1.5-2 ซม.แก่แล้วแตก มี 4-10 เมล็ด เมล็ดแบน รูปไข่สีน้ำตาล มีความยาว 4-5 มม. และกว้าง 2.7-3.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดถึงร่มเงาบางส่วน
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้ปลูกเป็นผักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนของลำต้นและใบนำมาประกอบอาหาร นิยมปลูกเพื่อการค้า จัดได้ว่าเป็นผักเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง
-ใช้กิน ยอดอ่อนและฝักอ่อนกินได้และมักรับประทานดิบเป็นผักในไทย ลาวและกัมพูชา
-ใช้เป็นยา น้ำจากลำต้นและรากใช้เป็นยา
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตัดลำต้น


แห้วจีน/Eleocharis dulcis


Image credits ; https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:306797-
ชื่อวิทยาศาสตร์---Eleocharis dulcis (Burm.f.) Trin. ex Hensch.(1833)
ชื่อพ้อง---Has 21 Synonyms.
---Basionym: Andropogon dulcis Burm.f.(1768)
---Eleocharis austrocaledonica Vieill.(1861)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-242450
ชื่อสามัญ--- Ground chesnut, Waternut, Chinese water chestnut.
ชื่ออื่น---แห้วจีน, แห้วทรงกระเทียม;[CAMBODIA: Mëm phlông.];[CHINESE: Bí qí.];[FRENCH: Châtaigne d'eau, Scirpe doux.];[GERMAN: Chinesische Wassernuß.];[HINDI: Singhara.];[INDONESIA: Babawangan, Peperetan, Teki.];[MALAYALAM: Chelli, Neerchelli.];[MALAYSIA: Tike, Ubi puron.];[PHILIPPINES: Apulid, Buslig, Pagappo.];[PORTUGUESE: Castanha-da-terra, Castanha-de-água, Castanha-de-água-da-china.];[SPANISH: Cabezas de negrito, Nuez china.];[THAI: Haeo, Haeo-chin, Haeo song krathieam.];[VIETNAM: Củ Mã Thầy, Củ Năng, Max thafy, Nawn ngojt.].
ชื่อวงศ์---CYPERACEAE
EPPO Code---ELODU (Preferred name: Eleocharis dulcis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกาตะวันตก มาดากัสการ์ อินเดีย จีน ญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'dulcis' หมายถึง หวาน
Eleocharis dulcis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กก (Cyperaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Bernhard von Trinius (1778–1844) แพทย์ชาวรัสเซียผู้เชี่ยวชาญเรื่องหญ้าที่เกิดในเยอรมนี จากอดีต August Wilhelm Eduard Theodor Henschel (1790 -1856) เป็นแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2376


Image credits ; https://www.etsy.com/listing/802492490/
ที่อยู่อาศัย มีต้นกำเนิดมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันแพร่กระจายไปยังแอฟริกาตะวันตกเขตร้อน มาดากัสการ์ อินเดีย จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก เติบโตในหนองบึงเปิด แม่น้ำ บนชายฝั่งของทะเลสาบและในคลองชลประทาน บางครั้งก็เติบโตได้ดีในหนองน้ำกร่อย ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลสูงถึง 1350 เมตรในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ทั่วประเทศ ในพื้นที่ลุ่มที่รกร้าง หนองน้ำและนาข้าว
ลักษณะ เป็นพืชกึ่งพืชน้ำอายุหลายฤดู มีเหง้าใต้ดิน เหง้าสั้นมีไหลยาว หัวกลมแบนเกิดในส่วนปลายไหล สีน้ำตาลหรือสีดำ ขึ้นเป็นกอ ลำต้นแข็งแรง ลำต้นกลวง ตั้งตรงมีความสูง 1-1.5 เมตร ใบย่อส่วนเหลือเพียงโคนกาบหุ้มไม่มีแผ่นใบ สีน้ำตาลแดงหรือสีม่วง ยาว 15-20 ซม.ช่อดอกเดี่ยวเป็นช่อเชิงลด ดอกช่อยาว 1.5 -3.0 ซม.ดอกย่อยเป็นแบบ spike ยาว 2-5 ซม.มีริ้วประดับเป็นเยื่อบางๆ กลีบดอกคล้ายเส้นด้ายสีขาวหรือสีน้ำตาล ผลเป็นผลแห้งเมล็ดล่อน สีเหลืองมันจนถึงสีน้ำตาล ขนาด 1.5-2.2 x 1.2-1.8 มม.   
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินเหนียวหรือดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ มีค่า pH 6.9-7.3 น้ำสูงประมาณ 10-30 ซม
ศัตรูพืช/โรคพืช---โรคและแมลงที่ร้ายแรงไม่มี แมลงที่พบเสมอ ได้แก่ ตั๊กแตน เพลี้ยไฟ ถ้าปลูกในดินที่เป็นกรด คือ pH 3-5.5 มักเกิดโรคซึ่งเกิดจากเชื้อรา ศัตรูที่พบนอกจากโรคแมลงได้แก่ ปู และปลากัด กินต้นอ่อน
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน มีทั้งพันธุ์ป่าและพันธุ์ปลูก โดยพันธุ์ป่าหัวขนาดเล็ก ค่อนข้างดำ พันธุ์ปลูกหัวใหญ่สีออกม่วงหรือน้ำตาล แห้วอ่อนผิวสีขาวนวล เนื้อฟ่าม เมื่อแก่ผิวสีน้ำตาลเข็ม เนื้อแข็งสีขาว แห้วมีสารอาหารต่างๆ เช่น แคลเซียม เหล็ก วิตามินซี และคาร์โบไฮเดรต แห้วใช้ปรุงอาหารได้หลายอย่าง ทั้งในจีน อินโดจีน ไทย และประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำมารับประทานเป็นของหวาน หัวขนาดใหญ่นิยมรับประทานสด หัวขนาดเล็กใช้ผลิตแป้ง ในฟิลิปปินส์ใช้ทำข้าวเกรียบ ในอินโดนีเซีย มักทำเหง้าเป็นมันฝรั่งแผ่น ('emping teki')
-ใช้เป็นยา มีสรรพคุณขับร้อน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ แก้คออักเสบ ละลายเสมหะ บำรุงปอด บำรุงธาตุ และกระเพาะ ขับของเสีย ขับปัสสาวะ ขับน้ำนม แก้เบาหวาน และลดความดันโลหิต ช่วยป้องกัน โรคปากนกกระจอก โรคเหน็บชา ช่วยบำรุงสมอง และช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสดใสขึ้น
-ใช้ปลูกประดับ ไม้ประดับสำหรับสวนน้ำหรือสวนพรุหรือริมลำธาร
-ใช้เป็นอาหารสัตว์
-อื่น ๆลำต้นใช้สานเสื่อ ใช้ทำตะกร้า ใช้ทำเสื่อนอน (สุมาตรา สุลาเวสี) และกระโปรง (ปาปัวนิวกินี)
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เหง้า หัว และเมล็ด


สาหร่ายพุงชะโด/Ceratophyllum demersum

ชื่อวิทยาศาสตร์---Ceratophyllum demersum L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-36902   
---Ceratophyllum cornutum Rich. ex S.F. Gray.(1821)
---Dichotophyllum demersum (L.) Moench.(1794)
ชื่อสามัญ---Hornwort, Common hornwort, Rigid hornwort, Coontail, Coon's tail
ชื่ออื่น---สาหร่ายพุงชะโด, สาหร่ายหางม้า;[ALBANIA: Ceratofilë, Gjethebri gati i zhytur.];[ARGENTINA: Cama de ranas, Celestina de agua, Cola de zorro.];[CHINESE: Jīn yú zǎo.];[CUBA: Celestina.];[CZECH: Dýně obrovská, Růžkatec ostnitý, Růžkatec ponořený.];[DUTCH: Gedoornd hoornblad, Grof hoornblad.];[ESTONIAN: Räni-kardheim.];[FINNISH: Tankeakarvalehti.];[FRENCH: Cornifle immergé, Cornifle nageant, Cornue d'eau, Cératophylle immergé, Cératophylle submergé, Cératophylle émergé, Cératophylle épineux.];[GERMAN: Gemeines Hornblatt, Gewöhnliches Hornblatt, Rauhes Hornblatt.];[HEBREW: Karnan tavua.];[HINDI: Brihatpushpi.];[ITALIAN: Ceratofillo comune, Ceratofillo immerso, Coda di volpe.];[JAPANESE: Kingyomo, Matsumo.];[KOREA: Bung eo ma reum.];[PORTUGUESE: Candelabro-aquático.];[RUSSIA: Rogolistnik pogruzhennyy, Rogolistnik tëmno-zelënyy.];[SPANISH: Bejuquillo, Candelabro de agua, Ceratófilo, Milhoja de agua.];[SWEDISH: Hornsärv.];[THAI: Sarai phoong chado, Sarai hang maa.];[TURKISH: Kınalı suboynuzu.].
ชื่อวงศ์---CERATOPHYLLACEAE
EPPO Code---CEYDE (Preferred name: Ceratophyllum demersum.)
ถิ่นกำเนิด---Unknown
เขตกระจายพันธุ์ ---ทุกทวีปยกเว้นทวีปแอนตาร์กติก
Ceratophyllum demersum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกน้ำในครอบครัววงศ์ Hornwort (Ceratophyllaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายไปทั่ว มันมีความทนทานต่อระบบนิเวศที่กว้าง พบในสระน้ำ หนองบึง และลำธารอันเงียบสงบในเขตร้อนและในเขตอบอุ่น
ลักษณะ เป็นพืชน้ำที่ไม่มีราก ที่เติบโตใต้น้ำ ลำต้นเป็นสายกลมยาวไม่มีรากลอยเป็นอิสระอยู่ใต้ผิวน้ำแตกกิ่งก้านสาขา ใบเล็กแตกรอบข้อเป็นวงประมาณ 10 ใบ ใบแตกเป็นริ้ว 2 ชั้น ยาวประมาณ 1-3 ซม.ดอกเดี่ยวขนาดเล็กแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ติดอยู่ที่รอยต่อของใบและลำต้น และมีกลีบเลี้ยงเล็กๆ 7-15 กลีบที่หลอมรวมกันที่โคน ไม่มีกลีบดอกและดอกไม้มีทั้งส่วนที่มีเรณูหรือออวุล แต่ไม่มีทั้งสองอย่าง โดยทั้งสองชนิดเกิดในต้นเดียว ดอกที่มีเรณูมีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ส่วนดอกที่มีออวุลมีเกสรเพศเมียเพียงตัวเดียว ผล achene ขนาดเล็กสีดำขนาด 0.5 ซม.มีหนามแหลมที่ปลายบน 1 อันและฐานอีก 2 อัน ผลมี 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ในน้ำนิ่งมีธาตุอาหารพวกไนโตรเจนสูง อุณหภูมิของน้ำ 20-28 °C pH  6.5-7.5 ระดับน้ำลึก 40-60 ซม.
ศัตรูพืช/โรคพืช---ปลาคาร์พ Triploid ( Ctenopharyngodon idella ) ประสบความสำเร็จในการควบคุมวัชพืชน้ำ รวมทั้งC. demersumในบ่อผลิตดอกบัวใน Brookshire และใน Lake Conroe ทั้งในเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ( Martyn et al., 1986 ; Santha et al., 1994 ) ในรัฐไอโอวา สหรัฐอเมริกา ( Mitzner, 1976 ) และในประเทศไทย ( Pholprasith et al., 1978 );ตัวอ่อนของParapoynx diminutalisซึ่งเป็นแมลงเม่าชนิด pyralid ในเอเชียบนHydrilla verticillataสามารถกำจัด ชีวมวล C. demersum จำนวนมาก (บัคกิ้งแฮมและเบนเน็ตต์, 1989 ). ไส้เดือนฝอยHirschmanniella caudacrenaอาจก่อให้เกิดโรคต่อC. demersum ( Gerber et al., 1986 ; Gerber and Smart, 1987 )   
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้น้ำในตู้ปลา
ระยะออกดอก/ติดผล---ปลายฤดูใบไม้ผลิ การออกดอกเกิดขึ้นในเขตอบอุ่น
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตัดลำต้นปักชำ


สาหร่ายหางกระรอก/Hydrilla verticillata

Image credits ; https://www.eddmaps.org/distribution/point.cfm?id=54448
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydrilla verticillata (L.f.) Royle.(1839)
ชื่อพ้อง---Has 22  Synonyms.
---Basionym: Serpicula verticillata L.f.(1782)
---Elodea verticillata (L.f.) F.Muell.(1888)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:114224-3#synonyms
ชื่อสามัญ---Florida elodea, Water thyme, Hydrilla, Esthwaite Waterweed, Indian Stargrass.   
ชื่ออื่น---สาหร่ายหางกระรอก, ผักขี้เต่า;[ASSAMESE: Pani-birina, Sial-bhobra-khar, Patal-khar.];[CHINESE: Hei zao.];[CUBA: Hidrila.];[FRENCH: Hydrilla de Lithuanie.];[GFRMAN: Grundnessel, Quirllboettrige, Wasserquirl.];[HINDI: Jhangi, Sevar.];[ITALIAN: Peste d'acqua.];[JAPANESE: Kinomo, Kuromo.];[KOREA: Geom jeong mal.];[LITHUANIAN: Menturlapė ežerutė.];[RUSSIA: Gidrilla mutovchataya.];[SPANISH: Elodea de Florida, Maleza acuática.];[THAI: Sarai hang krarok, Phak khi tao.];[USA: Hydrilla, Water weed.].
ชื่อวงศ์---HYDROCARITACEAE
EPPO Code---HYLLI (Preferred name: Hydrilla verticillata.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Hydrilla verticillata เป็นพืชน้ำในวงศ์สันตะวา (Hydrocharitaceae) เป็นชนิดเดียวในสกุล Hydrilla (Monotypic genus)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarl Linnaeusและ Sara Elisabeth Moraea ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Forbes Royle (1798–1858) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2382
ที่อยู่อาศัย เชื่อกันว่าพืชน้ำชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  กระจายพันธุ์ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนของซีกโลกตะวันออก พบตั้งแต่อิหร่านและอัฟกานิสถานผ่านปากีสถานและอินเดีย ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปทางเหนือสู่ญี่ปุ่น เกาหลี จีนและแมนจูเรีย นอกจากนี้ยังเกิดขึ้นใน Moluccas อินโดนีเซียและปาปัวนิวกินี ในมหาสมุทรอินเดียเกิดขึ้นที่มอริเชียส เรอูนียง และมาดากัสการ์ ในมหาสมุทรแปซิฟิกพบในฟิจิและกวม เป็นพืชทั่วไปทางตอนเหนือและตะวันตกของออสตราเลเซีย และพบในเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ด้วย ชอบขึ้นตามLacustrine (ในทะเลสาบหรือสระน้ำ) คูน้ำ หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ หรือบริเวณที่น้ำขังและไหลไม่แรงนัก ที่ระดับความสูงจากใกล้ระดับน้ำทะเล ถึง 250 เมตร ในสหรัฐจัดเป็นพืชรุกรานที่ทำความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ในประเทศไทย พบได้ทั่วทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นพืชใต้น้ำอายุข้ามปี ต้นเป็นสายเรียวยาว รากยึดติดพื้นดินหรืออาจลอยน้ำ ยาวได้ถึง 9 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวรูปแถบแกมหอกหรือรูปไข่ ขอบใบจักฟันเลื่อย ออกรอบข้อ 3-8 ใบ กว้าง 1.5 มม. ยาว 8-40 มม. ดอกมีขนาดเล็กแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกตามซอกใบ มีใบประดับหุ้ม กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 3 กลีบ เกสรเพศผู้มี 3 อัน ดอกเพศเมียมีใบประดับหุ้มที่โคนก้าน มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 3 กลีบเช่นเดียวกับดอกเพศผู้ มียอดเกสรเพศเมีย 3 อัน ผลคล้ายรูปทรงกระบอก มีขนาดเล็กยาวประมาณ 7 มม. ภายในมีเมล็ดรีรูปไข่ 2-7 เมล็ด การพัฒนาคุณลักษณะเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามสถานที่ อายุ และคุณภาพน้ำ (Kay 1992)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชที่ขึ้นอยู่ใต้ผิวน้ำ ต้องการแสงน้อยมากเพียง 1 % ของแสงแดดปกติเท่านั้น เนื่องจากความทนทานต่อสภาพแสงน้อย ( White et al., 1996 ) จึงสามารถเติบโตในน้ำได้ลึกถึง 7 เมตร ในน้ำที่มี pH 6.0-7.3 อุณหภูมิน้ำ 25-30 องศา C ในเขตร้อนชื้นH. verticillataถูกอธิบายว่าทนต่อสภาพน้ำที่หลากหลาย ตั้งแต่กรดและ oligotrophic ไปจนถึง eutrophic หรือกร่อย มันเจริญเติบโตในมลภาวะหลายชนิดและทนต่อการรบกวนอย่างมาก
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ผงแห้งจากพืชถูกใช้ในการรักษาฝี แผลไฟไหม้ และบาดแผล ( Zhuang and Beentje, 2017 ).
-ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา
-อื่น ๆใช้เป็นอาหารสัตว์ ใช้ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี  
ขยายพันธุ์--- ตัดลำต้นปักชำใต้น้ำ


สาหร่ายข้าวเหนียว/Utricularia aurea

Image credits ; https://www.flowgrow.de/db/wasserpflanzen/utricularia-aurea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Utricularia aurea Lour.(1790)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms.
---Utricularia blumei (A.DC) Miq.(1859)
---Utricularia flexuosa Vahl.(1804)
---Utricularia pilosa (Makino) Makino.(1897)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:526598-1  
ชื่อสามัญ---Leafy bladderwort, Golden bladderwort
ชื่ออื่น---สาหร่ายข้าวเหนียว, กาแนเครือ, แนเครือ, สายตีนกุ้ง, สาลี, สาหร่ายไข่ปู, สาหร่ายดอกเหลือง, สาหร่ายนา;[ASSAMESE: Jhanji, Khaar-bon.];[BENGALI: Janjee, Jhangi.];[CAMBODIA: Saray andet.];[CHINESE: Huáng huā lí zǎo.];[INDONESIA: Gagang, Gagang keli, Ganggang lembut, Gelembung, Jepun, Rumput.];[JAPANESE: Notanukimo.];[KOREA: Deul tong bal.];[LAOS: Nae harng hern.];[MALAYSIA: Lumut ekor kuching, Rumput ekor kuching; Sa-lae, Ka nae khruea (Malay-Peninsular).];[PHILIPPINES: Inata.];[TELUGU: Natsoo.];[THAI: Sarai khao niao (Central); Ka nae khruea  (Malay-Peninsular); Nae khruea (Chiang Mai); Sai tin kung (Nakhon Si Thammarat); Sali (Chon Buri); Sarai khai pu (Prachin Buri); Sarai dok lueang (Central); Sarai na (Bangkok).].[VIETNAM: Rong trung.].
ชื่อวงศ์---LENTIBULARIACEAE
EPPO Code---UTRAU (Preferred name: Utricularia aurea.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย
Utricularia aurea เป็นพืชน้ำในวงศ์ Lentibulariaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกส ในปี พ.ศ.2333
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดคือเอเชียเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนถึง N. & E. ออสเตรเลีย พบในอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น (ฮอนชู ชิโกกุ) เกาหลี ออสเตรเลีย ในธรรมชาติจะพบเป็นวัชพืชตามแหล่งน้ำต่าง ๆในน้ำตื้น รวมทั้งในนาข้าว
ลักษณะ เป็นพืชน้ำที่กินเนื้อเป็นอาหาร ต้นทอดยาวได้ถึง 1 เมตร ใบเป็นเส้นเรียวเล็กเชื่อมกันเป็นพวง และมีใบที่เป็นรูปกระเปาะดักแมลง รูปไข่เบี้ยวแทรกอยู่เป็นระยะ มีก้าน 1-4 มม. ที่ปากกระเปาะมีรยางค์คล้ายขน 2 เส้น ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อชูเหนือน้ำ ยาว 5-25 ซม. กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมกันปลายแยกเป็น 2 แฉก ขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกมีขนเชื่อมติดกันเป็นจะงอย ปลายแยกเป็น 2 ส่วน ผลเดี่ยวเมื่อแห้งแก่แล้วแตก รูปร่างค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มม.สูงสุด 5.2 มม กลีบเลี้ยงยังคงติดอยู่ เมล็ดแบนเป็นห้าเหลี่ยมขนาด 1.5-2 มม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพืชน้ำจืด มักเติบโตในทะเลสาบ ลำธารที่ไหลช้า คลอง ทุ่งนา คูน้ำ มักพบในน้ำ pH ต่ำ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในตู้ปลา และสามารถปลูกในดินเป็นต้นตั้งตรงได้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม–กุมภาพันธ์ และ ตุลาคม–กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด หรือส่วนของลำต้นที่แยกขาดออกไป
 

หญ้าถอดปล้อง/Hippochaete debilis

ชื่อวิทยาศาสตร์---Hippochaete debilis (Roxb. ex Vaucher) Ching.(1983)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-100375147    
---Equisetum debile Roxb. ex Vaucher.(1822)
---Hippochaete debilis (Roxb. ex Vaucher) Holub.(1983)
ชื่อสามัญ---Horsetail
ชื่ออื่น---หญ้าเงือก, หญ้าหางม้า, หญ้าหูหนวก (เหนือ), หญ้าสองปล้อง, เครือเซาะปอยวา, แยปอ (กระเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), อื่อซอปวยว่อ, อื่อซอปอยวา(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), หญ้าถอดป้อง(คนเมือง), หรึยซอพอดัว (กะเหรี่ยงเชียงใหม่) และ หญ้าปล้อง;[CHINESE: Bǐ guǎn cǎo.];[THAI: Yaa tot plong,Yaa tot bong, Khruea soepoiwa.].
ชื่อวงศ์---EQUISETACEAE
EPPO Code---EQUDE (Preferred name: Equisetum debile.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---อินเดีย จีนตอนใต้ อินโดจีน ไต้หวัน ไทย มาเลเซีย นิวกินี
Equisetum debile  เป็นพืชในวงศ์ Equisetaceae บางครั้งหญ้าถอดปล้องถูกจัดเป็นชนิดย่อยของ Equisetum ramosissimum ในชื่อ Equisetum ramosissimum subsp. debile ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Jean Pierre Étienne Vaucher (1763– 1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส] และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ren-Chang Ching (1898 –1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนที่เชี่ยวชาญด้านเฟิร์น ในปี พ.ศ.2526

 

ที่อยู่อาศัย เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน ทิเบต) นิวกินี พบขึ้นเองตามผืนป่าดงดิบที่มีความชุ่มชื้นตลอดปี ในประเทศไทยพบทุกภาค ที่ระดับความสูง 500 เมตรขึ้นไป ส่วนใหญ่ขึ้นใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ ใกล้แหล่งนํ้า
ลักษณะ หญ้าถอดปล้องเป็นเฟิร์นที่มีท่อลำเลียง แต่ไม่มีดอกและเมล็ด มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นตั้งตรง ขนาดเล็ก สีเขียว สูง 30-100 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 มม. มีข้อปล้องเห็นชัดเจน ภายในกลวง ด้านนอกเป็นร่องตามยาว ผิวสาก ใบลดรูปเป็นเกล็ดเล็ก ๆ รูปสามเหลี่ยม ยาวได้ถึง 8 มม.เรียงรอบลำต้นตามข้อ แต่ละข้อแตกกิ่งก้าน 2–5 กิ่ง สีน้ำตาลหรือขาวซึ่งหลุดร่วงง่าย มีส่วน strobilus เกิดที่ยอดเป็นรูปขอบขนานแกมรูปรี สร้างหน่วยสืบพันธุ์เรียกว่าสปอร์ สปอร์มีลักษณะกลมสีเขียว และมีสายยาว ๆ 4 สายพันอยู่รอบ ๆปลายของสายทั้ง 4 นี้ พองออกเป็นรูปกระบอง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแดดจัด ดินเหนียว ระดับน้ำ 5–10 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ต้นสดตำเป็นยาพอกบาดแผล แก้ปวดตามข้อ ต้มน้ำดื่มเป็นยาแก้ไข้ ขับปัสสาวะ บำรุงไต
-ในเนปาลใช้เป็นยารักษาโรคหิด ไข้มาลาเรีย และหนองในแท้
-ในบังคลาเทศ ใช้เป็นยาเย็นสำหรับรักษาโรคหนองในและกระดูกหัก
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับสวน ไม้กระถาง นิยมใช้จัดสวนแนวโมเดิร์น
ระยะออกดอก/ติดผล---ไม่มีดอกและผล
ขยายพันธุ์---แยกเหง้าหรือใช้สปอร์


เหงือกปลาหมอดอกขาว/Acanthus ebracteatus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Acanthus ebracteatus Vahl.(1791)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2615237   
---Acanthus ilicifolius Lour.(1790) [Illegitimate]
---Acanthus ilicifolius var. ebracteatus (Vahl) Benoist         
---Dilivaria ebracteata (Vahl) Pers.(1806)
ชื่อสามัญ---Acanthus, Sea holly, Holly-leaved Mangrove
ชื่ออื่น---เหงือกปลาหมอน้ำเงิน, เหงือกปลาหมอ, แก้มหมอ,แก้มหมอเล, จะเกร็ง, นางเกร็ง, อีเกร็ง;[CHINESE: Xiǎohuā lǎoshǔ lè.];[FRENCH: Houx de mer.];[INDONESIA: Daruju, Juruju.];[MALAYSIA: Jeruju hitam (Malay/Singapore); Beruju, Jeruju, Jeruju hitam, Gerige (Sarawak).];[TAMIL: Akāṉtacu ipirākṭīṭacu.];[THAI: Ghuark-plar-mor, Ngueak plaa mo, Ngueg-pla-moh.];[VIETNAM: Ô rô hoa trắng, O rô biển, O rô hoa nhỏ.].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---ACUEB (Preferred name: Acanthus ebracteatus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเชีย
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนของทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย  
Acanthus ebracteatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Martin Henrichsen Vahl (1749–1804) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ก-นอร์เวย์ ในปี พ.ศ.2334
มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies);-
---Acanthus ebracteatus subsp. ebarbatus R.M.Barker.(1986)
---Acanthus ebracteatus subsp. ebracteatus.(1791)


ที่อยู่อาศัย เป็นพืชเฉพาะถิ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และพบเห็นได้มากในชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย แต่พบน้อยในอินโดนีเซีย มันยังกระจายอย่างกว้างขวางในภาคเหนือของออสเตรเลีย พบเป็นไม้ชั้นล่างของป่าชายเลน สามารถขึ้นได้ในดินเลน หรือที่น้ำกร่อยขึ้นถึง หรือที่ชุ่มชื้นทั่วไป ในประเทศไทยเหงือกปลาหมอนั้นจะพบอยู่ 2 พันธุ์ คือ ชนิดที่เป็นดอกสีขาวและดอกสีม่วง ดอกสีขาวจะพบมากในทางภาคกลางและภาคตะวันออก ส่วนดอกสีม่วงจะพบทางภาคใต้
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 1.5-2 เมตร ลำต้นของพืชชนิดนี้จะมีลักษณะแข็ง มีหนามอยู่ตามข้อของ ลำต้น ถ้าเป็นต้นที่เจริญเติบโตตามธรรมชาติหรือไม่มีการตัดออกไป จะมีลักษณะของลำต้นตั้งตรงพุ่งสูงขึ้น แต่ถ้ามีการตัดออกนำไปใช้ประโยชน์บ้างก็จะแตกเป็นพุ่มออกมาใหม่ ใบรูปไข่ถึงรูปสี่เหลี่ยมขอบขนาน มีขนาด 12-20 ซม. x 3-5 ซม.มีลักษณะแข็ง มีหนามคมอยู่ริมขอบใบและปลายใบ ผิวใบเรียบมันเนื้อใบเหนียวแข็ง มีหนามแหลมตรงหยักที่ขอบใบ ก้านใบยาวไม่เกิน 10 ซม.ช่อดอกแบบดอกย่อยเรียงกันบนก้านช่อดอก แบบช่อเชิงลด ยาวประมาณ 10-15 ซม.ไม่มีใบประดับ ดอกสมบูรณ์เพศ ดอกย่อยมีประมาณ 10 ดอก ดอกรูปไข่ ยาว 6-8 มม.กลีบเลี้ยงเป็นรูปไข่ ผลเป็นแคปซูลรูปทรงกระบอกสีเขียว ยาวประมาณ 2-3 ซม.แตกออกเมื่อสุก ในฝักมีเมล็ด 4 เมล็ด เมล็ดสีขาวนวลและแบนขนาดประมาณ.10 × 7 มม.กระเด็นไปได้ไกลห่างจากต้นถึง 2 เมตร
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดเติบโตได้ดีในที่ร่ม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ส่วนของพืชที่ใช้ ใบ ผล เมล็ด ลำต้น และราก ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใบของA. ebracteatus ถูกนำมาใช้รักษาอาการอักเสบต่างๆ เช่น โรคไขข้อ เมล็ดพืชได้รับการยอมรับอย่างสูงว่าเป็นยาแก้ฝีเรื้อรัง เมล็ดพืชยังใช้รักษาหนอนในลำไส้
-สำหรับงูกัด ชาวมาเลย์มักสนับสนุนการใช้รากเป็นยารักษาทันที เช่นเดียวกับการรักษาผลกระทบของสารพิษจากสัตว์อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม ในกาลิมันตัน เยื่อผลไม้ใช้แต่งบาดแผลของงูกัด
-เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวป่าชายเลนว่าน้ำผลไม้จากใบนั้นดีต่อการป้องกันการหลุดร่วงของเส้นผม
-รากใช้รักษาโรคเริมงูสวัด
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม, สิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ

เหงือกปลาหมอดอกม่วง/Acanthus ilicifolius

ชื่อวิทยาศาสตร์---Acanthus ilicifolius L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.   
---Acanthus doloarin Blanco.(1837)
---Acanthus neoguineensis Engl.(1886)
---Dilivaria ilicifolia (L.) Juss.(1789)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2615257
ชื่อสามัญ---Sea Holly, Holly mangrove, Bear's Breech
ชื่ออื่น---เหงือกปลาหมอน้ำเงิน, แก้มหมอเล, จะเกร็ง, อีเกร็ง;[AYURVEDIC: Sahachara.];[BENGALI: Harkuchkanta, Kentki.];[CHINESE: Lǎo shǔ le.];[GERMAN: Stechpalmenblättrige Bärenklau.];[HINDI: Hargoza.];[INDIA: Karimkurunji, Krishnasaireyaka.];[JAPANESE: Akansasu irikiforiusu.];[KANNADA: Mulluchulli.];[MALAYALAM: Payinachhulli.];[MARATHI: Nivagur, Marandi.];[MYANMAR: Kaya-chon, Kha-yar, Kha-yar-chon.];[PHILIPPINES: Daguari, Daluari, Diliwario, Diluariu, Doloariu, Duduaria, Duluarin, Duluariu, Galura, Lagiu-lagiu, Takis-lakis, Tindoi, Tinlui, Tinglui, Tinglog (Tag.); Dulauari (Pamp.); Kasumba (Ilk.); Lagiuriu, Lagiu-lagiu (P. Bis.); Santing (Sul.); Titio (Bis.).];[PORTUGUESE: Acanto-folhas-de-azevinho.];[SANSKRIT: Harikusa.];[TAMIL: Kaludaimulli.];[TELUGU: Alasyakampa.];[THAI: Ngueak plea mo nam ngeon, Ngueak plea mo dok mouang.];[TURKISH: Çobanpüskülü yaprakli ayi pençesi.].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---ACUIL (Preferred name: Acanthus ilicifolius.)
ถิ่นกำเนิด---ออสเตรเลีย ออสตราเลเซีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เขตกระจายพันธุ์---จากอินเดียตอนใต้ ศรีลังกาถึงอินโดจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Acanthus' จากภาษากรีก 'ákantha'= กระดูกสันหลังหรือหนาม ; ชื่อเฉพาะ 'ilicifolius' =มีใบเหมือนต้นฮอลลี่
Acanthus ilicifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย ออสตราเลเซีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากอินเดียตอนใต้ ศรีลังกาถึงอินโดจีน (ยกเว้นลาว) มาเลเซีย (มาลายา ชวา หมู่เกาะเลสเซอร์ซุนดา) อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และตอนเหนือของออสเตรเลีย เกิดขึ้นในแหล่งอาศัยของป่าชายเลน เหงือกปลาหมอชนิดนี้ ในประเทศไทย พบทางภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป พบตามป่าชายเลน และบริเวณน้ำกร่อย
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงถึง 2 เมตร ลำต้นกลมแข็งสีเขียวปนเทา มีหนาม1อันตามข้อ สูงประมาณ 50-100 ซ.ม.ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน ขนาดประมาณ 7.5-18.5 x 2.5-5 ซม.คล้ายต้นฮอลลี่ (Ilex aquifolium) ขอบใบเว้าหยักห่างเป็นซี่ๆปลายหยักใบมีหนาม ดอกออกเป็นดอกช่อสีม่วงอมฟ้ามีแถบสีเหลืองกลางกลีบ ผลเป็นฝัก รูปไข่หรือทรงกระบอกยาวประมาณ 17-25 มม.เมล็ดขนาดประมาณ 6-9 x 5-6 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดรำไรถึงแดดจัด ดินเหนียว ระดับน้ำ 5–10 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ระบบยาที่ใช้ในอายุรเวท การแพทย์พื้นบ้าน สิทธา การแพทย์แผนจีน
-Perry (1980) กล่าวถึงการใช้ยารักษาโรคในจีน อินโดจีน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ใช้รักษาโรคหอบหืดและโรคไขข้อ
-ในอินเดียมีการใช้ราก ต้านมะเร็งและสำหรับไข้เรื้อรัง ใช้รักษางูกัด ใบใช้สำหรับโรคไขข้อ
-ในประเทศมาเลเซียใบใช้สำหรับโรคไขข้อ โรคประสาท และบาดแผลลูกศรพิษ
-ในประเทศไทยยาต้มทั้งต้นใช้รักษานิ่วในไต ใช้เปลือกสดบดเป็นยาฆ่าเชื้อ ยาต้มใบแก้ปวดและเป็นยาฟอกเลือด
-ใน ยาอายุรเวทเป็นหนึ่งใน 9 พืชในยา 'สหชารา' ที่ใช้รักษาอาการไขข้ออักเสบ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017)
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ


เหงือกปลาหมอเทศ/Acanthus montanus

ชื่อวิทยาศาสตร์---Acanthus montanus (Nees) T.Anderson.(1864)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2615278
---Basionym: Cheilopsis montana Nees.(1847)
---Acanthus barteri T.Anderson.(1864)
ชื่อสามัญ---Holy mangrove, Mountain thistle.
ชื่ออื่น---เหงือกปลาหมอ, เหงือกปลาหมอเทศ;[FRENCH: Acanthe des montagnes.];[GERMAN: Gebirgs-Akanthus.];[THAI: Ngueak plea mo, Ngueak plea mo thet.].
ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE
EPPO Code---ACUMT (Preferred name: Acanthus montanus.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกากลาง แอฟริกาตะวันตก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Acanthus' จากภาษากรีก 'ákantha'= กระดูกสันหลังหรือหนาม ; ชื่อเฉพาะ 'montanus' = เกี่ยวกับภูเขา
Acanthus montanus ป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2407


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตกเขตร้อน พบใน เซียร์ราลีโอน เบนิน ถึงเอส. ชาดและแซมเบีย: แองโกลา เบนิน บุรุนดี แคเมอรูน สาธารณรัฐแอฟริกากลาง ชาด คองโก กาบอง อ่าวกินี Is. ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน แซมเบีย ไซเร; แนะนำใน: คอสตาริกา มอริเชียส
ลักษณะท้่วไป คล้ายคลึงกันกับเหงือกปลาหมอดอกขาวและเหงือกปลาหมอดอกม่วง ต่างกันที่ลักษณะและสีของดอก และใบ ซึ่งใบของเหงือกปลาหมอเทศยาวถึง 30 ซม. ใบสีเขียวเข้มมีรอยสีเงิน ขอบหยักและมีหนามแหลมยาวกว่าทั้งสองชนิด ช่อดอกไม้ขนาด 20-30 ซม.สีชมพูกุหลาบ หรือสีม่วงอ่อน ผลรูปไข่ขนาด 20 x 9-10 มม
**การพูดคุยส่วนตัว มีรูปให้ดูครบเปรียบเทียบลักษณะความแตกต่างได้ด้วยตัวเอง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---อาทิตย์เต็มถึงร่มเงาบางส่วนชอบสถานการณ์ที่ร่มรื่นและน้ำมากเป็นครั้งคราว แต่ก็ทนต่อแดดจัดและความแห้งแล้งได้ดี  ชอบดินเหนียว ตะกอน และดินที่มีอินทรียวัตถุ แต่ต้องระบายน้ำได้ดี pH ในช่วง 6.1-7.8
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง หอยทากและทากเป็นสัตว์ที่มาเยือนเป็นครั้งคราวซึ่งสามารถสร้างความเสียหายได้อย่างมากหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ตรวจสอบ เสี่ยงต่อโรคราแป้ง ใบจุดเชื้อรา และใบจุดแบคทีเรีย
ใช้ประโยชน์----ใช้เป็นยา ใบใช้สำหรับทำให้ฝีฝีสุกเต็มที่ น้ำคั้นใบใช้เป็นยาแก้ไอสำหรับผู้หญิงและเด็ก แก้เจ็บหน้าอก ยาต้มจากกิ่งก้านใบให้กับเด็กเป็นยาระบาย ใช้สำหรับโรคไขข้อ และ ยังกล่าวถึง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ
-ใช้ปลูกประดับ มีคุณสมบัติทางภูมิสถาปัตย์ ด้วยใบไม้และดอกไม้ที่โดดเด่นสะดุดตา
พิธีกรรม/ความเขื่อ---พืชยังใช้ป้องกันปีศาจและการไล่ผี (Burkill 1985)
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2010)
ระยะออกดอก/ติดผล---ฤดูร้อน และต้นฤดูใบไม้ร่วง
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและการใช้กิ่งปักชำ


ไอริสน้ำ/Neomarica longifolia


ชื่อวิทยาศาสตร์---Neomarica longifolia (Link & Otto) Sprague.(1928)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-323837
---Basionym: Marica longifolia Link & Otto.(1828)    
---Cipura longifolia (Link & Otto) Heynh.(1840)
---Cypella longifolia (Link & Otto) Klatt.(1862)
ชื่อสามัญ---Apostle plant, Fan Iris, Yellow Walking Iris.
ชื่ออื่น---ไอริส, ไอริสน้ำ ;[CHINESE: Cháng yè mǎ dié, Huánghuā bāxī yuānwěi.];[THAI: Ai rit, Ai rit nam (General).].
ชื่อวงศ์---IRIDACEAE
EPPO Code---NMZSS (Preferred name: Neomarica sp.)
ถิ่นกำเนิด---ตอนใต้ของประเทศบราซิล
เขตกระจายพันธุ์---บราซิลตะวันออกเฉียงเหนือ, บราซิลตะวันออกเฉียงใต้, บราซิลตะวันตกกลาง, โคลอมเบีย, เวเนซุเอลา
Neomarica longifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Iridaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [Johann Heinrich Friedrich Link (1767–1850) นักธรรมชาติวิทยา นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และ Christoph Friedrich Otto (1783 –1856) นักจัดสวนและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน] ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Thomas Archibald Sprague (1877–1958) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2471
ที่อยู่อาศัย บราซิลตะวันออกเฉียงเหนือ, บราซิลตะวันออกเฉียงใต้, บราซิลตะวันตกกลาง, โคลอมเบีย, เวเนซุเอลา
ลักษณะ เป็นไม้น้ำอายุหลายปี มีเหง้าหรือมีหัวใต้ดิน เจริญเป็นกอสูงประมาณ 1 เมตร ใบเดี่ยว ออกสลับระนาบเดียวรูปแถบยาว ค่อนข้างบาง กว้าง 2.5 ซม. ยาว 30 ซม.ดอกเกิดที่ปลายยอด สีเหลืองสด กลีบเลี้ยงและกลีบบริเวณโคนกลีบถึงกลางกลีบมีจุดประสีน้ำตาลเข้ม เมื่อบานปลายกลีบมักบิดโค้ง ดอกบานเพียงวันเดียวตั้งแต่ช่วงสายถึงบ่าย ทยอยบานทีละ 1 – 2 ดอก แต่ละช่อทยอยบานนานหลายสัปดาห์
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด แสงแดดรำไรหรือร่มเงาบางส่วน ดินเหนียว ระดับน้ำ 10-15 ซม ต้องการน้ำมาก ถ้าดินแห้งและแดดจัด ปลายใบจะไหม้
ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกประดับ สามารถปลูกเป็นไม้กระถางได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---ออกดอกตลอดปี ดอกดกในช่วงฤดูหนาว
ขยายพันธุ์---แตกต้นอ่อนที่ช่อดอกได้หรือแยกเหง้า


อ้อ/Arundo donax

Image credits ; http://www.florasilvestre.es/mediterranea/Gramineae/Arundo_donax.htmชื่อวิทยาศาสตร์---Arundo donax L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 38 Synonyms    
---Aira bengalensis (Retz.) J.F. Gmel.(1791)
---Amphidonax bengalensis (Retz.) Nees ex Steud.(1854)
---Arundo bambusifolia Hook.f.(1896)
---Scolochloa donax (L.) Gaudin.(1828)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-396629
ชื่อสามัญ---Reed Grass, Giant Reed, Bamboo Reed
ชื่ออื่น---อ้อ, อ้อหลวง, อ้อใหญ่, อ้อลาย;[AFRIKAANS: Spaanse-riet.];[ALBANIAN: Kallami.];[ARABIC: Ghab, Qalam.];[ARGENTINA: Caña de Castilla.];[AUSTRALIA: Bamboo, Danubian reed, E-grass, Elephant grass, Giant Danube grass, Oboe reed.];[BOLIVIA: Carizo.];[BRAZIL: Cana do brejo, Cana do reino, Cana-brava, Canno do reino, Capim plumoso, Taquara-do-reino.];[CHINESE: Lú zhú.];[CUBA: Caña india.];[DUTCH: Pijlriet, Zaairiet.];[FIJI: Ngasau ni vavalangi.];[FRENCH: Arondo donax, Canne de Provence, Cannevelle, Grand roseau, Quenouille, Roseau canne, Roseau de Fréjus, Roseau des jardins, Roseau donax, Roseau à quenouilles.];[GERMAN: Gewöhnliches Pfahlrohr, Italienisches Pfahlrohr, Pfahlrohr, Pfeilrohr, Riesenpfahlrohr, Riesenschilf, Spanisches Rohr.];[ITALIAN: Canna, Canna commune, Canna domestica, Canna gargana, Canna gentile.];[INDIA: Nal.];[JAPANESE: Danchiku, Yoshitake.];[KOREA: Mul dae.];[PORTUGUESE: Cana, Cana-comum, Cana-de-roca, Cana-vieira, Canamilha, Canas, Caninha, Cano-do-reino.];[ROMANIA: Trestie italiană.];[RUSSIA: Arúndo trostnikóvyy.];[SAMOA: Fiso palagi.];[SPANISH: Caña, Caña común, Caña gigante, Cañizo, Cañaveral.];[TAMIL: Eruvai.];[THAI: Oo, Oo louang, Oo yai, Oo lai.];[TONGA: Kaho, Kaho folalahi.];[TURKISH: Kargı.];[URUGUAY: Caña musical.].
ชื่อวงศ์---POACEAE (GRAMINEAE)
EPPO Code---ABKDO (Preferred name: Arundo donax.)
ถิ่นกำเนิด---เมดิเตอร์เรเนียน และ เอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา  คาบสมุทรอาระเบีย
เขตกระจายพันธุ์---เขตร้อนชื้นกึ่งเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แคลิฟอร์เนีย ตะวันตก แปซิฟิก และ แคริบเบียน
Arundo donax เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้า (Poaceae หรือ Gramineae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ในปีพ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พืชพื้นเมืองในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ในถิ่นกำเนิด พบมากในอินเดีย โดยสูงถึง 2,500 เมตรในเทือกเขาหิมาลัย และพบได้ทั่วประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสภาพอากาศที่คล้ายคลึงกันทั้งหมดของโลก และยังได้แปลงสัญชาติและรุกรานในหลายภูมิภาค รวมถึงแอฟริกาตอนใต้ สหรัฐอเมริกากึ่งเขตร้อน (ระดับความสูงต่ำกว่า 300 ม.) เม็กซิโก แคริบเบียน อเมริกาใต้ และหมู่เกาะแปซิฟิก พบขึ้นทั่วไปตามที่รกร้างว่างเปล่าตามริมแม่น้ำ คลองชลประทาน หรือตามหนองน้ำ ที่ระดับความสูงได่ถึง 4,000 เมตรในเอกวาดอร์
บทสรุปของการรุกราน---A. Donaxเป็นสายพันธุ์ที่ก้าวร้าวซึ่งมีความสามารถในการขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถแข่งขันกับพันธุ์พืชพื้นเมืองได้ และได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักต่อแหล่งที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางนิเวศวิทยาและกระบวนการต่อเนื่องอย่างมาก ได้รับการจัดอันดับให้เป็นหนึ่งใน 100 ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานได้แย่ที่สุดในโลก [One of the 100 world’s worst invasive alien species (ISSG, 2011).]
ลักษณะ เป็นพืชสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ลำต้นเป็นเหง้าแข็งเลื้อยทอดอยู่ใต้ดิน ลำต้นเหนือดินแตกเป็นกอสูง 1-3 เมตร ภายในลำต้นกลวง ใบเดี่ยวยาวเรียวแตกเป็นระเบียบ แผ่นใบขนาดกว้าง 4-8 ซม.ยาว 50-120 ซม.กาบใบหุ้มลำต้นไว้แน่น รอยต่อระหว่างกาบใบและแผ่นใบมีลิ้นใบเป็นเยื่อบาง ช่อดอกรวมมีก้านช่อดอกแตกเป็นแขนงย่อยจำนวนมาก ช่อดอกสีขาวยาว 30-60ซม.ช่อดอกย่อยมีดอกย่อย 2-5 ดอก สมบูรณ์เพศ ผลเป็นผลเดี่ยวเหมือนผลของหญ้าทั่วไป แต่เนื่องจากมีขนปุยเมล็ดจึงปลิวไปได้ไกล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด อุณหภูมิ 9-29°C และ pH ของดิน 5.0-8.7 ทนทานต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างมาก และสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ตลอดเวลาภายใต้สภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย เติบโตอย่างรวดเร็วมาก มีการบันทึกอัตราการเติบโตสูงถึง 0.7เมตร/สัปดาห์ ทำให้เป็นหนึ่งในพืชบกที่เติบโตเร็วที่สุด
ศัตรูพืช/โรคพืช---ใบของA. donaxมีแร่ธาตุและสารเคมีธรรมชาติที่เป็นพิษและไม่อร่อยจำนวนหนึ่ง เช่น silica, cardiac glycosides, hydromaxic acids, และ alkaloids ที่ปกป้องพืชจากแมลงพื้นเมือง  
ใช้ประโยชน์----A. donaxได้รับการแนะนำโดยมนุษย์อย่างมีจุดมุ่งหมายและปลูกฝังในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและอบอุ่นของโลกเพื่อการใช้งานจำนวนมาก ใช้เป็นไม้ประดับ รั้วที่มีชีวิต และกันลม และอาจช่วยควบคุมการกัดเซาะโดยการสร้างเสถียรภาพของตลิ่งหรือการจัดช่องทางน้ำ ยังถูกนำมาใช้ในการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อการบำบัดน้ำเสีย มีจำหน่ายผ่านการค้าเรือนเพาะชำ
ระยะออกดอก/ติดผล---ปลายฤดูร้อนถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า แยกหน่อ


ลำเอียก/Coix aquatica

Image credits ; https://sites.google.com/site/efloraofindia/species/

ชื่อวิทยาศาสตร์---Coix aquatica Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.    
---Coix gigantea J.Koenig ex Roxb.(1832)
---Coix lingulata Hack.(1891)
---Coix poilanei Mimeur.(1951)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-405615
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ลำเอียก, ชายเฟือย;[CHINESE: Shui sheng yi yi.];[THAI: Lam aiek, Chai fiey.];
ชื่อวงศ์---POACEAE (GRAMINEAE)
EPPO Code---COXAQ (Preferred name: Coix aquatica.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ทวีปเอเชีย: จีน เอเชีย-เขตร้อน: อินเดียและอินโดจีน ออสตราเลเซีย: ออสเตรเลีย.
Coix aquatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้า (Poaceae หรือ Gramineae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปีพ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัย พบใน แอฟกานิสถาน บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย จีน (กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน) มาเลเซีย เมียนมาร์ ศรีลังกา ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย พบตามหนองน้ำทั่วไป ที่ระดับความสูง 500–1,800 เมตร บางแห่งเป็นวัชพืชที่ขึ้นตามริมแม่น้ำลำคลอง เป็นสาเหตุให้เกิดการตื้นเขิน
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกมีอายุหลายปี ลำต้นเลื้อยทอดไปตามพื้นดินหรือพื้นน้ำปลายยอดชูตั้งขึ้น ยาวสูงสุด 30 เมตรโดยประมาณ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม.ลำต้นกลมยาวแข็งแรง รากออกตามข้อของลำต้น ใบเดี่ยวแตกจากลำต้นแบบสลับ แผ่นใบยาวเรียว ปลายใบเรียวแหลม ขนาดของแผ่นใบกว้างประมาณ 4 ซม.ยาว 80 ซม. เส้นกลางใบหนาสีอ่อนกว่าแผ่นใบ ดอกออกเป็นช่อที่ยอดลำต้นหรือตามซอกใบ พืชพวกนี้มักไม่ค่อยออกดอก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด
ใช้ประโยชน์----ใช้กิน ในอัสสัมใช้เมล็ดกินเหมือนหุงข้าว
-อื่น ๆเมล็ดแก่แข็งมาก ใช้ทำสร้อยคอลูกปัด
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า แยกหน่อ

หน่อไม้น้ำ/Zizania latifolia

Image credits ; https://www.rayagarden.com/how-to-garden/how-to-care-for-zizania-latifolia.html
---http://flowers.la.coocan.jp/Poaceae/Zizania%20latifolia.htm
ชื่อวิทยาศาสตร์---Zizania latifolia (Griseb.) Turcz. ex Stapf.(1909)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.    
---Hydropyrum latifolium Griseb.(1853)
---Zizania dahurica Turcz. ex Steud.(1909)
---More.See all The Plant List http://theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-450610
ชื่อสามัญ---Water-bamboo, Manchurian wild rice , Water-bamboo, Manchurian water-rice, Manchurian zizania,
ชื่ออื่น---หน่อไม้น้ำ;[CHINESE: Gu.];[DUTCH: Mantsjoerese wilde rijst.];[FRENCH: Riz sauvage de Mandchourie.];[GERMAN: Mandschurischer Wasserreis, Wasserbambus.];[JAPANESE: Makomo, Makomotake.];[LATVIA: Platlapain.];[PORTUGUESE: Arroz-da-índia, Bambu-acuático.];[RUSSIA: Tsitsaniya shirokolistnaya.];[SWEDISH: Manchuriskt ris.];[THAI: Hnor mai nam.].
ชื่อวงศ์---POACEAE (GRAMINEAE)
EPPO Code---ZIZLA (Preferred name: Zizania latifolia.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไซบีเรีย รัสเซีย ตะวันออกไกล จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Zizania latifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้า (Poaceae หรือ Gramineae) สกุลข้าวป่า (Zizania) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Nikolai Stepanovich Turczaninow (1796–1863) นักพฤกษศาสตร์และนักสะสมพืช ชาวรัสเซีย จากอดีต Otto Stapf (1857-1933) นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานที่เกิดในออสเตรีย ในปีพ.ศ.2452
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดใน ไซบีเรีย รัสเซียตะวันออกไกล จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น เกาหลี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แนะนำและอาจรุกรานในรัสเซียตอนกลาง พบตาม หนองบึงในน้ำตื้น ไหลหรือนิ่ง น้ำตื้นของริมทะเลสาบและหนองน้ำ มักเกิดเป็นหย่อมใหญ่
ลักษณะ เป็นพืชล้มลุกเจริญอยู่ในน้ำไม่ลึกนัก ลำต้นใต้ดินเป็นไหล มีรากยึดพื้นดินไว้ ลำต้นเหนือดินคล้ายต้นข้าวขนาดใหญ่ ลำต้นตรงบริเวณระดับน้ำจะบวมพอง ต้นสูงประมาณ 1.00-3.5 เมตร.ใบรูปใบหอกเชิงเส้น ยาว 40- 90 ซม.กว้าง 1.5-3 ซม.ดอกเป็นช่อใหญ่ ยาวประมาณ 30-50 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกเพศเมียสีเขียวอมเหลือง ดอกเพศผู้สีม่วง ดอกเหมือนดอกข้าวผลและเมล็ดมีลักษณะเหมือนเมล็ดข้าว เมล็ดรี สีเหลืองถึงแดง ยาวไม่เกิน2.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดด ร่มเงาปานกลาง ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ อุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ และดินเหนียวหรือดินร่วนที่มีความสามารถในการกักเก็บน้ำ ที่เป็นกรดเล็กน้อย ปลูกได้เฉพาะในดินที่มีน้ำท่วมขังเท่านั้น อุณหภูมิระหว่าง 20 - 30°c ไม่ทนต่อความหนาวเย็น อุณหภูมิสูง และความแห้งแล้ง
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหาร ยา และวัตถุดิบ
-ใช้กิน ใช้เป็นพืชอาหาร กินได้ทั้งต้นและเมล็ดพืช ข้าวป่าแมนจูเรียเป็นเมล็ดพืชที่สำคัญในสมัยโบราณของจีน ผักนี้ปลูกมานานกว่า 2,000 ปี เป็นที่นิยมสำหรับรสชาติและเนื้อนุ่ม รับประทานดิบหรือปรุงสุก รสชาติคล้ายหน่อไม้สด และมันยังคงกรอบเมื่อผัด
-ถูกนำเข้าประเทศไทยเพื่อปลูกสำหรับนำส่วนยอดมารับประทานเป็นอาหาร ส่วนที่บวมพองเนื่องจากมีเชื้อราพวก Ustilago esculenta P. Hennings เข้าไปอาศัยอยู่ จึงทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นบวมพองลักษณะคล้ายหน่อไม้ ครั้งหนึ่งเป็นที่นิยมมาก จึงมีการปลูกเพื่อการค้ากันหลายจังหวัด
-อื่น ๆ ปัจจุบันข้าวป่าแมนจูเรียหายากมากในป่า การนำไปใช้เป็นเมล็ดพืชได้หายไปอย่างสมบูรณ์ในเอเชีย แม้ว่าจะยังคงมีการเพาะปลูกสำหรับลำต้นของมันอยู่ก็ตาม
-ใช้เป็นยา หน่อ ราก และเมล็ด ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาแก้ไข้ มีรสหวานเย็นเล็กน้อยสามารถขจัดความร้อน รักษาความร้อนเรื้อรังและปวดท้อง กระหายน้ำเรื้อรัง ท้องร่วงเรื้อรัง โรคพิษสุราเรื้อรัง ใบใช้เป็นยาชูกำลัง
-การใช้งานอื่นๆ ใบไม้ถูกทอเป็นเสื่อ
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-กันยายนและเมล็ดสุกหลังจากนั้นไม่นาน
ขยายพันธุ์---เมล็ด เหง้า


หญ้าปล้อง/Hymenachne amplexicaulis

Image credits ; http://keyserver.lucidcentral.org/weeds/data/media/Html/hymenachne_amplexicaulis.htm
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hymenachne amplexicaulis (Rudge) Nees.(1829)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms.
---Basionym: Panicum amplexicaule Rudge.(1805)
---Agrostis monostachya Poir.(1810)
---Hymenachne acutigluma (Steud.) Gilliland.(1964)
---Panicum hymenachne Desv.(1831)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-419660
ชื่อสามัญ---West Indian marsh grass, Olive hymenachne, Bamboo grass, Dal grass, Dhal grass, Trumpet grass, Water straw grass.
ชื่ออื่น---หญ้าปล้อง, หญ้าไส้ตะเกียง;[ASSAMESE: Dol-ghanh, Korongadol.];[BOLIVIA: Cañuela blanca, Carrizo chico.];[BRAZIL: Canarana-de-folha-miuda, Capim-capivara.];[CHINESE: Mo fu cao.];[COLOMBIA: Canutillo, Trompetilla.];[CUBA: Camalote.];[INDIA: Bamboo grass, Dal grass.];[PARAGUAY: Chingolo.];[PORTUGUESE: Capim-capivara.];[SPANISH: Camalote, Gramalote, Hierba Lancha, Trompetilla, Yerbalancha.];[SURINAME: Bamboegras.];[THAI: Yaa plong, Yaa sai takieng.].
ชื่อวงศ์---POACEAE (GRAMINEAE)
EPPO Code---HYVAM (Preferred name: Hymenachne amplexicaulis.)
ถิ่นกำเนิด---เขตร้อนของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ หมู่เกาะเวสต์อินดีส
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน อินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ถึงออสเตรเลียตอนบน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hymenachne' มาจากภาษากรีก 'hymen' = "membrane" และ 'achne' = "chaff, glume, scale" ; ชื่อสายพันธุ์ 'amplexicaulis' มาจากภาษาละติน = "embracing the stem" หรือ "stem-clasping"
Hymenachne amplexicaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์หญ้า (Poaceae หรือ Gramineae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Edward Rudge FSA (1763 – 1846) นักพฤกษศาสตร์และนักโบราณคดีชาวอังกฤษ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2372
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโก หมู่เกาะแคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ปลูกและแปลงสัญชาติที่อื่น พบใน อเมริกาเขตร้อน อินเดีย จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ถึงออสเตรเลียตอนบน ขึ้นในน้ำตื้นๆ ตามหนองน้ำที่โล่งแจ้ง หรือตามริมคันนา หรือริมแม่น้ำลำคลองทั่วไป ที่ระดับความสูง 0-1,000 เมตร
ลักษณะ ลำต้นอวบเลื้อยทอดยาวปลายยอดชูตั้งตรง พบว่าลำต้นที่เกิดดอกบางครั้งยาวถึง 2-3.5 เมตร รากเกิดตามข้อของลำต้นที่แก่ ภายในต้น(pith) มีเนื้อเยื่อสีขาวคล้ายฟองน้ำอยู่เต็ม ใบเดี่ยวแผ่นใบเล็กเรียว ยาว 15-30 ซม.กว้าง1-3 ซม.โคนใบมีขนยาว ผิวด้านนอกมีขนสั้นๆ ระหว่างแผ่นใบและกาบใบมีลิ้นใบเป็นเยื่อบางๆ ช่อดอกรูปทรงกระบอกยาว 25-40 ซม. กว้าง 1-3 ซม. กิ่งล่างมักจะอยู่ห่างไกล ตั้งตรง ประกอบด้วยช่อดอกย่อยเล็กๆเรียงเต็มรอบก้านช่อดอก ช่อดอกย่อยยาวประมาณ 5 มม.ประกอบด้วยดอกย่อย 2 ดอก ดอกหนึ่งสมบูรณ์เพศอีกดอกหนึ่งเป็นหมัน ผลเป็นผลแห้งแบบ "caryopsis" พืชวงศ์หญ้าทั่วไป
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัดในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่ง ชอบขึ้นในดินที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำขัง สายพันธุ์นี้เติบโตได้ดีที่สุดภายใต้ระบบน้ำตื้นที่ผันผวนได้ลึกถึง 1.5 เมตร ในพื้นที่ชุ่มน้ำถาวร ประชากรยืนต้นที่มีอายุยืนยาวนานกว่า 20 ปี หากระดับน้ำไม่เกิน 1 เมตร
ใช้ประโยชน์----ใช้เป็นอาหารสัตว์ หรือปล่อยสัตว์แทะเล็ม มีคุณค่าต่อการเลี้ยงโคในระบบทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
-อื่น ๆไส้ภายในลำต้นใช้ทำไส้ตะเกียง หรือนำมาประดิษฐ์เป็นของเล่นสำหรับเด็กได้
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-มิถุนายน/พฤศจิกายน--มกราคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการแตกหน่อและเพาะเมล็ด


ขาเขียด/Monochoria vaginalis

Image credits ; https://www.biolib.cz/cz/image/id307570/                                                                            ชื่อวิทยาศาสตร์---Monochoria vaginalis (Burm.f.) C.Presl ex Kunth.(1827)
ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms.     
---Basionym: Pontederia vaginalis Burm.f.(1768.)
---Gomphima vaginalis Rafin. (1836)
---Monochoria pauciflora Kunth (1843)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-254566
ชื่อสามัญ---Pickerel weed, Heartshape false pickerelweed, Oval-leafed pondweed.
ชื่ออื่น----ขาเขียด, ผักเขียด, ผักอีฮีน, ขากบขาเขียด, เต่าเขียด, นางกวัก, ผักคางไก่, ผักตีนกา;[ASSAMESE: Bhat meteka; Pani-meteka, Bhat-meteka, Bhainsa, Bhainsa-kachu, Kashori.];[BANGLADESH: Panee kachu.];[CAMBPDIA: Chrach.];[CHINESE: Yā shé cǎo.];[INDONESIA: Etjeng padi; Bengok (Java); Keladi agas, Rumput kelawar.];[JAPANESE: Konagi, Ko-nagi.];[KOREA: Mooldalgebi, Mul talk gae bi.];[MALAYALAM: Kakkapola, Karimkovalum, Kolachempu.];[MALAYSIA: Chacha layar, Keladi agas, Kelayar (Malay).];[NEPALI: Piralay.];[PHILIPPINES: Biga-bigaan, Gabi-gabi.];[RUSSIA: Monokhoriya vlagalishchnaya.];[SPANISH: Monocoria.];[TAIWAN: Ya-she-tsau.];[THAI: Ka-kiad, Phak-khait.];[VIETNAM: Rac mác lá thon, Rau Mác Bao, Cỏ Lưỡi Vịt, cây Cùi Dìa.].
ชื่อวงศ์---PONTEDERIACEAE
EPPO Code---MOOVA (Preferred name: Monochoria vaginalis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซียและหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินโดจีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แอฟริกา ออสเตรเลีย แปซิฟิก   
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Monochoria' หมายถึง เกสรตัวเดียวที่แยกจากกัน
Monochoria vaginalis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในตระกูลผักตบชวา (Pontederiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karel Bořivoj Presl (1794–1852) นักพฤกษศาสตร์ชาวเช็ก จากอดีต Carl Sigismund Kunth (1788–1850) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปีพ.ศ.2370
ที่อยู่อาศัย สายพันธุ์นี้ได้รับการบันทึกในเกาหลีและญี่ปุ่นผ่านหมู่เกาะแปซิฟิก (รวมถึงฮาวาย) ไปยังแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และข้ามไปยังอินเดีย เกิดขึ้นได้ในพื้นที่ที่มีฤดูแล้งเด่นชัด และมักพบในบริเวณที่มีแดดจัดในหนองน้ำ หนองบึง ที่เปียกเปิด ตามร่องน้ำ และในนาข้าวที่ถูกน้ำท่วมทุกประเภทเกิดขึ้นที่ระดับความสูง 0-700 เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นตามที่ชื้นแฉะ น้ำขัง หรือตามริมคูน้ำทั่วไป โดยเฉพาะทางภาคเหนือ
ลักษณะ ลำต้นเป็นเหง้าเล็กๆอยู่ใต้ดิน มีรากที่หยั่งลึกลงไปในดิน และระบบรากฝอยสีน้ำตาลแดงจำนวนมาก ลำต้นเหนือดินเป็นกอ มี 5-7ใบ สูง 10-50 ซม.ไม่มีก้าน พืชที่มีอายุมากกว่ามักจะก่อตัวเป็นกอขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน ขนาดและรูปร่างของใบมีความแตกต่างกันอย่างมาก ในต้นอ่อนที่ไม่มีแผ่นใบยาว 2-12.5 ซม. และกว้าง 0.5-10 ซม. ในพืชที่มีอายุค่อนข้างมาก ใบจะลอยตัว เป็นเส้นตรงหรือรูปใบหอก และในพืชที่มีอายุมากกว่า จะมีลักษณะเป็นรูปไข่-รูปขอบขนานถึงรูปรีกว้าง แหลมคมมีโคนรูปหัวใจหรือโคนกลม มันวาว สีเขียวเข้ม และมีเส้นตามยาว ก้านใบจะนิ่มและกลวง ปกติจะมีความยาวน้อยกว่า 30 ซม. และจะโตจากตาที่โคน กาบใบบิดเข้าหากันที่โคนและมีสีแดงเล็กน้อยเมื่ออายุยังน้อย ช่อดอกมีลักษณะดอกเดี่ยว ยาว 3-6 ซม. ฐานตรงข้ามกับฝักของใบดอก มีกาบขนาดใหญ่ที่เกิดจากมัดหนาบนก้านใบ ประมาณสองในสามของทางขึ้นก้านจากโคน ดอกมีก้านดอก กะเทย choripetalous ใน racemes แรกเริ่มภายในฝักของใบยอดและกลับคืนหลังจาก anthesis ดอกมีตั้งแต่ 3-25 ดอก และเปิดพร้อมกันหรือจากบนลงล่างติดต่อกันอย่างรวดเร็ว มีกลีบดอกสีม่วงหรือม่วง 6 กลีบ ซึ่งจะบานเมื่อออกดอกและต่อมาบิดเป็นเกลียว ก้านดอกยาว 4-25 มม. และก้านยาว 11-15 มม. เกสรเพศผู้ จำนวน 6 อัน อันหนึ่งมีฟันตั้งตรงเฉียงด้านข้าง รังไข่มีลักษณะยาว และแคปซูลขนาดประมาณ 1 ซม.เมื่อแก่จะแตกออกเป็น 3 ซีก ตามความยาวของผล มีเมล็ดจำนวนมาก รูปขอบขนาน เมล็ด มียาง มีลายขวางระหว่างซี่โครง ขนาด 0.6 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินชื้นแฉะหรือน้ำขัง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ทุกส่วน ยกเว้นราก ปรุงและกินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา ในท้องถิ่น รากใช้รักษาโรคกระเพาะ ตับและปวดฟัน ใบนำมาคั้นน้ำรับประทาน แก้ไอ ขับปัสสาวะ ตำพอกฝี หรือรับประทานใบสดจะมีสรรพคุณ ช่วยลดความร้อนในร่างกาย
-อื่น ๆนอกจากนี้ยังใช้เป็นอาหารสัตว์ และทำทำปุ๋ยหมัก
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม--พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---โดยใช้รากและเมล็ด


ขาเขียดน้ำเค็ม/Ceratopteris thalictroides


ชื่อวิทยาศาสตร์---Ceratopteris thalictroides (L.) Brongn.(1821)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Basionym: Acrostichum thalictroides L.(1753)   
---Acrostichum siliquosum L.(1753)                 
---Ceratopteris siliquosa (L.) Copel.(1935)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-26600076
ชื่อสามัญ---Pod Fern, Swamp Fern, Floating Fern, Horn Fern, Watersprite, Oriental Waterfern, Indian Fern.
ชื่ออื่น---ขาเขียดน้ำเค็ม, ผักขาเขียด, ผักกูดน้ำ, ผักกูดนา, กูดเขากวาง, กูดเพา;[CHINESE: Shuǐ jué.];[DUTCH: Eikenbladvaren, Sumatra-varen.];[FRENCH: Fougère de Sumatra, Fougère filigrane.];[GERMAN: Wasserhornfarn.];[ITALIAN: Felce acquatica cornuta, Felce indiana.];[JAPANESE: Mizuwarabi.];[KOREA: Mul go sa ri.];[PORTUGUESE: Samambaia-de-água.];[RUSSIA: Paporotnik indiyskiy vodyanoy.];[SPANISH: Helecho de Sumatra.];[SWEDISH: Sumatraormbunke, Smal vattenbräken.];[THAI: Khaa khiead nam khem, Phak khaa khiead, Phak koot nam, Phak koot naa, Koot khao kwang, Koot phao.].
ชื่อวงศ์---PTERIDACEAE
EPPO Code---CESTH (Preferred name: Ceratopteris thalictroides.)
ถิ่นกำเนิด---ประเทศในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน
เขตกระจายพันธุ์---พบทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนทั้งในทวีปอเมริกา แอฟริกา มาดากัสการ์ เอเชีย ออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก
Ceratopteris thalictroides เป็นเฟินในสกุล Ceratopteris ซึ่งเป็นหนึ่งในสองสกุลของวงศ์ ย่อย Ceratopteridoideae ซึ่งอยู่ในวงศ์ Pteridaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Adolphe Theodore Brongniart (1801 - 1876) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2364
มี 2 ชนิดย่อย (Subspecies);-
---Ceratopteris thalictroides subsp. gaudichaudii (Brongn.) Fraser-Jenk. & Pariyar.(2015)
---Ceratopteris thalictroides subsp. thalictroides.(2010)
ที่อยู่อาศัย พบในเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย (สุมาตรา มาลายา สุลาเวสี ฟิลิปปินส์) จีน ญี่ปุ่น เกาหลี แอฟริกาเขตร้อนตะวันออก มาดากัสการ์ สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ บราซิลตะวันออก) ออสเตรเลีย ตามที่ชื้นแฉะ ที่น้ำขัง ริมน้ำ ในนาข้าวและในคูน้ำนิ่ง ที่ระดับความสูง 50 - 450 เมตร
ลักษณะ เป็นเฟินอายุปีเดียว ลำต้นอ้วนสั้นใบมี 3 ลักษณะคือ ใบที่สืบพันธุ์ไม่ได้ ลักษณะเป็นใบประกอบแบบขนนกที่มีใบย่อยเป็นแผ่น ขอบใบหยักเว้า ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นใบสืบพันธุ์ได้เป็นใบประกอบแบบขนนกเหมือนกัน แต่ใบย่อยแตกเป็นระยางแบบเขากวาง ใบชนิดที่ 3 เป็นใบเดี่ยว ใบจะแผ่เป็นแผ่น ขอบใบหยักเว้าแบบขนนกสืบพันธุ์ไม่ได้คือไม่สร้างสปอร์ ใบชนิดนี้จะพบในต้นที่เจริญอยู่ใต้น้ำ ใบทั้งสามแบบนี้จะพบในต้นเดียวกัน หรือแยกต้นก็ได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบขึ้นในที่ชุ่มชื้นบริเวณชายน้ำหรือที่ระดับน้ำตื้นๆ เมื่่อระดับน้ำสูงขึ้นก็สามารถปรับตัวเจริญอยู่ใต้น้ำได้ดีโดยรากจะยึดติดกับพื้นดินใต้น้ำ ชอบขึ้นในดินโคลน เจริญได้ดีในน้ำอ่อนและค่อนข้างเป็นกรดเล็กน้อย pH ของน้ำ 5-6.5 อุณภูมิ 24-30 องศาC  
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เฟินชนิดนี้นำมารับประทานเป็นอาหารได้ ส่วนเหนือดินนำไปต้มกับกะทิแล้วจิ้มน้ำพริก
-ใช้เป็นยา ระบบยาที่ใช้ใน ยาพื้นบ้าน ยาจีนโบราณ ใบและก้านใช้เป็นยาได้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากความเสื่อมโทรมของแหล่งที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการแพร่กระจายและการเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ภัยคุกคามจึงไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชากรทั้งหมด ไดรับการประเมินล่าสุดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2011)
ระยะออกดอก/ติดผล---
ขยายพันธุ์---ใช้สปอร์หรือใช้เหง้า


แหล่งที่มา-อ้างอิง

---หนังสือ "พรรณไม้น้ำในประเทศไทย" รอง ศาสตราจารย์ คุณหญิงสุชาดา ศรีเพ็ญ บ.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด, 2542

---หนังสือ "ป่าชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้" สรายุทธ บุณยะเวชชีวิน, รุ่งสุริยา บัวสาลี บ.อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน) 2554

---พรชัย เหลืองอาภาพงศ์. 2540. วัชพืชศาสตร์. โรงพิมพ์ลินคอร์น, กรุงเทพฯ.

---ศัตรูพืชในประเทศไทย (Plant pest in Thailand) http://ippc.acfs.go.th/pest/

---สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) http://www.dnp.go.th/botany/index.aspx

---Cyperus pilosus - IUCN Red List http://www.iucnredlist.org/details/177175/0

---ประวิทย์ สุรนีรนาถ. พรรณไม้น้ำในประเทศไทย. กองประมงน้ำจืด กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. URL:http://www.ku.ac.th/fish/mfish.html/aqplant/aqpindex.html

---กรมการข้าว. 2556. องค์ความรู้เรื่องข้าว: วัชพืชในนาข้าว: กกหัวแดง. URL:www. http://brrd.in.th/rkb/weed/index.php-file=content.php&id=7.htm

---ศูนย์รวมข้อมูลสิ่งมีชีวิตในประเทศไทย. 2555" Typha angustifolia L.ธูปฤาษี URL: http://www.thaibiodiversity.org/

---เต็ม สมิตินันทน์. 2557. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. สำนักงานหอพรรณไม้ กรมอุทธยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช. โรงพิมพ์พุทธศาสนาแห่งชาติ. กรุงเทพ.http://www.dnp.go.th/botany/

---ผักหนาม/https://medthai.com/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1/

---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden OrganizationOrganization http://www.qsbg.org/database/botanic_book%20full%20option/search_page.asp

---หญ้าปล้อง/สารานุกรมพืชในประเทศไทย (ฉบับย่อ) http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?words=%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87&genus=Sacciolepis&species=interrupta&author=(Willd.)%20Stapf

---หญ้าปล้อง/ชื่อพ้อง,ชื่อสามัญ,ถิ่นกำเนิด http://www.fleppc.org/ID_book/Hymenachne%20amplexicaulis.pdf

---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/



Check for more information on the species:


Plants Database Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/
Global Plant Initiative Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
Tropicos Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/
GBIF Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/
IPNI International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/
EOL Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/
PROTA    Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040
Prelude Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google Images Images

รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V

รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ

บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด

สวนเทวา  เชียงใหม่

www.suansavarose.com

www.suan theva.com

---1/8/2008

---14/8/2012

---8/8/2017

---Up date--6/1/2018

---23/6/18


  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view