สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 08/11/2024
สถิติผู้เข้าชม 55,496,238
Page Views 62,325,846
 
« November 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 1

ต้นไม้ใหญ่ยืนต้น 1

ไม้ใหญ่ยืนต้น 1

" หว่านพืชไว้แต่อดีตกาล
เป็นต้นไม้สูงตระหง่านโตใหญ่
หว่านพืชลง ณ บัดนี้ไซร้
มิทันไรเป็นต้นไม้ที่เติบโต "

หม่อมเจ้าหญิงพิจิตรจิราภา เทวกุล แปลจากไดกุ บทหนึ่งของท่าน เมธี มิโนมิยา พ.ศ.๒๔๘๑


ความ รู้ที่ได้จากหนังสือต่างๆที่ท่านคณาจารย์ได้เรียบเรียงขึ้นมา และนำมาที่นี้ มิได้มีเจตนาอื่นใด
นอกจากต้องการสื่อความรักความใส่ใจ ในต้นไม้ ให้กับท่านผู้ใคร่รู้
อาจตัดทอนหรือเรียบเรียงใหม่จากประสบการณ์ของตนเองบ้าง เพื่อให้สื่อได้แต่ก็แค่พื้นๆ
จึงได้พยายามรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับต้นไม้เอาไว้ ไม่ได้นำมาเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือใดๆทั้งสิ้น
เจตนาเพียง หากท่านเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง อาจเหยียบย่ำหรือเดินผ่านเลยไปโดยไม่สนใจ แต่ถ้ารู้จัก
และรู้ถึงคุณค่าของต้นไม้ต้นนั้น ท่านอาจจะหยุดคิด และพิจารณา หรือเพื่อเก็บรักษาต่อไป
หวังว่าประโยชน์นั้นพึงจะเกิดขึ้นกับ ผู้ที่สนใจใคร่รู้ทั่วไป

และต้องขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่าน ผู้เขียนหนังสือทุกเล่ม ไว้ ณ.ที่นี้ด้วยความเคารพอย่างสูงสุด

เรื่อง ราวของไม้ใหญ่ยืนต้นที่นิยมนำมาใช้ในการจัดสวน
ปลูกประดับและให้ร่มเงา รวมถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ ในบทนี้ ที่บางต้นมี บางต้นก็ไม่มี รวบรวมมานาๆเรื่อง ดังนี้
เรียงตามลำดับต่อๆไป

For information only-the plant is not for sale

1 ราชพฤกษ์/Cassia fistula  16 ทองกวาวดอกเหลือง/Butea monosperma
2 กัลปพฤกษ์/Cassia  bakeriana. 17 ปีบ/Millingtonia hortensis
3 กาฬพฤกษ์/Cassia grandis 18 ปีบทอง/Radermachera ignea
4 ชัยพฤกษ์/Cassia javanica  19 ประดู่ป่า/Pterocarpus macrocarpus
5 รัตนพฤกษ์/Cassia fistula x Cassia javanica 20 ประดู่บ้าน/Pterocarpus indicus 
6 ราชายตนพฤกษ์/Manikara hexandra 21
ประดู่แดง/Phyllocarpus septentrionalis
7 สุวรรณพฤกษ์/Cordia dentata 22 พญาสัตบรรณ/Alstonia scholaris
8 พฤกษ์/Albizia lebbeck 23 ตีนเป็ดน้ำ/Cerbera odollam
9 จามจุรี/Samanea saman 24 ตีนเป็ดทราย/Cerbera manghas
10 ถ่อน/Albizia procera 25 ตีนเป็ดแดง/Dyera costulata
11 แคแสด/spathodea campanulata 26 บุหงาตันหยง/Caesalpinia coriaria
12 นนทรี/Peltophorum pterocarpum 27 สุพรรณิการ์/Cochlospermum religiosum
13 อะราง/Peltophorum dasyrachis 28 สุพรรณิการ์ดอกซ้อน/Cochlospermum regium
14 ทองหลางลาย/Erythrina variegata 29 สาละลังกา/Couroupita guianensis
15 ทองกวาว/Butea monosperma 30 สาละอินเดีย/Shorea robusta
31

ศรีตรัง/Jacaranda filicifolia

EPPO code---รหัส EPPO คือ รหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int

Pronunciation of Latin names https://davesgarden.com/guides/pf/go/2404/

https://www.iucnredlist.org/

1 สูญพันธุ์ (EX) การกำหนดที่ใช้กับสปีชีส์ที่บุคคลสุดท้ายเสียชีวิตหรือการสำรวจอย่างเป็นระบบและตามเวลาที่เหมาะสมไม่สามารถบันทึกได้แม้แต่บุคคลเดียว
2 Extinct in the Wild (EW) หมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่สมาชิกอยู่รอดได้เฉพาะในกรงขังหรือเป็นประชากรที่ได้รับการสนับสนุนเทียมซึ่งอยู่นอกขอบเขตทางภูมิศาสตร์ในอดีต
3 ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต (CR) ซึ่งเป็นประเภทที่มีสิ่งมีชีวิตที่มีความเสี่ยงสูงอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 80 ถึงมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ปัจจุบันขนาดของประชากรน้อยลง กว่า 50 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ
4 ใกล้สูญพันธุ์ (EN) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากจำนวนประชากรที่ลดลงอย่างรวดเร็วจาก 50 ถึงมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า 250 บุคคลหรือปัจจัยอื่น ๆ
5 เปราะบาง (VU) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ประกอบด้วยสปีชีส์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์อันเป็นผลมาจากการลดลงอย่างรวดเร็วของประชากร 30 ถึงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (หรือสามชั่วอายุคน) ขนาดประชากรปัจจุบันน้อยกว่า จำนวน 1,000 บุคคล หรือปัจจัยอื่นๆ
6 Near Threatened (NT) เป็นชื่อที่ใช้กับชนิดพันธุ์ที่ใกล้จะถูกคุกคามหรืออาจเข้าเกณฑ์สำหรับสถานะถูกคุกคามในอนาคตอันใกล้
7 ความกังวลน้อยที่สุด (LC) หมวดหมู่ที่มีสายพันธุ์ที่แพร่หลายและอุดมสมบูรณ์หลังจากการประเมินอย่างรอบคอบ
8 Data Deficient (DD) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ใช้กับสปีชีส์ซึ่งจำนวนข้อมูลที่มีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จึงไม่สามารถดำเนินการประเมินได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงไม่เหมือนกับหมวดหมู่อื่นๆ ในรายการนี้ หมวดหมู่นี้ไม่ได้อธิบายถึงสถานะการอนุรักษ์ของสปีชีส์
9 ไม่ได้รับการประเมิน (NE) ซึ่งเป็นหมวดหมู่ที่ใช้รวมสัตว์เกือบ 1.9 ล้านชนิดที่อธิบายโดยวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้รับการประเมินโดย IUCN

Version 3.1: สภา IUCN ได้นำเวอร์ชันล่าสุดนี้มาใช้ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันเป็นผลมาจากความคิดเห็นของสมาชิก IUCN และ SSC และจากการประชุมครั้งสุดท้ายของคณะทำงานพิจารณาหลักเกณฑ์ฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543

Version 2.3: IUCN (1994)
สภา IUCN นำเวอร์ชันนี้มาใช้ ซึ่งรวมการเปลี่ยนแปลงไว้ด้วย ความคิดเห็นของสมาชิก IUCN ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 ฉบับเริ่มต้นของเอกสารนี้เผยแพร่โดยไม่มีรายละเอียดทางบรรณานุกรมที่จำเป็นเช่นวันที่เผยแพร่และหมายเลข ISBN แต่รวมอยู่ในพิมพ์ซ้ำในปี 2541 และ 2542 รุ่นนี้ใช้สำหรับปี 2539 IUCN Red List of Threatened Animals (Baillie and Groombridge 1996), TheWorld List of Threatened Trees (Oldfield et al. 1998) และ 2000 IUCN Red List of Threatened Species (Hilton-Taylor 2000)


1 ราชพฤกษ์/Cassia fistula

[KASS-ee-uh] [FIST-yoo-luh]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cassia fistula L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Bactrilobium fistula (L.) Willd. (1809)
---Cathartocarpus fistula (L.) Pers.(1805)
---(More).See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:484507-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Golden Shower, Indian laburnum, Cassia stick tree, Golden pipe tree, Golden rain, Golden shower, Pudding-pipe tree, Purging cassia, Purging fistula
ชื่ออื่น---กุเพยะ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); คูน (ภาคกลาง, ภาคเหนือ); ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์ (ภาคกลาง); ปือยู, ปูโย, เปอโซ, แมะหล่าหยู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ราชพริก (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); ลมแล้ง (ภาคเหนือ); ลักเคยลักเกลือ (ภาคใต้); [ASSAMESE: Sonaru, Sonalu.];[BENGALI: Sonali, Bandaralathi.];[BOLIVIA: Llluvia de oro.];[BURMESE: Ngu shway war pain.];[CAMBODIA: Reach, Reach speu, Reach chhpoeus.];[CHINESE: La chang shu, Guo mai long lang.];[FRENCH: Fistul-kassie, Xâton casse, Canéficer, Casse doux, Casse fistuleuse.];[GERMAN: Röhrenkassie.];[HAITI: Baton casse, Casse, Casse espagnole.];[HINDI: Swarn-pushpi, Amaltas, Amaltash.];[INDONESIA: Tengguli, Keyok (Java); Bobondelan (Sundanese); Klobop (Madurese); Kayu raja.];[ITALIAN: Cassia in bastoni.];[JAPANESE: Nbansaikachi.];[KANNADA: Kakke.];[LAOS: Khoun (general).];[MALAYALAM: Kanikkonna, Konna.];[MALAYSIA: Bereksa, Rajah kayu, Tengguli.];[MARATHI: Bahava.];[PHILIPPINES: Ibabau, Kana-pistula, Kanya pistula, Lapad-lapad, Lombayong.];[PORTUGUESE: Cassia officinal, Cana fístula, Cássia fistula, Meduro.];[SANSKRIT: Argwadha, Rajtaru, Saraphala, Survanaka.];[SAUDI ARABIA: Arabadha.];[SPANISH: Canafistula, Canafistula mansa, Canapistola.];[SRI LANKA: Aehaela-gaha, Ahalla, Ahalla-gass, Konnai, Sarak-konne, Tiru kontai.];[SWEDISH: Rörkassia.];[TAMIL: Sarakkonnai, Konrai, Konnei, Sarakonnai.];[THAI: Ku-phe-ya (Karen-Kanchanaburi); Khuun (Central, Northern); Chaiya phruek, Ratcha phruek (Central); Mae-la-yu, Pue-yu, Pu-yo, Poe-so (Karen-Mae Hong Son); Ratcha phrik (Southeastern); Lom laeng (Northern); Lak khoei lak kluea (Peninsular).];[URDU : Amaltās.];[VIETNAM: Bo-cap nuóc, Muồng hoàng yến.].;[Trade name: Indian laburnum; rajbrikh.]
EPPO Code --- CASFI (Preferred name: Cassia fistula.)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา มหาสมุทรอินเดีย มหาสมุทรแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cassia' มาจากคำภาษาฮีบรูโบราณ "quetsi'oth" และถูกใช้ครั้งแรกโดย Dioscorides แพทย์ในสมัยกรีก โบราณ (ค.ศ. 40–90) Linnaeus หรือที่รู้จักกันในนามบิดาแห่งอนุกรมวิธาน เป็นคนแรกที่ใช้ Cassia เพื่อแสดงถึงสมาชิกของสกุลนี้ ; ; ชื่อเฉพาะคือชื่อละติน “fistula” = หลอด โดยอ้างอิงถึงรูปร่างของผล
Cassia fistula เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย ศรีลังกาและพม่า กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของเอเชียใต้หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนนี้สายพันธุ์ได้แพร่หลายในแอฟริกาตะวันออกและหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ( Bosch, 2007 ) หมู่เกาะอินเดียตะวันตก ได้รับการแปลงสัญชาติในเปอร์โตริโกและบางส่วนของหมู่เกาะเวอร์จิน ได้รับการปลูกบนเกาะ Nuku Hiva, Marquesas ในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นต้นไม้ในป่าที่พบได้ทั่วไปซึ่งมักเกิดขึ้นในหลากหลายที่อยู่อาศัย มักจะพบในป่าผลัดใบ เนินเขาและในทุ่งหญ้า ที่ระดับความสูง0-1500 เมตร
ในประเทศไทยขึ้นได้ในทุกภาคตามป่าเบญจพรรณหรือป่าแดงทั่วไป แต่พบมากทางภาคเหนือ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูง 10-15 เมตร เปลือกต้นเรียบเกลี้ยงสีเทาอ่อน ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 7-12 คู่ ขนาดของใบย่อย 3.5x5.5 ซม.ช่อดอกออกตามกิ่งข้างและห้อยลง ช่อดอกโปร่งยาว 20-45ซม.กลีบดอกสีเหลืองสด หรือเหลืองแกมเขียว ผลเป็นฝักรูปแท่งกลม ยาว 20-60 ซม.ผิวเกลี้ยง ฝักอ่อนสีเขียว ฝักแก่สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ภายในฝักจะมีผนังเยื่อบางๆกั้นเป็นช่องๆตามแนวขวางของฝัก ตามช่องเหล่านี้จะมีเมล็ดมนแบนสีน้ำตาลเป็นมันจำนวนมาก (25-100 เมล็ด) เมล็ดรูปรียาว 8-9 มม.
ขัอกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้อย่างกว้างขวางในประเทศเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และเขตอบอุ่นแบบชายขอบ อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 18 - 29°C โดยสามารถทนต่อค่าอุณหภูมิต่ำสุดได้ -3 °C ในช่วงสั้น ๆ (USDA Zone 9b-11) ตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ต้องการดินร่วนปนทรายที่อุดมสมบูรณ์ปานกลาง ดินมีค่า pH 5.5 - 8.7 ,uอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ใช้หญ้าคลุมดินโดยเฉพาะในฤดูร้อนเพื่อไม่ให้ดินแห้ง
การตัดแต่งกิ่ง---เปิดกิ่งก้านออก โดยต้องการให้กิ่งทั้งหมดในต้นได้รับแสงแดด เต็มที่ กำจัดกิ่งที่ตาย เป็นโรค หรือเสียหาย รวมถึงกิ่งที่ขวางหรือเสียดสีกัน ตัดแต่งกิ่งปีละครั้งหลังดอกบานหรือหลังออกผล
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละสองครั้งด้วยปุ๋ยที่สมดุลเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ศัตรูธรรมชาติคือ เชื้อรา พืชกาฝาก เพลี้ยอ่อนและแมลง
รู้จักอ้นตราย---ทุกส่วนของพืชเป็นพิษหากกินเข้าไป โดยเฉพาะเมล็ดพืช
- แม้ว่าจะเป็นพืชตระกูลถั่ว แต่รากของสายพันธุ์นี้ขาดความสามารถในการยึดเกาะและไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศได้
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้มีประวัติการใช้เป็นยามายาวนานตั้งแต่สมัยโบราณและยังคงใช้กันทั่วไปในการแพทย์แผนปัจจุบัน เป็นไม้ที่มีประโยชน์ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในระดับท้องถิ่น ไม่ได้มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายในเชิงพาณิชย์
-ใช้เป็นยา ถูกใช้เป็นยามาตั้งแต่โบราณโดยแพทย์อาหรับและกรีก มีการใช้เนื้อไม้ ราก เปลือก เมล็ด ใบและเยื่อจากฝักสุก ใช้ในการเยียวยาพื้นบ้านสำหรับเนื้องอกในช่องท้อง, ต่อม, ตับ, กระเพาะอาหารและลำคอ, และเป็นยาระบายอ่อน ๆ ที่ได้จากเยื่อหุ้มรอบ ๆ เมล็ด ในบราซิล แทนซาเนีย ซิมบับเวและโมซัมบิกใช้ฝักเพื่อรักษามาลาเรีย ในอินเดียมีการใช้รากเพื่อรักษาไข้
มีการศึกษาทางเภสัชวิทยาได้แสดงให้เห็นว่าC. fistula มีฤทธิ์ต้านจุลชีพและคุณสมบัติที่สำคัญซึ่งสนับสนุนการใช้ยาพื้นบ้านในการรักษาโรคและยาแผนโบราณ (Kumar et al., 2006 )-สารสกัดจากใบและดอกไม้ บางชนิดมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่สำคัญและกิจกรรมทางเภสัชวิทยาที่มีค่าอื่น ๆและถูกนำมาใช้ในตำรับยาเอเชียใต้แบบดั้งเดิม ( Gobianand et al., 2010 ; Voon et al., 2012 )
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับอย่างกว้างขวางในฮ่องกงและทั่วประเทศในเอเชีย  
-ใช้อื่นๆ เปลือกไม้ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุฟอกหนัง  ขี้เถ้าไม้ ถูกใช้เป็นมอร์แดนท์ในการย้อมสีในปากีสถาน ในเบงกอลเยื่อของฝักจะถูกใช้เพื่อแต่งกลิ่นยาสูบ เนื้อไม้หนักและแข็ง ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ อุปกรณ์การเกษตร และงานแกะสลัก                              -ดอกไม้ใช้ในพิธีทางศาสนาในอินเดียและบังคลาเทศ ต้นไม้และดอกเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยและเป็นดอกไม้ประจำรัฐเกรละ
ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคลนามที่คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดที่ปลูกต้นราชพฤกษ์ไว้เป็นไม้ประจำบ้านจะช่วยให้มีเกียรติและศักดิ์ศรี สาเหตุเพราะคนให้การยอมรับว่าต้นราชพฤกษ์เป็นไม้ที่มีคุณค่าสูงและยังเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยอีกด้วยและยังเชื่อว่าจะทำให้ผู้อยู่อาศัยนั้นเจริญรุ่งเรือง โดยจะนิยมปลูกต้นราชพฤกษ์ในวันเสาร์และปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน บัญชีแดงของสปีชีส์ที่ถูกคุกคามของ IUCNในปี 2018 Cassia fistula ถูกระบุว่า 'มีความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2018. Cassia fistula. The IUCN Red List of Threatened Species 2018: e.T136142327A136142329. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T136142327A136142329.en.  เข้าถึงเมื่อ 20 ตุลาคม 2566
ระยะออกดอก/ติดผล--- ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนพฤษภาคม การออกดอกจะต่อเนื่องนานถึง 3 เดือน
ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด อายุการงอกของเมล็ดอยู่ได้ถึง1ปี
- ควรแช่เมล็ดในน้ำไว้ 1 วัน ในดินร่วนทรายคงความชื้นที่อุณหภูมิ 24-26°C ระยะเวลางอก 2-4 สัปดาห์
- มีการเจริญเติบโตช้า โดยทั่วไปใช้เวลา 8 - 10 ปีตั้งแต่ปลูกจนถึง ออกดอก ช่วงเวลานี้สามารถลดลงได้โดยการตอนกิ่ง

2 กัลปพฤกษ์/Cassia  bakeriana.

[KASS-ee-uh] [baker-ee-AH-na]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cassia bakeriana Craib.1911
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://www.gbif.org/species/5357132
---Basionym: Cassia bakerana Craib.https://species.wikimedia.org/wiki/Cassia_bakeriana
ชื่อสามัญ ---Pink cassia, Pink Shower, Wishing Tree, Baker's shower tree, Dwarf apple blossom tree, Peach blossom cassia.
ชื่ออื่น---กัลปพฤกษ์ (ภาคกลาง, ภาคเหนือ); กานล์ (เขมร-สุรินทร์); กาลพฤกษ์ (ภาคกลาง); ชัยพฤกษ์ (ภาคเหนือ) ;[HINDI: Kalapa Priksha.];[JAPANESE: Nyoi.];[THAI: Kanlapa phruek (Central, Northern); Kan (Khmer-Surin); Kanla phruek (Central); Chaiya phruek (Northern).].  
EPPO Code--- CASBK (Preferred name: Cassia bakerana)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-จีน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ไทย, มาเลเซีย, พม่า, มอริเชียส, สหรัฐอเมริกาและหมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cassia' มาจากคำภาษาฮีบรูโบราณ "quetsi'oth" และถูกใช้ครั้งแรกโดย Dioscorides แพทย์ในสมัยกรีก โบราณ (ค.ศ. 40–90) Linnaeus หรือที่รู้จักกันในนามบิดาแห่งอนุกรมวิธาน เป็นคนแรกที่ใช้ Cassia เพื่อแสดงถึงสมาชิกของสกุลนี้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'bakeriana' เพื่อเป็นเกียรติแก่ John Gilbert Baker นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษหรือ George Percival Baker (1856-1951) นักพืชสวนชาวอังกฤษ
Cassia bakeriana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2454


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและพม่าแต่เป็นไม้ประดับที่ปลูกไม่เพียงแต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (โดยเฉพาะมาเลเซียและนิวกินี) แต่บางครั้งในพื้นที่อื่นที่มีสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนเช่นฟลอริดาหรือฟิจิ ในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติมันเป็นส่วนหนึ่งของป่าผลัดใบตามฤดูกาลเขตร้อน ที่ระดับความสูงตั้งแต่ (200-) 500-1,500 เมตร.ในประเทศไทย พบตามป่าเบญจพรรณ ตามป่าเต็งรังเกือบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ที่ระดับความสูง 300-1,000 เมตร.
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูง 5- 12 เมตร เปลือกสีเทาเรือนยอดแผ่กว้าง ทุกส่วนมีขนคลุมหนาแน่น ใบเป็นใบประกอบเป็นช่อยาวประมาณ 35 ซม.มีใบย่อย 5-7 คู่ ขนาด กว้าง1.5-3 ซม.ยาว 6-8 ซม.ใบย่อยมีขนนุ่มทั้งหน้าใบและหลังใบก้านใบย่อย สั้นมากยาวเพียง 2 มม.ดอกเป็นช่อไม่แตกแขนงมักจะออกหลังใบ ออกตามกิ่งก้านตลอดกิ่ง อาจห้อยลงเป็นพวง หรือชูช่อตั้งขึ้น ช่อดอกยาว 10-20 ซม.ก้านดอกยาวประมาณ 6 ซม.กลีบดอกสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นจางจนเกือบขาว ระยะนี้บริเวณโคนต้นจะเต็มไปด้วยกลีบดอกสีขาวที่ทยอยร่วงหล่นจากต้น กลีบรองกลีบดอกยาว 9-12 มม. กลีบดอกแยกจากกันเป็นอิสระแต่ละกลีบมีขนาดเกือบ เท่ากัน เป็นรูปไข่ ขนาดกว้าง 1.2-2.5 ซม.ยาว 3.5-4.5 ซม. ปกคลุมด้วยขนละเอียดบางๆทั้งสองด้าน เกสรเพศผู้ 3 อันยาวกว่าอันอื่นๆ ก้านเกสรตรงกลางพองออก จะออกดอกหลังผลัดใบพร้อมกับผลิใบใหม่ผล เป็นฝัก ฝักแก่สีน้ำตาลเข้มและมีขนนุ่มปกคลุม ฝักยาว 30-40 ซมและมีผนังหยุ่นกั้น ลักษณะกลมแบนสีน้ำตาล มี 30-40 เมล็ด เมล็ดค่อนข้างกลม สีน้ำตาลเป็นมัน รูปไข่ รูปรี ถึงรูปขอบขนาน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone  9a - 10b.) ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี  pH 6.6-7.5 อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง พืชชนิดนี้ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ทนแล้งได้เมื่อโตเต็มวัย
การตัดแต่งกิ่ง---จำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งเพียงเล็กน้อย สามารถตัดแต่งทรงได้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมหรือเมษายน Cassia bakeriana มีกิ่งก้านยืดหยุ่นเพื่อทนต่อลมแรงมีความต้านทานต่อการแตกหักได้ดีกว่า ในสภาพอากาศแบบเขตร้อนที่มีลมแรง นี่เป็นสิ่งสำคัญ
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ ผสมกระดูกป่นจะช่วยเพิ่มการบานสูงสุด
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชแมลงหรือโรคร้ายแรง/โรคราน้ำค้างและโรคใบจุดอาจเกิดขึ้นบ้าง
รู้จักอ้นตราย---Unknown

 

การใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา แทน C. fistula สำหรับการรักษาอาการท้องผูก, อาการจุกเสียด, และทางเดินปัสสาวะ เป็นหนึ่งในส่วนผสมในอายุรเวทและยาแผนโบราณ อื่น ๆ
ใช้เป็นไม้ประดับ---ขณะออกดอก ดอกบานใหม่จะเป็นสีชมพูและค่อยจางเป็นสีขาว ใกล้โรย  ดอกจะติดกันหนาแน่นตลอดทั่วทุกกิ่งก้านมองสะพรั่งสวยงามมีค่าประดับมากมักจะปลูกริมถนนและในสวนสาธารณะ
ใช้อื่น ๆ---ไม้เนื้อแข็ง ใช้สำหรับการก่อสร้างทั่วไปและทำเฟอร์นิเจอร์ เปลือกใช้สำหรับฟอกหนังในอุตสาหกรรมแปรรูปหนัง
ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นต้นไม้สำคัญในความเชื่อโบราณ ที่กล่าวถึงว่าเป็นต้นไม้สารพัดนึก เป็นต้นไม้ที่ทำให้ผู้ที่ปรารถนาจะได้สิ่งใดก็จะได้รับสิ่งนั้น ปราศจากเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ และภยันตรายทั้งปวง
- ต้นกัลปพฤกษ์ตามคติอินเดีย ถือเป็นไม้ 1ใน 5 ของไม้สวรรค์ ฉนั้นจะปลูกเพื่อความเป็นสิริมงคล ถือเป็นไม้มงคลนามหมายถึง สัญลักษณ์แห่งชัยชนะ ในสมัยสุโขทัยจะใช้ดอกกัลปพฤกษ์บูชาพระ  
- ต้นกัลปพฤกษ์ยังเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดขอนแก่น
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/เมษายน-มิถุนายน (ฤดูบานยาวประมาณ 5-8 สัปดาห์)
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ


3 กาฬพฤกษ์/Cassia grandis

[KASS-ee-uh] [GRAN-dees]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cassia grandis L.f.1782
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms.
---Bactyrilobium grande (L.f.) Hornem. (1813)
---Cathartocarpus grandis (L.f.) Pers. (1805)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:484607-1
ชื่อสามัญ---Horse Cassia, Pink Shower, Appleblossom cassia, Coral shower, Liquorice tree
ชื่ออื่น---กาฬพฤกษ์ (กรุงเทพฯ); [BELIZE: Beef wood, Bookoot, Bookut, Stinking toe.];[CAMBODIA: Kreete, Sac phle.];[FRENCH: Bâton casse, Casse du Brésil, Cassie à gros fruits.];[GERMAN: Kassie, Grossfrüchtige.];[HAITI: Casse, Casse espagnole.];[ITALIAN: Cassia a grandi fruti.];[LAOS: Brai xiem, May khoum.];[MALAYSIA: Kotek, Kotek mamak.];[PANAMA: Cana fistula.];[SPANISH: Arbol de fuego, Cañadonga, Cañafistula, Capote, Carámano, Carao, Sandal, Sándalo.];[SWEDISH: Rosenkassia.];[THAI: Kanla phruek (Bangkok).];[VIETNAM: Ô môi .];[TRADE NAME: Carao, Pink shower.].
EPPO Code--- CASGR (Preferred name: Cassia grandis)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด----ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---บราซิล โบลิเวียและเปรูทางเหนือไปยังทะเลแคริบเบียนและผ่านอเมริกากลางถึงเม็กซิโก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cassia' มาจากคำภาษาฮีบรูโบราณ "quetsi'oth" และถูกใช้ครั้งแรกโดย Dioscorides แพทย์ในสมัยกรีกโบราณ (ค.ศ. 40–90) Linnaeus หรือที่รู้จักกันในนามบิดาแห่งอนุกรมวิธาน เป็นคนแรกที่ใช้ Cassia เพื่อแสดงถึงสมาชิกของสกุลนี้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'grandis' หมายถึง ใหญ่หรือฉูดฉาด อ้างถึงความสูงของต้นไม้นี้เนื่องจาก C. grandis เป็นหนึ่งในสายพันธุ์Cassia ที่สูงที่สุด
Cassia grandis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarl Linnaeusและ Sara Elisabeth Moraeaในปี พ.ศ.2325

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ พบได้ในที่ราบลุ่มและชายฝั่งป่ากึ่งผลัดใบ ป่าผสมและริมถนนที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากเม็กซิโกไปยังอเมริกาใต้และตอนนี้ มีการกระจายไปทั่วทั้งเขตร้อนและโลกเก่าอันเป็นผลมาจากการเพาะปลูก เติบโตได้ดีที่ระดับความสูง 0-1000 เมตร
ลักษณะ--- ต้นไม้ต้นนี้ถือว่ากึ่งไม่ผลัดใบ (ใบร่วงบางส่วนในระหว่างปี บางครั้งในช่วงฤดูแล้ง) เป็นไม้ต้นสูงประมาณ15-30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงสุด 60ซม. โคนต้นมีพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลมเปลือกสี  ดำแตกเป็นร่องลึกกิ่งอ่อนสีน้ำตาล ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคู่ 30 ซม. x 10 ซม. ออกตรงข้ามเป็นคู่ๆมีใบย่อย10-20คู่ ใบอ่อนสีแดงอมน้ำตาล ใบเกลี้ยงมันหลังใบมีขนนุ่มโคนใบและปลายใบมนกลม ขอบใบเรียบ แผ่นใบเป็นมันสีเขียวเข้ม ท้องใบมีขน ช่อ ดอกออกตามกิ่งข้าง ช่อหนึ่งมีประมาณ20ดอก ดอกขนาดเล็ก ขนาด 3 ซม.กลีบรองดอกกลมมีขน ขณะบานกลีบจะกระดกกลับ กลีบดอกรูปไข่ ขนาด1.2-1.6 ซ.ม ดอกบานใหม่จะออกป็นสีออกแดง แล้วเปลี่ยนเป็นชมพูและส้ม ดอกมีกลิ่นหอมผล เป็นฝักกลมแข็งสีดำ รูปทรงกระบอก เนื้อในฝักสีขาว เมื่อผลแห้งเนื้อในฝักจะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ยาว 20-40 ซม.กว้าง 2-4 ซม. แต่ละฝักมีเมล็ด 70-80 เมล็ด เมล็ดกลมรี แบนสีแทน (1.5 ซม.)
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9b-11) อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 21 - 26°C สูงสุดเฉลี่ย 24 - 30°C และเฉลี่ยต่ำสุด 17 - 25°C ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) เติบโตได้ดีในดินเหนียวและดินที่มีน้ำขังตามฤดูกาล และสามารถเจริญเติบโตได้ในดินเค็ม pH 6.1-7.8 อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง พืชชนิดนี้ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ทนแล้ง เหมาะสำหรับ xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---การตัดแต่งกิ่งหลังฤดูออกดอกช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตใหม่และรูปแบบที่หนาแน่นยิ่งขึ้น
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอเนกประสงค์ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชแมลงหรือโรคร้ายแรง/โรคราน้ำค้างและโรคใบจุดอาจเกิดขึ้นบ้าง
รู้จักอ้นตราย---None known

 

การใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นไม้ประดับใช้เป็นอาหารและยา ใช้ในวนเกษตร เป็นแหล่งผลิตภัณฑ์ไม้
ใช้เป็นอาหาร--- ฝักผลไม้นั้นกินได้สำหรับมนุษย์ แต่เนื้อในฝักมีกลิ่นรุนแรง และหากกินมากจะมีคุณสมบัติเป็นยาระบาย -ในละตินอเมริกา Cassia Grandis เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ Carao และใช้ทำเครื่องดื่มยอดนิยม เยื่อผลไม้และเมล็ดจะถูกต้มเป็นเวลายี่สิบนาทีและยาต้มที่เกิดเป็นของเหลวสีน้ำตาลครีมหรือ "นม" แล้วแช่เย็นและทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่มที่แปลกใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการ ผู้คนต่างพูดถึงนม Carao ว่ามีกลิ่นเหมือนชีสและมีกลิ่นหอมของสารอินทรีย์
ใช้เป็นยา---ได้รับความนิยมในการใช้เป็นยา อย่างกว้างขวาง เยื่อผล ใช้เป็นยาระบายคล้ายกับ C. fistula ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณสมบัติของยา แต่มีประสิทธิภาพมากกว่า ยาต้มจากใบยังใช้เป็นยาระบายเช่นเดียวกับในการรักษาโรคปวดเอว น้ำคั้นใบใช้ภายนอกในการรักษากลาก
ใช้เป็นไม้ประดับ---มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเป็นไม้ประดับใน Malesia และเอเชียใต้ มีมากมายในกัมพูชาและเวียดนามตอนใต้และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่รู้จักในมาเลเซีย Java และ New Guinea (Toruan- Purba, 1999 )
ในวนเกษตร---ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกได้เมื่อสร้างป่าขึ้นใหม่ เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่มีการเติบโตเร็ว
อื่น ๆ--- เนื้อไม้เป็นสีเหลืองน้ำตาลค่อนข้างแข็งและหนักเนื้อหยาบและไม่คงทน ให้ไม้อเนกประสงค์ที่แข็งแรง สำหรับงานก่อสร้างอาคาร ส่วนใหญ่ใช้สำหรับงานตกแต่งภายใน งานช่างไม้เช่นทำประตูหน้าต่าง (ภายนอก / ภายใน) และอุปกรณ์การเกษตร
- ใบที่บดผสมกับน้ำมันหมูทำเป็นครีม ใช้รักษาโรคผิวหนังโดยเฉพาะโรคเรื้อนของสุนัขและโรคผิวหนังอื่น ๆในสุนัข
สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดบุรีรัมย์
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Cassia grandis ถูกระบุว่า 'มีความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern  - ver 3.1- The IUCN Red List of Threatened Species (2018.)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Cassia grandis. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144277575A149025179. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144277575A149025179.en. Accessed on 21 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144277575/149025179
- ตามฐานข้อมูล Threat Search ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม
ระยะออกดอก/ติดผล----มกราคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---ปักชำ ชำราก เพาะเมล็ด สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ได้นานโดยไม่สูญเสียชีวิตอายุการงอกของเมล็ดอยู่ได้อย่างน้อย8 ปี


4 ชัยพฤกษ์/Cassia javanica

[KASS-ee-uh] [juh-VAHN-ih-kuh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cassia javanica L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:484704-1#synonyms
---Bactyrilobium javanica (L.) Hornem.(1813)
---Cathartocarpus javanicus (L.) Pers.(1805)
ชื่อสามัญ ---Javanese Cassia, Apple blossom, Burmese-senna, Pink cassia, Pink and white shower, Rainbow shower.
ชื่ออื่น---ชัยพฤกษ์, ขี้เหล็กยะวา, เหล็กยะวา; [CAMBODIA: Bo pruk, Bôprùk];[CHINESE: Zhao wa jue ming, Ji guo jue ming, Guo mai long liang.];[HINDI: Java ki rani.];[INDONESIA: Bobondelan(Sundanese); Boking-boking (Sumatra), Trengguli (Java).];[LAOS: Khoun loy];[MALAYSIA: Bebusok; Busok-busok, Běregiseh (Malay Peninsula); Busuk-busuk (Sabah); Barung-barung (Malay).];[INDIA: Java rani (Manipuri).];[MYANMAR: Turnkop bumi, Nguthein.];[PHILIPPINES: Anahuhan, Antsoan, Tindalo, Bagiroro (Tag.); Balayong];[SPANISH: Acacia rosada, Cassia rosada];[THAI; Chaiaphruk (central), Kalalphruk (central, northern), Lak khoei lak kluea (Trang); Khilek chawa, Khilek yawa.];[UGANDA: Apple-blossom cassia.];[USA: Java shower, Pink lady];[VIETNAM: Bù cạp, Muồng bò cạp, Muồng hoa đào, Muồng hoa hồng đào.];[TRADE NAME: Johar];  
EPPO Code--- CASJA (Preferred name: Cassia javanica)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้บังคลาเทศ; กัมพูชา; จีน (ยูนนาน กวางสี); อินเดีย (เกาะอันดามัน); อินโดนีเซีย (มาลุกุ, เกาะซุนดาน้อย, กาลิมันตัน, จาวา, สุมาตรา, สุลาเวสี); อินโดนีเซีย (ปาปัว); สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; มาเลเซีย (ซาราวัก, ซาบาห์); เมียนมาร์ ; ปาปัวนิวกินี (หมู่เกาะบิสมาร์ก); ฟิลิปปินส์; ประเทศไทย; เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cassia' มาจากคำภาษาฮีบรูโบราณ "quetsi'oth" และถูกใช้ครั้งแรกโดย Dioscorides แพทย์ในสมัยกรีกโบราณ (ค.ศ. 40–90) Linnaeus หรือที่รู้จักกันในนามบิดาแห่งอนุกรมวิธาน เป็นคนแรกที่ใช้ Cassia เพื่อแสดงถึงสมาชิกของสกุลนี้ ; ชื่อสายพันธุ์ ' javanica' ความหมาย ของหรือจากชวา
Cassia javanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:484704-1#children
Includes 7 Accepted Infraspecifics
- สายพันธุ์ Cassia javanica นั้นมีความหลากหลายและกระจายไปทั่วเอเชีย Irwin และ Barneby (1982) พิจารณา C. javanica เป็นชุดที่ซับซ้อนของพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ที่พบในพื้นที่ของการกระจายตามธรรมชาติ ภายในช่วงการกระจายตามธรรมชาติ รูปแบบ C. javanica จะแตกต่างกันไปตามรูปร่างของใบสีและขนาดของดอกไม้และจำนวนโครโมโซมปัจจุบันมีเจ็ดสายพันธุ์ของ C. javanica ที่ได้รับการยอมรับ ( พืชจีน 2014 , USDA-ARS, 2014 ):
1.    Cassia javanica subsp agnes --- อินเดียลาวไทย
2.    Cassia javanica subsp bartonii --- New Guinea
3.    Cassia javanica subsp javanica --- จากอินโดนีเซียถึงฟิลิปปินส์
4.    Cassia javanica subsp. microcalyx --- อินโดนีเซียรวมถึงกาลิมันตันและสุมาตรา
5    Cassia javanica subsp nodosa --- จากพม่าสู่มาเลเซีย
6.    Cassia javanica subsp. pubiflora --- ฟิลิปปินส์
7.    Cassia javanica subsp.renigera --- พม่า


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในจีน อินโดนีเซียและมาเลเซีย มันได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางทั่วเขตร้อนและได้รับการแปลงสัญชาติในแอฟริกา เอเชีย (อินโดจีน) ออสเตรเลีย อเมริกากลาง อเมริกาใต้ (โคลอมเบีย) หมู่เกาะอินเดียตะวันตกและหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีระบบนิเวศน์ที่กว้าง เกิดขึ้นได้ในป่าเปิด ป่าดิบชื้น ป่ามรสุมผลัดใบและที่อยู่อาศัยในเขตสะวันนา พบในป่าทุติยภูมิและพื้นที่ที่ถูกรบกวน ในระดับความสูงที่ต่ำกว่า 400 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ ต้นผลัดใบสูง 10- 15 เมตร เรือนยอดเป็นรูปร่ม เปลือกสีน้ำตาล เมื่อยังอ่อนตามลำต้นจะมีหนาม เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ (paripinnate) เรียงสลับ แกนกลางใบยาว 15-30 ซม.มีใบย่อย 7-12 คู่ ออกเรียงตรงข้าม ใบย่อยรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบกลม ส่วนขอบใบเรียบขนาดใบย่อย 2-8 × 1.2-3.3 ซม แผ่นใบด้านบนสีเขียวสด ด้านล่างมีสีอ่อนกว่า และมีขนละเอียด เนื้อใบบางเกลี้ยงแต่ค่อนข้างเหนียว ก้านใบยาวประมาณ 1.5-4 เซนติเมตร ส่วนก้านใบย่อยมีขนาดสั้นมาก ช่อดอกออกตามกิ่งเป็นช่อสั้นๆแบบช่อเชิงลด ยาวไม่เกิน 16 ซม.กลีบรองดอกยาว 4-10 มม รูปไข่ปลายแหลมสีแดง กลีบดอกยาว 15-35 มม รูปไข่กลับสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มแล้วซีดจางลงเรื่อยๆ เกสรเพศผู้มี10อันขนาดไม่เท่ากัน ฝักกลมยาวสีดำ เกลี้ยง ขนาด20-60ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 (-2.5) ซม. มีเมล็ด 50-75 เมล็ด เมล็ดกลมแบนสีน้ำตาลเป็นมันยาว 6.5-8.9 มม. กว้าง 5.6-7.0 มม. และหนา 2.5-5.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน กึ่งเขตร้อน หรือเขตร้อน (USDA Zones 10b-11) อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีอยู่ในช่วง 19-25°C ต้องการตำแหน่งที่มีแดดจัด เติบโตได้ในดินที่หลากหลายและมีการระบายน้ำดี สายพันธุ์ย่อยต่าง ๆแสดงความชอบสำหรับแหล่งที่อยู่อาศัยที่แห้งหรือชื้นบนดินที่หลากหลาย รวมทั้งดินร่วนปนภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ ทราย และหินปูน พืชมีความทนทานต่อสภาพแล้งและร่มเงา สามารถทนต่อลมแรงและสเปรย์เกลือได้ปานกลาง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งปีละครั้ง
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยอเนกประสงค์ปีละ 1 ครั้งหลังการตัดแต่งกิ่ง
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---แม้ว่าทุกส่วนของต้นไม้เคยถูกนำมาใช้รักษาโรคในสมัยโบราณ แต่การกินส่วนใดๆ เข้าไปนั้นไม่ปลอดภัย เมล็ดพืชอาจมีพิษเป็นพิเศษ ดังนั้นควรคำนึงถึงเรื่องนี้กับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงด้วย
การใช้ประโยชน์ --พืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่นและบางครั้งก็ปลูกเพื่อเป็นร่มเงาในสวนแพร่หลายเป็นไม้ประดับ
ใช้เป็นยา---ในการแพทย์แผนจีนสมุนไพรที่ใช้ในการลดไข้ควบคุมไตและหล่อลื่นลำไส้ นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาอาการปวดท้อง,  มาลาเรีย, โรคหัดและท้องผูก-; ใช้ในยาแผนโบราณ ฝักสุกและเมล็ดใช้เป็นยาระบายตามประเพณีในพื้นที่มาลีเซียน-; ในประเทศไทยเปลือกและเมล็ดใช้เป็นยาลดไข้ ฝักมีรสหวานเอียน ใช้เป็นยาระบายพิษไข้ ใช้ถ่ายเสมหะ เนื้อในฝักใช้เป็นยาขับพยาธิ ใช้เป็นยาแก้อาการท้องผูกเป็นยาระบายที่ไม่ทำให้ปวดมวนในท้อง สรรพคุณของยาไทยโบราณกล่าวว่าส่วนอื่น ๆเสมอด้วยสรรพคุณของต้นคูน
ใช้เป็นไม้ประดับ---ปลูกประดับตามริมถนน สวนสาธารณะ นอกจากนี้ยังปลูกเป็นต้นไม้ร่มเงาในระบบวนเกษตรและสวนป่า
ใช้อื่น ๆ---ไม้เนื้อแข็งและแข็งแรงแก่นไม้เป็นสีเหลืองอ่อนเมื่อตัดครั้งแรก และกลายเป็นสีแดง สีน้ำตาล หรือส้มอ่อนตามอายุ ใช้สำหรับงานก่อสร้างทั่วไปงานตกแต่งภายใน งานเฟอร์นิเจอร์ แต่ปริมาณแทนนินค่อนข้างต่ำ จึงมีความต้านทาน ต่อปลวกและแมลงน้อย  เปลือกใช้สำหรับฟอกหนัง
ความเชื่อ/พิธีกรรม---จัดเป็นพรรณไม้มงคล เป็นต้นไม้แห่งชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่าง ๆ และชัยพฤกษ์ยังเป็นหนึ่งในเก้าไม้มงคลที่นำมาใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์และใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและได้รับการกล่าวขานว่าจะได้รับความโชคดีสร้างความมั่นใจในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและประสบแต่ชัยชนะ
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก ครอบคลุมบางส่วนของอินเดีย บังคลาเทศ เมียนมาร์ สปป.ลาว เวียดนาม จีน กัมพูชา ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และปาปัวนิวกินี (Wu et al. 2010, USDA, ARS, GRIN 2018 , CABI 2018) สิ่งนี้ทำให้สายพันธุ์นี้มีขอบเขตการเกิดขึ้นมากกว่า 10 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Cassia javanica ถูกระบุว่า 'มีความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern -ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Barstow, M. 2019. Cassia javanica. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T22483945A22484907. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T22483945A22484907.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2023
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/22483945/22484907
- สายพันธุ์นี้มีอยู่ใน คอลเลกชันนอก แหล่งกำเนิดอย่างน้อย 30 ชุด (BGCI 2018) รวมทั้งมีการเพาะปลูกเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่อื่น ในประเทศจีน Cassia javanica subsp. agnes ได้รับการประเมินว่ามีความกังวลน้อยที่สุด (MEP, CAS 2014)
ระยะออกดอก/ติดผล --- กุมภาพันธ์ -เมษายน/เมษายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาตั้งแต่ 5 วันถึง 1 ปีในการงอก สามารถเก็บเมล็ดสดได้เพียง 3 สัปดาห์ในภาชนะบรรจุภัณฑ์  แต่ยังมีรายงานว่าสามารถเก็บเมล็ดแห้งไว้ได้นานกว่าหนึ่งปีด้วย


5 รัตนพฤกษ์/Cassia fistula x Cassia javanica

[KASS-ee-uh] [FIST-yoo-luh] x [KASS-ee-uh] [juh-VAHN-ih-kuh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cassia fistula x Cassia bakeriana หรือ Cassia fistula x Cassia javanica.
ชื่อพ้อง --No synonyms are record for this name
ชื่อสามัญ---Rainbow shower tree, Apple Blossom Tree; Rattana pruek (Thai)
ชื่ออื่น---คูนชมพู, คูนสายรุ้ง, คูนขาว; [THAI: Khuun chomphu, Khuun sai-rung, Khuun khao ; Rattana pruek (general).].
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---Horticultural hybrid.
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศเขตร้อน
เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง
- Cassia fistula x Cassia bakeriana  ลูกผสมของราชพฤกษ์กับกัลปพฤกษ์
- Cassia fistula x Cassia javanica    ลูกผสมของราชพฤกษ์กับชัยพฤกษ์
- Cassia fistula x Cassia grandis     ลูกผสมของราชพฤกษกับกาฬพฤกษ์ 


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะฮาวาย
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น หรือไม้พุ่มขนาดกลาง อายุหลายปี สูง 5-6 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอมเทา ใบประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนมน ขอบเรียบ แผ่นใบผิวเกลี้ยง เป็นมัน สีเขียว ดอกเป็นช่อแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีเหลืองอมชมพู สีขาวนวล หรือสีชมพู กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่แคบ กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่ ผล เป็นฝักรูปทรงกระบอก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ขึ้นได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำดี ต้องการน้ำน้อย ทนแล้งได้ดี ต้นไม้จะต้องตัดแต่งกิ่งเป็นครั้งคราวเมื่อยังเล็กเพื่อควบคุมรูปร่างและพัฒนาทรงพุ่มที่สม่ำเสมอ
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเป็นต้นไม้ขนาดกะทัดรัดไม่มีฝักเมล็ด และต้นไม้ก็เป็นระเบียบเรียบร้อยกว่าCassia อื่น ๆเหมาะสำหรับสวนขนาดเล็ก ต้นไม้ริมถนนและสวนสาธารณะ
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม
การขยายพันธุ์---โดยการผสมพันธุ์ การตอนกิ่ง


6 ราชายตนพฤกษ์ หรือ ต้นเกด/Manikara hexandra

[man-il-KAR-uh] [heks-AN-druh]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Manikara hexandra (Roxb.) Dubard.(1915.)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms    
---Basionym: Mimusops hexandra Roxb.(1795).https://www.gbif.org/species/2885079
---Kaukenia hexandra (Roxb.) Kuntze.(1891)        
---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:787644-1#synonyms       
ชื่อสามัญ---Milkey Tree, Rayan, Khirni, Ceylon Iron Wood, Milk Tree, Wedge-Leaved Ape Flower.
ชื่ออื่น---เกด, ราชายตนพฤกษ์; [BANGLADESH: Krikhiyur.];[CAMBODIA: Kes.];[CHINESE: Tie xian zi.];[HINDI: Drirh, Khirni, Rayan, Kshiri.];[INDIA: Bakula, Khir, Khirkhejur, Manchi pala.];[MALAYALAM: Pazhamunnippala, Pazhamunpaala, Krini , Pazhamunppala.];[MARATHI: Rayani , Khirni, Ranjana,Karani, Rayan.];[SANSKRIT: Rajadana, Kshirini, Nimbabija.];[SINHALESE: Rayan.];[TAMIL: Ulakkai-p-palai, Palla, Kanupala, Kannupala, Ulakkaipaalai.];[TELUGU: Nandivriqshamu, Ankalu, Palachettu.];[THAI: Ket, Khet, Rajayatana, Rajayatanaphruke];[TRADE Name: Ceylon wood, Palu.].
ชื่อวงศ์---SAPOTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อนุทวีปอินเดีย ภูมิภาคอินโดจีน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Manilkara' มาจาก Manil-kara ซึ่งเป็นชื่อภาษาของ Manilkara kaukiในภาษาMalayalam ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'hexandra' ความหมาย มีเกสรเพศผู้หกอัน
Manikara hexandra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิกุล (Sapotaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Marcel Dubard (1873-1914)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2458


ที่อยู่อาศัย---พบในจีน(กวางสี, ไหหลำ) อนุทวีปอินเดีย (บังคลาเทศ, อินเดียและศรีลังกา) อินโดจีน (กัมพูชา, พม่า, ไทยและเวียดนาม) พบตามป่าดิบแล้งถึงป่าผลัดใบ เป็นครั้งคราวในที่ราบจากชายฝั่ง ที่ระดับความสูงถึง 900เมตร ในประเทศไทยพบทาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคใต้ขึ้นกระจายในป่าดิบบนพื้นที่ดินร่วนปนทรายใกล้ฝั่งทะเล และตามเขาหินปูน
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ  มีน้ำยางขาว ขนาดความสูงประมาณ 15-25 เมตรและมีเส้นรอบวงต้น1-3 เมตร เรือนยอดแน่นทึบเป็นพุ่มกลม ลำต้น และกิ่งมักคดงอ เปลือกนอกสีน้ำตาลอมเทาหรือสีคล้ำ แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยมหรือแตกเป็นร่องลึกตามยาว เปลือกในสีแดงอมน้ำตาลหรือชมพู ใบเดี่ยว 5-10 x 3-4.5 ซม.ออกเรียงเวียนสลับหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบรูปไข่กลับ ปลายใบหยักเว้าเล็กน้อย โคนใบสอบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมัน หนาและเกลี้ยง ก้านใบยาว 8-20 มม.ดอก เดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกสั้น ออกตามง่ามใบและเหนือรอยแผลใบปลายดอกชี้ลง ดอกสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเล็กน้อย ผลมีเนื้อรูปกลมรีผิวเรียบขนาด 1 × 1.5 ซม. ผลสุกสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เนื้อนุ่ม รสหวาน รับประทานได้ มี 1-2 เมล็ด เมล็ดแข็งรูปไข่ขนาดประมาณ 1 ซม สีน้ำตาลแดงเป็นมัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10a-10b) สามารถทนอุณหภูมิได้ระหว่าง 20°C ถึง 35°C ตวามต้องการแสงแดดสำหรับManilkara hexandra คือ ดวงอาทิตย์เต็มดวง (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) ร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันแม้ว่าจะทำงานได้ดีที่สุดอย่างน้อยบางชั่วโมงในตอนเช้า) และแสงแดดบางส่วน (ได้รับแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องติดต่อกันแม้ว่าจะทำงานได้ดีที่สุดอย่างน้อยก็บางชั่วโมงในช่วงบ่าย) ชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดีและมีค่า PH 5.6 - 6 ( มีความเป็นกรดปานกลาง) อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการการรดน้ำปานกลาง พืชชนิดนี้ชอบให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ในช่วงฤดูฝนให้ลดความถี่ในการรดน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะน้ำท่วมขัง
การตัดแต่งกิ่ง---แต่งกิ่งเป็นประจำเพื่อรักษารูปร่างและขนาด กำจัดกิ่งที่ตายหรือเป็นโรคออกจะกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตใหม่ นอกจากนี้การตัดแต่งกิ่งสามารถทำได้ในช่วงฤดูพักตัวหรือหลังดอกบาน
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยน้ำที่สมดุลทุกๆ 2 เดือนจนกว่าManilkara hexandraจะสูงถึง 4-6 ฟุต หลังจากนั้นต้นไม้ก็จะดูแลมันเองได้ง่าย
ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อศัตรูพืชและโรคได้ ระวัง Hemicriconemoides mangiferae(ไส้เดือนฝอยปรสิต) /Pestalosphaeria gubae (Chlorotic spot virus)
รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์--พืชเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นผลไม้ที่กินได้ในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนสำหรับผลไม้นี้
ใช้กิน---ผลไม้สามารถรับประทานสดหรือแห้ง รสหวาน แต่ค่อนข้างฝาด มักมีวางขายในตลาดท้องถิ่น -เปลือกจะถูกเติมลงในน้ำตาลทรายเพื่อยับยั้งการหมัก (ไวน์ที่ทำจากต้นปาล์มในหมู่บ้านอินเดีย)-น้ำมันสีเหลืองอ่อนที่เรียกว่าน้ำมันเรยอนได้มาจากเมล็ด เมล็ดมีน้ำมัน 25% ใช้ประกอบอาหาร ซึ่งถือว่าเป็น demulcent และทำให้ผิวนวล
ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้ ผลไม้ เปลือกไม้ ในอายุรเวทเปลือกและผลไม้จะใช้สำหรับการรักษาโรคที่หลากหลาย เปลือกมีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและความผิดปกติทางทันตกรรเช่นเหงือกมีเลือดออก, เหงือกอักเสบ, เลือดไหลออกอย่างรวดเร็วจากเหงือก -ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพ กิจกรรมได้รับการยืนยันโดยการลดจำนวนของตัวอสุจิอย่างมีนัยสำคัญการตรวจสอบทางชีวเคมี ผ่านการตรวจทางจุลพยาธิวิทยา ดังนั้นเมล็ดของ Manilkara hexandra จึงเป็นทางเลือกสมุนไพรที่เชื่อถือได้สำหรับใช้เป็นยาคุมกำเนิดเพศชาย เปลือกต้นใช้โดยชาวพื้นเมืองใช้ในการรักษาไข้ ท้องอืด ท้องร่วง และเป็นยาสมานแผล
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ที่มีค่า
ใช้อื่นๆ---เนื้อไม้แข็ง ทนทานและหนักใช้ทำสลักแทนตะปู สำหรับติดกระดานกับโครงเรือใช้ทำเครื่องมือแกะสลักเครื่องมือเกษตรกรรม เปลือกไม้มีแทนนินร้อยละ 10 และสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการฟอกหนัง ;-ใบไม้ถูกใช้เป็นอาหารสัตว์สำหรับปศุสัตว์ ;-สปีชีส์นี้มักจะใช้เป็น ต้นตอ สำหรับละมุด (M. zapota) ในอินเดีย
สำคัญ--ต้นเกดหรือต้นราชายตนพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับในสัปดาห์ที่ 7 หลังการตรัสรู้ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์
ระยะออกดอก/ติดผล ---มกราคม-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์ --- เพาะเมล็ดการปักชำกิ่งและตอนกิ่งหรือแยกลำต้นที่เกิดใหม่

7 สุวรรณพฤกษ์/Cordia dentata

[KOR-dee-uh] [den-ta-ta]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cordia dentata Poir.(1806)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Cordia alba (Jacq.) Roem. & Schult.(1819.)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2736709
ชื่อสามัญ---White manjack , White cordia, Flore De Angel, Clammy cherry, Loblolly tree, Yellow of light and leading, Cordia Suwana-Pruek.
ชื่ออื่น---สุวรรณพฤกษ์(กรุงเทพฯ), ยูงทอง ;[BELIZE: Jack wood.];[COSTA RICA: Jiguilote, Tiguilote.];[CUBA: Uvita, Va gamosa];[DOMINICAN Republic: Muñeco blanco, Yagua.];[EL SALVADOR: Cebito, Tiguilote, Tgulote negro, Tihuilote.];[GUATEMALA: Supay, Upay, Upayol.];[HAITI: Bois chique.];[HONDURUS: Chachalaco.];[JAMAICA: Duppy cherry.];[LESSER ANTILLES: Arbre a glu, Arbrea raisin, Bois-zizi, Mahot blanc, Mapou baril, Mapou blanc.];[MEXICO: Avos, Gulabere, Jiguilote, Uvero, Uvillo, Zazamil.];[PUERTO RICO: Capa blanco.];[SPANISH: Biyullo, Cauaro.];[THAI: Suwana-Pruek (Bangkok), Yoong thong.];[VENEZUELA: Cuajaro.].
EPPO Code--- CRHAL (Preferred name: Cordia alba*)
*Cordia dentata ถูกระบุว่าเป็น Cordia albaโดยหน่วยงานบางแห่ง ( World Flora Online, 2020 ) ในขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ถือว่า C. albaเป็นคำพ้องความหมาย ( Missouri Botanical Garden, 2016 ; Useful Tropical Plants, 2020 ; GBIF, 2020 )
ชื่อวงศ์---BORAGINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---แอนติกาและบาร์บูดา; อารูบา; บาร์เบโดส; เบลีซ; โบแนร์ ซินต์เอิสทาทิอุส และซาบา; โคลัมเบีย; คิวบา; คูราเซา; สาธารณรัฐโดมินิกัน; เอลซัลวาดอร์; เกรเนดา; กวาเดอลูป; กัวเตมาลา; เฮติ; ฮอนดูรัส; จาเมกา; เม็กซิโก; นิการากัว; ปานามา; Saint Barthélemy; ตรินิแดดและโตเบโก; เวเนซุเอลา สาธารณรัฐโบลิเวีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cordia' ตั้งชื่อตาม Valerius Cordus (1515 –1544) เป็นแพทย์นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'dentata' = เครื่องหมายฟัน
Cordia dentata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Boraginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Louis Marie Poiret (1755–1834)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2349

ที่อยู่อาศัย---กระจายไปทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ,เม็กซิโก ,อเมริกากลาง ,โคลอมเบียและเวเนซุเอลา ในทะเลแคริบเบียน ถูกพบในจาเมกา ,คิวบา ,หมู่เกาะเวอร์จินและเปอร์โตริโกและใน มาดากัสการ์  พบได้ตามเนินเขา ป่าเบญจพรรณ  ทุ่งหญ้า จากระดับน้ำทะเลไปจนถึงระดับความสูง 400 (-1400) เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้น สูง5-10 เมตร กึ่งผลัดใบถ้าขาดน้ำเป็นระยะเวลานาน แต่ใบไม่ร่วงหมดทำให้เห็นเป็นไม้สีเขียวได้ตลอดปี ลำต้นอ้วนสั้น เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกล่อนเป็นสะเก็ดเป็นแผ่นใหญ่ ใบยาว 3- 14 ซม. กว้าง 2- 7 ซม.ออกเป็นคู่ตรงข้าม เรียงเวียนกันไป สีเขียวอมเหลืองรูปไข่ป้อม เนื้อใบหยาบคายเพราะมีขนอยู่ด้านล่างใบและตามซอกแยกแขนง ปลายใบรูปมนหรือมีติ่งแหลม ดอกออกเป็นช่อกระจุกแบบแยกแขนงเป็นช่อย่อยเบียดกันเป็นแพ15-20 ซม.  ดอกสีเหลืองสดหรือเหลืองอ่อน ดอกรูปกรวยกลีบดอกย่น ขนาดดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 1.5 ซ.ม ผลสดแบบมีเนื้อรูปขอบขนานขนาด1.6 ซม ผลใช้เวลา 10 - 12 เดือนในการสุก หลังจากการออกดอก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10 -11) อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 21 - 26°C สูงสุดเฉลี่ย 24 - 30°C และเฉลี่ยต่ำสุด 17 - 25°C ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงมีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ชอบดินร่วนปนชื้นระบายน้ำได้ดี การเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษาต่ำและดูแลง่าย
การรดน้ำ--- รดน้ำต้นไม้สัปดาห์ละครั้งในช่วงฤดูปลูก และลดการรดน้ำในช่วงฤดูหนาว
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งปีละครั้งในช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิเพื่อกำจัดกิ่งที่ตายหรือชำรุดและสร้างรูปร่างที่ดี
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยที่สมดุลเดือนละครั้งในช่วงฤดูปลูกเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี
ศัตรูพืช/โรคพืช--- ค่อนข้างปลอดศัตรูพืชและปลอดโรค แต่อาจประสบปัญหาต่อไปนี้ Bactrocera dorsalis (แมลงวันผลไม้ตะวันออก), ไรเดอร์/ ใบจุด โรคเชื้อรานี้อาจทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลบนใบ กำจัดใบที่ติดเชื้อออกและรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อรา
รู้จักอ้นตราย---None known

การใช้ประโยชน์--- ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้กินผลไม้และของใช้อื่น ๆ บางครั้งถูกปลูกในสวน เป็นทั้งไม้ประดับและผลไม้ที่กินได้
ใช้กิน---ผลไม้ - ดิบ ผลไม้นั้นเต็มไปด้วยเนื้อหวานและเหนียว เนื้อสีขาวโปร่งแสงมีลักษณะเป็นเมือกและหวานมาก
ใช้เป็นยา--- ดอกใช้เป็นยาต้มใช้เพื่อกระตุ้นเหงื่อ ใบและดอกมีรายงานว่ามีคุณสมบัติทำให้ผิวนวล ถ่านที่ทำจากไม้เป็นส่วนผสมหลักของการเตรียมการซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่นิยมใช้ในการรักษาอาการปวดท้อง
วนเกษตร---Cordia dentataจะเติบโตในดินที่ไม่ดีและในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้ง และปลูกบนพื้นที่ที่ไม่ดีและใช้สำหรับการปลูกป่าในพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างและถูกรบกวน ( สารานุกรมแห่งชีวิต, 2016 )
อืน ๆ--- ผลไม้ที่ใช้ในการแข็งตัวของสีย้อมคราม เยื่อผลไม้เมือกใช้เป็นกาวบนกระดาษและใช้สำหรับห่อหุ้มซิการ์ ไม้สีเหลืองมีความแข็งและแข็งแรง ถูกใช้สำหรับช่างไม้ทำเสารั้ว ฯลฯ ไม้ถูกใช้เป็นเชื้อเพลิง
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Cordia dentata ถูกระบุว่า เป็นความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1  - IUCN Red List of Threatened Species (2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Cordia dentata. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144117450A149005347. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144117450A149005347.en.  เข้าถึงเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144117450/149005347
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (Gordon 2005, National Red List, เข้าถึงปี 2018)
ระยะเวลาออกดอก---กุมภาพันธ์--เมษายน
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
- การขยายพันธุ์ที่ขยายโดยการเพาะเมล็ดเป็นไปค่อนข้างยากเนื่องจากมีเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง เพื่อเร่งการงอก โดยปกติสามารถทำได้โดยการเทน้ำที่เกือบเดือดเล็กน้อยลงบนเมล็ดพืชแล้วแช่เมล็ดไว้ 12 - 24 ชั่วโมงในน้ำอุ่น ถึงเวลานี้ พวกมันควรจะดูดซับความชื้นและบวมแล้ว ถ้ายังไม่มี ให้ทำการเคลือบเมล็ดอย่างระมัดระวัง (ระวังอย่าให้ตัวอ่อนเสียหาย) และแช่ต่ออีก 12 ชั่วโมงก่อนหว่านเมล็ด หว่านเมล็ดในตำแหน่งที่แรเงาบางส่วนในแปลงเพาะกล้า คาดอัตราการงอกเกิน 60% โดยเมล็ดงอกภายใน 8 - 12 วัน เมื่อต้นกล้ามีความสูง 4 - 6 ซม.ให้ปลูกในภาชนะแต่ละใบและควรพร้อมที่จะปลูกใน 5 - 6 เดือนต่อมา

8 พฤกษ์/Albizia lebbeck

[al-BIZ-ee-uh] [LEB-ek]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Albizia lebbeck (L.) Benth.(1844)
ชื่อพ้อง ---Has 16 Synonyms.
---Basionym: Mimosa lebbeck L.(1753) https://www.gbif.org/species/2973215
---Acacia lebbeck (L.) Willd. (1806)
---Feuilleea lebbeck (L.) Kuntze (1891)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:99109-3#synonyms
ชื่อสามัญ---Indian siris, Siris Tree, East Indian-walnut, Ebano-oriental, Lebbeck Tree, Frywood, Powderpuff-tree, Rain tree, Raom tree, Silver raintree, Siris rain tree, Soros-tree, White siris, Woman's tongue tree, Woman's tongue.
ชื่ออื่น---แกร๊ะ, กาแซ, กาไพ(สุราษฎร์ธานี), กริด(กระบี่), กะซึก(ภาคกลาง,พิจิตร), ก้านฮุ้ง(ชัยภูมิ), ก้ามปู, คะโก, ชุงรุ้ง, พฤกษ์(ภาคกลาง), คางฮุง (มหาสารคาม-อุดรธานี), จะเร (เขมร-ปราจีน), จ๊าขาม(ภาคเหนือ), จามจุรี, ซึก(กรุงเทพฯ), ตุ๊ด(ตาก), ถ่อนนา(เลย), ทิตา(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี), พญากะบุก(ปราจีนบุรี), มะขามโคก, มะรุมป่า(นครราชสีมา) ;[BAHAMAS: Whistling-bean, Woman's-tongue tree.];[CAMBODIA: Chreh];[CHINESE: Kuo jia he huan];[CHINESE: Kuo jia he huan.];[CUBA: Faurestina, Forestina, Marabú, Whistling-bean.];[FIJI: Aivai, Vaivai ni vavalagi.];[FRENCH: Acacia lebbeck, Bois noir, Ebénier d'Orient.];[GERMAN: Andamanen-Kokko, Lebachbaum.];[GUAM: Kalaskas, Mamis, Trongkon kalaskas, Trongkon-mames.];[HAITI: Bois saane, Bois savane, Cha-cha, Tcha-tcha, Tchia-tchia, Tia-tia.];[INDONESIA: Kitoke, Tarisi];[ITALIAN: Albizia indiana.];[MEXICO: Canjuro.];[MYANMAR: Anya-koko; hamakal];[PANAMA: Mataraton.];[PHILIPPINES: Aninapala; langil];[PORTUGUESE: Acácia-de-vagens-brancas, Acácia-do-egipto, Acácia-siras falso-ébano.];[SAMOA: Tamaligi.];[SANSKRIT: Sirisah.];[SPANISH: Acacia amarilla, Algarrobo de olor, Amor platónico, Aroma, Aroma francesa, Casia amarilla; Chachá, Coracáo de negro, Dormilón, Lengua de mujer, Lengua viperina, Muche; Músico, Nogal de las Indias Orientales.];[SOUTH AFRICA: Lebbekboom.];[SRI LANKA: Kona, Mara, Suriya mara, Vageri, Vakai siridam.];[THAI: Krae, Kasae, Ka phai (Surat Thani), Krit (Krabi), Kasuek (Central, Phichit), Kan hung (Chaiyaphum), Kam pu, kha ko, Chung rung, Phruek (Central), Khang hung (Maha Sarakham, Udon Thani), Cha-re (Khmer-Prachin Buri), Cha kham (Northern), Cham churi, Cham mari, Suek (Bangkok), Tut (Tak), Thon na (Loei), Thi-ta (Karen-Kanchanaburi), Phaya kabuk (Prachin Buri), Ma kham khok, Ma rum pa (Nakhon Ratchasima).];[USA/FLORIDA: Shack-shack, Singer-tree, Tibet lebbeck.];[USA/Hawaii: 'Ohai];[VIETNAM: Bo ket tay,Lim xanh, Trat.].
[TRADE NAME: East Indian walnut, Indian siris, Kokko].
EPPO Code---ALBLE (Preferred name: Albizia lebbeck)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย,แอฟริกา,ออสเตรเลีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลียตอนเหนือ แอฟริกา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Albizia' ตั้งตามนักธรรมชาติวิทยาชาวอิตาลี Filippo degli Albizzi ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 ; ชื่อสายพันธุ์ ' lebbeck' มาจาก 'laebach' ชื่ออาหรับสำหรับพืชนี้ บางครั้งสายพันธุ์นี้ถูกสะกดในวรรณคดีว่า ' lebbek ' อ้างอิงถึงสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องมี A. canescens และ A. procera. การใช้ 'albizia' เป็นชื่อสามัญสำหรับสายพันธุ์นี้คือการหลีกเลี่ยงเนื่องจากมักใช้กับFalcataria moluccana ซึ่งแตกต่างจากA. lebbeck มาก
Albizia lebbeck เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยGeorge Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2387

 

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาเขตร้อน เอเชียและออสเตรเลียตอนเหนือ กระจายอย่างกว้างขวางไปยัง แคริบเบียนและอเมริกาใต้ พบในเอเชียตะวันตก (ปากีสถาน) เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน (เมียนมาร์) -; ในอินโดจีน, มาเลเซีย, จีน (รวมถึงไต้หวัน), แอฟริกาส่วนใหญ่ (ยกเว้นเมดิเตอร์เรเนียนตอนใต้, แอฟริกาใต้), มาดากัสการ์, เม็กซิโก, อเมริกากลาง, แคริบเบียน ,อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ), นิวกินี, ออสเตรเลียโดยส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้ประดับ และได้กลายเป็นต้นไม้ในธรรมชาติในหลายสถานที่  พบได้ในป่าดิบชื้น ป่ามรสุมผลัดใบและกึ่งป่าเบญจพรรณ เติบโตได้ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 0-1,800 เมตร
บทสรุปของการรุกราน---สายพันธุ์นี้สามารถทนต่อสภาพอากาศและชนิดของดินได้หลากหลาย มีลักษณะการบุกรุกที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงการผลิตเมล็ดสูง อัตราการเจริญเติบโตสูง และการตรึงไนโตรเจน ซึ่งทำให้สามารถบุกรุกพื้นที่ที่ถูกรบกวนและป่าธรรมชาติได้ มีการแปลงสัญชาติในหลายส่วนของเขตร้อนรวมทั้งแคริบเบียน อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในบางสถานที่ก็มีการรุกรานเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในเปอร์โตริโก จะปรากฏในรายการชนิดพันธุ์รุกรานของรัฐบาลและเป็นชนิดพันธุ์ที่รุกรานประเภท 2 ในบาฮามาส มีรายงานว่าสปีชีส์นี้เป็นหนึ่งใน 100 สายพันธุ์รุกรานที่ร้ายแรงที่สุด ในคิวบา ในฟลอริดา สปีชีส์ดังกล่าวได้รับการระบุว่าเป็นสปีชีส์รุกรานประเภท 1 (ข้อกังวลที่ร้ายแรงที่สุด) ตั้งแต่ปี 2542
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูงถึง15-25 เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง กิ่งก้านใหญ่และบิดงอ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยแตกตื้นแต่หนาแน่น ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ยาว 7.5 - 15 ซม.ดอก เป็นช่อกลมกว้าง4-7ซม.สีขาวอมเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นเหลืองอ่อน ช่อหนึ่งมี 2-4ดอก ผลเป็นฝักสีเหลืองอ่อนผิวบางและแบน แตกได้มี 4-12 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9b-11) ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-5°C) ตัองการแสงแดดจัด  80-100% (แสงแดดโดยตรง 6ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ปลูกได้ในดินทั่วไป เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดีและมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย แต่สามารถทนต่อดินที่เป็นกลางหรือเป็นด่างได้ ค่า pH ในช่วง 6 - 7 ทนได้ 5.5 - 8.5 ทนน้ำท่วมขัง ทนทานต่อความแห้งแล้ง ไอเกลือ และมลพิษ อัตราการเติบโตรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งจำเป็นที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคออกเท่านั้น หากต้องการลดขนาดหรือรักษาสมดุลการเติบโตของสาขา รอจนสิ้นสุดการออกดอก พยายามรักษารูปร่างให้เหมือนร่ม
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกในฤดูใบไม้ผลิ
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม้ของ A. lebbeckถูกเจาะและโจมตีจากเชื้อราในขณะที่กระพี้มีแนวโน้มที่จะเป็นหนอนเจาะและปลวก/ไวรัสที่ทำให้เกิดรากเน่า ราจุด และสนิม โรคที่สำคัญที่สุดคือโรคเหี่ยวของหลอดเลือดที่เกิดจากเชื้อรา Fusarium oxysporum
รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์--- ในประเทศอินเดียสวน siris ที่ปลูกให้ผลผลิตไม้เนื้อแข็งคุณภาพสูง ต้นไม้ได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายในโครงการเกษตรป่าไม้ในส่วนที่แห้งของเขตร้อน พืชถูกใช้เพื่อให้ร่มเงาสำหรับสวนกาแฟและโกโก้รวมถึงเป็นไม้และเชื้อเพลิงที่มีค่า  ต้นไม้นี้ได้รับความนิยมและรู้จักกันอย่างแพร่หลายไปทั่วเขตร้อนและขตร้อนชื้น แม้จะมีใบร่วงเป็นขยะจำนวนมาก อยู่ใต้ต้นและมักจะถูกมองว่าเป็นข้อเสียก็ตาม
ใช้เป็นยา---เปลือกต้นฝาด ใช้ภายในเพื่อรักษาโรคท้องร่วงโรคบิด เปลือกไม้ ใช้ภายนอกเพื่อรักษาฝี
วนเกษตร---เป็นต้นไม้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งแก้ไขไนโตรเจนในชั้นบรรยากาศใช้บุกเบิกเมื่อสร้างป่าไม้ หรือสวนป่า เนื่องจากมีระบบรากที่กว้างขวางและตื้นพอสมควรต้นไม้จึงเป็นวัสดุยึดเกาะที่ดีและแนะนำให้ใช้สำหรับควบคุมการกัดเซาะดิน ใบที่อุดมด้วยไนโตรเจนมีคุณค่า คลุมด้วยหญ้าและทำปุ๋ยพืชสด สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลทองเมื่อถูกตัดสดเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มที่มีเส้นสีดำ ถูกแบ่งเขตจากกระพี้สีซีดอย่างชัดเจน พื้นผิวมีขนาดปานกลางถึงหยาบ แข็งแรงและทนทานพอสมควรเป็นไม้ที่ยอดเยี่ยมและใช้ตกแต่งได้ดีมากเมื่อเทียบกับวอลนัทสีดำ มีการซื้อขายในยุโรปเป็น 'Indian walnut' หรือ 'kokko'เหมาะสำหรับงานแกะสลัก งานเฟอร์นิเจอร์ งานก่อสร้างในร่ม เปลือกไม้มีแทนนินมากใช้ในการเตรียมหนัง ยาเบื่อปลา เปลือกให้สีย้อมสีแดง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2019 Albizia lebbeck ถูกระบุว่าเป็นที่น่ากังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2019)
source: Plummer, J. 2020. Albizia lebbeck. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T18435916A18435924. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-3.RLTS.T18435916A18435924.en.  เข้าถึงเมื่อ23 ตุลาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/18435916/18435924
- ทั่วโลก มีพันธุ์  Albizia lebbeck  germplasm หนึ่งตัวที่มีต้นกำเนิดจากป่าที่รวบรวมจากพันธุ์พื้นเมืองสำหรับสายพันธุ์นี้ ซึ่งรวบรวมในอินเดีย และจัดขึ้นโดยสถาบันวิจัยปศุสัตว์นานาชาติในเอธิโอเปีย มีภาคยานุวัติเพิ่มเติมอีก 23 รายการทั่วโลก; อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้นำมาจากพืชที่ปลูกนอกพันธุ์พื้นเมือง (Genesys Global Portal เกี่ยวกับทรัพยากรพันธุกรรมพืช 2019) สวนพฤกษศาสตร์ 44 แห่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่  อนุรักษ์ นอกถิ่นที่อยู่อาศัย  สำหรับสายพันธุ์นี้ (BGCI 2019) A. lebbeckถูกอนุมานได้ว่าเกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งตลอดช่วงของมัน ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าการอนุรักษ์เชิงรับในพื้นที่เหล่านี้ (Protected Planet 2019) ยังไม่ชัดเจนว่ามีการจัดการเชิงรุกในด้านใดด้านหนึ่งเหล่านี้หรือไม่ ในปี 2010 A. lebbeck  ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงในการประเมินระดับโลกเบื้องต้น (ILDIS 2010) อย่างไรก็ตาม การประเมินเบื้องต้นล่าสุดในปี 2012 ระบุชนิดพันธุ์ดังกล่าวว่าน่ากังวลน้อยที่สุดทั่วโลก (Kalema และ Beentje 2012) ในบัญชีแดงแห่งชาติปี 2012 ของศรีลังกา A. lebbeck ได้รับการประเมินว่าใกล้ถูกคุกคาม (MOE 2012) ควรสังเกตว่าด้วยขนาดของการกระจายพันธุ์โดยกำเนิด การค้นพบในระดับภูมิภาคไม่น่าจะบ่งบอกถึงสถานะภัยคุกคามระดับโลกของชนิดพันธุ์ดังกล่าวได้ การนำเข้าถูกจำกัดภายใต้สภานิติบัญญัติสายพันธุ์รุกรานสำหรับหลายประเทศ รวมถึงบาฮามาส คิวบา แอฟริกาใต้ และรัฐฟลอริดา (CABI 2019)
ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง

9 จามจุรี/Samanea saman

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Samanea saman (Jacq.) Merr.(1916)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.
---Basionym: Mimosa saman Jacq.(1801) https://www.gbif.org/pt/species/2972960
---Albizia saman (Jacq.) F. Muell.(1876)
---More.See all http://legacy.tropicos.org/Name/13006406
ชื่อสามัญ---Rain Tree, Monkey Pod, French-tamarind
ชื่ออื่น--- ก้ามกราม, ก้ามกุ้ง, ก้ามปู, จามจุรี(ภาคกลาง); ฉำฉา(ภาคเหนือ); ตุ๊ดตู่ (ตาก); ลัง, สารสา, สำสา(ภาคเหนือ); เส่คุ่, เส่ดู่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; [ASSAMESE: Sirish-goch.];[BANGLADESH: Rendi koroi.];[BENGALI: Biliti siris.];[BOLIVIA: Tamiacaspi.];[CAMBODIA: Ampül barang.];[CHINESE: Yǔ shù shǔ.];[CUBA: Algarrobo, Algarrobo del pais.];[DOMINICAN REPUBLIC: Guannegoul.];[DUTCH: Regenboom.];[FRENCH: Abre de pluie.];[GERMAN: Regenbaum, Schirmbaum.];[HAITI: Guannegoul, Samán.];[HAWAII: Monkeypod, 'Ohai, Vilayati Siris.];[HINDI: Gulabi Siris, Sirsi, Vilayati Siris.];[INDONESIA: Dutch tamarind, Kihujan, Mungur, Slubin; Trembesi, Kayudan (Javanese), Ki hujan (Sundanese), Kayudan, Trembesi (Java).];[ITALIAN: Albero delle pioggia.];[JAPANESE: Amerika nemunoki, Amerika nemunoki, Monkīpoddo, Rein tsurī.];[LAOS: (Do:k) Sam sa.];[MALAYSIA: Hujan-hujan, Pukul lima (Peninsular).];[MALAGACY: Bonara, Bonarambaza, Kily Vazaha, Madiromany, Mampihe, Mampohehy.];[NETHERLANDS: Regenboom.];[PERU: Huacamayo chico.];[PORTUGUESE: Falsa-albízia, Damaneiro, Chorona, Arvore-da-chuva, Feijao cru', Guango, Mendubi de veado.];[SINGHSLESE: Mara.];[SPANISH: Arbor de Lluvia, Campano, Carabeli, Carreto, Cenicero, Couji, Dormilon, Lara, Saman, Urero, Zamang, Zarza.];[TAMIL: Amaivagai, Thoongumoonji maram.];[THAI: Gaam poo (Chiang Mai, Central); Gaam graam, Gaam gung  (Central); Chamchuri (Central & Chiang Mai); Lang, Cham-cha (Northern).];[TONGA: Kasia.];[TRINIDAD AND TOBAGO: Coco tamarind, Cow tamarind, Samán guerra.];[VENEZUELA: Campano, Carabelí, Coují, Lara, Uero.];[VIETNAM: Còng, Me tây.].
EPPO Code--- PIFSA (Preferred name: Samanea saman)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---เบลีซ; โคลัมเบีย; คอสตาริกา; เอลซัลวาดอร์; กัวเตมาลา; กายอานา; เม็กซิโก; นิการากัว; ปานามา; เวเนซุเอลา สาธารณรัฐโบลิเวีย เอเซีย ออสเตรเลีย แอฟริกา
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อเฉพาะ 'saman' คือชื่อที่ใช้โดยประชากรพื้นเมืองทางตอนเหนือของเวเนซุเอลา
Samanea saman เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์ เคมีและพฤกษศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2459
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) พบในอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน แอฟริกาเขตร้อน มาดากัสการ์ แคริบเบียน นิวกินี ออสเตรเลีย เติบโตในป่าดิบแล้ง ทุ่งหญ้าสะวันนา ขอบของป่าผลัดใบและกึ่งผลัดใบตามฤดูกาล มักพบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ที่ถูกรบกวน จากระดับน้ำทะเลที่ระดับความสูงถึง 1,500 เมตร ในประเทศไทยนำเข้ามาปลูกในบ้านเราตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่๕

 

ลักษณะ---เป็นไม้เนื้ออ่อนยืนต้นขนาดใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มกว้างมาก สูงได้ถึง 25-30 เมตร เปลือกสีดำคล้ำแตกระแหงเป็นร่องสะเก็ดโตตลอดต้น ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ เรียงสลับ ยาวประมาณ 25-35 ซม. และแตกแขนงใบย่อยออกขนานกันเป็นคู่ๆ ใบแผงหนึ่งๆมีตั้งแต่ 7-10 คู่ ใบย่อยรูปกลมรี ปลายใบมน รูปใบมักโค้งเข้าหากันเป็นคู่ๆขนาดใบยาว 3-5 ซม.ดอก ออกเป็นช่อสั้นๆตามยอดปลายกิ่ง ช่อหนึ่งๆมีดอกประมาณ 25-35 ดอกและมักบานพร้อมกัน ดอกสีชมพู รูปกรวยขนาดเล็กมี6กลีบ และมีเส้นเกสรผู้ยาวเป็นพู่ล้นดอก เกสรผู้ตอนบนสีชมพู ตอนล่างสีขาว ยาวประมาณ4ซม. ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ผลไม้เป็นเส้นตรง เป็นฝักสีเขียว 10-22 ซม. ยาว x กว้าง 1.5-2.2 ซม. x หนา 0.5-1 ซม.สีดำน้ำตาลเข้มเมื่อสุก ฝักมีลักษณะเฉพาะตัวและมีเมล็ดที่โตเต็มที่ 5-10 เมล็ดยาว 8-11.5 มม. x กว้าง 5-7.5 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10b-11) ช่วงอุณหภูมิ 18 ถึง 22 °C ในเดือนที่หนาวที่สุด ถึง 24 ถึง 30 °C ในเดือนที่ร้อนที่สุด และทนต่อน้ำค้างแข็งไม่ได้ ตำแหน่งกลางแจ้งแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ขึ้นและเติบโตได้เร็วในดินเกือบทุกชนิด ปกติจะพบในดินที่เป็นกลางถึงกรดปานกลางมันสามารถเจริญเติบโตบนดินที่มีค่า pH ต่ำเพียง 4.6 และสูงได้ถึง 7.9 - 8.5 ทนทานต่อความแห้งแล้งมาก ต้นไม้เจริญเติบโตช้าในปีแรกของการปลูก แต่โดยทั่วไปถือว่าเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีการเพิ่มความสูงประจำปีสูงถึง 1.5 เมตร ที่บันทึกไว้สำหรับต้นไม้เล็ก ข้อสังเกตุ ต้นไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น100 ซม.โดยทั่วไปมีอายุประมาณมากกว่า100 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ส่วนสำคัญในการรักษาต้นไม้ให้แข็งแรงคือการตัดแต่งกิ่ง เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการตัดแต่งคือหลังจากพ้นช่วงดอกบานแล้ว ซึ่งก็คือช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูร้อน
การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็น ต้นไม้ประเภทนี้เรียกว่า "การตรึงไนโตรเจน" โดยนักพฤกษศาสตร์ เนื่องจากต้นไม้ชนิดนี้ช่วยบำรุงดินและทำให้ดินมีเสถียรภาพ เมื่อจะใส่ปุ๋ยต้นไม้ สุขภาพของมันก็จะดีขึ้น ดอกและผลของต้นไม้ยังพัฒนาและเพิ่มปริมาณและคุณภาพอีกด้วย นำปุ๋ย 10-10-10 มาโรยให้ทั่วดินรอบต้นไม้ ความสูงของต้นไม้แต่ละฟุตต้องใช้ปุ๋ยนี้ครึ่งถึงหนึ่งช้อนโต๊ะ เวลาที่ดีที่สุดในการใส่ปุ๋ยคือช่วงปลายฤดูหนาวหรือต้นฤดูใบไม้ผลิ
ศัตรูพืช/โรคพืช---โรคเหี่ยว (Wilt) กำลังกลายเป็นปัญหาร้ายแรงในหลายพื้นที่/ ยังไวต่อหนอน Mimosa web worm.
รู้จ้กอันตราย---การจัดการพืชอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังหรือเกิดอาการแพ้ได้ เมล็ดเมื่อกินจะทำให้ปวดศีรษะ อาเจียน ถ้าเป็นพิษรุนแรง ทำให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่สม่ำเสมอ ทำให้ชักได้
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้อเนกประสงค์มักจะปลูกเพื่อการใช้งานมากมาย มันมีค่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับไม้
ใช้กิน--- ฝักมีเนื้อสีน้ำตาลเหนียวรสหวาน มีคุณค่าทางโภชนาการซึ่งมีกลิ่นของน้ำผึ้งเมื่อฝักแตกและมีโปรตีนดิบ 12-18% เเครื่อง ดื่มผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายมะนาวทำจากเนื้อผล
ใช้เป็นยา---ใช้ยาต้มจากเปลือกด้านในและใบสดใช้สำหรับรักษาอาการท้องเสีย ยาต้มของวัสดุสดจะถูกใช้เป็นยาล้างในการรักษาปัญหาผิวเช่นโรคผิวหนัง, กลากและอาการคัน เมล็ดถูกเคี้ยวเพื่อรักษาอาการเจ็บคอ
ใช้ปลูกประดับ---ในฐานะไม้ประดับ นิยมปลูกตามสวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงาเป็นหนึ่งในต้นไม้ริมถนนที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศในเขตร้อน ตอนนี้ได้รับการปลูกกันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้
วนเกษตรใช้---ปลูกเพื่อให้ร่มเงาสำหรับพืชอื่น ๆ รวมถึงโกโก้กาแฟชาและพริก สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีน้ำตาล เนื้อไม้ของจามจุรีมีลักษณะพิเศษคือ มีลวดลายสวย อ่อนเหนียว และเบา จึงนิยมต่อเป็นลังเพื่อใส่สินค้าอุตสาหกรรมหนัก เรียกกันว่า ลังไม้ฉำฉา ปัจจุบันนิยมใช้ในงานหัตถกรรมหลายประเภท - คนทางภาคเหนือของประเทศไทยนิยมปลูกไว้เพื่อเลี้ยงครั่ง -ฝักเป็นแหล่งโปรตีนคาร์โบไฮเดรตและแร่ธาตุที่ดีสำหรับปศุสัตว์ วัวควายหมูแพะและสัตว์กินพืชอื่น ๆ -ฝักสามารถบดและแปลงเป็นแอลกอฮอล์เป็นแหล่งพลังงาน-ใบไม้ใช้ทำปุ๋ยหมัก
สำคัญ--- เป็นต้นไม้สัญลักษณ์ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดลำพูน
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Samanea saman ถูกระบุว่า 'มีความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Samanea saman. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144255307A148988354. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144255307A148988354.en. Accessed on 23 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144255307/148988354
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (Gordon 2005)
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำให้ชั้นเคลือบขี้ผึ้งไม่กันน้ำเสียหาย หรือนำไปแช่ในน้ำที่อุณหภูมิ 80 °C เป็นเวลา 2 นาที แล้วนำไปแช่ในน้ำที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลาหนึ่งวัน ในดินอินทรีย์โดยเติมทรายซิลิกาหยาบลงไป 30% ที่อุณหภูมิ 22-24 °C ระยะเวลางอก 3-5 วัน

10 ถ่อน/Albizia procera

[al-BIZ-ee-uh] [PRO-ker-uh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Albizia procera (Roxb.) Benth.(1844)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.
---Basionym: Mimosa procera Roxb.(1799).https://www.gbif.org/species/2973167
---Acacia procera (Roxb.) Willd. (1806)
---Feuilleea procera (Roxb.) Kuntze (1891)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:473360-1#synonyms   
ชื่อสามัญ---White siris , Forest siris, Rain siris, Red siris, Safed siris, Tall albizia
ชื่ออื่น ---พระยาฉัตรทัน,ส่วน (เชียงใหม่, เลย), ถ่อน ถินถ่อน นมหวา นุมหวา ทิ้งถ่อน (ภาคกลาง), ควะ เยกิเด๊าะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), เชอะบ้อง ซะบ้อง แซะบ้อง เซะบ้อง เส่บ้อง (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ; [AFRIKAANS: Basterlebbeck.];[ASSAMESE: Tantari-asing,Koroi.];[BANGLADESH: Silkorai.[;[CHINESE: Huang dou shu.];[CUBA: Albizia, Algarrobo de la India.];[FIJI: Vaivai, Vaivai ni vavalangi.];[HINDI: Safed Siris.];[INDONESIA: Ki hiyang, Wangkul, Weru.];[JAPANESE: Ītwukku no ki,Taiwan nemu no ki.];[KANNADA: Belari.];[KHMER: Tramkâng', Tronum' kâmphé:m.];[LAOTIAN: Thorn, Tho:nx.];[MALAYSIA: Oriang.];[MALAYALAM: Vellavaka, Jalavaka, Chalavaka, Kottavaga.];[MARATHI: Kinhai.];[MYANMAR: Kokko-sit, Sit.];[NEPALI: Seto siris.];[PAPUA NEW GUINEA: Brown albizia.];[PHILIPPINES: Akleng parang.];[SANSKRIT: Kinhai, Kiṇihī, Kinnigurai.];[TAMIL: Cavarecam, Cavarecamaram, Konda vaghe, Kontaivakai, Kovarakki, Kovarakkimaram, Nallavakai, Velvagai.];[TELUGU: Tella Chinduga.];[THAI: Thingthon, Thon.];[VIETNAMESE: Muồng xanh; Sóng rắn dài, Cọ thon.].[TRADE NAME: Forest siris, Safed siris.].
EPPO code---ALBPR (Albizia procera)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์, ออสเตรเลียตะวันตก, นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี); บังคลาเทศ; ภูฏาน; บรูไนดารุสซาลาม; กัมพูชา; จีน (กวางตุ้ง กว่างซี ไห่หนาน ยูนนาน); อินเดีย (เกาะอันดามัน, มณีปุระ, มหาราษฏระ, มัธยประเทศ, เบงกอลตะวันตก, อุตตรประเทศ, ตริปุระ, ทมิฬนาฑู, นากาแลนด์, มิโซรัม, เมฆาลัย, อานธรประเทศ, อรุณาจัลประเทศ, อัสสัม, พิหาร, คุชราต, หรยาณา, กรณาฏกะ, เกรละ, โอริสสา) ; อินโดนีเซีย (ชวา, กาลิมันตัน, เกาะซุนดาน้อย, มาลุกุ, สุลาเวสี, สุมาตรา); สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว; มาเลเซีย; พม่า; เนปาล; ปาปัวนิวกินี (กลุ่มเกาะหลัก), โซโลมอนเหนือ, หมู่เกาะบิสมาร์ก); ฟิลิปปินส์; ศรีลังกา; ไต้หวัน; ประเทศไทย; ติมอร์-เลสเต; เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Albizia' ได้รับการตั้งชื่อตาม Filippo del Albizzi ขุนนางชาวฟลอเรนซ์ผู้ซึ่งในปี 1749 ได้แนะนำ A. julibrissin เพื่อการเพาะปลูก Albizia procera (Roxb.) Benth มีพื้นฐานมาจาก Mimosa procera Roxburgh และเผยแพร่ภายใต้ Albizia โดย G. Bentham ใน Hooker's London Journal of Botany 3: 89 (1844) ; ชื่อสปีชีส์ 'procera' นั้นมาจากภาษาละติน procerus = สูงหรือสูงมาก อ้างถึงความสูงของสปีชีส์ที่สามารถบรรลุได้
Albizia procera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2387
ที่อยู่อาศัย---เกิดขึ้นตามธรรมชาติมีการกระจายกว้างจากอินเดีย พม่าผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังปาปัวนิวกินีและออสเตรเลียตอนเหนือ  ขยายไปทางทิศเหนือสู่ประเทศจีนรวมถึงไหหลำและไต้หวัน ประชากรที่แยกได้เกิดขึ้นในคาบสมุทรมลายู ฟิลิปปินส์ตอนใต้ กาลิมันตันใต้และสุมาตรา (อินโดนีเซีย) และปาปัวนิวกินี มักพบขึ้นตาม ป่ามรสุม ป่าโปร่ง ป่าเบญจพรรณ ทุ่งหญ้าสะวันนา ลำห้วยแห้งไปจนถึงป่าพรุ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 1,700 เมตร
บทสรุปของการรุกราน---เป็นสปีชีส์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กึ่งผลัดใบ ต้องการแสง และค่อนข้างทนแล้ง ซึ่งรากดูดหลังจากความเสียหาย ( Troup, 1921 ) และผสมพันธุ์ได้ง่าย ( Ryan and Bell, 1989 ) ต้นไม้ต้นนี้มีศักยภาพที่จะเป็นวัชพืชได้ในบางสภาพแวดล้อมเนื่องจากมีการเจริญเติบโตที่ก้าวร้าว และ Binggeli ในปี พ.ศ. 2539 ได้จำแนกว่าเป็นไม้ยืนต้นที่อาจรุกรานได้



รูปภาพประกอบจาก https://www.anbg.gov.au/cpbr/cd-keys/RFK7/key/RFK7/Media/Html/entities/Albizia_procera.htm
Flowers and buds. Copyright CSIRO Image 2 of 8 “ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์”

ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางผลัดใบ สูง 7-15 และสามารถเข้าถึงความสูงได้ 30 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 35-60 ซม.เปลือกต้นเรียบสีเทาอมน้ำตาลมีร่องแนวนอนบางครั้ง เป็นรอยขุยด่าง มีรูระบายอากาศทั่วไป เปลือกชั้นในสีชมพู โคนเป็นพูพอน เรือนยอดโปร่ง ลำต้นเปลาตรง แตกกิ่งต่ำ ลักษณะใบของถ่อน เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) มี 2-5 (-8) คู่ เรียงสลับ ใบย่อยรูปคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกว้าง  0.75-2.5 ซ.ม.ยาว 2-6 ซ.ม.ขณะแตกใบอ่อน สีแดงเรื่อหรือน้ำตาลอมแดง ยอดและกิ่งอ่อนมีขน ช่อดอกเป็นช่อขนาดใหญ่ยาว 30 ซม.ออกเป็นช่อกระจุกแน่น ประกอบอยู่ในช่อแยกแขนง ตามปลายกิ่งสีขาว ผลเป็นฝักแบนเรียบ ยาว 10-25 ซม. กว้าง 2-3 ซม. ผิวด้านหนึ่งสีเขียวอีกด้านหนึ่งสีน้ำตาลอมแดง เมล็ดแบนมี 6-12 เมล็ด รูปไข่ 7.5-8 มม. x 4.5-6.5 มม. และหนา 1.5 มม. ที่จัดเรียงตามขวางในฝัก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9b-11) อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดต่อปีที่ 32ºCและค่าเฉลี่ยรายปีขั้นต่ำที่ 21ºC โดยอุณหภูมิต่ำสุดที่ -1ºC บันทึกไว้ตลอดช่วงตามธรรมชาติ ชอบแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด ชอบดินร่วนปนทรายเจริญเติบโตได้ดีบนดินตื้นที่มีค่า pH 5.5-7.5 อัตราการเจริญเติบโต ต้นไม้สามารถมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1 - 4 ซม. บรรลุ dbh 40-60 ซม. ใน 30 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป เป็นพืชทนแล้ง เหมาะสำหรับ xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งจำเป็นที่ตาย เสียหายหรือเป็นโรคออกเท่านั้น หากต้องการลดขนาดหรือรักษาสมดุลการเติบโตของสาขา รอจนสิ้นสุดการออกดอก
การใส่ปุ๋ย---การใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสสามารถปรับปรุงการยึดเกาะและการตรึงไนโตรเจน โดยเฉพาะในดินที่ไม่ดี
ศัตรูพืช โรคพืช--- ด้วง ไส้เดือนฝอย หนอนเจาะลำต้น ปลวก Bruchids หรือมอดเมล็ด/โรคใบจุด รากเน่าที่เกิดจากเห็ดหลินจือ
รู้จักอันตราย---เมล็ดประกอบด้วย proceranin A ซึ่งเป็นพิษต่อหนูเมื่อให้ยาทางปาก สำหรับหนูคือ 15 มก. / กก. น้ำหนักตัว กรดไฮโดรไซยานิกได้รับการระบุว่าเกิดขึ้นในต้นไม้
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อน ใบอ่อนลวกต้มรับประทานได้ ใบใช้ในการหมักทำน้ำปลา ในช่วงเวลาที่ขาดแคลนเปลือกไม้จะถูกบดเป็นผงผสมกับแป้งและกิน
ใช้เป็นยา---*มีการวิจัยบางอย่างเกี่ยวกับกิจกรรมทางการแพทย์ของพืชและมีการบันทึกสารประกอบที่ใช้งานอยู่จำนวนหนึ่ง ทุกส่วนของพืชมีการรายงานเพื่อแสดงฤทธิ์ต้านมะเร็ง
- รากประกอบด้วย alpha-spinasterol และซาโปนินที่ได้รับการรายงานว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออสุจิที่เจือจาง 0.008% https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Albizia+procera
- ส่วนที่ใช้ในยาแผนโบราณ เปลือกต้น ช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้เป็นยาแก้หืดไอ เปลือกต้นใช้ต้มกับรากมะตูม มีสรรพคุณแก้อาเจียน ช่วยในการขับผายลม แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ เปลือกต้นใช้ต้มกับรากมะตูมเป็นยาแก้ท้องร่วง เปลือกต้นแก้โรคผิวหนัง แก่นใช้เป็นยาแก้ริดสีดวงทวาร รากใช้เป็นยาแก้น้ำเหลืองเสีย รากและแก่นทิ้งถ่อนมีรสขมร้อน ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้อาการปวดหลัง ปวดเอว แก้เส้นตึง เส้นท้องตึง
วนเกษตร---ฟื้นฟูสภาพดินที่กัดกร่อนและเสื่อมโทรม มีความสามารถเติบโตบน ดินแห้งแข็ง ดินทราย ชั้นดินทรายตื้นบนหิน จึงเป็นสายพันธุ์ที่มีประโยชน์สำหรับการปลูกป่าในพื้นที่ที่ยากลำบาก สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น
ใช้ปลูกประดับ---เป็นไม้ประดับให้ร่มเงา มักปลูกตามถนน สวนขนาดใหญ่ ตามสวนสาธารณะและในสวนเพื่อประดับตกแต่ง
ใช้อื่น ๆ---กระพี้สีเหลือง ขาว ที่ไม่คงทน แก่นไม้หนักสีน้ำตาลเข้มมีแถบสีอ่อนและสีเข้มคล้ายวอลนัท ไม้มีความแข็งแรงยืดหยุ่นเหนียวและแข็ง ทำตู้และเฟอร์นิเจอร์ เป็นไม้ที่ดีและยังเหมาะสำหรับการก่อสร้างทั่วไป อุปกรณ์ทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ต้นไม้เป็นที่ต้องการของนักแกะสลักท้องถิ่น เปลือกสามารถให้วัสดุฟอกหนัง ถูกใช้ในอินเดียสำหรับการฟอกและย้อมสี แต่ปริมาณแทนนินต่ำ (12-17%) มีการสูญเสียน้ำหนักมากในการอบแห้งและการเก็บเกี่ยวยาก เป็นข้อจำกัด ที่สำคัญ ใช้ผลิตถ่านและไม้ฟืนได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นสายพันธุ์สำหรับการผลิตไม้ฟืนในเปอร์โตริโก
- ในอินเดียใบไม้ถือเป็นอาหารสัตว์ที่ดีสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้องส่วนใหญ่ (วัว แกะ แพะ ช้างและกวาง) และต้นไม้นั้นถูกตัดให้เป็นอาหารสัตว์ในหลายรัฐ
- เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน มันถูกใช้ในอินเดียสำหรับการฟอกและย้อมสี แต่ให้ผลผลิตต่ำ
- ในเนปาล เปลือกต้นโขลกใช้เป็นยาเบื่อปลาและใช้เป็นยาฆ่าแมลง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Albizia procera ถูกระบุอยู่ในรายการที่น่ากังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Barstow, M. 2019. Albizia procera. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T60757956A60757961. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-1.RLTS.T60757956A60757961.en. Accessed on 25 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/60757956/60757961
- ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่ามีความกังวลน้อยที่สุดในประเทศจีน (MEP, CAS 2014) มีอยู่ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด 24 แห่ง (BGCI 2018)รวมถึงสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนJawaharlal Nehru Tropical Botanic Gardenและสถาบันวิจัยประเทศอินเดียรัฐเกรละ
ระยะออกดอก/ติดผล---ในประเทศออสเตรเลีย ออกดอกประมาณเดือนมีนาคม-พฤษภาคม และผลสุกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม
- ในอินเดียการออกดอกจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนหลังมรสุมเริ่ม; ฝักจะเกิดขึ้นทันทีหลังดอกบานและโตเต็มที่ใน 8 เดือน (มกราคม-มีนาคมในรัฐทางตอนเหนือ)
- ที่อื่นมีรายงานการออกดอกและผลตลอดทั้งปี ( ICFRE, 1995 ; Valkenburg, 1997 )
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ชำราก
- เมล็ดสดมีอัตราการงอกเร็ว 90-100%

11 แคแสด/spathodea campanulata

ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Spathodea campanulata P.Beauv.(1805.)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Spathodea nilotica f. bryanii O.Deg. & I.Deg.(1974)
---(More).See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-318309
ชื่อสามัญ---African Tulip Tree, Fountain Tree, Fireball, Gabon tulip tree, Nandi Flame, Nile flame, Squirt tree, Uganda flame.
ชื่ออื่น---แคแสด, แคแดง (กรุงเทพ), ยามแดง ; [AFRIKAANS: Fakkelboom, Afrika-vlamboom.];[BENGALI: Rudra palash.];[CAMEROON: Evouvou (Bulu), Evovon (Ewondo, Nanga).];[CHINESE: Huo yan mu, Cu ye jiu ping shu, Huo yan shu, Ao zhou huo yan shu (Taiwan), neerukayi maru.]; (Cantonese).];[FIJI: Taga mimi.];[FRENCH: Abre-flamme, Tulipier du Gabon, Tulipier d'Afrique, Immortel entranger.];[GERMAN: Afrikanischer Tulpenbaum.];[HINDI: Rugtoora.];[JAPANESE: Kaenboku.];[KANNADA: Neerukayi mara.];[MALAYSIA: Panchut-panchut.];[MALAYALAM: Phaauntanmaram. Sphaathhoodiya, Sukoottamaram.];[MARATHI: Akash shevga.];[PALAU: Orsachel kui.];[PHILIPPINES: Sirit-sirit (Tag.).];[PORTUGUESE: Bisnagueira, Chama-da-floresta, Espatódea, Tulipeira-da-África, Tulipeira-do-Gabao.];[RUSSIAN: Spatodeia kolokol'chataia.];[SAMOA: Fa‘apasī, tulipe.];[SINHALESE: Kudaella gaha, Kudulu.];[SPANISH: Amapola, Espatodea, Mampolo, Tulipán africano, Llama del bosque.];[SWAHILI: Kibobakasi, Kifabakazi.];[SWEDISH: Afrikanskt tulpanträd.];[TAMIL: Patadi.];[TELUGU: Neeti Budda, Gonuganta.];[THAI: Khae sàet, Khae daeng, Yaam daeng.];[TONGA: Tiale akapisipisi, Tiulipe.];[UGANDA: Kibobakasi, Kifabakazi, Sebetaiyet.];[TRADE NAME: Nandi flame.].
EPPO Code--- SPOCA (Preferred name: Spathodea campanulata)
ชื่อวงศ์ ---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แองโกลา; เบนิน; บุรุนดี; แคเมอรูน; สาธารณรัฐอัฟริกากลาง; คองโก; โกตดิวัวร์; อิเควทอเรียลกินี (อันโนบอน, บิโอโก); กาบอง; แกมเบีย; กานา; กินี; กินี-บิสเซา; ไลบีเรีย; ไนจีเรีย; รวันดา; เซียร์ราลีโอน; ซูดาน; แทนซาเนีย; ยูกันดา; แซมเบีย
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Spathodea' มาจากคำภาษากรีกหมายถึง 'spathe' (ใบมีด) อ้างอิงถึงรูปร่างของกลีบและ calices : ชื่อสายพันธุ์ 'campanulata' อธิบายรูประฆังของดอกไม้
Spathodea campanulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ(Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ambroise Marie Francois Joseph Palisot de Beauvois (1752–1820) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2348
Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:110661-1#children
Includes 3 Accepted Infraspecifics
- Spathodea campanulata subsp. campanulata
- Spathodea campanulata subsp. congolana Bidgood.(1994)
- Spathodea campanulata subsp. nilotica (Seem.) Bidgood.(1994)


ที่อยู่อาศัย---เป็นพืชพื้นเมืองในแอฟริกา มีถิ่นกำเนิดทอดตัวไปตามชายฝั่งตะวันตก จากกินีไปแองโกลาและ ข้ามเขตป่าฝนเขตร้อนไปทางใต้ของซูดานและยูกันดา แพร่กระจายในหลายประเทศส่วนใหญ่เป็นเกาะเขตร้อนในมหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดียและแคริบเบียน แต่ยังรวมถึงสิงคโปร์ ปาปัวนิวกินีและออสเตรเลีย เติบโตตามธรรมชาติในป่าทุติยภูมิในเขตป่าสูงและในช่วงเปลี่ยนผ่านและป่าสะวันนาที่ระดับความสูงไม่เกิน 2,000เมตร
-  เป็นสายพันธุ์ที่พบได้ทั่วไปในแอฟริกาตั้งแต่กินีไปจนถึงแองโกลา (CABI 2017) มีการแปลงสัญชาติอย่างกว้างขวางในเขตร้อนหลังจากถูกนำมาใช้เพื่อคุณค่าทางไม้ประดับ และถือว่ารุกรานไปทั่วมหาสมุทรแปซิฟิก อเมริกาใต้ แคริบเบียน ออสเตรเลีย และที่อื่นๆ ได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งใน 100 ผู้รุกรานที่ "เลวร้ายที่สุดในโลก"   
ลักษณะ---ต้นสูงประมาณ 15-20 เมตร ใบเป็นใบผสมแบบขนนกพุ่มของใบหนาทึบ ยาว 20-25 ซม มีใบย่อย 4-7คู่ รูปรีปลายแหลมผิวใบสากระคายมือ ก้านใบยาวถึง 6 ซม ดอกเป็นช่อเกิดที่ปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งตรงยาว 8-10 ซม.กลีบดอกเป็นรูประฆัง คล้ายดอกทิวลิป สีส้มแสด ดอกขนาดใหญ่ กลีบร่วงง่าย ดอกแคแสดสีสันแดงแสดสดใสออกเป็นช่อตามปลายกิ่งดอกมักบานพร้อมกันทั้งต้น ดอกตูมของแคแสดจะมีน้ำขังอยู่ภายในดอก เมื่อบีบแรงๆน้ำจะพุ่งออกมาตอนปลายดอกจึงมีชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า Fountain Tree ผลเป็นแคปซูลปลายผลแหลม ขนาด 17-25 x 3.5-7 ซม แก่สีน้ำตาลดำผลแก่จะแตกเพียงด้านเดียว เมล็ดเล็กแบนกว้างประมาณ 2.5 ซม. มีปีกสีขาวเงินและโปร่งใส
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 9b-11) แคแสดเป็นต้นไม้กลางแจ้งที่ปลูกง่าย และโตเร็วแต่ต้องใช้ตำแหน่งที่มีที่กำบังจากลมแรง แสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ขึ้นได้ในดินเกือบทุกชนิดสามารถเติบโตได้ในดินที่ไม่ดีแต่ชอบดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ ลึก และมีการระบายน้ำดี  pH ในช่วง 5 - 7.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8 ทนต่อการระบายน้ำไม่ดี และทนทานต่อความแห้งแล้งได้นานถึงหกเดือน การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ทนแล้ง; เหมาะสำหรับ xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---มีระบบรากผิวเผินและกิ่งก้านที่เปราะ ทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับใช้ในบริเวณที่มีลมแรง การตัดแต่งต้นไม้จะช่วยป้องกันไม่ให้กิ่งหักและยังช่วยให้มีรากที่ลึกยิ่งขึ้นอีกด้วย
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยคอกในฤดูใบไม้ร่วง
ศัตรูพืช/โรคพืช-ศัตรูธรรมชาติ มีความอ่อนไหวต่อแมลงศัตรูพืชหลากหลายชนิด/สำหรับโรคพืชได้แก่โรคยอดเน่าและโรคโคนเน่า
รู้จักอันตราย--- ผลไม้มีพิษ เมล็ดในผลไม้จะถูกต้มเพื่อให้ได้ของเหลวที่เป็นพิษซึ่งใช้ที่ปลายลูกศรของนักล่าในแอฟริกา
การใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อเป็นอาหาร ยาและสินค้าต่าง ๆ ที่ใช้ในท้องถิ่น
ใช้กิน---เมล็ดใช้เป็นอาหารในแอฟริกา ดอกแคแสดสามารถนำมาใช้ประกอบอาหารได้เหมือนแคบ้าน
ใช้เป็นยา---ส่วนที่ใช้  เปลือกลำต้น เมล็ด ดอกไม้และรากใช้เป็นยา
- ในยาแผนโบราณของแอฟริกา ตาดอกที่ยังไม่ได้เปิดประกอบด้วยของเหลวหวาน ที่ถือว่าเป็นยาชูกำลัง เปลือกลำต้นใช้เป็นยาสำหรับรักษาแผล
- ในประเทศกานาเปลือกต้นและใบใช้สำหรับรักษาอาการอาหารไม่ย่อยและแผลในกระเพาะอาหาร
- ใบเปลือกรากและผลไม้ใช้สำหรับโรคข้ออักเสบและกระดูกหัก
- เปลือกลำต้นใช้สำหรับแก้ปวดฟันและปวดท้อง เปลือกเมล็ดใช้สำหรับแผลที่กระเพาะอาหาร
- สารสกัดจากเปลือกไม้ใบและดอกใช้รักษาโรคมาลาเรีย, HIV, เบาหวาน, อาการบวม, โรคบิด, ท้องผูก, โรคระบบทางเดินอาหาร, โรคผิวหนัง, บาดแผล, ไข้, การอักเสบของท่อปัสสาวะ, ตับและเป็นยาแก้พิษ
วนเกษตรใช้--- ฟื้นฟูสภาพดินเสื่อมโทรมผ่านการเติบโตอย่างรวดเร็ว มันถูกปลูกในแผนการปลูกป่าเพื่อการอนุรักษ์ดินและเป็นพืชสวนเพื่อการผลิตไม้อัดในฟิลิปปินส์
ใช้ปลูกประดับ--- การใช้เป็นไม้ประดับคือการใช้งานหลัก ด้วยทรงพุ่มและใบสีเขียวเข้มตัดกับรูปทรงดอกใหญ่สีส้มแดงมองเห็นได้ในระยะไกล ทำให้เป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อน ในสวนขนาดใหญ่ สวนสาธารณะ ตามบ้านพักอาศัย แต่มีข้อจำกัด แคแสดเป็นต้นไม้ที่เติบโตเร็วแม้ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตามมันมีระบบรากตื้นและกิ่งที่เปราะทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับใช้ในไซต์ที่มีลมแรง ไม่แนะนำให้ใช้เป็นต้นไม้ริมถนน เนื่องจากกิ่งก้านหนามีแนวโน้มที่หักตามแรงลมและอาจมีความเสี่ยงต่อผู้ที่อยู่ด้านล่าง และบางครั้งต้นไม้สร้างหน่อจากไหลที่แข็งแรง เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ปลูกมันไว้ใกล้บ้านหรือทางเท้า การตัดแต่งต้นไม้จะช่วยป้องกันกิ่งก้านแตกและจะกระตุ้นให้รากลึก เป็นต้นไม้ที่นิยมใช้ในงานจัดสวนมากอีกต้นหนึ่ง แคแสดจะให้ดอกตลอดปีแต่จะออกดอกมากที่สุดในฤดูหนาว
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้มีสีขาว-สีน้ำตาลอ่อน นวลนุ่มและบางเบาโดยทั่วไปแล้วมีค่าเพียงเล็กน้อย เหมาะสำหรับงานไม้หยาบ เช่น ลังไม้และบานเกล็ด ไม้อัดดูเหมือนจะเป็นเพียงการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลายสำหรับไม้เท่านั้น
- ดอกไม้ให้สีย้อมธรรมชาติและให้สารละลายสีน้ำตาล
- ไม้ใช้สำหรับเป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก ประชากรแพร่หลายและมีขนาดใหญ่ ถือว่ารุกรานในหลายภูมิภาคที่อยู่นอกขอบเขตตามธรรมชาติ เนื่องจากการติดผลจำนวนมาก เมล็ดและการดูดที่กระจายไปตามลม ซึ่งทำให้ยากต่อการกำจัด ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2017 Spathodea campanulata ถูกระบุอยู่ในรายการที่น่ากังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2017)
source: Rivers, M.C. & Mark, J. 2017. Spathodea campanulata. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T49196213A49196223. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T49196213A49196223.en. Accessed on 25 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/49196213/49196223
- มีเกือบ 100 แหล่งที่รู้จักและบันทึกคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิดของสายพันธุ์นี้ในสวนพฤกษศาสตร์ทั่วโลก (BGCI 2017)
ระยะออกดอก/ติดผล--- ตุลาคม-กุมภาพันธุ์
ขยายพันธุ์ --- ด้วยวิธีเพาะเมล็ด สกัดรากหรือไหลที่โคนต้น

12 นนทรี/Peltophorum pterocarpum

[pel-TOH-for-um] [ter-oh-KAR-pum]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Peltophorum pterocarpum (DC.) Backer ex K.Heyne.(1927)
ชื่อพ้อง ---  Has 15 Synonyms.
---Basionym: Inga pterocarpa DC. (1825).https://www.gbif.org/species/2952775
---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:513021-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Copper-pod, Copperpod, Rusty shield- bearer, Sagabark peltophorum, Yellow flamboyant, Yellow flame, Yellow Gulmohar Tree, Yellow poinciana.
ชื่ออื่น---กระถินแดง, กระถินป่า (ตราด); นนทรี (ทั่วไป); สารเงิน (แม่ฮ่องสอน) ;[CAMBODIA: Tramkong, Trasek.(Central Khmer).]; [CHINESE: Dùn zhù mù, Huáng dùn zhù mù, Shuāngyì dòu, Yì guǒ dùn zhù mù.];[CUBA: Framboyan amarillo.];[FRENCH: Calice.];[GERMAN: Gelber Flamboyant.];[HINDI: Peela Gulmohar.];[INDIA: Bonmeza, Ivalvagai, Ivavakai, Kondacinta, Perungondrai, Rain tree,];[INDONESIA: Soga, Soga jambal.];[LAOS: Dom trosek.];[MALAYALAM: Charakonna.];[MALAYSIA: Batai laut, Jemerelang.];[MARATHI: Pivala gulmohar.];[PHILIPPINES: Jamerelang laut, Siar (Tagalog), Kaju suga (Java).];[PORTUGUESE: Poinciana-amarela.];[SAINT LUCIA: Gloden flambouyant.];[SIDDHA/TAMIL: Ivalvagai, Perungondrai.];[SINHALESE: Konyaivakai, Perungkonyai.];[SPANISH: Flamboyán amarillo, Flamboyán dorado, Poinciana amarilla, Arbol llama amarilla.];[TAMIL: Konyaivakai, Perungkonyai.];[THAI: Kra thin daeng, Kra thin pa (Trat); Non si (General); Sara-ngoen (Mae Hong Son).];[VIETNAM: Lim set, Lim vangh, Trac vang.];[TRADE NAME: Braziletto wood.].
EPPO Code--- PEFPT (Preferred name: Peltophorum pterocarpum)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ศรีลังกา, ไทย, มาเลเซีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี, ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์-ชื่อสกุล 'Peltophorum' มาจากการรวมกันของคำกรีกแท้ 'pĕltē' =โล่เล็ก ๆ รูปร่างคล้ายเสี้ยวและคำกริยา 'phoreo'=พกพา อ้างอิงถึง peltate ;ชื่อของสายพันธุ์ 'pterocarpum'คือการรวมกันของคำกรีก "pterόn"=ปีกและ "carpόs" = ผลไม้
Peltophorum pterocarpum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Cornelis Andries Backer (1874–1963)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์จากอดีต Karel Heyne (1877–1947)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปีพ.ศ.2470

 

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโด - มลายู พบได้จากหมู่เกาะอันดามันและศรีลังกาทางตะวันตกผ่าน Malesia ไปยังปาปัวนิวกินีและทางเหนือของออสเตรเลีย และเกิดขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่อื่น ๆ ของเขตร้อน เติบโตในสภาพป่าเปิด ป่าชายหาด ขอบป่าชายเลนและพื้นที่ที่ถูกรบกวน มักพบที่ระดับความสูงต่ำกว่า 100 เมตร แต่สามารถพบได้สูงถึง 1,600 เมตรเป็นครั้งคราว ในประเทศไทยพบตามชายฝั่งทะเล และป่าโปร่งหลังป่าโกงกาง
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงประมาณ 10-15(-24) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 50 (-100) ซม.ลำต้นค่อนข้างเปลาตรง  เปลือกลำต้นเป็นสีเทา หรือสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆตลอดไปทั่วลำต้น เรือนยอดเป็นรูปร่มหรือทรงกลมกลายๆ ตามกิ่งและก้านอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงทั่วไป ส่วนกิ่งแก่เกลี้ยง ใบรวมเป็นช่อสลับซ้ายขวา เป็นแผง ยาว 30-60 ซม.ใบแตกเป็นคู่ตามก้านใบ8-10 คู่ แต่ละคู่มี10-20คู่ใบยาว 20-27 ซม.ใบย่อยรูปขอบขนานยาว 0.8-2.5 ซม. ฐานใบเฉียง ดอก สีเหลือง เป็นช่อขนาดใหญ่มีกิ่งก้านแขนงมาก ออกตามง่ามใบตอนปลายกิ่งหรือบริเวณส่วนยอดของลำต้น ออกดอกเป็นช่อตั้งตรงสูง ยาวประมาณ 20-30 ซม.กลีบดอกป้อมบางและยับย่น เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม.กลีบรองดอกด้านนอกมีขนสีน้ำตาลแดง ประปราย เกสรเพศผู้มี10อัน หลังจากดอกโรยไปหมดแล้ว จะเกิดฝักมาแทนที่  ผลเป็นฝักแบนรูปรีปลายและโคนสอบแหลม ขนาดกว้างประมาณ 2 ซม.ยาว 5-12 ซม.สีน้ำตาลอมม่วงเมื่อแก่จัดจนแห้งเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำแต่ละฝักมี 1-4 เมล็ด เมล็ดแบนบางมีปีก ยาว 5-10 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 27 - 38°C แต่สามารถทนอุณหภูมิได้ 10 - 40°C เป็นที่ทราบกันว่าพืชสามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิต่ำเป็นครั้งคราวจนถึง -5°C (USDA Zone 10a-11) ตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และในตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง ดินที่มีการระบายน้ำดี ทนต่อดินเหนียวหนัก ทนเค็มในระดับปานกลาง ค่า pH ในช่วง 5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.3 - 7. อัตราการเจิญเติบโต เร็ว มีความสูง 9 เมตรใน 3 ปีและออกดอกเมื่ออายุประมาณ 4 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ทนแล้ง; เหมาะสำหรับ xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดต้นไม้ในช่วงพักตัวหรือหลังดอกบาน การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยปีละ 3 ครั้งในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือใช้ปุ๋ยที่ให้ปุ๋ยละลายช้าอย่างสมดุล เช่น สูตร 10-10-10 หรือ 14-14-14 ในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อศัตรูพืชและโรค อย่างไรก็ตามอาจประสบปัญหาบางอย่างเป็นครั้งคราว สัตว์รบกวนทั่วไปที่อาจส่งผลกระทบต่อพวกมัน ได้แก่หนอน ผีเสื้อ เพลี้ยอ่อนและแมลงหวี่ขาว/ หลีกเลี่ยง การรดน้ำมากเกินไปเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา เช่นรากเน่าและโรคราแป้ง
รู้จักอ้นตราย---None known

การใช้ประโยชน์--- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาและแหล่งวัสดุ  
ใช้เป็นยา---ในยาแผนโบราณมันถูกใช้เป็นยาสมานแผล ใช้ในการรักษาหรือบรรเทาความผิดปกติของลำไส้ ใช้หลังเกิดอาการปวดเมื่อคลอดบุตร เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำและบวม หรือเป็นโลชั่นสำหรับปัญหาตาปวดกล้ามเนื้อและแผล นอกจากนี้ยังใช้สำหรับน้ำยาบ้วนปากและผงฟัน
- ดอกไม้มีเม็ดสี flavanone glycoside, naringenin 7-glucoside สารสกัดแอลกอฮอล์จากดอกไม้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย
วนเกษตรใช้---มีศักยภาพเป็นสายพันธุ์บุกเบิกสำหรับการฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ใช้สำหรับการปลูกป่า ใช้เป็นแหล่งของปุ๋ยพืชสด และปลูกเพื่อป้องกันความเสี่ยง สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโตแต่บางชนิดสามารถใช้โดยพืชอื่น
ใช้ปลูกประดับ---เป็นต้นไม้ประดับที่สวยและสง่างาม ปลูกกันอย่างกว้างขวางทั้งสำหรับตกแต่งและให้ร่มเงา
อื่น ๆ---กระพี้เป็นสีขาวอมเทา และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเทาเมื่ออายุมากขึ้น แก่นไม้สีน้ำตาลอมชมพูเป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง สามารถเลื่อย ไสได้ง่าย ใช้งานง่ายและใช้ในท้องถิ่นเพื่อวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างเบา การต่อเรือ การทำตู้ ไม้แปรรูปหรืองานแกะสลักไม้ งานประดับมุก และไม้ยังใช้เป็นเชื้อเพลิง
- เปลือกของ P. pterocarpum เป็นองค์ประกอบสำคัญของสีย้อม 'soga' สีดำใน Java ใช้สำหรับงานผ้าบาติก นอกจากนี้ยังใช้สำหรับฟอกหนัง รักษาและย้อมสีอวนประมง
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในประเทศไทยเชื่อว่าปลูกนนทรีจะคงเดชเดชามีอานุภาพดังพญานกอินทรีเพราะนนทรีจะมีชื่อเรียก อีกชื่อว่า อินทรี  
สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเทศไทย
ระยะออกดอก ---กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์ ---* เมล็ดพันธุ์ เมล็ดที่ไม่ผ่านการบำบัดต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะงอก
- การงอกเร็วขึ้นโดยการกรีดปลายด้านหนึ่งของเปลือกเมล็ดแข็ง ทำให้เปลือกเมล็ดนิ่มลงด้วยกรดเจือจาง หรือแช่เมล็ดในน้ำเดือดเป็นเวลา 2 นาที แล้วแช่ในน้ำเย็นเป็นเวลาหนึ่งคืน บันทึกการงอกได้ที่ 78%
-ต้นกล้าควรได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดในเรือนเพาะชำเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะย้ายไปปลูกในแปลง https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Peltophorum+pterocarpum
- อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการงอกคือประมาณ 25-30°C โดยทั่วไปการงอกจะใช้เวลา 1-3 สัปดาห์ แต่อาจแตกต่างกันไป


13 อะราง/Peltophorum dasyrachis

[pel-TOH-for-um] dasyrhachis


ชื่อวิทยาศาสตร์---Peltophorum dasyrhachis (Miq) Kurz.(1977)
ชื่อพ้อง--Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60469466-2#synonyms
---Baryxylum dasyrachis (Miq.) Pierre. (1899)
---Brasilettia dasyrhachis (Miq.) Kuntze.(1891)
---Caesalpinia dasyrhachis Miq.(1861)
ชื่อสามัญ---Yellow Batai Tree, Yellow poinciana
ชื่ออื่น---นนทรีป่า, นนทรี (ภาคกลาง); กว่าแซก (เขมร-กาญจนบุรี); คางรุ้ง, คางฮุ่ง (พิษณุโลก); จ๊าขาม, ช้าขม (เลย); ตาเซก (เขมร-บุรีรัมย์); ราง (ส่วย-สุรินทร์); ร้าง, อะราง, อะล้าง (นครราชสีมา, อุดรธานี); อินทรี (จันทบุรี);[CAMBODIA: Trâse:k.];[CHINESE: Máo zhóu dùn zhù mù.];[INDONESIA: Soga (Palembang), Petaian (Lampung).];[KHMER: Trasek.];[LAOS: S'a:z kha:m, Sa f'ang, Sa: ph'ang.];[MALAYSIA: Jemerelang, Batai.];[THAI: Arang, Rang, A lang (Nakhon Ratchasima, Udon Thani);  Kwa-saek (Khmer-Kanchanaburi); Khang rung, Khang hung (Phitsanulok); Cha kham, Sa chom (Loei); Ta-sek (Khmer-Buri Ram); Non si (Central); In si (Chanthaburi).];[VIETNAM: Cây Lim Vang, Lim vàng.]
EPPO Code--- PEFDA (Preferred name: Peltophorum dasyrhachis)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม และแอฟริกา
Peltophorum dasyrachis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2520
Accepted Infraspecifics https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60469466-2#synonyms
Includes 2 Accepted Infraspecifics  
- Peltophorum dasyrhachis var. dasyrhachis พบในประเทศไทย
- Peltophorum dasyrhachis var. tonkinensis (Pierre) K.Larsen & S.S.Larsen.(1980) พบใน กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา ,อินโดนีเซีย ,ลาว ,มาเลเซีย ,ไทย ,เวียดนาม ) และได้รับการแนะนำในแอฟริกา (ไอวอรี่โค้สท์ ,เซียร์ราลีโอน, แทนซาเนีย, ยูกันดา) พบ ตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณทั่วไป ที่สูงจากระดับน้ำทะเล100-1,000 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลัดใบ สูง15-30 เมตร ลักษณะเปลือกต้นเป็นสีเทาหรือสีเทาอมน้ำตาลค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆทั่วไป  เปลือกในสีน้ำตาลอมแดง ตามกิ่งก้านและยอดอ่อนจะมีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม กิ่งและใบแก่เกลี้ยง เรือนยอดเป็นรูปทรงกลมทึบ ใบ ประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) เรียงสลับ ยาวสูงสุด 32 ซม. ก้านใบยาว 5.5–7 ซม. ใบประกอบออกตรงข้ามเป็นคู่ 5-9  คู่ ใบย่อยรูปขอบขนานแคบ 6-16 คู่ โคนใบสอบและเบี้ยว ปลายทางใบทู่และหยักเว้าเล็กน้อย หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางขอบใบเรียบ แผ่นใบบางคล้ายใบกระถิน อะราง ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ดอกสีเหลืองสด ช่อดอกห้อยลง (นนทรีตั้งขึ้น) กลีบฐานดอกมี5กลีบ ขอบกลีบจะเกยทับกัน กลีบดอกมี5กลีบ รูปกลีบดอกป้อมๆ กลีบดอกย่นโคนกลีบมีขนสีน้ำตาลประปราย เกสรผู้มี10อัน ผลเป็นฝักแบนโคนและปลายฝักเรียวแหลมยาว 10-15 ซม. และกว้าง 2-4 ซม. ภายในมีเมล็ดแบนๆเรียงตัวตามขวางของฝัก จำนวน1-4เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น (USDA Zones 10-12) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นอ่อนสามารถทนต่อร่มเงาได้ อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปี 20 - 25°C และอุณหภูมิเฉลี่ยของเดือนที่หนาวที่สุดไม่ต่ำกว่า 15°C เติบโตได้ในดินหลายชนิด เนื่องจากระบบการหยั่งรากที่ค่อนข้างลึก ทำให้พืชสามารถทนต่อสภาพแล้งได้
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ทนแล้ง; เหมาะสำหรับ xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ ตัดต้นไม้ในช่วงพักตัวหรือหลังดอกบาน การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา ต้นไม้สามารถถูกตัดแต่งได้ค่อนข้างรุนแรง
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยปีละ 3 ครั้งในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือใช้ปุ๋ยที่ให้ปุ๋ยละลายช้าอย่างสมดุล เช่น สูตร 10-10-10 หรือ 14-14-14 ในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความทนทานต่อศัตรูพืชและโรค อย่างไรก็ตามอาจประสบปัญหาบางอย่างเป็นครั้งคราว สัตว์รบกวนทั่วไปที่อาจส่งผลกระทบต่อพวกมัน ได้แก่หนอน ผีเสื้อ เพลี้ยอ่อนและแมลงหวี่ขาว/ หลีกเลี่ยง การรดน้ำมากเกินไปเพื่อป้องกันโรคเชื้อรา เช่นรากเน่าและโรคราแป้ง
รู้จักอ้นตราย---None known
*การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาและแหล่งวัสดุ
ใช้เป็นยา---ในการแพทย์พื้นบ้านใช้ เปลือกเพื่อใช้ในการรักษาอาการไอ ใช้เป็นยาช่วยขับลม ช่วยแก้อาการท้องร่วง
วนเกษตร---ต้นไม้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกทางธรรมชาติ บุกรุกพื้นที่เปิดโล่งในป่าและพื้นที่เกษตรกรรมที่ถูกทิ้งร้างอย่างรวดเร็ว
- ในใบ มีสารโพลีฟีนอลสูงพวกมันสลายตัวช้าและให้เศษซากใบไม้ที่มีคุณภาพสูง ชั้นของใบไม้ร่วงที่คลี่ออกและป้องกันการงอกของวัชพืชซึ่งใช้ในการเกษตรและพืชสวนเช่นในประเทศไทย
- ในชวาใช้ปลูกเพื่อให้ร่มเงาในสวนกาแฟ
- สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Peltophorum+dasyrhachis
ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับโตเร็ว ลดมลพิษ ทนไอเค็มสามารถปลูกริมทะเล
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้เป็นสีแดงเหลืองถึงน้ำตาล เนื้อหยาบปานกลาง มีน้ำหนักมาก แต่เปราะบาง มักถูกโจมตีโดยปลวก ในท้องถิ่นใช้สำหรับทำไม้กระดานในการสร้างบ้าน แต่มีมูลค่าตลาดเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเพียงแหล่งฟืนใช้เป็นเชื้อเพลิง
- *เปลือกต้นใช้เป็นสีสำหรับย้อมผ้าได้ โดยจะให้สีน้ำตาลแดง
ข้อมูลอ้างอิง (Source) : https://medthai.com/%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%87/ | Medthai
สำคัญ---ต้นไม้ประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา ประเทศไทย
ระยะออกดอก/ผลแก่---มกราคม - มีนาคม/ พฤษภาคม - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---  เมล็ด ปักชำ สามารถเก็บไว้ได้อย่างน้อย 2 ปีโดยสูญเสียความมีชีวิตเพียงเล็กน้อย
- เมล็ดควรแช่ในน้ำอุ่นก่อนการนำไปเพาะ


14 ทองหลางลาย/Erythrina variegata

[er-ith-RY-nuh] [(var-ee-GAY-tuh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Erythrina variegata L.(1754)
ชื่อพ้อง ---Has 39 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:494614-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Variegated Coral, Tiger's Claw, Indian Coral Tree, Moochy wood tree, Sunshine tree, Thorny dapdap, East Indian coral tree.
ชื่ออื่น---ปาริชาติ ปาริฉัตร ทองหลางลาย ทองหลางด่าง ทองเผือก ทองบ้าน ;[ASSAMESE: Modar, Ranga.];[BENGALI : Kanda mathar, Madar, Mandara.];[CHINESE: Ci tong, Hai tong, Kong tong shu, Hai tong pi.];[FRENCH: Arbre a corail, Arbre immortel, Bois Inmortel Vrai, Pignon d'Inde.];[GERMAN: Indische Korallenbaum.];[HINDI: Chadap, Dadap, Ferrud, Mandara.];[INDONESIA: Dadap, Dadap ayam, Dedap blendung, Dede bineh, Thong baan.];[JAPANESE: Deigo, Deiko, Teigo.];[KANNADA: Bilee vaarjipe, Bilivarijapa.];[KHMER: Rolu?hsba:y.];[LAOTIAN: Do:k kho,Th'o:ng ba:nz.];[MALAYSIA: Cengkering, Chengkering, Dadap ayam; Dadap (Malay).]; [MALAYALAM: Mandaram, Mullumurikku, Mulmurukku, Paribhadram.];[MARATHI: Pangara, Pangira, Paringa.]; [MYANMAR: Penglay-kathit.];[PAPUA NEW GUINEA: Balbal.];[PHILIPPINES: Dapdap, Karapdap, Kasindak (Tag], andorogat; bagbag.];[SANSKRIT: Kantakipalasa, Mandar, Mandara.]; [SINHALESE: Era badu, Era mudu, Katu eramadu, Mandar, Murunga.]; [SWEDISH: Indiskt koralltr?d.]; [RUSSIAN:Eritrina indijskaia, Eritrina p?straya.]; [TAMIL:Kaliyana,Kaliyana murukku.];[TELUGU: Badchipachettu.];[THAI:Thong ban,Thong lang dang,Thong lang lai, Thong phueak.];[TIBETAN: Man da ra ba.];[VIETNAMESE: Cây Lim Vang, Lim vàng.]
EPPO Code--- ERZVA (Preferred name: Erythrina variegata)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด--ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์--- แทนซาเนีย, หมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย, อินเดีย, จีน, พม่า, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, หมู่เกาะแปซิฟิก
นิรุกติศาสตร์---*ชื่อสกุล 'Erythrina'  มาจากคำภาษากรีกว่า "erythros" ซึ่งแปลว่า "สีแดง" อ้างอิงถึงดอกไม้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'variegata' = ที่แตกต่างกัน
Erythrina variegata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2297


ที่อยู่อาศัย---มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ ขนาดใหญ่มากในเขตร้อนและได้รับการแนะนำในหลาย ๆ ประเทศผ่านการเพาะปลูก การกระจายพันธุ์ดั้งเดิมถือว่ามาจากอินเดียไปยังมาเลเซีย แต่สายพันธุ์ได้แพร่กระจายไปยังแอฟริกาและโพลินีเซีย เกิดขึ้นตามป่าชายฝั่งพุ่มไม้เตี้ย ๆ ชายฝั่งทะเล ป่าที่แห้งแล้งของป่าชายเลนซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นดินร่วนปนทราย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 500 เมตร
ต้นไม้ ในสกุลทองหลางในบ้านเรามีอยู่มากมายหลายพันธุ์ มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ผิดกันเฉพาะที่สีของดอกและลายของใบเท่านั้น เคยมีผู้ตั้งชื่อเรียกทองหลางประเภทนี้ว่า "ทองหลางใบมน"แยกชนิดไว้ เช่น ทองหลางใบมนด่าง,ทองหลางใบมนดอกขาว และทองหลางใบมนดอกแดง ซึ่งทองหลางเหล่านี้ลักษณะของใบจะผิดกับใบทองหลางที่เราใช้กินกับเมี่ยงคำ
ลักษณะ---ทองหลางลายเป็นทองหลางใบมนชนิดหนึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อนยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 20เมตร ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลมคม ลักษณะหนามโค้งคล้ายเล็บสัตว์ ปลายหนามสีม่วงคล้ำ เปลือกเป็นสีเหลืองอ่อนๆใบเป็นแบบใบรวม กลุ่มหนึ่งมีสามใบ ใบสีเขียวสด รูปใบมนปลายแหลมแบบใบโพ เส้นกลางใบและเสนแขนงใบสีเหลือง ก้านใบยาว (7-25 ซม.) ดอกออกเป็นช่อสีแดงสดติดกันเป็นกลุ่ม ออกตามข้อต้นโคนใบ ยาว 10-40 ซม. เวลาออกดอกจะทิ้งใบหมดต้นถ้าปลูกอยู่ในที่แห้งแล้ง ผลไม้เป็นฝักยาว 10 - 25 ซม.เมล็ดเป็นรูปไข่ ขนาด 0.6-2 ซม.x 0.5-1.2 ซม.สีน้ำตาลแดง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zones 10b-11) โดยมีช่วงอุณหภูมิ 20–32°C ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรงประมาณ 3-6 ชั่วโมง) ขึ้นง่ายในดินทุกประเภท ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ปานกลาง มีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำที่ดี ค่า pH ในช่วง 5 - 7 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8 ทนต่อความแห้งแล้งและสามารถทนน้ำขังได้นานถึง 2 สัปดาห์ (Groom, 2012 ; NFTA, 1993.) ต้นไม้ทนแล้งได้สูงและทนเค็มได้ปานกลาง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ปล่อยให้ดินแห้งสนิทระหว่างการรดน้ำ
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่ง 3-4 ครั้งต่อปี
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในช่วงตั้งแต่ เดือนมีนาคม - ตุลาคม
ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนเจาะอาจเข้าไปรบกวนต้นไม้ที่อ่อนแอ /ไม่มีโรคที่เป็นกังวลมากนัก ระวังหนอนผีเสื้อสามารถกินใบไม้ได้เป็นจำนวนมาก
รู้จักอ้นตราย---เมล็ดดิบของพืชมีพิษหากรับประทานเข้าไป แต่สามารถปรุงสุกและรับประทานได้
การใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ใบอ่อนและยอดอ่อนกินเป็นผัก
ใช้เป็นยา---ใบและเปลือกใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาโรคในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ในประเทศฟิลิปปินส์ ใช้ยาต้มเปลือกและใบอ่อน ขับเสมหะ ใบและรากใช้เป็นยาแก้ไข้ ใบยาต้ม ใช้สำหรับแก้ไอและหอบหืด ยาต้มเปลือกแห้งหรือแช่ในแอลกอฮอล์ ใช้สำหรับแก้อาการปวดเอวและขา
- ในคาบสมุทรมลายูเปลือกไม้ ใช้สำหรับการรักษาอาการปวดฟัน  
- ในคาบสมุทรและอินโดจีนใบไม้ที่ใช้สำหรับ พอกแผล เปลือกไม้ถือว่าเป็นยาฆ่าเชื้อและยาแก้ไข้ เมล็ดใช้ภายในและภายนอกสำหรับโรคมะเร็ง ภายนอกสำหรับฝี - ในประเทศจีนเปลือกใช้เป็นยาแก้ไข้และเสมหะ
- ในอินเดียและจีน เปลือกและใบใช้ในการปรุงยาแบบดั้งเดิมหลายชนิด Paribhadra เป็นการเตรียมของอินเดียทำลายปรสิตและบรรเทาอาการปวดข้อ น้ำคั้นจากใบผสมกับน้ำผึ้งใช้สำหรับโรคพยาธิตัวตืดและพยาธิตัวกลม น้ำคั้นจากใบใช้สำหรับปวดหูปวดฟันท้องผูกและไอ ยังใช้เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำนมและการมีประจำเดือน ใช้แก้อาการไอกรนในเด็ก รากใช้สำหรับโรคผิวหนัง
- ในฟิจิใบที่บดจะผสมกับน้ำมันมะพร้าวอุ่นในใบตองและนำไปใช้กับการแตกหักของกระดูก น้ำผลไม้จากใบอ่อนใช้ต้ม พืชถูกใช้เป็นผ้าพันแผล
- ในอินโดนีเซียใช้ในการรักษาโรคมาลาเรีย
วนเกษตรใช้---มีหนามค่อนข้างมากและสามารถเป็นอุปสรรคในการป้องกันการบุกรุก ถูกนำมาใช้ เป็นรั้วมีชีวิตเพื่อเป็นขอบเขตและป้องกันความเสี่ยงสปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพ กับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ ก่อตัวเป็นก้อน บนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ เพราะเป็นไม้ที่มีความสวยงาม เนื่องจากใบมีลวดลายสีโดดเด่นน่ามอง
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้เป็นสีขาว แต่เข้มขึ้นตรงกลาง มีน้ำหนักเบานุ่มเป็นรูพรุนและเป็นเส้น ๆ  ถูกใช้ในท้องถิ่นสำหรับการทำหอก โล่ รางแขนสำหรับเรือแคนูและเป็นทุ่นลอยสำหรับอวนประมง ไม้เนื้ออ่อนสีขาวนั้นง่ายต่อการแกะสลักทำรูปปั้นของเล่น ฯลฯ
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ต้นทองหลางถือว่าเป็นพืชพรรณไม้ของเทพเจ้า เรียกในภาษาสันสกฤตว่า มนทาระ มีใบย่อย3ใบเป็นเครื่องหมายของพระเป็นเจ้าทั้ง3 ใบกลางได้แก่พระวิษณุ ใบซ้ายได้แก่ พระศิวะ และใบขวาได้แก่ พระพรหม ดอกทองหลาง เรียกว่า ดอกปาริชาติ   เชื่อว่าหากใครได้ดมกลิ่นแล้วก็จะระลึกชาติได้ และถ้าจะให้ทองหลางออกดอกต้องมีหญิงสาวสวยมาพูดหวาน ๆด้วย
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2010 Erythrina variegata ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2010)
source: Groom, A. 2012. Erythrina variegata. The IUCN Red List of Threatened Species 2012: e.T19891448A20072331. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2012.RLTS.T19891448A20072331.en. Accessed on 30 October 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/19891448/20072331
- เป็นที่ทราบกันว่าสายพันธุ์นี้เกิดขึ้นภายในเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองและเมล็ดพันธุ์ได้รับการรวบรวมเป็นวิธี การอนุรักษ์ นอกถิ่นที่อยู่โดยโครงการธนาคารเมล็ดพันธุ์แห่งสหัสวรรษ (the Millennium Seed Bank Project.)
ระยะออกดอก---เดือนมกราคม–กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---โดยใช้เมล็ดหรือกิ่งตอนขนาดใหญ่
- เมื่อขยายพันธุ์จากเมล็ด ควรนำไปแช่ในน้ำร้อน (80?C) เป็นเวลา 10 นาที แล้วแช่ในน้ำอุ่นข้ามคืน คาดว่าจะงอกภายใน 8 ถึง 10 วัน และตามปกติต้นกล้าที่ได้รับน้ำดีควรพร้อมสำหรับการเพาะปลูกหลังจากผ่านไป 10 สัปดาห์ ( NFTA, 1993 )
- การปลูกไม้ตัดควรทำภายใต้สภาวะแห้ง (อย่างน้อย 24 ชั่วโมงโดยไม่มีน้ำก่อนปลูก) เพื่อป้องกันการโจมตีจากเชื้อราในดิน การตัดกิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดยอดที่ซอกใบภายในสามถึงสี่สัปดาห์ จากนั้นจึงทำการราก ในการสร้างต้นไม้สูงที่มีลำต้นตรง สิ่งสำคัญคือต้องรักษาหน่อปลายของกิ่งที่ตัดไว้ ( NFTA, 1993 )

15 ทองกวาว/Butea monosperma

[bew-tee-uh] [mon-oh-SPER-muh)


ชื่อวิทยาศาสตร์---Butea monosperma (Lam.) Taub.(1894)
ชื่อพ้อง ---Has 9 Synonyms.
--- Butea frondosa Roxb. ex Willd. (1802), nom. superfl.
--- Corallodendron monospermum (Lam.) Kuntze. (1891)
--- More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:482566-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Bastard Teak, Flame of the Forest, Flame-of-the-forest, Forest flame, Bengal kino tree, Parrot Tree.
ชื่ออื่น---กวาว, ก๋าว (ภาคเหนือ); จอมทอง (ภาคใต้); จ้า (เขมร-สุรินทร์); จาน (อุบลราชธานี); ทองกวาว (ภาคกลาง); ทองต้น (ราชบุรี); ทองธรรมชาติ, ทองพรมชาติ (ภาคกลาง);[ASSAMESE: Polash.];[BANGLADESH: Dhakbriksha, Kinaka, Kingsuk, Palas.];[BENGALI: Kinaka, Palas, Peras, Polashi.];[CAMBODIA: char.];[CHINESE: Zǐ kuàng.];[FRENCH: arbre à laque, Flamme de forêt.];[GERMAN: Lackbaum, Malabar-Lackbaum, Plossobaum, Waldfeuer.];[HINDI: Dhaak, Tesu, Palash, Dhak ,Palaash .];[INDONESIA: Palasa (general), Plasa (Javanese, Sundanese).];[JAPANESE: Hanabuyakuki.];[KANNADA: Muthuga.];[LAOS: Chaan.];[MALAYALAM: Brahmavriksham, Chamatha, Mukkappuyam, Plasu.];[MALAYSIA: Semarkat Api];[MARATHI: Palas.];[MYANMAR: Pouk-pen.];[NEPALI: Dhak, Palans, Paras.];[PAKISTAN: Brahma vriksham, Dhak, Palas, Palash, Papra, Phulla.];[PORTUGUESE: Arvore-da-laca, Favas de engenho, Palasse.];[SINHALA: Kela.];[TAMIL: Porasu.];[TELUGU: Moduga chettu.];[THAI: Kwao, Kao (Northern); Chom thong (Peninsular); Cha (Khmer-Surin); Chan (Ubon Ratchathani); Thong ton (Ratchaburi); Thong kwao, Thong tham machat, Thong phrom machat (Central).];[URDU: Palash, Papra.];[VIETNAM: Gièng gièng];[TRADE NAME: Palasha, Dhak].
EPPO Code--- BUAMO (Preferred name: Butea monosperma)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ภูฏาน; กัมพูชา; จีน ; อินเดีย; อินโดนีเซีย; ลาว; พม่า; เนปาล; ปากีสถาน; ศรีลังกา; ประเทศไทย; เวียดนาม; มาเลเซีย; นิวกินี; ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Butea' ตั้งชื่อตามJohn Stuart เอิร์ลแห่ง Bute ที่ 3 ( 1713-1792) สมาชิกรัฐสภา นายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 1 ปี และผู้อุปถัมภ์ด้านพฤกษศาสตร์ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'monosperma' มาจากคำภาษากรีกที่แปลว่าเมล็ดเดี่ยว ("monos") และเมล็ด ("sperma") หมายถึงผลไม้มักมีเมล็ดขนาดใหญ่เพียง 1 เมล็ด
Butea monosperma เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2437


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียไปยังเอเชียตะวันตก (ปากีสถาน), เทือกเขาหิมาลัย, ศรีลังกา, บังคลาเทศ, จีน (ยูนนาน กวางสี) แนะนำในอินโดจีน (ไทย), มาเลเซีย, นิวกินี, ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) พบขึ้นตามพื้นที่แห้งแล้ง ป่า ทุ่งหญ้าโล่งกว้างและดินแดนรกร้าง ที่ระดับความสูง 150-1,200 เมตร
- ในประเทศไทย ทองกวาว ที่พบเห็นกันตามธรรมชาติมักขึ้นอยู่ตามที่ราบน้ำท่วมถึง พบมาทางภาคเหนือและภาคอีสาน พันธุ์ไม้ชนิดนี้ชาวบ้านนิยมปลูกไว้สำหรับเลี้ยงครั่ง
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 12-15 เมตรมีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 43 ซม เรือนยอดแผ่กว้างเป็นรูปทรงกลม ต้นและใบคล้ายพวกทองหลางใบมนและทองหลางดอกแดง ผิดกันที่ทองกวาวไม่มีหนามแต่เปลือกลำต้นเป็นปุ่มปมไม่เรียบผิวมีสีน้ำตาล หม่นๆ ใบ เป็นใบผสมมีใบย่อยเพียง 3 ใบ พื้นผิวใบเกลี้ยงเป็นมันสีเขียว ใบย่อยที่อยู่ตรงกลางมีลักษณะมนกว้างเกือบกลมส่วนใบย่อยด้านข้างกว้างที่ ส่วนโคนและกลางใบ  ลักษณะใบคล้ายทองหลางใบมน ดอก ออกเป็นช่อ ดอกมีรูปร่างคล้ายดอกถั่ว หรือดอกแค สีแดงอมส้มสดใสสวยงามมาก ดอกจะออกเป็นช่อเรียงติดกันแน่นตามกิ่งส่วนยอด ดอกช่อนึงยาวประมาณ 60-90 ซม. เมื่อออกดอกมักทิ้งใบเกือบหมด บางต้นอาจไม่มีใบเหลืออยู่เลยมีแต่ดอกเต็มต้น ผลรูปขอบขนานยาว 5-28 ซม.กว้าง 4-5 ซม. มีลักษณะเป็นฝักแข็งเปลือกนอกมีสีน้ำตาลอ่อน ภายในฝักมีเมล็ด ขนาดเล็กสีน้ำตาลแก่
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตกึ่งเขตร้อนและเขตร้อน ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) อุณหภูมิที่เหมาะสม 30-35 °C เติบโตได้ดีที่สุดในดินทรายลุ่มน้ำเก่าแก่และหินบะซอลสีแดงที่ผุกร่อน อย่างไรก็ตามมันก็ประสบความสำเร็จในดินหลากหลายชนิดรวมถึงที่ตื้นเขินดินฝ้ายสีดำ ดินเหนียว และแม้แต่ดินเค็มหรือดินที่มีน้ำขัง ที่ดินมีค่า pH 6 - 7 อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---รักษาดินให้ชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอในระหว่างการเจริญเติบโตเพราะพืชต้องการดินที่ชื้น โดยทั่วไปแล้ว ให้รดน้ำต้นไม้ให้ดีเมื่อดินชั้นบนดูแห้ง เพื่อหยุดการสูญเสียน้ำ ให้คลุมโคนต้นด้วยเศษหญ้า ใบไม้ต้นฤดูหนาวที่ร่วงหล่นกลายเป็นวัสดุคลุมดินออร์แกนิกที่ดีเยี่ยม
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่ตาย เสียหาย หรือเป็นโรคอออกได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเพื่อปรับปรุงคุณภาพของดินหากเป็นดินเหนียวหนัก ในช่วงฤดูปลูกใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเดือนละครั้ง (ธันวาคม-งกุมภาพันธ์)
ศัตรูพืช/โรคพืช--- Unknown
รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์


การใช้ประโยชน์ ---ใช้กิน ยางไม้จากต้นไม้ที่เรียกว่า 'kamarkas'ในภาษาฮินดี ถูกนำมาใช้ในอาหารบางจาน
ใช้เป็นยา---ใช้ในระบบการแพทย์แผนโบราณอายุรเวท Siddha และ Unani สำหรับการรักษาโรคต่าง ๆ  
- ใช้เป็นยาชูกำลังและยารักษาพยาธิในตำราอายุรเวท Palash ถือว่าเป็นยาแก้อักเสบต้านจุลชีพ ต้านเบาหวานขับปัสสาวะยาแก้ปวดและยาสมานแผล ใบมีคุณสมบัติเป็นยาสมานแผล ขับปัสสาวะและต่อต้านการตกไข่ ดอกไม้และใบไม้เป็นยาขับปัสสาวะยาโป๊ยาสมานแผลและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในส่วนของอุ้งเชิงกราน   รากถูกใช้เพื่อรักษาอาการตาบอดกลางคืน เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 18% เรียกว่า 'Moodoga oil' มันเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับพยาธิปากขอ  
- หมากฝรั่งยังได้มาจากต้นไม้ที่รู้จักกันในชื่อ Gum kino หรือ Bengal kino gum หมากฝรั่งนั้นทำมาจากเปลือก  มีฤทธิ์ฝาดและมีประโยชน์ในกรณีที่มีเลือดออก
ใช้อื่น ๆ---สีเหลืองสดใสถึงสีส้มแดงเข้มที่เรียกว่า Butein สามารถเตรียมได้จากดอกไม้ มันถูกใช้โดยเฉพาะสำหรับการย้อมผ้าไหมและบางครั้งสำหรับผ้าฝ้ายและมีการใช้แบบดั้งเดิมโดยชาวฮินดูเพื่อทำเครื่องหมายบนหน้าผาก
- สีย้อมสีแดงนั้นได้มาจากราก
- วัสดุหยาบหยาบเส้นใยที่รู้จักกันในชื่อ 'pala fiber' นั้นได้มาจากเปลือกชั้นใน มันถูกใช้สำหรับสายระโยงระยาง ปิดผนึกตะเข็บของเรือและทำกระดาษ ส่วนเส้นใยที่แข็งแกร่ง ได้จากราก
- ในอินเดียใช้สำหรับทำรองเท้าพื้นเมือง เชือก ฯลฯ
- เมล็ดใช้เป็นยาฆ่าแมลง
- มักใช้เป็นพืชอาศัยสำหรับแมลงครั่ง (Kerria lacca)
ความเชื่อ/พิธีกรรม--- ต้นทองกวาวมีความเชื่อทั้งพุทธและฮินดู ชาวพุทธในอินเดียถือว่าเป็นไม้พระพุทธเจ้า ในตำนานอดีตพุทธเจ้ากล่าวว่า พระเมธังกรพุทธเจ้าตรัสรู้ ณ โคนต้นทองกวาว ส่วนชาวฮินดูในอินเดียถือว่าเป็นไม้พระจันทร์ มีตำนานว่าเกิดจากขนเหยี่ยวกำซาบด้วยน้ำโสม
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ล่าสุดได้รับการประเมินในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Butea monosperma ถูกระบุว่า 'เป็นความกังวลน้อยที่สุด'
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2020)
source: Pathak, J., Lakhey, P. & Adhikari, B. 2020. Butea monosperma. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T62485A152201301. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-3.RLTS.T62485A152201301.en . เข้าถึงเมื่อวันที่06 พฤศจิกายน 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/62485/152201301
- ชนิดนี้พบได้ในพื้นที่คุ้มครองหลายแห่งในเนปาล อินเดีย และภูฏาน บันทึกจาก คอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิด 25 รายการ (ฐานข้อมูล BGCI PlantSearch 2019) และปลูกในสวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติของประเทศเนปาล
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ - เมษายน /พฤษภาคม - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด ตอนกิ่ง


16 ทองกวาวดอกเหลือง/Butea monosperma

[bew-tee-uh] [mon-oh-SPER-muh)


ชื่อวิทยาศาสตร์---Butea monosperma (Lam.) Taub.(1894)
ชื่อพ้อง ---Has 9 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-30638   
---Butea monosperma (Lam.) Kuntze.(1891)
ชื่อสามัญ---Bastard Teak, Flame of the Forest, Flame-of-the-forest, Forest flame, Bengal kino tree, Parrot Tree
ชื่ออื่น     ---ทองกวาวเหลือง, กวาวคำ
ชื่อวงศ์    ---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด    ---ประเทศไทยและอินเดีย
เขตกระจายพันธุ์    ---อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีน

 

เป็นต้นไม้ต้นเดียวกันกับทองกวาวนั่นแหละชื่อวิทยาศาสตร์เดียวกัน ไม่ได้เขียนผิด แต่ผ่าเหล่ามาเป็นสีเหลือง ถ้าจะปลูกด้วยเมล็ดอาจกลายเป็นต้นสีแดงได้ ถ้าอยากได้ดอกสีเหลืองต้องตอนกิ่งเอา ในประเทศไทยจะพบเห็นทองกวาวเหลืองได้ตามป่าผลัดใบหรือปลูกตามริมข้างทาง ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นไม้ต้น สูง 8-15เมตร ลำต้นมักคดงอ ใบประกอบแบบใบย่อย3ใบรูปคล้ายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือเกือบกลม ปลายใบทู่ โคนใบไม่สมมาตร ดอก สีเหลืองออกเป็นช่อแน่นตามกิ่งก้านและปลายกิ่ง ยาวได้ถึง20ซม.ดอกย่อยรูปดอกถั่วยาวประมาณ7ซม. กลีบรองดอกเป็นรูปถ้วยสีเข้มปลายแยกเป็น4-5แฉก กลีบดอก5กลีบ เกสรผู้10อัน ผลเป็นฝักแบนรูปขอบขนานกว้าง305ซม.ยาว14ซม. โค้งเล็กน้อยมีขนนุ่มสีขาวคลุม มีเมล็ดเพียงเมล็ดเดียวที่ปลายฝัก          (ใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน)                                                                                                                                ระยะออกดอก --- เดือนมกราคม-เดือนมีนาคม                                                                                                            ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง


17 ปีบ/Millingtonia hortensis

[mil-ling-TOH-nee-a] [hor-TEN-sis]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Millingtonia hortensis.,L.f.(1782)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.
---Bignonia hortensis (L.f.) Oken (1841)
---Bignonia suberosa Roxb. (1811), nom. superfl.
---Nevrilis suberosa Raf.(1838), nom. superfl.
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/110118-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Indian Cork Tree, Cork Tree, Tree Jasmine, Akash Neem,
ชื่ออื่น--- กาซะลอง, กาดสะลอง (ภาคเหนือ); เต็กตองโพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ปีบ (ภาคกลาง); [CHINESE: Lǎoyā yān tǒng huā];[DUTCH: Kurkboom.];[HINDI: Neem chameli.];[INDONESIA: Kahombu (Sumatra).];[KANNADA: Akasha mallige, Biratumara.];[KHMER: Angkear-bos];[MALAYALAM: Katesam.];[MARATHI: Akash chameli, Buch, Kaval nimb.];[MYANMAR: Mai-long-ka-hkam, Sum-tung-hpraw, Htamone-chort.];[SIDDHA/TAMIL: Maramalli.];[TAMIL: Kattu-malli.];[TELUGU: Kavuki.];[THAI: Ka salong, Kat salong (Northern); Tek-tong-pho (Karen-Kanchanaburi); Peep (Central).];[VIETNAM: Đạt phước.].
EPPO Code--- MZLHO (Preferred name: Millingtonia hortensis)
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---จีน, อินเดีย, อินโดจีน, มาเลเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Millingtonia' ได้รับเกียรติจาก Thomas Millington นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 ; ชื่อสายพันธุ์ 'hortensis' แปลว่า "เติบโตในสวน"
Millingtonia hortensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeusและ Sara Elisabeth Moraeaในปี พ.ศ.2325
ที่อยู่อาศัย---เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองของพม่าและไทยที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตามป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  
ลักษณะ---เป็นต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงทะมึนได้ถึง 25 เมตร เปลือกขรุขระสีเทาเนื้อหยุ่นๆ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2-3 ชั้น มีใบย่อยหลายใบ ใบย่อยรูปไข่ ขนาดความกว้าง 2--3.5 ซม.ยาว 3-5.5 ซม. ขอบใบเรียบหรือหยักห่างๆ โคนใบมนปลายใบแหลมเป็นติ่งยาว ดอก เป็นช่อ เกิดที่ปลายกิ่งห้อยลงสีขาวมีกลิ่นหอม กลีบดอกติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 6 ซม.ปลายเป็นรูปถ้วยแยกเป็น 5 กลีบ ดอกบานตอนกลางคืนในตอนเช้าดอกที่บานก็จะร่วงหล่นเกลื่อนอยู่ใต้ต้น ผลเป็นฝักแบนขนาดกว้าง 2 ซม.ยาว 30 ซม.เมื่อฝักแก่จะแตกออกทำให้เมล็ดปลิวกระจายไปได้ไกลเมล็ดแบนมีปีกบางๆปลิวไปตามลมได้ขนาดเมล็ดรวมปีกกว้าง 1.3 ซม.ยาว 2.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10 -11) อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตคือ อุณหภูมิระหว่าง 21-36°C ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ต้องแน่ใจว่าได้รับแสงแดดนานถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน ทนทานต่อสภาพดินได้หลากหลาย ชอบดินที่ลึก อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำได้ดี  pH อยู่ระหว่าง 5.5 ถึง 6.5 ทนต่อความเค็ม อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษาต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำจำนวนมากในการเจริญเติบโต ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2 ถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ให้แน่ใจว่าดินมีความชื้นสม่ำเสมอ ในฤดูร้อนควรรดน้ำให้บ่อยขึ้น ประมาณ 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์
การตัดแต่งกิ่ง---ไม้เปราะทำให้ตัดแต่งกิ่งได้ง่าย ฉะนั้นหากปลูกปีปไว้ใกล้บ้าน อย่าปล่อยให้สูงตระหง่านนักเพราะจะทานแรงลมพายุไม่ไหว ต้องหมั่นตัดแต่งกิ่งบ่อยๆจะทำให้ทรงต้นสวยด้วย ตัดต้นไม้เพื่อรักษารูปร่างและกำจัดกิ่งที่ตายหรือเสียหายออก
การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ทุกๆ 4-5 เดือน นอกจากนี้การใช้ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูงจะส่งผลให้ดอกเพิ่มมากขึ้น หรือใช้ปุ๋ยที่สมดุล เช่น ปุ๋ย 10-10-10 หรือ 14-14-14 หนึ่งครั้งทุก 3 เดือน งดใส่ปุ๋ยในฤดูหนาว
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ถ้าจะกล่าวถึงปีปในแง่ที่เป็นสมุนไพร ตำรับยาบางขนานของเราคงจะได้รับอิทธิพลมาจากหมอยาทางฝั่งประเทศลาวในสมัยโบราณด้วยทางโน้นมีคติเชื่อว่า สมุนยาที่มีชื่อเรียกปู่เจ้านำหน้านั้น เป็นต้นพืชอันศักดิ์สิทธื์ สามารถนำมาปรุงยารักษาโรคร้ายให้หายได้ หมอยาเรียกต้นปีปว่า "ปู่เจ้าครองดง " เป็นต้นไม้พื้นเมืองเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้เป็นยาในท้องถิ่น ใช้ดอกไม้แห้งมวนบุหรี่สูบ มีฤทธิ์ต้านจุลชีพที่ดีและมีประสิทธิภาพเป็นยาขยายหลอดลม เป็นยาบำรุงรากปอด
ใช้ปลูกประดับ---ไม้ต้นนี้จัดเป็นไม้ประดับแบบไทยๆที่สวยงาม ดอกหอมมาก ชอบอากาศชุ่มชื้นแต่มีความทนอากาศแห้งแล้งได้ดีปลูกง่ายโตเร็ว แต่รากปีบไม่หยั่งลึกลงไปในดินเหมือนต้นไม้ใหญ่อื่นๆ  รากไปตามผิวดิน และจะแตกต้นใหม่ขึ้นสามารถสกัดรากไปปลูกใหม่ได้ สามารถปลูกใกล้ทะเล
ใช้อื่น ๆ---ในรัฐมหาราษฏระของอินเดีย ดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมนานมักนำมาถักทอเป็นเปียประดับที่เรียกว่า Veni
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน - ธันวาคม
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับการงอกคือระหว่าง 21-27°C
- สกัดต้นอ่อนจากราก ออกดอกใน 4-5 ปี สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 200 ปี


18 ปีบทอง/Radermachera ignea

[may-oh-DEN-dron] [IG-nee-um]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Mayodendron igneum (Kurz) Kurz.(1875)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:110042-1#synonyms
---Basionym: Spathodea ignea Kurz.(1871).See https://species.wikimedia.org/wiki/Mayodendron_igneum
---Radermachera ignea (Kurz) Steenis.(1976)
ชื่อสามัญ---Orange Tree Jasmine, Golden Bells
ชื่ออื่น---แคะเป๊าะ,สำเภาหลามต้น(ลำปาง), กากี (สุราษฎร์ธานี), กาสะลองคำ (เชียงราย), จางจืด (เชียงใหม่), สะเภา, อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) ; [CHINESE: Huo shao hua.];[LAOS: Tone dok pip.];[MYANMAR: Egayit, Egayit-ni, Hpun-hpawk, Mai-pyit, Sumhtung, Sumtungh-kyeng.];[THAI: Khae po, Samphao lam ton (Lampang); Kaki (Surat Thani); Kasalong kham (Chiang Rai); Chang chuet (Chiang Mai); Sa phao, Oi chang (Northern).];[VIETNAM: Rà đẹt lửa, Rà đẹt đền Hùng, Dại khải.];
EPPO Code--- MWDIG (Preferred name: Mayodendron igneum)
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด ---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์ ---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ : กวางตุ้ง, กวางสี, ไต้หวัน, ยูนนาน ลาว, เมียนมาร์, ไทย, เวียดนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Mayodendron' อุทิศแก่ Jacob Cornelis Matthieu Radermacher นักธรรมชาติวิทยาชาวดัตช์แห่งศตวรรษที่ 18 ผู้บันทึกพื้นที่ส่วนใหญ่ของพืชพรรณในชวาและสุมาตรา ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'igneum'
Mayodendron igneum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2418
 


ที่อยู่อาศัย---การกระจายพันธุ์พื้นเมือง จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไต้หวัน, ยูนนาน) อินโดจีน (เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไทย) จากพม่าตอนใต้จนถึงเกาะไหหลำ ที่ระดับความสูง 100-1,900 เมตร
ลักษณะ---ปีบทองเป็นไม้ผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ความสูงประมาณ 6-14 เมตร เรือนยอดหนาทึบใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2-3ชั้น ใบย่อยรูปไข่หรือใบมน ขนาดกว้าง 2.8-4.4 ซม.ยาว 6-12 ซม.ปลายใบแหลมยาว ขอบใบเรียบ ดอกสีเหลืองเข้มสวยซะไม่มีล่ะออกเป็นช่อสั้นๆเป็นกลุ่ม ตามลำต้นและกิ่งก้าน ช่อหนึ่งมี5-10ดอกบานไม่พร้อมกัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้นๆ ที่ฐานและค่อยๆโป่งพองออกที่ตอนกลางและปลายกลีบดอก ปลายกลีบแยกเป็น5แฉก ผลเป็นฝักกลมยาวเรียวคล้ายฝักถั่วฝักยาว ความยาวประมาณ 40 ซม.ผิวเกลี้ยง ฝักแก่จะแตกเป็น2ซีกบิดงอ เมล็ดมีปีกบางๆทางด้านข้างของเมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตกึ่งเขตร้อน/มรสุม (USDA Zone 10a-11) ต้องการอาทิตย์เต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) อัตราการเจริญเติบโตของพืช ช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
- * ปีบทองชอบขึ้นอยู่ตามเขาหินปูนค่อนข้างชุ่มชื้น โดยเฉพาะทางภาคเหนือของประเทศไทย มักไม่พบขึ้นเองทางภาคอื่น นอกจากจะนำไปปลูกประดับจัดสวน บางทีการรู้จักแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติก็จะเป็นการพิจารณาได้อีกทางสำหรับการ กำหนดต้นไม้ที่จะนำไปปลูกเพราะบางทีผิดที่ผิดทางดูแลไม่ดีก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียขึ้นได้ เพราะไม่ค่อยน่าจะสบายใจเท่าไหร่นักกับการเคลื่อนต้นไม้ขนาดใหญ่จากที่หนึ่ง ไปที่หนึ่งโดยไม่ได้ศึกษาธรรมชาติของต้นไม้ต้นนั้นอย่างถ้วนทั่ว ทำให้รักษาเอาไว้ไม่ได้ ตายไปอย่างน่าเสียดายนักต่อนัก (ความคิดเห็นส่วนตัว)
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์---ใช้กิน *ในประเทศลาว ซึ่งพบโทนดอกพิพในจังหวัดคำม่วน ดอกจะมีลักษณะคล้ายผักและส่วนใหญ่จะรับประทานยัดไส้ แต่ยังพบทางภาคเหนือด้วยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของพืชที่อาข่าบริโภค (อ้างอิง https://www.pha-tad-ke.com/plant/mayodendron-igneum/)
ใช้เป็นยา---ใช้เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ เช่น ไข้ ปวดศีรษะ และโรคผิวหนัง
- เปลือก ใช้เป็นยาแก้พิษแอลกอฮอล์
- *ในประเทศลาว ใช้เป็นยาแผนโบราณเช่นกัน นำเปลือกและกิ่งมาทำเป็นยาต้ม ว่ากันว่าดีต่อตับและโรคข้ออักเสบ (อ้างอิง https://www.pha-tad-ke.com/plant/mayodendron-igneum/)
ใช้เป็นไม้ประดับ---ดอกของปีบทองสวยงามมากเวลาออกดอกจะทิ้งใบหมดต้นเหลือเฉพาะดอก ทรงต้นก็สวย เรือนพุ่ม ทึบหนามีน้ำหนักดี  จึงนิยมนำมาใช้จัดสวน
พิธีกรรม/ความเชื่อ---ในประเทศไทย ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเรียบง่าย ความอดทน ความก้าวหน้า และความสงบสุข
สำคัญ---ปีบทองเป็นพรรณไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลประจำจังหวัดเชียงรายและเป็นเป็นพรรณไม้ประจำมหาวิทยาลัยสองแห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (เรียกว่า "กาซะลองคำ") และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (เรียกว่า "ปีบทอง")
ระยะเวลาออกดอก --- มกราคม-เมษายน
การขยายพันธุ์ ---เมล็ด ปักชำ


19 ประดู่ป่า/Pterocarpus macrocarpus

[ter-oh-KAR-pus] [ma- khor-KAR-pus]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pterocarpus macrocarpus Kurz.(1874)
ชื่อพ้อง ---Has 19 Synonyms   
---Lingoum macrocarpum (Kurz) Kuntze.(1891)
---(More). See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:516502-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Burma Padauk, Burmese Ebony, Gum-Kino Tree, Mai Pradoo, Pradu
ชื่ออื่น---ประดู่,ดู่, ดู่ป่า, จิต๊อก, ประดู่เสน; [Laos: Mai doo, Maidu];[Myanmar: Mai-chi-tawk, Mai-pi-tawk, Padauk, Padok, Sena];[PUERTO RICO: Terocarpo.];[Thailand: Pradoo; Pradu];[Vietnam: Dáng-hương; Giáng; Giang hurong qua to; Song la.];[Trade name: Burma padauk]
EPPO Code--- PTKMC (Preferred name: Pterocarpus macrocarpus)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม กัมพูชา
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pterocarpus'มาจากคำภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ "pteron" ซึ่งแปลว่าปีก และ "karpos" แปลว่าผลไม้ หมายถึง ผลมีปีกของสายพันธุ์ในสกุลนี้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'macrocarpus' มาจากภาษากรีก 'Macro' แปลว่าใหญ่ และ 'Karpos' แปลว่าผลไม้
Pterocarpus macrocarpus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2417
ที่อยู่อาศัย---ประดู่ป่า มีถิ่นกำเนิด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีการกระจายตามธรรมชาติ จากพม่า ผ่านประเทศไทยลาวและกัมพูชาไปจนถึงเวียดนามตอนใต้ได้รับการแนะนำและสามารถพบสัญชาติในอินเดียและแคริบเบียน และอาจเป็นพืชรุกรานในตรินิแดดและโตเบโก พบการเจริญเติบโตในเขตร้อนที่ลุ่มในป่าผลัดใบผสมกึ่งผลัดใบหรือป่าผลัดใบ ป่าเต็งรังและป่าดิบ ที่ระดับตั้งแต่ 0-670 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นสูงได้ถึง10-30 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.3-2.1 เมตร ลำต้นตรงไม่ค่อยแตกกิ่งก้านสาขา เปลือกเป็นขุยสีเทาสีน้ำตาล ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) แต่ละช่อใบจะมีใบย่อยประมาณ 5-11 ใบย่อย รูปค่อนข้างมน หรือรูปไข่ถึงรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบมน ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2.5-5 ซม.  ยาว  5-15 ซม. แผ่นใบเหนียวคล้ายหนัง ใบอ่อนมีขนเล็กน้อย ส่วนใบแก่จะเกลี้ยง ผิวใบจะมีขนสั้น ๆ ปกคลุมท้องใบมากกว่าหลังใบ ก้านใบอ่อนมีขนอ่อนปกคลุมเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อมีสีเหลืองสดลักษณะคล้ายดอกถั่ว โคนกลีบเลี้ยงกลีบดอกติดกันเป็น กรวยโค้งเล็กน้อย กลีบดอกมี 5 กลีบ มีขนาดดอกเล็ก ผลไม้ทรงกลมหรือกึ่งทรงกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 ซม. ปีกหยัก ผลแก่สีน้ำตาลแกมเทาเปลือกแข็งหนาเป็นไม้ไม่มากก็น้อย ขอบระหว่างจะงอยปากและก้านมักจะเว้าไม่ค่อยตรง ก้านยาว 5-10 มม.มีเมล็ด 1-2 เมล็ด มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-3 ซม. หนา 6-10 มม. ยาว 9 มม สีน้ำตาลแดงเรียบ


ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 10a-11) เติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่เปิดโล่งและมีแสงแดดจ้า ทนทานต่อร่มเงา อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีระหว่าง 24-34°C (ต่ำสุด = 8°C สูงสุด = 44°C) ชอบดินร่วนปนทรายจนถึงดินเหนียวที่มีค่า pH อยู่ในช่วง 5-7.5 ไม่ทนต่อความเย็นจัด อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Eutetranychus orientalis (Citrus brown mite)
รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์--- เป็นพันธุ์ไม้ที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีการส่งออกเป็นจำนวนมากในแต่ละปี ใช้สำหรับงานก่อสร้างและงานเฟอร์นิเจอร์
ใช้ปลูกประดับ---เป็นไม้ให้ร่มเงาและดอกไม้ซึ่งมีความสวยงาม ต้นไม้ทนต่อสภาพเค็มและสามารถปลูกได้ในบริเวณชายทะเล
ใช้เป็นยา--- เปลือกและรากใช้เป็นยารักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและโรคท้องร่ว
วนเกษตรใช้---ต้นไม้ถูกปลูกในฐานะพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง โดยปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งร่วมกับสายพันธุ์อื่นๆ ที่ล้วนมีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลิตครอบที่หนาแน่นและปราบปรามวัชพืช และดึงดูดสัตว์ป่าที่กระจายเมล็ดพืช โดยเฉพาะนกและค้างคาว
- สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพ กับแบคทีเรียในดินบางชนิด แบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนที่ราก และตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีแดงอมเหลืองสดถึงแดงอิฐเข้ม มีเส้นสีเข้มกว่า เป็นมันเงาเมื่อตัดใหม่ๆ แต่เมื่อสัมผัสจะกลายเป็นสีน้ำตาลทองที่ดูหม่นหมอง กระพี้มีสีเทาเป็นวงแคบ ไม้เนื้อแข็งมีความหนาแน่นค่อนข้างหนักทนทานและทนต่อการโจมตีของปลวก กระพี้มีแนวโน้มที่จะถูกโจมตีโดยแมลงเต่าทอง ไม้ค่อนข้างเลื่อยยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแห้ง และยังใช้งานกับเครื่องมือช่างได้ยากอีกด้วย ไม้นี้ใช้ปูพื้นตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ งานตู้ ที่จับเครื่องมือ โต๊ะบิลเลียด ฯลฯ
- เรซินที่ได้จากพืชสามารถใช้เป็นสีย้อมสีแดงได้
สำคัญ---เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศพม่า
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้ถูกคุกคามจากการแสวงหาประโยชน์จากไม้มากเกินไป และมีการใช้งานมากเกินไปในทุกประเทศที่อยู่ในขอบเขตของมัน อัตราการเก็บเกี่ยวในปัจจุบันไม่ยั่งยืน เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีอายุยืนยาว และยังมีการสรรหาบุคลากรที่ไม่ดี (Winfield et al. 2016) ภายในขอบเขตประเทศต่างๆ มีการคอร์รัปชัน กฎหมายป่าไม้ที่มีการบังคับใช้อย่างไม่ดี และธรรมาภิบาลป่าไม้โดยทั่วไปที่อ่อนแอ (CITES CoP17 Inf.79 2015) ทำให้สายพันธุ์เหล่านี้มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องจากการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย และการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย ( Pakkad et al., 2002 ;  FAO, 2017 ) ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Pterocarpus macrocarpus ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ A3cd
สถานะการอนุรักษ์---EN- ENDANGERED A3cd - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species 2018
source: Barstow, M. 2019. Pterocarpus macrocarpus. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T32308A2813424. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-1.RLTS.T32308A2813424.en. Accessed on 28 November 2023.  
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32308/2813424
- มีอยู่ใน คอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิดอย่างน้อยสิบกลุ่ม (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าใกล้สูญพันธุ์ในเวียดนาม (กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม 2550) ภายในประเทศนี้ พบได้ในพื้นที่คุ้มครองบางแห่ง เช่น Chu Yang Sin, Yok Don, Binh Phuoc NP
- พบได้ในพื้นที่คุ้มครองบางแห่งในกัมพูชาและไทย ขึ้นอยู่กับการปลูกเพื่อเพิ่มคุณค่าใน สปป. ลาว (Sovu et al. 2010) และรายงานพื้นที่อนุรักษ์จากประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีสวนพันธุ์ต่างๆ ในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่
ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน
- การออกดอกและติดผลมักเริ่มต้นในต้นไม้ที่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 10 ปี
*ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แช่ไว้ในน้ำอุ่นที่อุณหภูมิประมาณ 35-40°cล่วงหน้าเป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง ก็สามารถเร่งกระบวนการงอกให้เร็วขึ้นได้
- ต้นกล้าสามารถปลูกในตำแหน่งถาวรเมื่ออายุประมาณ1 ปีและสูงประมาณ 30 ซม เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนยาวและมีอายุยาวนานกว่า 60 ปี
- เมล็ดสามารถเก็บไว้ได้หลายปี แท้จริงแล้วเมล็ดจากฝักที่อยู่บนพื้นดินเป็นเวลา 1 ปีนั้นงอกได้ดีกว่าฝักใหม่ที่เก็บมาจากต้นไม้
https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Pterocarpus+macrocarpus
-สามารถขยายพันธุ์โดยการปักชำได้                                   

   

* ต้นประดู่ป่ากับต้นประดู่บ้านซึ่งมีอายุเท่ากัน ต้นประดู่ป่าจะมีปุ่มประดู่มากกว่า ต้นประดู่บ้านอยู่หลายปุ่ม แต่ปุ่มประดู่บ้านจะมีลวดลายสะสวยกว่าลวดลายของปุ่มประดู่ป่า สำหรับความงามของปุ่มประดู่ท่านว่า ปุ่มมะค่านี่ชิดซ้ายไปเลย และส่วนตรงนี้จะกลายเป็นเนื้อไม้ที่มีค่ายิ่งในวงการหัตถศิลปและศิลปกรรม  ประจำชาติไทย ดังเช่นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที๕ และในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๖ ตลอดจนมาถึงในสมัยต้นๆของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๗ ในรัชสมัยของพระองค์ท่านซึ่งได้กล่าวถึงพระนามนี้ พระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ส่งเสริมการก่อสร้างสิ่งประดิษฐ์ทั้งในศิลปกรรมและหัตถศิลป์ที่มีคุณค่าอัน เกิดจากการผลิตและใช้ไม้ประดู่เป็นวัตถุดิบแต่ในครั้งนั้นไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในพระราชสำนัก ในพระบรมมหาราชวัง ตามสภานที่ราชการ ตามศาลาการเปรียญ  ซึ่งได้ใช้ไม้ประดู่และปุ่มประดู่เป็นวัตถุดิบในการผลิตงานศิลป์ เป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่ในยุคนั้นเกือบทั้งสิ้นนับ ตั้งแต่โต๊ะ ตู้ ตั่ง เตียง ขันน้ำ พานรอง เชี่ยนหมาก ฯลฯ ซึ่งล้วนถูกประดิษฐ์ไว้อย่างสวยงาม เป็นศิลป์ที่งดงามเลิศเลอ งามทั้งลวดลายจากไม้ประดู่ และยอดเยี่ยมด้วยฝีมือการประดิษฐ์ ของช่างศิลป์ไทยในสมัยก่อน  ซึ่งเราน่าจะได้รับทราบไว้และนับเป็นเกียรติประวัติของพันธุ์พืชที่คนไทยให้ ชื่อว่า"ประดู่"ที่ขอนำมาเสนอและกล่าวถึงด้วยความภาคภูมิใจยื่ง
นอกจากนี้ ประดู่ ยังได้รับเกียรติอันสูงส่งที่ได้เกี่ยวข้องกับผลงานส่วนหนึ่งของราชนาวีไทย เมื่อ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้ทรงร้อยกรองทำนองเพลงพระนิพนธ์ไว้เป็นเพลงอมตะ คือเพลง " ดอกประดู่ "โดย พระองค์ท่านได้ทรงนำเอาความจริงจากธรรมชาติให้เห็นความพร้อมเพรียงกันในวัน ที่ดอกประดู่บาน ทรงใช้วงจรชีวิตจาก พันธุ์พฤกษา  เข้าเปรียบเทียบไว้กับคำว่า " ชีวิต " และ " หน้าที่  " ของทหารเรือไทย ดังเนื้อเพลงพระนิพนธ์ตอนหนึ่งทีว่า
"พวกเราทุกลำจำเช่นดอกประดู่
วันไหนวันดีบานคลี่พร้อมอยู่
วันไหนวันโรยดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือเราจงดู ตายเป็นหมู่ให้ชาติไทย"
ขอเชิดชูเกียรติลูกดอกประดู่ทุกท่าน ณ ที่นี้
(อ้างอิงจาก ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย อาจารย์ วิชัย อภัยสุวรรณ 2532)


20 ประดู่บ้าน/Pterocarpus indicus

[ter-oh-KAR-pus] [IN-dih-kus]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Pterocarpus indicus Willd.(1802)
ชื่อพ้อง ---Has 20 Synonyms.
---Lingoum indicum Kuntze.(1891)
---Pterocarpus indicus f. echinatus (Pers.) Rojo.(1972)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:516487-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Angsana, Angsana Tree, Amboyna-wood, Andaman redwood, Burmese rosewood, Malay paduak, Papua New Guinea rosewood, Philippine mahogany, Redwood, Red sandalwood, Smooth narra
ชื่ออื่น---ดู่บ้าน (ภาคเหนือ) ประดู่อังสนา, ประดู่บ้าน, ประดู่ลาย, ประดู่กิ่งอ่อน, อังสนา, ดู่, ประดู่ป่า, ประดู่ไทย (ภาคกลาง); สะโน  (มลายู-นราธิวาส) ; [BRUNEI DARUSSALAM: Angsana.];[CHINESE: Zi tan];[FIJI: Cibicibi, Padouk.];[FRENCH: Bois de corail, Bois de rose de Birmanie, Sang-dragon, Santal rouge.];[GERMAN: Echtes Sandelholz, Indisches Rosenholz.];[INDIA: Narra];[INDONESIA: Angsana, Angsena, Sonokembang, kaya merah.];[LAOS: Chan deng];[MALAYSIA: Angsana, Sano, Seno.];[MYANMAR: Ansanah, Pashu-padauk, Sena];[PAPUA NEW GUINEA: New Guinea rosewood.];[PHILIPPINES: Apalit, Naga, Nala, Narra, Smooth narra, Vitali.];[PORTUGUESE: Pau-rosa-de-birmânia.];[SWEDISH: Amboinaträd.];[Thailand: Duu baan, Pradoo, Pradoo baan, Praduu baan, Pradoo angsna.];[TRADE NAME: Amboyna, Angsana, Burmese rosewood, Narra, Rosewood.];[VIETNAM: gi[as]ng h[uw][ow]ng.];
EPPO Code--- PTKIN (Preferred name: Pterocarpus indicus)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ จีน (รวมถึงไต้หวัน) อินโดจีน  มาเลเซีย นิวกินี เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Pterocarpus มาจากคำภาษากรีกว่า 'pteran' หมายถึงปีกและ 'karpos' หมายถึงผลไม้ ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'indicus'คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน “indicus, a, um” = ของอินเดีย ในความหมายที่กว้างที่สุดของ 'หมู่เกาะอินเดียตะวันออก'
Pterocarpus indicus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2345

 

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนชื้นและเขตอบอุ่นของเอเชียมาเลเซียและภูมิภาคแปซิฟิกเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ สายพันธุ์นี้สามารถพบได้ในการเพาะปลูกและแปลงสัญชาติในอเมริกากลางและใต้, แคริบเบียน, แอฟริกา, เอเชียและบนหมู่เกาะแปซิฟิก (เช่นกวม, ฮาวาย, ฟิจิและซามัว) มีชื่ออยู่ในรายการของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในตรินิแดดและโตเบโก ถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ที่อื่นสามารถพบได้ในป่าเปิด ป่ารอง ป่าชายฝั่งทะเล หนองน้ำตามฤดูกาลตามลำธารน้ำขึ้นน้ำลงชายฝั่งหินที่ระดับความสูง 100-600 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ผลัดใบขนาดกลางสูงประมาณ 8-15 เมตรเรือนยอดแผ่กว้างกิ่งอ่อนห้อยย้อยลง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ออกรวมกันเป็นช่อ มีใบย่อย5-11ใบใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ผิวใบเกลี้ยงโคนใบมนปลายใบแหลม ดอก เป็นดอกช่อออกตามปลายกิ่งหลังจากแตกใบใหม่ กลีบรองดอกสีเขียวกลีบดอกสีเหลืองอมส้ม ดอกคล้ายดอกถั่วขนาด1-1.5 ซม.ดอกมีกลิ่นหอม ผลกลมและแบนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5-7 ซม มีปีกบางๆโดยรอบ ปีกกว้าง 2 ซม. ผลแก่มีสีน้ำตาลไม่แตก มีเมล็ดตรงกลางสีน้ำตาล 1 เมล็ด
- ความแตกต่างระหว่าง ประดู่ป่ากับประดู่บ้าน มักสับสนกันสังเกตุที่ดอกของประดู่ป่าดอกจะออกเป็นช่อที่ก้านช่อไม่แตกแขนงช่อยาว 5-9 ซม.ออกที่ซอกใบ แต่ดอกประดู่บ้านดอกมีก้านช่อที่แตกแขนงออกที่ปลายกิ่งยาว15-30 ซม.อันนี้ดูความแตกต่างตอนออกดอก ดอกและเรือนยอดที่สวยงามของประดู่บ้านทำให้เป็นที่นิยมและกระจายพันธุ์ไปกว้างขวาง
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---(USDA Zone 10a-11) ต้องการแสงแดดที่ถึงร่มเงาบางส่วน สายพันธุ์นี้สามารถทนต่อร่มเงาได้ถึง 25% อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีตั้งแต่ 22°C ถึง 32°C และระหว่าง 4-6 เดือนในฤดูแล้งที่ยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปลูกในดินลึก ดินร่วนปนทรายจนถึงดินเหนียว ที่มีค่า pH 5.5 - 6.5, ที่ทนได้ 4 - 7.4 ต้นไม้มีความทนทานต่อลมทั้งคงที่และลมพายุได้ดี ทนต่อดินเค็มและละอองเกลือในระดับปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำมาก หากน้ำไม่เพียงพอ การเจริญเติบโตของพืชจะถูกจำกัด การรดน้ำในฤดูร้อนควรรดน้ำในตอนเช้าหรือตอนเย็น รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป แต่ควรรักษาความถี่ในการรดน้ำทุกๆ สองหรือสามวัน
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่ง 3-6 เดือนครั้ง เพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ไม่มีข้อกำหนดในการใส่ปุ๋ยมากนัก และจำนวนและปริมาณการให้ปุ๋ยก็ไม่ควรบ่อยเกินไป
ศัตรูพืช/โรคพืช---AAlurodicus dispersus (แมลงหวี่ขาว) ; Haematonectria haematococca (มันฝรั่งเน่าแห้ง) ; Hypomeces squamosus (มอดสีเขียว) ; Singapora nigropunctata ; Xylosandrus morigerus (ด้วงกิ่งสีน้ำตาล) /โรคเชื้อราที่พบบ่อยหลายชนิดซึ่งสามารถทำลายเมล็ดและต้นกล้า https://www.cabidigitallibrary.org/doi/10.1079/cabicompendium.45419#sec-14
รู้จักอ้นตราย---None known

การใช้ประโยชน์ ---ไม้ที่มีสีสันจัดอยู่ในกลุ่มไม้ที่มีค่ามากที่สุดในโลก และมีการเก็บเกี่ยวต้นไม้อย่างกว้างขวางเพื่อใช้เป็นไม้
- เป็นหนึ่งใน 33 สายพันธุ์ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นไม้ Hongmu (ไม้แดง) ที่เหมาะสม ซึ่งใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์จีนคุณภาพสูงตามประเพณีจากราชวงศ์ Mingพ.ศ. 2334 (https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Pterocarpus+indicus)
ใช้กิน---ใบอ่อนและดอกมีกลิ่นหอมใช้รับประทานได้
ใช้ปลูกประดับ--- ต้นไม้นั้นมีค่าประดับมากเมื่อเติบโตในสวน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาตามสวนสาธารณะ และใช้ในงานภูมิทัศน์ ทั่วไป มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่เขตร้อนทั่วโลก
*ใช้เป็นยา---ต้นไม้บางครั้งใช้ในการแพทย์พื้นบ้านสำหรับเนื้องอก โดยเฉพาะในปาก
- Kino ที่ได้จากลำต้นมีความเหนียว ขม และมีมันว่ากันว่ามีฤทธิ์ต้านน้ำดี ขับเสมหะ และขับเสมหะ และใช้ในการรักษาโรคลำคอ แผลในปาก
- ครั้งหนึ่งเคยใช้รักษาอาการท้องเสีย โดยมักใช้ร่วมกับฝิ่น
- ใบแห้งนำมาผสมกับน้ำแล้วดื่มทุกวันเพื่อรักษาอาการปวดหัว การแช่ใบอ่อนใช้รักษาอาการท้องผูก ปวดท้อง เป็นไข้ หอบหืด และแผลในปาก ใบสดเคี้ยวเพื่อบรรเทาอาการไอ
- ใบอ่อนใช้ทาภายนอกแก้ฝี แผลพุพอง และแผล นำใบที่เป็นผงละเอียดมาทาบริเวณช่องคลอดที่แตกร้าว
- มีรายงานว่าใบสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งน้ำในช่องท้อง Ehrlich ได้อย่างมีนัยสำคัญ
- น้ำรากใช้รักษาโรคซิฟิลิส
- การแช่เปลือกแห้งใช้ในการรักษาโรคปอดบวม
- น้ำคั้นจากเปลือกสดใช้ทารักษาบาดแผลและแผล (https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Pterocarpus+indicus)
ใช้ในระบบวนเกษตร---เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มสำหรับกาแฟและพืชอื่น ๆ สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีอิฐ สีแดงถึงสีน้ำตาลทองมีความแข็งปานกลาง หนักและง่ายต่อการใช้งานมีกลิ่นหอม มันถูกใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์ชั้นสูงและตู้ตกแต่งแผ่นไม้อัดตกแต่งภายในแผ่นผนังตกแต่งพื้น (รวมถึงแถบและไม้ปาร์เก้), เครื่องดนตรี  Amboyna burl ที่มีค่าสูงซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ไม้ที่หายากและมีค่ามากที่สุดในโลก มันใช้เพียงเล็กน้อยในการกลึง แต่เนื่องจาก burl เป็นรูปทรงที่ประณีตมาก ทำให้ ดีต่อชิ้นส่วน เพื่อใช้สำหรับ finials หรือบางทีอาจเป็นรูปคล้ายคาโบชอง(cabochon)บนกล่องแบน  
- เป็นแหล่งที่มาของ Kino-; Kino เป็นสารสีแดงคล้ายกับเรซิ่น ถูกใช้ในท้องถิ่นเป็นยาสมานแผลและในการฟอก ไม้และเปลือกไม้ให้สีย้อมแดง-; ใบใช้เป็นแชมพู
สำคัญ---ได้รับการประกาศเป็นต้นไม้ประจำชาติของฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2477
- เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดชลบุรีและจังหวัดภูเก็ตในประเทศไทย
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสายพันธุ์นี้คือการตัดไม้อย่างผิดกฎหมาย Pterocarpus indicusยังมีความเสี่ยงจากการลดลงของแหล่งที่อยู่อาศัยอันเนื่องมาจากการใช้โดยมนุษย์และการทำลายล้างของป่า ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2018 Pterocarpus indicus ถูกระบุว่า ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ A3cd+4cd
สถานะการอนุรักษ์---EN-ENDANGERED A3cd+4cd - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species (2018)
source: Barstow, M. 2018. Pterocarpus indicus. The IUCN Red List of Threatened Species 2018: e.T33241A2835450. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2018-2.RLTS.T33241A2835450.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33241/2835450
- สายพันธุ์นี้มีอยู่ในคอลเลกชันนอกแหล่งกำเนิดอย่างน้อย 25 รายการ (BGCI 2018) ในปี พ.ศ. 2541 ชนิดนี้ได้รับการประเมินทั่วโลกว่ามีความเสี่ยง (World Conservation Monitoring Center 1998) ในประเทศจีนและฟิลิปปินส์ สายพันธุ์นี้ได้รับการประเมินว่าใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (Fernando et al. 2008, Haining et al. 2017)
- ในประเทศมาเลเซีย สายพันธุ์นี้เป็นสายพันธุ์ที่มีความสำคัญสำหรับ ความพยายามในการอนุรักษ์ ในแหล่งกำเนิดและนอกแหล่งกำเนิดและจะต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อการเพาะปลูก (Jalonen et al. 2009)
- ใน สปป. ลาว ห้ามมิให้ตัดไม้ชนิดนี้เป็น 'ชนิดพันธุ์ไม้ธรรมชาติที่สูญพันธุ์' (คำสั่งนายกรัฐมนตรี เลขที่ 17 พ.ศ. 2551) (UNEP-WCMC 2014) ในปี 2559 ได้มีการพัฒนากฎหมายเพิ่มเติมเพื่อห้ามการส่งออกไม้จากป่าพื้นเมือง
- ในเมียนมาร์ มีการห้ามส่งออกไม้ซุงระหว่างปี 2557 ถึง 2560 แต่การบังคับใช้ทำได้ไม่ดีนัก พวกเขายังมีข้อตกลงทวิภาคีกับจีนเพื่อลดการตัดไม้ผิดกฎหมายข้ามพรมแดน (Richer  et al.  2014, Treanor 2015, EIA 2016, Treue  et al . 2016)
- ในประเทศไทย มีการห้ามการตัดไม้ตัวอย่างป่าธรรมชาติระดับชาติมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 (EIA 2012, Treanor 2015)
ระยะออกดอก/ติดผล--- เดือนมีนาคม-เดือนเมษายน เริ่มออกดอกและติดผลเมื่อต้นไม้มีอายุ 5-10 ปี
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ปักชำ  เมล็ดพันธุ์อาจคงอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปี
- *การปักชำพันธุ์สามารถหยั่งรากได้ ในฟิลิปปินส์ การตัดกิ่งของ P. Indicus ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 ซม. จะถูกหยั่งรากหลังจากการรักษาด้วยฮอร์โมน(https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Pterocarpus+indicus)
- เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนยาวและมีอายุยาวนานกว่า 100 ปี


21 ประดู่แดง/Barnebydendron riedelii


ชื่อวิทยาศาสตร์---Barnebydendron riedelii (Tul.) J. H. Kirkbr.(1999)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Basionym: Phyllocarpus riedelii Tul.(1843)
---Phyllocarpus septentrionalis Donn.Sm.(1913)
---See https://species.wikimedia.org/wiki/Barnebydendron_riedelii
ชื่อสามัญ---Monkey- Flower Tree, Fire of Pakistan, Flower of Pakistan, Monkey Fur Tree
ชื่ออื่น---ประดู่แดง, วาสุเทพ; [PORTUGUESE: Guarabu cebola, Guaribeiro, Itapicuru];[SPANISH: Guacamayo, Flores fuego de Pakistán];[THAI: Pradoo Daeng, Wasuthep].
EPPO Code--- BBZRI (Preferred name: Barnebydendron riedelii)
ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE )
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์-- อเมริกาใต้ - บราซิลตะวันออก, เปรู; อเมริกากลาง - ปานามาไปยังกัวเตมาลา
นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Barnebydendron' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ Rupert C. Barneby (1911-2000) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการศึกษาพืชตระกูลถั่ว ( Fabaceae ) ทำงานที่สวนพฤกษศาสตร์นิวยอร์ก ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'riedelii'
Barnebydendron riedelii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) อยู่ในสกุล Barnebydendron เป็น Monotypic genus มีเพียงสายพันธุ์เดียวในสกุล ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Louis René (Edmond) Tulasne (1815–1885)นักเห็ดวิทยา นักไลเคน แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Joseph Harold Kirkbride (1943–) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2542
ที่อยู่อาศัย---ประดู่แดงเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคตั้งแต่บริเวณหุบเขามอนตากัวทางทิศตะวันออกของประเทศกัวเตมาลาถึงปานามา และทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ เติบโตในป่าฝนเขตร้อน (Terra firme) ในพืชพันธุ์ชายฝั่ง ในป่ากึ่งผลัดใบเนินเขาที่แห้งแล้งและมีโขดหินเป็นป่าโปร่ง ที่ระดับความสูง 10-409เมตร ในกัวเตมาลาที่ระดับความสูง100 - 900 เมตร
- สำหรับประเทศไทย พระยาอายุรเวทวิจักษณ์ (ดร.เอ็ม คาทิว) ชนชาติอังกฤษ แพทย์ในราชสำนัก รัชกาลที่6 ได้นำมาปลูกเป็นคนแรกโดยปลูกไว้ที่บ้านชมเขา อำเภอหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีจำนวน 4 ต้น ต่อมาได้ขยายพันธุ์ไปอย่างกว้างขวาง
ลักษณะ--- เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง สูง 15-20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 - 70 ซม.ทรงพุ่มกิ่งก้านย้อยห้อยลง เปลือกต้นสีเทาขาวให้ใบและดอกดก ใบเป็นใบประกอบมีใบย่อย 6-10 คู่ ใบที่อยู่ส่วนปลายเป็นคู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ใบย่อยรูปไข่เกลี้ยง สีเขียวอ่อนกว้าง 2.5-7 ซม.ยาว3-7 ซม. ผลัดใบในฤดูหนาวราวเดือนธันวาคมถึงมกราคม ออกดอกตอนใบร่วงหมด ดอกออกเป็นช่อกระจุกใหญ่ตามด้านข้างของกิ่ง กลีบรองกลีบดอก4กลีบสีแดง กลีบดอก 5 กลีบสีแดงคล้ำหรือสีเลือดหมู เกสรสีแดงขนาดยาวไม่เท่ากันไม่มีกลิ่นหอม ดอกจะบานเต็มต้นราว 2 สัปดาห์แล้วจะร่วงหมด ผล เป็นฝักแบนเรียวยาว 10–17 ซม. เปลือกผลจะมีเส้นนูนคล้ายเส้นใบปรากฏอยู่ มีเมล็ด1-2 เมล็ดตรงกลางผล เมล็ดมีลักษณะแบน ขนาดของผลกว้าง1-3 ซม.ยาว5-8 ซม.


ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zone 11: above 4.5 °C ) ต้องการแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ต้นอ่อนสามารถทนต่อแสงแดดได้มาก ต้นอ่อนมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็ว พืชที่จัดตั้งขึ้นมีความทนทานต่อสภาพแล้ง pH 7.6 to 7.8 (mildly alkaline)
- มีรายงานที่ขัดแย้งกันว่า ต้นไม้ต้นนี้มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกัน กับแบคทีเรียในดินบางชนิดหรือไม่ จึงไม่เป็นที่แน่ชัดว่าต้นไม้ต้นนี้สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศได้หรือไม่
การรดน้ำ---Unknown
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---None known
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้นั้นมีค่าประดับมากเมื่อเติบโตในสวน นิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาตามสวนสาธารณะ และใช้ในงานภูมิทัศน์ ทั่วไป มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่เขตร้อนทั่วโลก
ใช้เป็นยา---ต้นไม้บางครั้งใช้ในการแพทย์พื้นบ้าน
อื่น ๆ---เป็นไม้เนื้อแข็งมีลวดลายเป็นริ้วสีแดงสวยงาม ชักเงาและขัดเงาขึ้น เหมาะสำหรับใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และพื้นกระดาน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดในบัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคามในปี 2020 Barnebydendron riedelii ถูกระบุว่ามีความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1  - IUCN Red List of Threatened Species.(2021)
source: Condit, R. 2021. Barnebydendron riedelii (Tul.) J.H.Kirkbr.The IUCN Red List of Threatened Species 2021: https://doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T176004814A176094705.en. เข้าถึงเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2023
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/เมษายน-พฤษภาคม
- ต้นไม้จะให้ดอกเมื่ออายุประมาณ10-15 ปี
*ขยายพันธุ์---เมล็ด คาดว่าอัตราการงอกได้น้อยกว่า 50% โดยเมล็ดจะงอกภายใน 40-60 วัน
- เช่นเดียวกับหลายๆ สายพันธุ์ในตระกูล Fabaceae เมื่อพวกมันถูกทำให้แห้งเพื่อเก็บรักษา เมล็ดของสายพันธุ์นี้อาจได้รับประโยชน์จากการทำให้เป็นแผลก่อนหว่าน เพื่อเร่งและปรับปรุงการงอก โดยปกติสามารถทำได้โดยการเทน้ำเกือบเดือดจำนวนเล็กน้อยลงบนเมล็ด (ระวังอย่าให้สุก!) แล้วแช่ไว้ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 12 - 24 ชั่วโมง มาถึงตอนนี้พวกมันควรจะดูดซับความชื้นและบวมแล้ว - หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้ทำการกรีดเปลือกเมล็ดอย่างระมัดระวัง (ระวังอย่าให้ตัวอ่อนเสียหาย) และแช่ไว้อีก 12 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Barnebydendron+riedelii

22 พญาสัตบรรณ/Alstonia scholaris

[Al-sto-nia] [schol-aris]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Alstonia scholaris (L.) R.Br.(1810)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60445977-2#synonyms
---Basionym: Echites scholaris L.(1767.) https://www.gbif.org/species/5414410
---Nerium septaparna Jones.(1795), nom. superfl.
---Pala scholaris (L.) Roberty.(1953)
ชื่อสามัญ---White Cheesewood, Devil Tree, Blackboard Tree, Devil's Bark, Milky Pine, Indian Pulai, Dita tree.
ชื่ออื่น---  กะโน้ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); จะบัน (เขมร-ปราจีนบุรี); ชบา, ตีนเป็ด (ภาคกลาง); ตีนเป็ดดำ (นราธิวาส); บะซา, ปูลา, ปูแล (ปัตตานี, มาเลย์-ยะลา); พญาสัตบรรณ (ภาคกลาง); ยางขาว (ลำปาง); สัตบรรณ (ภาคกลาง, เขมร-จันทบุรี); หัสบรรณ (กาญจนบุรี) ; [ASSAMESE: Chatim, Chatiyana, Sotiyana.];[AUSTRALIA: Birrba, Koo rool, Milkwood, Milky pine.];[AYURVEDA: Saptaparna, Sapta-chhada, Saptaparni, Saptaahvaa, Vishaaltvak, Shaarada, Visham-chhada.];[BANGLADESH: Chatian, Chatin.];[BENGALI: Chatim.];[BRUNEI: Pulai lilin.];[CHINESE: Tang jiao shu.];[FRENCH: Echite.];[GERMAN: Mahagoni, Zitronen, Teufelsbaum, Weissquirlbaum.];[HINDI: Shaitan Ka Jhar, Chitvan.];[INDONESIA: Pulai, Pule, Palimari, Rite.];[KANNADA: Hale, Janthalla, Maddaale, Janthaila, Doddapala.];[LAOS: Tinpet.];[MALAYSIA: Kacau Gitik, Pulai, Palai Lilin (Malay); Kayo Gitak (Kenyah).];[MALAYALAM: Mangalappala, Pala, Ezhilampala.];[MARATHI: Satvin, Saptaparna.];[MYANMAR: Letpan-ga, Taung-mayo, Taung-meok, Lettok.];[NEPALI: Chhataun, Chhatiwan.];[PAKISTAN: Chhatim.];[PHILIPPINES: Andarayan (Ibn.); Alipauen (Ilk.); Dalipauen (Ilk.); Dita(Tag).];[SANSKRIT: Saptaparna.];[SIDDHA/TAMIL: Ezhilamippalai, Mukkampalai.];[TAMIL: Palegaruda, Mukam Palei, Mukumpaalai.];[TELUGU: Saptavarnamu, Edakulayaraticettu.];[THAI: Ka-no (Karen-Mae Hong Son); Cha-ban (Khmer-Prachin Buri); Chaba, Tin pet, Phaya sattaban (Central); Tin pet dam (Narathiwat); Ba-sa, Pu-lae, Pu-la (Pattani, Malay-Yala); Yang khao (Lampang); Sattaban (Central, Khmer-Chanthaburi); Hatsaban (Kanchanaburi).];[UNANI: Chhaatim, Kaasim.];[VIETNAM: Caay suwxa, Caay mof cua.];[TRADE NAME: Pulai, Shaitan wood, Chatiyan wood, White cheese wood.].
EPPO Code--- ATNSC (Preferred name: Alstonia scholaris)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย รัฐควีนส์แลนด์  หมู่เกาะโซโลมอน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเดิมของ 'Alstonia scholaris' คือ Echites scholaris ถูกตั้งชื่อโดย Linnaeus ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Alstonia scholaris โดย Robert Brown เพื่อเป็นการระลึกถึง Prof. Charles Alston (1685-1760) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ; ชื่อสายพันธุ์ 'scholaris' เกิดขึ้นจากการใช้ไม้ในการทำกระดานดำและหลังคาไม้สำหรับโรงเรียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Arulmozhi, et al, 2007c. Baliga 2010)
Alstonia scholaris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดน ได้รับชื่อปัจจุบันโดย Robert Brown (1773-1858) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อตในปี พ.ศ.2353


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดใน จีน (กวางสี , ยูนนาน) ; อนุทวีปอินเดีย (บังคลาเทศ,อินเดีย,เนปาล,ปากีสถาน,ศรีลังกา) ; เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กัมพูชา,ลาว,อินโดนีเซีย,มาเลเซีย,เมียนมาร์,ปาปัวนิวกินี,ฟิลิปปินส์,ไทย,เวียดนาม) ; ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์) พบในพื้นที่เปิด ขอบป่าและในป่าทุติยภูมิที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 900 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ป่ายืนต้นขนาดใหญ่สูงประมาณ 15-25 เมตร ลักษณะลำต้นเปลาตรงสูงใหญ่ทรงพุ่มแผ่ แตกกิ่งก้านสาขามากตามเรือนยอด ใบสีเขียวเข้มรูปมนรี ปลายใบมนโคนใบแหลม ก้านใบสั้น ขนาดของใบยาวประมาณ8-15ซมออกใบเป็นกลุ่มรอบกิ่ง กลุ่มละ7ใบกลุ่มใบต่อเนื่องกันตามกิ่งคล้ายฉัตร  ดอก เป็นช่อออกตามปลายกิ่ง รวมกันเป็นกลุ่มหนาแน่น ดอกมีขนาดเล็กสีขาวอมสีเหลืองอ่อน ลักษณะดอกคล้ายดอกเข็ม ดอกช่อหนึ่งๆจะติดกลุ่มเป็นพุ่มย่อยๆช่อละ7พุ่มเหมือนกันทุกช่อ และมักบานสพรั่งพร้อมกันสวยงามน่าดู มีกลิ่นหอมแรง ผล ออกเป็นคู่รูปกลมยาวเหมือนฝักถั่วขนาด 0.2-0.3 ซ.ม.ยาว 21-56 ซ.ม.เกลี้ยงแตกได้เป็น2ส่วน เมล็ดมีขนที่ปลายทั้ง 2 ด้าน ยาว 1.5–2 ซม.สีขาวนวลปลิวตามลม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---Hardiness zone (min 9b) ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิที่เหมาะสม 20°C ถึง 35°C ชอบดินที่ชื้นอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี สามารถทนต่อดินได้หลายชนิด มักผลัดใบเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงเวลาที่ไม่สม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตของพืช *ต้นไม้เติบโตเร็วพอสมควร ตัวอย่างในอินเดียมีความสูงถึง 3.6 เมตรภายใน 3.5 ปี ในไต้หวัน พืชมีความสูงเฉลี่ย 23.5 เมตรใน 18 ปี ในขณะที่มีความสูงถึง 35 เมตรเมื่ออายุ 41 ปี  
การรดน้ำ---น้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ทุก 2 สัปดาห์ อาจต้านทานต่อฤดูแล้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอก ปีละ 1 ครั้ง ในช่วงต้นฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนผีเสื้อ/ มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการของโรคได้ง่ายกว่าเมื่อได้รับน้ำมากเกินไป อาการของการรดน้ำมากเกินไป ได้แก่ ใบเหลือง รากเน่า ใบร่วง
รู้จักอ้นตราย---พืชมีพิษในปริมาณที่สูงเนื่องมาจากปริมาณ echitamine ซึ่งเป็นอัลคาลอยด์ในเปลือกไม้
การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้มักถูกใช้ประโยชน์จากไม้ที่มีคุณค่าและถือว่าเป็นต้นไม้ที่ดีในสภาพแวดล้อมที่ชื้น
ใช้เป็นยา---เปลือกไม้นั้นเป็นสมุนไพรที่มีรสขม เป็นยาสมานแผลที่ช่วยลดไข้ทำให้ความรู้สึกหดเกร็งผ่อนคลาย กระตุ้นการหลั่งน้ำนมและขับลมในลำไส้ โรคท้องร่วงเรื้อรังและขั้นสูงของโรคบิด
- น้ำยางที่ได้จากเปลือก ถือว่าเป็นยาบำรุงกำลังอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ในการรักษาโรคประสาทและปวดฟัน ใช้เป็นยาต้านมาลาเรีย
- ใบใช้สำหรับรักษาโรคเหน็บชา, ท้องมานและตับแน่น
- น้ำคั้นใบใช้ทำความสะอาดบาดแผลที่ติดเชื้อ ใบถูกนำมาคั่วกับมะพร้าวเพื่อรักษาแผลเปื่อย ใบจะอ่อนเหี่ยวแห้งไปด้วยความร้อน บดและนำไปใช้กับแผลที่ติดเชื้อเพื่อเร่งการรักษา ใช้กับแผลเรื้อรัง คุดทะราด โพรงของฟันที่ปวด และเพื่อให้ฝีสุกเต็มที่


ใช้ปลูกประดับ---มักจะปลูกเพื่อความสวยงามและให้ร่มเงา กลิ่นหอมของดอกพญาสัตบรรณ จะหอมชื่นใจมากถ้าอยู่ในป่า เรือนยอดอยู่สูงลิบ ทำให้กลิ่นเจือจางด้วยสายลม ประกอบกับทรงต้นที่สูงตระหง่านงามสง่า
*(ส่วนตัว) ครั้งหนึ่งในอดีตน่าจะประมาณปี 38-40 ถ้าจำไม่ผิด มีผู้นิยมนำพญาสัตบรรณขนาดใหญ่ยักษ์ ชลอจากป่าเข้ามาใช้ในงานภูมิทัศน์ หรูหราเป็นหน้าเป็นตามาก ต้นเล็กต้นน้อยขายได้หมด มีพวกบ้านจัดสรรเป็นลูกค้าสำคัญแล้วก็ กทม ถนนในกรุงเทพฯ หลายสาย ปลูกพญาสัตบรรณเป็นแถวเป็นแนวด้วยต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1"-2" บางที่ก็ใช้ 6"-10"ก็มี ทีนี้เวลาผ่านไป ได้ระยะออกดอกพร้อมกัน ความที่กลิ่นหอมแรงและอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากแถมต้นก็ยังสูงไม่มากทำให้หลายคนหรือทุกคนได้กลิ่นแล้วเกิดอาการวิงเวียน ที่ว่าหอมก็เป็นเหม็นไปหมด อยู่ในบ้านมีแค่ต้นเดียวก็เหลือจะทนไหนจะระบบรากที่รุนแรงเพราะเป็นไม้ใหญ่โตเร็ว ทำให้ วันหนึ่งพญาสัตบรรณที่งามสง่าก็ไม่เป็นที่ต้องการในแลนด์สเคปอีกต่อไป*
ใช้อื่น ๆ--- เนื้อไม้ของพญาสัตบรรณมีค่ามากเกือบทัดเทียมกับราคาไม้สัก ทีเดียว เนื้อไม้สีขาวอมเหลืองค่อนข้างเหนียวและทนทานมาก ใช้ประโยชน์ในทางก่อสร้างและทำเครื่องเรือน จึงทำให้ พญาสัตบรรณถูกตัดนำไปใช้จำนวนมากเหลือน้อยลง เป็นแหล่งที่สำคัญที่สุดของไม้ซุง มันถูกใช้สำหรับการก่อสร้างแสง, เพดาน, การทำรูปแบบ, corestock, ไม้อัด, การแกะสลักและ moldings ของไม้-ยังใช้สำหรับทำกระดานดำโรงเรียนในพม่า เหมาะสำหรับการผลิตเยื่อและกระดาษ
- ใบบดคั่วกับมะพร้าวเพื่อรักษาแผลเปื่อยใช้เพื่อฆ่าหนอนในแผลของวัว เร่งให้หนอนออกมา
- สายพันธุ์นี้ได้รับการจัดการเป็นพันธุ์ไม้ฟืนในศรีลังกาภายใต้การหมุนเวียนสลับระยะสั้น 6 - 8 ปี
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในอินเดียชนเผ่าหลายคนเชื่อว่า Dita tree นั้นชั่วร้ายและหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาบอกว่า ต้นไม้นั้นมีวิญญาณชั่วร้ายอาศัยอยู่หากมีบุคคลใดที่กล้าเดินหรือนอนหลับข้างใต้ต้น วิญญาณนี้ยังบอกด้วยว่าจะฆ่าคนที่เลือกที่จะนอนใต้กิ่งไม้ ด้วยความเชื่อนี้ทำให้ต้นไม้ Dita ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ที่ต้องเผชิญกับความเชื่อเหล่านี้
สำคัญ---เป็นต้นไม้ประจำรัฐของ เบงกอลตะวันตก ประเทศอินเดีย ซึ่งเรียกว่าต้น Chatim
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่ชัดเจนต่อสายพันธุ์นี้ ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ IUCN Red List ในปี 2020 Alstonia scholaris ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.2020
source: Lakhey, P. & Pathak, J. 2021. Alstonia scholaris. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T32295A2812825. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-3.RLTS.T32295A2812825.en. เข้าถึงเมื่อ 15 ธันวาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32295/2812825
- ข้อมูลนี้ได้รับการบันทึกจาก 54 นอกแหล่งกำเนิด ไซต์รวบรวมทั่วโลก (BGCI PlantSearch 2020) สายพันธุ์นี้ได้รับการอนุรักษ์ในสวนพฤกษศาสตร์และพื้นที่อนุรักษ์ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดขึ้นในพื้นที่คุ้มครองมากกว่า 4 แห่ง รวมถึงอุทยานแห่งชาติ Parsa ของประเทศเนปาล เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหุบเขา Sharavati เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า New Amarambalam ของอินเดีย อุทยานแห่งชาติ Nameri และป่าสงวนแห่งภูฏาน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แห่งประเทศไทย
ระยะออกดอก/ติดผล --- เดือนตุลาคม/กุมภาพันธ์
*ขยายพันธุ์--- ด้วยการเพาะเมล็ด รักษาความชื้นไว้ที่อุณหภูมิ 24-26 °C โดยมีระยะเวลางอกตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 3 เดือน
- โดยการปักชำ
https://www.monaconatureencyclopedia.com/alstonia-scholaris-2/?lang=en

 23 ตีนเป็ดน้ำ/Cerbera odollam

[SER-ber-uh] [oh-DAHL-uhm]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Cerbera odollam Gaertn.(1791)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77913-1#synonyms
---Tanghinia odollam (Gaertn.) G.Don.(1837)
ชื่อสามัญ---Pong Pong Tree, Suicide tree, Dog-bane, Grey Milkwood, Sea Mango, Yellow-eyed Cerbera
ชื่ออื่น---ตีนเป็ด, ตีนเป็ดทะเล, ตีนเป็ดน้ำ (ภาคกลาง); ตุม (กาญจนบุรี); มะตะกอ (มาเลย์-นราธิวาส); สั่งลา (กระบี่) ; [BENGALI: Dabur.];[CROATIA: Samoubilačko drvo.];[GERMAN: Zerberusbaum.];[INDONESIA: Bintaro (Sumatra, Jawa).];[KANNADA: Chande, Honde, Monde mara.];[LAOS: Tin pèt nam.];[MADAGASCAR: Famentana, Kisopo , Samanta, Tangena.];[MALAYALAM: Odolam, Chattankai, Othallam.];[MALAYSIA: Bintan, Buta-buta, Pong-pong (Malay); Kepompong (Kedah); Buah Pong-pong, Buta-buta mata kuning, Buta-buta monyet, Bintaro, Bintoro.];[MARATHI: Sukanu.];[SANSKRIT: Auddalaka, Svanamara.];[TAMIL: Kattalari, Utala.];[TELUGU: Adavi arali.];[THAI: Tin pet, Tin pet thale, Tin pet nam (Central); Tum (Kanchanaburi); Ma-ta-ko (Malay-Narathiwat); Sang la (Krabi).];[VIETNAM: Mướp sát vàng, Mướp sát, Xoài biển.];[TRADE NAME: Mintola ball.].
EPPO Code--- KBROD (Preferred name: Cerbera odollam)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---อินเดีย
เขตกระจายพันธุ์---ชายฝั่งทะเลเอเซียใต้ เอเซียตะวันออเฉียงใต้- ศรีลังกา อินเดีย ตอนเหนือของออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cerberus' จากกรีก-สุนัขสามหัวที่ปกป้องยมโลกในเทพปกรณัมกรีก ; ชื่อสายพันธุ์ 'odollam' จาก ชื่อพืชในภาษา Malayalam -othallam (ഒതളം)
- ชื่อสามัญ 'Suicide tree' อ้างอิงถึงความรุนแรงของพิษที่มีอยู่ในเมล็ดของ Cerbera
Cerbera odollam เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJoseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2334
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในประเทศบังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กวมและหมู่เกาะมาเรียนาเหนือ พบในป่าทุติยภูมิใกล้แม่น้ำลำธารหรือในป่าพรุและหลังป่าชายเลน


ลักษณะ---เป็นไม้ต้นสูงประมาณ 5-10 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20 - 90 ซม ทรงร่ม เปลือกนอกเรียบสีเทา มีช่องอากาศกระจายทั่วไป เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อนมีน้ำยางขาวข้นตามส่วนต่างๆ ใบ เดี่ยวเรียงเวียนสลับ ออกเป็นกระจุกแน่นที่ปลายกิ่งใบรูปใบหอกกลับแกมรูปไข่ถึงรูปขอบขนานแกมรูป ไข่ โคนใบสอบรูปลิ่มแคบ ขนาดของใบ 4-7x15-30ซม. เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวคล้ำเป็นมัน ด้านล่างสีซีดกว่า ดอก แบบช่อกระจุกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งแต่ละช่อมีหลายดอก ขนาดของดอกประมาณ 4 ซม.สีขาวตรงกลางสีเหลือง โคนดอกติดกันเป็นหลอด กลีบดอก5กลีบแยกกัน ผลสีเขียวเมื่อสุกสีแดงเป็นมัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) เจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่ไม่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน ในถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ มันจะวิวัฒนาการในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดส่องถึง การให้ร่มเงามากเกินไปอาจขัดขวางการเจริญเติบโตของมัน อุณหภูมิที่เหมาะสม 20 ℃ ถึง 38 ℃ ชอบดินร่วนชื้นที่อุดมสมบูรณ์ และมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมอทุก 2 สัปดาห์ หรือรดน้ำทุกครั้งที่ดินชั้นบนเริ่มแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่เหมาะสมในการกำจัดเถาวัลย์หรือกิ่งก้านที่ตายแล้ว ตัดแต่งกิ่งที่เก่าและใหม่ออกอย่างระมัดระวังเพื่อการขยายพันธุ์
การใส่ปุ๋ย---การใช้ปุ๋ยน้ำอเนกประสงค์แบบเจือจางทุกเดือนจะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี อย่าลืมใส่ปุ๋ยก่อนที่ดอกตูมจะเริ่มปรากฏขึ้น
ศัตรูพืช/โรคพืช---การให้น้ำมากเกินไปจะเกิดอาการ ใบเหลือง รากเน่า ใบร่วง
รู้จักอันตราย--- พืชทั้งหมดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดมีพิษมากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการเช่นปวดท้องอย่างรุนแรงท้องเสียจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติและอาเจียนอาจตายภายในไม่กี่ชั่วโมงของการบริโภคเมล็ด มักถูกขนานนามว่า 'ต้นไม้ฆ่าตัวตาย' (Suicide tree) เนื่องจากผลกระทบที่รุนแรงต่อหัวใจทำให้หัวใจหยุดเต้นซึ่งทำให้เป็นวิธีที่เหมาะสมในการพยายามฆ่าตัวตาย มันถูกใช้ทั้งในการฆ่าตัวตายและการฆาตกรรม ปริมาณพิษที่ร้ายแรงนั้นบรรจุอยู่ในเมล็ดเดียวซึ่งนำไปสู่ความตายภายใน 1-2 วัน
การใช้ประโยชน์--- พืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งของเส้นใยและน้ำมัน บางครั้งปลูกเป็นไม้ประดับ
ใช้เป็นยา---ใบใช้ภายนอกรักษากลาก เปลือก ใบ และน้ำยาง ถือเป็นยาขับพิษ น้ำมันเมล็ดพืช เป็นพิษและขับพิษอย่างรุนแรง น้ำมันใช้ภายนอกเพื่อรักษาโรคหิด และใช้เป็นยาบำรุงผมที่ฆ่าเหา ดอกไม้ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร
- สารสกัดเมทานอลน้ำมันดิบของรากของตีนเป็ดน้ำ แสดงฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและขับปัสสาวะ
ใช้อื่น ๆ---ไฟเบอร์ได้มาจากเปลือกชั้นใน น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้สำหรับให้แสงสว่าง ไม้มีน้ำหนักเบาถึงปานกลางมีความทนทานต่ำและใช้งานได้ง่าย ใช้สำหรับการใช้งานในร่มหรืองานที่ไม่คงทน
- เมล็ดที่มีเส้นใยมากเมื่อแห้งจะมีลักษณะคล้ายมะพร้าวลูกเล็กที่มีลวดลายสวยงาม
- Cerbera จะถูกใช้เป็นยาฆ่าแมลง ยาพิษหนู และยาเบื่อปลาทั่วทั้งภูมิภาคที่อยู่
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ IUCN Red List ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม Cerbera odollam ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด ในปี 2018 (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern -ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. 2018
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Cerbera odollam. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T61984781A149016198. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T61984781A149016198.en. Accessed on 15 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/61984781/149016198
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (National Red List เข้าถึงปี 2018)
ระยะออกดอก/ติดผล--- กรกฎาคม - พฤศจิกายน
การขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

24 ตีนเป็ดทราย/Cerbera manghas

[SER-ber-uh] [man-gah-as]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Cerbera manghas L.(1791)
ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77906-1#synonyms
---Odollamia manghas (L.) Raf.(1838)
---Tanghinia manghas (L.) G.Don.(1837)
ชื่อสามัญ---Madagascar Ordeal Bean, Ordeal plant, Sea-mango, Cerbera, Jawa Tree, Dog-bane, Sea Mango, Pink-eyed Cerbera, Pink-eyed Pong Pong Tree, Thai perfume plant
ชื่ออื่น--- ตีนเป็ดทราย (ปัตตานี); ตีนเป็ดเล็ก (ภาคกลาง); เทียนหนู, เนียนหนู (สตูล); ปงปง (พังงา); ปากเป็ด (ตราด); มะตากอ (มาเลย์-นราธิวาส); รักขาว (จันทบุรี) ;[CHINESE: Hai mang guo.];[FRENCH: Faux manguier, Tanghin.];[INDIA: Utalam, Chattankaya.];[KANNADA: Chande, Monde.];[MALAYALAM: Utalam, Chattankaya.];[MALAYSIA: Buta-buta, Nyan, Pokok Pong Pong (Malay); Pong Pong (Sabah); Entiba (Sarawak, Selako.).];[MARATHI: Sukanu.];[PHILIPPINES: Baraibai, Maraibai, Toktok-kalau, Tabau-tabau (Tag.); Buto-buto (C. Bis.); Panabulon (P. Bis.); Dita (Sul.).];[PORTUGUESE: Manga-de-água.];[TAMIL: Kodalma, Kattarali, Kottuma, Caat aralie.];[THAI: Thian nu,nian nu (Satun); Tin pet lek (Central); Tin pet sai (Pattani); Pong pong (Phangnga); Pak pet (Trat); Ma-ta-ko (Malay-Narathiwat), Rak khao (Chanthaburi).];[VIETNAM: Mật sát hồng, Hường, Tốc sát].
EPPO Code--- KBRMA (Preferred name: Cerbera manghas)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตลอดถึงตอนเหนือของออสเตรเลียหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกแอฟริกาตะวันออก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cerberus' จากกรีก-สุนัขสามหัวที่ปกป้องยมโลกในเทพปกรณัมกรีก ; ชื่อสายพันธุ์ 'manghas' จากภาษาตากาล็อก                                                                                                                                                      Cerbera manghas เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปีพ.ศ.2334
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะซีเชลส์ในมหาสมุทรอินเดีย ศรีลังกา จีน ออสเตรเลีย หมู่เกาะมาเลย์ หมู่เกาะแปซิฟิก มาดากัสการ์และคอโมโรส พบตามป่าดิบชื้นตามแนวชายฝั่งป่าผลัดใบที่แห้งแล้งที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง150 เมตรในมาดากัสการ์ ตามฝั่งทะเลและฝั่งน้ำขึ้นน้ำลงในภาคใต้ของจีน
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 5-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสามารถเข้าถึง 70 ซม. ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว มักแตกกิ่งต่ำคล้ายไม้พุ่ม เปลือกนอกเรียบสีเทา มีช่องอากาศกระจายทั่วไป เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อน ใบเดี่ยวเรียงสลับออกแน่นใกล้ปลายยอด รูปไข่กลับแกมขอบขนาน ขนาดของใบ 3-6 x 10-25 ซม.ปลายใบและโคนใบแหลม เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า ดอกแบบช่อกระจุก ออกตามปลายยอด ช่อดอกโปร่งแข็ง แต่ละช่อมีหลายดอก ดอกย่อยขนาดประมาณ 5 ซม.สีขาวปากหลอดสีชมพูปนแดงเข้ม กลีบเลี้ยงแยกเป็น 5 กลีบขนาดไม่เท่ากัน กลีบดอกเมื่อตูมจะซ้อนกันเวียนเป็นเกลียว ผลแบบผลเมล็ดเดียวแข็งรูปไข่หรือรูปรีขนาด 3-5 x 5-8 ซม.เมื่อสุกสีแดงปนดำ เนื้อนิ่ม เมล็ดแข็งน้ำหนักเบา
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้น (zone 10a - 11.) ชอบแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงมีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) ดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอินทรียวัตถุ อย่างไรก็ตามต้นไม้นี้สามารถทนต่อดินทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี และอุดมไปด้วยฮิวมัส อัตราการเจริญเติบโตช้าและมีนิสัยการเจริญเติบโตเหมือนลีลาวดี
การรดน้ำ---ต้องการการรดน้ำปานกลางแต่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งหรือความร้อนจัด สิ่งสำคัญคือต้องหลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป เนื่องจากพืชอ่อนแอต่อรากเน่าได้
การตัดแต่งกิ่ง---นอกจากการตัดแต่งกิ่งเป็นครั้งคราวแล้ว ยังต้องมีการดูแลเอาใจใส่เพียงเล็กน้อยเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตที่ดีและรักษารูปร่างไว้ ควรตัดกิ่งในช่วงฤดูปลูก โดยควรก่อนหรือหลังดอกบาน
การใส่ปุ๋ย---ใช้ปุ๋ยที่ปล่อยช้าอย่างสมดุล โดยให้ใส่ทุกสามเดือนในช่วงฤดูปลูก
ศัตรูพืช/โรคพืช---เพลี้ยแป้ง, แมลงเกล็ด, ไรแมงมุม/ ไวต่อโรคเชื้อราหลายชนิด รวมถึงรากเน่า โรคใบจุด และโรคราแป้ง
รู้จักอันตราย--- ทุกส่วนของพืชมี glycoside มีความเป็นพิษสูงและก่อให้เกิดอาการระคายเคือง เมล็ดมีพิษมากและมีกรดไฮโดรไซยานิก สารพิษถูกกล่าวว่าเป็นอันตรายต่อสุนัขโดยเฉพาะ
การใช้ประโยชน์---พืชที่ใช้ในท้องถิ่นเป็นยาสมุนไพรการเก็บเกี่ยวส่วนใหญ่มาจากป่า ผลิตภัณฑ์ยาบางครั้งวางจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น
ใช้ปลูกประดับ---นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากดอกและผลมีความสวยงาม ดอกมีกลิ่นหอมที่สามารถผลิตได้ตลอดทั้งปี สามารถปลูกในภาชนะ และสามารถใช้จัดสวนริมทะเล
ใช้เป็นยา---แพทย์แผนโบราณในประเทศมาดากัสการ์ใช้เมล็ดเพื่อรักษาความผิดปกติของหัวใจ
- ในเอเชียเขตร้อน เมล็ดใช้รักษาโรคหิดและการระคายเคืองผิวหนัง เพื่อเตรียมยาบำรุงผมและเป็นยาพิษสำหรับปลา
- เปลือกไม้ใช้เป็นยาระบายและลดไข้และรักษาอาการขับปัสสาวะและกลากเกลื้อน  
- ดอกไม้ใช้รักษาริดสีดวงทวาร
- จากการศึกษาพบว่ามีคุณสมบัติต้านเนื้องอก สารต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อรา ฆ่าแมลง ต้านแบคทีเรียและเป็นพิษ
ใช้อื่น ๆ---เนื้อไม้มีน้ำหนักเบาถึงปานกลางโดยมีแก่นไม้สีขาวถึงสีเหลืองน้ำตาลอ่อนซึ่งไม่ได้แยกจากกระพี้ เนื้อละเอียดและไม่สม่ำเสมอ มีประโยชน์สำหรับการผลิตแผ่นไม้อัด มีการส่งออกไม้ จำนวนเล็กน้อยจากปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอนไปยังญี่ปุ่น
- ไม้ใช้สำหรับเป็นถ่านเนื้อละเอียด                                                                                                                             - Cerbera manghas น้ำมันมีประโยชน์สำหรับการผลิตไบโอดีเซลและเป็นวัตถุดิบตั้งต้นที่ไม่สามารถบริโภคได้ ที่ได้มาจากผลของต้นไม้ ปริมาณน้ำมันจาก Cerbera manghas เมล็ดคือ 54 เปอร์เซ็นต์ ไบโอดีเซลผลิตจาก Cerbera manghas เมทิลเอสเทอร์ (CMME) และคุณสมบัติของ Cerbera manghas อยู่ในมาตรฐานไบโอดีเซลที่แนะนำ จากคุณสมบัติเหล่านี้ น้ำมัน Cerbera manghas ถือเป็นวัตถุดิบในการรองรับการผลิตไบโอดีเซลในอนาคต
ภัยคุกคาม---ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ในปี 2018 Cerbera manghas ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. 2018
source: Yu, S., Qin, h., Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Cerbera manghas. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T147649572A147649574. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T147649572A147649574.en. Accessed on 16 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/147649572/147649574
- สายพันธุ์นี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคามโดย MEPC CAS (2014) และ Wang et al (2012).
ระยะออกดอก/ติดผล--- เกือบตลอดปี
ขยายพันธุ์--- เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ

สกุล Dyera ประกอบด้วย 2 สปีชีส์เท่านั้นคือ
1 Dyera costulata---พบในคาบสมุทรของประเทศไทยคาบสมุทรมาเลเซียสิงคโปร์สุมาตราและบอร์เนียว
2 Dyera polyphylla---ที่เกิดขึ้นในสุมาตราและบอร์เนียว (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)

25 ตีนเป็ดแดง/Dyera costulata


ชื่อวิทยาศาสตร์---Dyera costulata (Miq.) Hook.f.(1883)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.
---Basionym: Alstonia costulata Miq.(1861) https://www.gbif.org/species/3169754
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:78323-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Gutta percha tree, Hill jelutong, Jelutong
ชื่ออื่น---เยลูตง (มาเลย์-ปัคคานี), ลูตง (มาเลย์-นราธิวาส), ตีนเป็ดแดง (ภาคใต้) ;[INDONESIA: Jelutung bukit (general); Melabuai (Sumatra); Pantung gunung (Kalimantan); Gutta jelutong.];[MALAYSIA: Jelutong bukit (general), Jelutong pipit, Jelutong daun lebar (Peninsular);[THAI: Ye-lu-tong (Malay-Yala, Pattani); Lu-tong (Malay-Narathiwat); Tin pet daeng (Peninsular).];   
EPPO Code--- DYRCO (Preferred name: Dyera costulata)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - มาเลเซีย, ไทย, อินโดนีเซีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dyera' ตั้งตามนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ WilliamTurnerTriselton-Dyer (1843-1928) ;ชื่อเฉพาะ 'costulata' จากภาษาละติน "costulatus, a, um" = ประดับด้วยซี่โครงเล็กโดยอ้างอิงถึงเส้นเลือดของใบ
- ชื่อ jelutong ใช้เพื่ออ้างถึงทั้ง Dyera costulata และสายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด
Dyera costulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2426
สกุล Dyera ประกอบด้วย 2 สปีชีส์เท่านั้นคือ
1 Dyera costulata---พบใน ประเทศไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, สุมาตรา และบอร์เนียว
2 Dyera polyphylla---เกิดขึ้นในสุมาตราและบอร์เนียว (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์)

 

ที่อยู่อาศัย---พบในอินโดจีน (ประเทศไทย), มาเลเซีย (สุมาตรา), สิงคโปร์, อินโดนีเซีย (บอร์เนียว) เติบโตในป่าดิบเขาหรือป่าดิบเขาปฐมภูมิสูงถึง 300 เมตร ในป่าที่ไม่ถูกรบกวนที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร มักจะอยู่บนเนินเขาและสันเขาในป่า
- ในประเทศไทยพบในภาคใต้ตอนล่างของไทย ที่จังหวัด สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบในช่วงฤดูแล้ง สูง 30- 60 เมตร.ลำต้นทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 1.6 เมตร ในบางประเทศในเขตกระจายพันธุ์ในธรรมชาติอาจสูงได้ถึง 80 เมตร (แต่ในการเพาะปลูกมักพบเป็นไม้ต้นขนาดเล็ก) ทุกส่วนมีน้ำยางขาว กิ่งเป็นเหลี่ยม ใบเรียงเป็นวงรอบ รูปรีหรือรูปไข่กลับ ยาว 8-20 ซม. ปลายแหลมสั้น ๆเส้นแขนงใบตรงจำนวนมาก ใบเป็นสีแดง ออกเรียงสลับรอบกิ่งก้าน ใบดกและหนาแน่นบริเวณส่วนปลายกิ่ง ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ช่อย่อยแบบช่อซี่ร่ม ออกตามปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปไข่ โคนไม่มีต่อม ดอกรูปกงล้อ สีขาว มี 5 กลีบ เรียงซ้อนทับ ผลออกเป็นฝักคู่ โค้งกางออก ยาว 14-35 ซม. กว้าง 2-3 ซม. เมล็ดรูปรี ยาวประมาณ 5 ซม.รวมปีกบาง ๆ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนชื้นที่ลุ่ม (USDA hardiness (10-12) ควรปลูกในที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน) อุณหภูมิต่ำสุดต่อปี 20 ถึง 25°C อุณหภูมิสูงสุดรายปี 28 ถึง 35°C ในดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์ เติบโตได้บนดินทรายและดินเหนียวที่มีการระบายน้ำดี pH 5.0 ถึง 7.0 อัตราการเจริญเร็ว สามารถสูงได้ถึง 10 เมตรหลังจากปลูก 5 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง มีความทนทานต่อความแห้งแล้งได้ไม่ดี และดินระบายน้ำช้าหรือมีน้ำขัง
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอันตราย---น้ำยางและขี้เลื่อยจากสายพันธุ์นี้ก่อให้เกิดอาการแพ้
การใช้ประโยชน์--ใช้ปลูกประดับ ใช้ในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่และเป็นต้นไม้ริมถนนในเขตภูมิอากาศกึ่งเขตร้อนและชื้น 
ใช้อื่น ๆ---ไม้ แก่นไม้สีขาวครีมถึงสีฟางสีซีด พื้นผิวปานกลางถึงดีมันวาวเล็กน้อย ไม่มีรสแต่มีกลิ่นเเปรี้ยวเฉพาะตัว ไม้มีน้ำหนักเบามาก อ่อนนุ่ม  ไม่คงทนทนต่อเชื้อรา และปลวก ไม้ใช้งานได้ง่ายด้วยเครื่องมือช่าง เป็นไม้ที่ยอดเยี่ยมสำหรับงานแกะสลักและยังใช้ในสิ่งอื่น ๆ สำหรับการทำโมเดล และดินสอ
- มีการนำรากมาใช้แทนไม้ก๊อก
- ไม้ยังได้รับการปลูกในแหล่งกำเนิดสำหรับไม้ซึ่งส่งออกบางส่วน และใช้ในการปลูกป่าในพื้นที่เสื่อมโทรมและการพังทะลายของดิน
- ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 น้ำยาง เรียกว่า ยางเยลูตง 'jelutong'  (หรือ "Pontianac" หรือ "Dead Borneo") เป็นน้ำยางที่จับตัวเป็นก้อนของเปลือกด้านในของDyeraถูกนำมาใช้ในการผลิตยางที่ด้อยกว่าสำหรับการใช้งานที่ความยืดหยุ่นไม่สำคัญ การผลิตในปี 1920 ลดลงเนื่องจากยางพาราให้ผลผลิตสูงขึ้น และ เคยเป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตหมากฝรั่ง อย่างไรก็ตามในปี 1922 ความต้องการจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้งเพื่อใช้ในการผลิตหมากฝรั่งเนื่องจากอุปทานของน้ำยางที่จับตัวเป็นก้อนของ Manilkara zapota (L. ) P.Royen ("chicle") นั้นลดน้อยลงและพบว่า jelutong ทดแทนได้เหมาะสมเนื่องจากความจืดชืดและความสม่ำเสมอ วันนี้การใช้น้ำยางในหมากฝรั่งยังคงเป็นโปรแกรมหลักของ Dyera ซี่งมีความสำคัญมากกว่าเนื้อไม้ของต้นไม้
ภัยคุกคาม---เนื่องจากเยลูตงถูกนำไปใช้ประโยชน์จากไม้และน้ำยางมานานแล้ว และความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ได้รับการยอมรับเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ปัจจุบันสายพันธุ์นี้ไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 1998 Dyera costulata ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่า/มีความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LR/LC - Lower Risk/least concern  - ver 2.3  - IUCN Red List of Threatened Species.(1998)
source: Asian Regional Workshop (Conservation & Sustainable Management of Trees, Viet Nam, August 1996). 1998. Dyera costulata. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T33212A9766586. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T33212A9766586.en. เข้าถึงเมื่อ 16 ธันวาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33212/9766586
- คาบสมุทรมาเลเซียสั่งห้ามส่งออกไม้เยลูตง และยังมีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
การขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดซึ่งมีระยะเวลางอกไม่เกิน1ปี เมล็ดแช่น้ำไว้1วัน เพาะในดินร่วนปนทราย ความชื้นที่อุณหภูมิ 24-28 °C
- ตอนกิ่ง
- เมล็ดมีปีกทำให้ลมพัดเมล็ดกระจายเป็นบริเวณกว้าง มันถูกบันทึกว่าเป็นวัชพืชในคองโก ในแอฟริกาตะวันตก แม้ว่าจะไม่ใช่วัชพืชร้ายแรงก็ตาม

26 บุหงาตันหยง/Caesalpinia coriaria

[ses-al-PIN-ee-uh] [koh-ree-AY-ree-uh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Caesalpinia coriaria (Jacq.) Willd.(1799)
ชื่อพ้อง---Synonym of Libidibia coriaria (Jacq.) Schltdl. (1830). See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1011049-2
ชื่อสามัญ---Divi-Divi, Dividivi, American Sumac
ชื่ออื่น--- บุหงาตันหยง ตันหยง (กรุงเทพฯ);[CHINESE: Di wei dou.];[CUBA: Guatapana.];[FRENCH: Dividivi.];[GERMAN: Dividivibaum.];[INDONESIA: Dewi.];[KANNADA: Vilayati aldekayi mara.];[MEXICO: Cascalote.];[PORTUGUESE: Dividivi, Guatapuma, Libidibi.];[SPANISH: Cascalote, Dibidibi, Guaracabuya, Guatapana, Nacascol, Nacascolote.];[SPANISH: Nacascalote, Nacascolo.];[SWEDISH: Dividivi.]; [TAMIL: Kona-vel, Tivi-tivi.];[TAMIL: Kona-vel.];[TELUGU: Dividivithumma.];[THAI: Bu nga tan yong, Tan yong (Bangkok).];[URDU: Summaq.];[VENEZUELA: Brasil, Guatapán, Cujucito.].
EPPO Code--- CAECO (Preferred name: Libidibia coriaria)
ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -CAESALPINIACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง และภาคเหนือของ อเมริกาใต้: เม็กซิโก โคลัมเบีย เวเนซูเอล่า ปานามา แคริบเบียน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caesalpinia' เป็นเกียรติแก่ Andreas Caesalpini นักพฤกษศาสตร์ นักปรัชญา และแพทย์ชาวอิตาลีของ Pope Clement VIII ; ชื่อสายพันธุ์ 'coriaria' จากภาษาละติน 'Corium' = leather อ้างอิงถึงบางชนิดที่ใช้ในการฟอกหนัง
- ชื่อสามัญ divi-divi น่าจะมาจากชื่อที่ชนเผ่าคาริบันพื้นเมืองในหมู่เกาะอินเดียตะวันตกตั้งให้กับพืชชนิดนี้ หมายถึง "หนัง" โดยอ้างอิงถึงการใช้ฝักเมล็ดของสายพันธุ์นี้ในการทำเครื่องหนัง .coriaria
Caesalpinia coriaria เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์ ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2342

ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาเขตร้อนและหมู่เกาะอินเดียตะวันตก เติบโตในป่าเปิดพื้นที่กึ่งแห้งแล้ง ที่ราบแห้งและเนินเขาที่ระดับความสูง 900 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 6-10 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงสุด 35 ซม เป็นไม้พุ่มใหญ่แตกกิ่งก้าน สาขามาก ลำต้นและกิ่งเลี้ยวลดอ่อนช้อยดูคล้ายต้นไม้ดัด บนชายฝั่งที่ต้นไม้ได้รับผลกระทบจากลมอยู่ตลอดเวลา ต้นไม้จะมีรูปร่างทรงพุ่มที่เอนและ aerodynamic มากขึ้นโดยธรรมชาติ เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตามยาว ใบประกอบแบขนนกสองชั้น (Bipinnate) 3-9 คู่ แต่ละใบมีใบย่อย 12–28 คู่ใบย่อยเล็กคล้ายใบมะขาม ยาว 0.4 - 0.8 ซม. และกว้าง 0.1 - 0.2 ซม.ดอกสีขาวหรือเหลืองมีกลิ่นหอม ดอกของตันหยงหอมมากและหอมไกล ดอกจะออกตามยอดกิ่งหรือปลายกิ่ง เป็นช่อตั้ง  ออกเป็นกระจุกดอกมีขนาด 4-5 มม.เมื่อดอกโรยแล้วจะติดฝัก ฝักของตันหยงบิดๆงอๆคล้ายฝักมะขามเทศขนาด 3 - 6 ซม.สีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือสีดำเมื่อสุก เมล็ดทรงรียาว 6-7 มม. สีน้ำตาลมันวาว มี 1-10 เมล็ด
*(ส่วนตัว) บุหงาตันหยงต้น ที่นำรูปมาลงนี้ (ไม่ใช่ต้นบนสุด ต้นบนสุดอยู่ที่สวนสิรีรุกขชาติ) ที่พูดถึงคือรูปที่ถัดลงมา อายุประมาณ 12 ปี (2008) ปลูกตั้งแต่ต้นเล็กๆซื้อกิ่งตอนมาปลูก ตอนนั้นกำลังนิยมหาไม้ไทยโบราณมาปลูกกัน ตอนนี้น่าจะหาซื้อได้ไม่ยาก แต่ก็ยังมีราคาอยู่ ต้นนี้ (รูปล่าง) ก็ปลูกด้วยกิ่งตอน ทรงต้นของตันหยงยอดเยี่ยมมากในประเภทเดียวกันถือว่าเด่นที่สุดในพวกของไม้ Dramatic Form
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zones - 10) ทนต่อสภาพอากาศได้หลากหลาย โดยเจริญเติบโตได้ในสภาพอากาศแห้งและอบอุ่นไปจนถึงภูมิอากาศเขตร้อนแบบเปียก ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชัวโมงต่อวัน) อุณหภูมิเฉลี่ยรายปีในช่วง 15 - 28 °C ชอบดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางและมีการระบายน้ำได้ดี สามารถเติบโตได้บนดินเหนียวที่อุดมสมบูรณ์และดินทรายที่ไม่ดี ที่มีค่า pH 4.5–8.7 สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถนำมาใช้กับพืชอื่นๆ ที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย อัตราการเจริญเติบโตของพืชปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง อาจจำเป็นต้องรดน้ำในช่วงฤดูแล้งในช่วงสองปีแรก
การตัดแต่งกิ่ง---ต้องตัดแต่งสม่ำเสมอจึงจะได้รูปแบบที่ต้องการ
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีรายงานความเสียหายร้ายแรงจากศัตรูแมลงหรือเชื้อราตามธรรมชาติ
รู้จักอ้นตราย---Unknown

การใช้ประโยชน์--- Divi-divi ถูกนำมาใช้ในอเมริกากลางมานานหลายศตวรรษในฐานะที่เป็นวัสดุฟอกหนังและการเพาะปลูกของมันแพร่กระจายไปยังหลาย ๆประเทศโดยเฉพาะอินเดียก่อนที่มันจะหลุดพ้นจากความนิยมในยุค 50 และบางครั้งก็ยัง ปลูกเพื่อใช้แทนนิน
ใช้เป็นไม้ประดับ---มันถูกนำมาใช้เป็นไม้ประดับในเขตร้อนอื่น ๆ และยังนิยมทำเป็นไม้บอนไซกระถาง
ใช้เป็นยา---ยาต้มจากฝักใช้ในการรักษาโรคริดสีดวงทวารและใช้สำหรับล้างแผล รากเป็นยาแก้ไข้ รักษาฝีและแผลเรื้อรัง
อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลแดงถึงเกือบดำ มันถูกแบ่งเขตอย่างชัดเจนจากแถบบาง ๆ ของกระพี้สีเหลืองส้มหรือส้มอ่อน เนื้อไม้ หนักมากแข็งกระด้าง แข็งแรงทนทาน ขัดเงาได้ดีมาก แต่ทำงานยาก โดยทั่วไปแล้วไม้นั้นมีประโยชน์น้อยมากนอกจากเป็นเชื้อเพลิง
- ฝักของตันหยงอุดมไปด้วยแทนนินและสีย้อมสีดำที่ใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนังและสำหรับหมึก
- ผลผลิตฝักอาจอยู่ที่ 45–135 กก. ต่อต้นต่อปี
- เมล็ดประกอบด้วยน้ำมันคงที่ 5 - 9% ประมาณครึ่งหนึ่งประกอบด้วยกรดไขมันไซโคลโพรพีนอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN Red List of Threatened Species ในปี 2018 Libidibia coriaria ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Libidibia coriaria. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144303930A149041080. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144303930A149041080.en. Accessed on 16 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144303930/149041080
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (Miller et al. 2013)
ระยะออกดอก/ติดผล ---เมษายน-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์ --- เมล็ด แช่เมล็ดในน้ำอุ่นไว้ล่วงหน้า 12 - 24 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด ต้นกล้าจะถูกเก็บไว้ในเรือนเพาะชำเป็นเวลา 9 - 15 เดือน แล้วจึงย้ายลงแปลง โดยปกติจะเป็นช่วงต้นฤดูฝน
- ตอนกิ่ง

สุพรรณนิการ์/Cochlospermum


สกุล Cochlospermum เป็นสกุลของต้นไม้ในครอบครัว Bixaceae ; การจำแนกประเภทบางประเภทนี้วางในครอบครัวCochlospermaceae พบในภูมิภาคเขตร้อนของโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในละตินอเมริกา ,แอฟริกา, อนุทวีปอินเดียและออสเตรเลีย
สายพันธุ์ที่ยอมรับ 13สายพันธุ์ http://www.theplantlist.org/browse/A/Bixaceae/Cochlospermum/: (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)
-Cochlospermum angolense Welw ex Oliv. - แองโกลา, ไซเร
-Cochlospermum fraseri Planch. - เวสเทิร์นออสเตรเลีย นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี
-Cochlospermum gillivraei Benth. - นอร์เทิร์นเทร์ริทอรี ควีนส์แลนด์ ปาปัวนิวกินี
-Cochlospermum intermedium Mildbr - สาธารณรัฐแอฟริกากลาง
-Cochlospermum noldei Poppend. - แองโกลา
-Cochlospermum orinocense (Kunth) Steud. - ปานามา โคลอมเบีย เวเนซุเอลา กิอานา บราซิล เปรู
-Cochlospermum planchonii Hook.f. ex Planch. - แอฟริกาเขตร้อนจากเซียร์ราลีโอนถึงซูดาน
-Cochlospermum regium (Schrank)  Pilg - บราซิล โบลิเวีย ปารากวัย
-Cochlospermum religiosum (L. ) Alston - อินเดีย ศรีลังกา เทือกเขาหิมาลัยตะวันตก เมียนมาร์ กัมพูชา ชวา บาหลี คาบสมุทรมาเลเซีย
-Cochlospermum tetraporum Hallier - โบลิเวีย ปารากวัย อาร์เจนตินาตะวันตกเฉียงเหนือ
-Cochlospermum tinctorium Perrier ex A.Rich - แอฟริกาเขตร้อนจากเซียร์ราลีโอนถึงยูกันดา
-Cochlospermum vitifolium (Willd.) Sprung. - เม็กซิโก คิวบา อเมริกากลาง โคลอมเบีย เวเนซุเอลา เกียนาส เปรู เอกวาดอร์ บราซิล ตรินิแดด เลสเซอร์แอนทิลลิส เปอร์โตริโก ฮิสปานิโอลา บาฮามาส
-Cochlospermum wittei Robyns - Zaïre

27 สุพรรณิการ์ดอกลา/Cochlospermum religiosum


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cochlospermum religiosum (L.) Alston.(1931)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Bombax religiosum L.(1753). https://www.gbif.org/species/2874867
---Cochlospermum gossypium DC.(1824), nom. illeg.
---Maximilianea gossypium Kuntze.(1891), nom. illeg.
---Wittelsbachia gossypium Mart. & Zucc.(1824), nom. illeg.
---Bombax gossypium L..(1767), nom. illeg.
---(More) See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:169697-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Silk Cotton Tree, Butter-Cup (Single), Yellow Cotton Tree, Torchwood Tree, Golden Silk cotton tree.
ชื่ออื่น---สุพรรณิการ์ดอกลา, ฝ้ายคำ (ภาคเหนือ) ; [BENGALI: Sonali Simul.]; [CHINESE: Fy tawng come.];[GERMAN: Butterblumenbaum.]; [HINDI: Gabdi, Galgal, Gjara, Plaga.]; [INDIA: Galgal, Parapanji, Thanakku, Chembanji, Bettatha Avarai, Gejra, Parappoola, Ganiar, Sonsawar, Appakudukka, Kongilavu, Ganer, Golgol, Gabdi.]; [INDONESIA: Tjanigarah (Bali).];[KANNADA:Arasina, Buruga, Baruga.];[MALAYALAM: Chembanji, Parapanji, Apparuthakka, Parappoola, Kokkamaram, Appa .];[MALAYSIA: Bebaru (Peninsula).];[MARATHI: Ganeri.];[PORTUGUESE: Algodão-do-mato.]; [SANSKRIT: Girisalmalika, Kanikaara.]; [SPANISH: Capoquero blanco.]; [SRI LANKA: Kinihiriya, Eta imbul.]; [TAMIL: Kattupparutti, Kongillane, Tenaku.]; [TELUGU: Konda Gogu.]; [THAI: Fai kham (Northern); Faikham dok laa, Suphannika (Central).]; [VIETNAM: Oc con.]
EPPO Code--- COKRE (Preferred name: Cochlospermum religiosum)
ชื่อวงศ์---BIXACEAE (COCHLOSPERMACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์----อินเดีย พม่า ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Cochlospermum' มาจากคำภาษากรีก, kochlos ซึ่งหมายถึง 'Spiral Shell' และ Sperma ซึ่งหมายถึงเมล็ด อ้างอิงถึงรูปร่างของเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายหอยทาก ; ชื่อเฉพาะ 'religiosum' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน “religiosus, a, um” = เคร่งศาสนา, ศรัทธา โดยอ้างอิงถึงดอกไม้ที่ถวายในวัดโดยเฉพาะแด่พระศิวะ
Cochlospermum religiosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว วงศ์คำแสด Bixaceae (Cochlospermaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Alston (1683 –1760) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2474


ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดทางตะวันตกเฉียงเหนือของเทือกเขาหิมาลัย อินเดีย บังคลาเทศ อินโดจีน (พม่า, ไทย) เปิดตัวในศรีลังกา มาเลเซีย อินโดนีเซีย (ชวาตะวันออก และบาหลี)
- ในประเทศไทย* (ส่วนตัว) สุพรรณนิการ์หรือฝ้ายคำต้นนี้จะเป็นดอกลา คือกลีบดอกบางชั้นเดียว ขอบดอกหยักและไม่ซ้อน  พบตามป่าแห้งแล้งของไทย เช่นที่วัดเขาพระ อำเภอ อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงเดือน มกราคม ถึง กุมภาพันธ์ ไปเจอสุพรรณิการ์ออกดอก เหลืองไปทั้งเขา ตามโคนต้นก็เต็มไปด้วยกลีบดอกบางสีเหลืองที่ร่วงหล่นอยู่
ลักษณะ---เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็ก สูง 7-15 เมตร เปลือกสีเทา มีร่องลึก มีของเหลวสีส้มเหนียวออกมา ใบเดี่ยวก้านใบยาว ออกตามข้อต้นหรือกิ่ง ใบรูปใบมนปลายเว้าเป็น 5 แฉกมองคล้ายใบไม้แฝด 5 ใบรวมอยู่ในใบเดียวกัน ขนาดของใบกว้างไม่เกิน 20 ซม.ยาว 8-15 ซม.ดอกออกเป็นช่อขนาดใหญ่กระจายที่ปลายกิ่งส่วนยอด ดอกสีเหลืองสดขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 6 ซม.มี 5 กลีบมีเกสรเพศผู้ เป็นละอองสีเหลืองอยู่กลางดอก เมื่อบานกลีบดอกจะงองุ้มเข้าหากัน มีลักษณะคล้ายถ้วย ช่อดอกหนึ่ง ๆยาวประมาณ 30-45 ซม.ดอกไม้มีอายุ 1.5 วัน หากดอกเริ่มติดผล กลีบดอกเหี่ยวก็จะยังคงอยู่เป็นเวลานาน ผลกลมเป็นพูสีน้ำตาล เมื่อแก่จะแตกออก 3-5 พู ภายในผลจะมีเมล็ดสีดำจำนวนมากยาว 0.6 ซม.และล้อมรอบด้วยเส้นไยสีขาวคล้ายฝ้าย 
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 9-11 ) อุณหภูมิที่เหมาะสม 20 ℃ ถึง 35 ℃ ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นไม้ต้นนี้ยังสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดน้อย ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ เติบโตได้แม้จะเต็มไปด้วยหิน เมื่อโตเต็มที่ สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้เป็นเวลานาน อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณปานกลาง รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้ง
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา ควรตัดแต่งหลังออกดอกหรือออกผลแล้ว
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยสูตรสมดุล  
ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนผีเสื้้อ (Caterpillars)/ ดอกและผลเหี่ยวเฉา, การติดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคอาจทำให้เกิดจุด (โดยทั่วไปจะเป็นสีดำหรือสีน้ำตาล) ปรากฏบนผลไม้
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับที่ยอดเยี่ยมและเติบโตเร็วสำหรับภูมิอากาศเขตร้อน ปลูกริมถนน สวนสาธารณะและสวนทั่วไป
ใช้เป็นยา---แหล่งที่มาของหมากฝรั่งที่ไม่ละลายน้ำที่สามารถนำมาใช้แทนหมากฝรั่ง หมากฝรั่งที่ได้จากพืชนี้มีรสหวานเย็นและระงับประสาท มันถูกใช้ในการรักษาอาการไอและโรคหนองใน ใบแห้งและดอกไม้เป็นยากระตุ้น
- *ผลอ่อนจะถูกตัดด้านบนและเอาด้านในออก ใส่แป้ง ragi และ gram ที่มีน้ำตาลโตนดไว้ในเปลือก ช่องเปิดถูกปิดผนึกด้วยชิ้นส่วนที่ตัด ใส่ไฟแล้วปรุง ส่วนผสมที่ปรุงสุกแล้ว ใช้สำหรับรักษาเนื้องอกในกระเพาะอาหาร https://asianplant.net/Bixaceae/Cochlospermum_religiosum.htm
ใช้ปลูกประดับ---ต้นไม้มีคุณค่าความงามและใช้เป็นหลักในการจัดสวน ในสวนสาธารณะ สวนทั่วไปและตามริมถนนหนทาง
อื่น ๆ---หมากฝรั่งที่ไม่ละลายน้ำนี้มีการใช้งานที่หลากหลายรวมถึงในเครื่องสำอาง, การพิมพ์ผ้าดิบ, ขนม, ยา  เป็นยาระงับการใช้ยาที่ไม่ละลายน้ำ ฯลฯ -เมล็ดมีขนอ่อนสั้น แต่นิ่มและยืดหยุ่น มันได้รับการจัดประเภทเป็น 'ผ้าฝ้ายผ้าไหม' ในบางส่วนของอินเดียขนอ่อนของต้นไม้นี้ถูกเก็บรวบรวมและใช้สำหรับการยัดไส้หมอนเพื่อกระตุ้นการนอนหลับ
- น้ำมันที่ได้จากเมล็ดใช้ในอุตสาหกรรมสบู่ และกากที่เหลือใช้เป็นอาหารสำหรับปศุสัตว์
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในอินเดียในสมัยพุทธกาลว่าไว้ คนสมัยโบราณจะปลูก สุพรรณิการ์ไว้ตามวิหาร ถือว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์และไม้คู่ฟ้า เพราะชูยอดดอกสีเหลืองเหมือนทองคำขึ้นฟ้า มีค่าสูงเหมือนทองคำ ใครปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะเกิดความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคลนาม ควรปลูกไว้ทางทิศใต้
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---มกราคม - มีนาคม
- ปกติจะออกดอกเมื่ออายุ 3-5 ปี แต่บางทีจะออกดอกเมื่อมีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
การขยายพันธุ์ --- ด้วยเมล็ดเพื่อฝังโดยเร็วที่สุดเนื่องจากมีความสามารถในการงอก 1-2 เดือน เมล็ดใหม่มีเปอร์เซนต์การงอกสูง 80-90% มีความสามารถในการงอก 1-2 เดือน แช่น้ำไว้ก่อน 1 วัน ระยะเวลางอก 4-5 สัปดาห์
- ปักชำ ตอนกิ่ง

28 สุพรรณิการ์ดอกซ้อน/Cochlospermum regium

[koh-kloh-SPERM-um] [REE-jee-um]


ชื่อวิทยาศาสตร์---Cochlospermum regium (Mart. ex Schrank) Pilg.(2020)
ชื่อพ้อง--- Has 11 Synonyms  
---Basionym: Maximilianea regia Schrank.(1819)
---Cochlospermum regium (Schrank) Pilg.(1924)
---Wittelsbachia insignis Mart. & Zucc.(1826), nom. illeg.
---(More). See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:62527-2#synonyms
ชื่อสามัญ---Yellow cotton tree, Butter-Cup (Double),Torchwood
ชื่ออื่น---ฝ้ายคำ (ภาคเหนือ), สุพรรณิการ์ (ภาคกลาง) ;[BRAZIL: Algodãozinho do campo.]; [KANNADA: Arisinabūruga.];[PORTUGUESE: Algodão-do-campo, Algodãozinho-do-campo, Algodão-bravo.];[THAI: Suphannika, Fai kham dok sorn, Faikhamsorn.];[UKRAINE: Supkhanika korolivsʹka, Zhovte bavovnyane derevo.].
ชื่อวงศ์---BIXACEAE (COCHLOSPERMACEAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ เอเซีย-โบลิเวีย บราซิล ปารากวัย
Cochlospermum regium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอก ในครอบครัววงศ์คำแสด (Cochlospermaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Franz von Paula Schrank (1747–1835) นักพฤกษศาสตร์และนักกีฏวิทยาชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Knud Friedrich Pilger (1876–1953) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2467

 

ที่อยู่อาศัย---มีต้นกำเนิดมาจาก Cerrado สะวันนาเขตร้อนของ อเมริกาใต้ (โบลิเวีย , บราซิล, ปารากวัย) ปัจจุบันยังพบเห็นได้ทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย
ลักษณะ---ฝ้ายคำดอกซ้อน เป็นไม้ผลัดใบขนาดเล็กสูงประมาณ 3-12 เมตร ในขณะที่ฝ้ายคำดอกลาสูงใหญ่ขนาด 7-15 เมตร และดอกไม่มีกลิ่น ดอกลามีกลิ่นแต่ไม่โดดเด่นขนาด พูดได้ว่าหอมหรือเหม็น เพราะความหอมของดอกไม้นี่พูดยาก ชอบก็ว่าหอม ไม่ชอบก็ว่าเหม็น แล้วแต่รสนิยม ผลกลมเป็นพูสีเขียวอมแดงเส้นผ่านศูนย์กลาง  2-3  ซม.ยาว 5-7 ซม.เมื่อแก่จะแตกออก3-5พู ภายในผลจะมีเส้นใยคล้ายฝ้ายสีขาว เมล็ดสีดำรูปไต เหมือนกัน           
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 9-11 ) อุณหภูมิที่เหมาะสม 20 ℃ ถึง 35 ℃ ตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นไม้ต้นนี้ยังสามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีแสงแดดน้อย ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์ เติบโตได้แม้จะเต็มไปด้วยหิน เมื่อโตเต็มที่ อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง รดน้ำ 2-3 วันต่อครั้ง สามารถทนต่อความแห้งแล้งได้เป็นเวลานาน
การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งเพื่อรักษาขนาดและรูปทรง ให้ตัดยอดเพื่อควบคุมความสูงที่ต้องการ ตัดกิ่งที่อยู่ภายในพุ่ม ทำให้ทรงพุ่มโปร่งและเพื่อการเจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งกิ่งที่ตาย กิ่งที่เสียหายหรือเป็นโรค สามารถทำได้ตลอดเวลา ควรตัดแต่งหลังออกดอกหรือออกผลแล้ว
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยต้นไม้ปีละ 1 ครั้ง ด้วยปุ๋ยสูตรสมดุล  
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ทนทานต่อการระบาดของเพลี้ยแป้ง(Mealy bugs)/ ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค
รู้จักอ้นตราย---Unknown           

การใช้ประโยชน์--- พืชได้ถูกนำมาใช้เป็นแหล่งยาทั่วไปทั้งในการรักษาแบบดั้งเดิมและในผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ยางจากต้นให้ผลิตผลเป็น Karaya gum หรือทางการค้าเรียกว่า Crystalgum เป็นก้อนผลึกสีเหลืองอ่อนหรือน้ำตาลอมชมพู  
ใช้กิน---เนื้อไม้ต้มกับแป้งเป็นอาหาร ผสมไอศกรีมทำให้ข้น ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง   
ใช้เป็นยา---เป็นพืชที่ใช้ในการแพทย์พื้นบ้านของบราซิลและมีการใช้ Xylopodium (แช่/ยาต้ม) เพื่อรักษาโรคกระเพาะ, แผล, โรคไขข้อ, โรคติดเชื้อในลำไส้, โรคติดเชื้อทางนรีเวช, โรคผิวหนังและอื่น ๆ
- ดอกแห้งและใบแห้งใช้เป็นยาบำรุงกำลัง มีการใช้ในการแพทย์แผนโบราณเพื่อต่อต้านโรคต่าง ๆ เช่นระดูขาว, โรคแผลในกระเพาะ และมีประสิทธิภาพในการรักษาสภาพผิวเช่น ฝีและสิว
- ยางจากต้นใช้เป็นยาระบาย
- ดอกไม้สีเหลืองสดใสมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ
ใช้ปลูกประดับ---ปลูกกันอย่างแพร่หลายบริเวณพื้นหลังของพุ่มไม้ของสนามหญ้าขนาดใหญ่ ยกเว้นถนนขนาดเล็กและขนาดกลาง
อื่น ๆ---ยางจากต้นใช้เป็นส่วนผสมในน้ำยาเซทผม เป็นยาทาบำรุงผิว ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้าและการพิมพ์ ใบอ่อนใช้สระผม
ความเชื่อ/พิธีกรรม---เป็นไม้มงคล หากปลูกไว้หน้าบ้าน จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยคุมครองให้คนในบ้านอยู่ดีมีความสุข
สำคัญ---ในประเทศไทยเป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดนครนายก เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดนครนายก                         - ดอกสุพรรณิการ์เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด สุพรรณบุรี, บุรีรัมย์, สระบุรี, อุทัยธานี และเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ภัยคุกคาม--ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN Red List ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2018 Cochlospermum regium ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2018)
source: Botanic Gardens Conservation International (BGCI) & IUCN SSC Global Tree Specialist Group. 2019. Cochlospermum regium. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T144137872A149001705. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-2.RLTS.T144137872A149001705.en. เข้าถึงเมื่อ 17 ธันวาคม 2566
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/144137872/149001705
- ตามฐานข้อมูล ThreatSearch ของ BGCI (BGCI 2018) ชนิดนี้ได้รับการประเมินว่าไม่ถูกคุกคาม (CNC Flora 2012)
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล --- กุมภาพันธ์-เมษายน ก่อนออกดอกทิ้งใบหมดทั้งต้น
การขยายพันธุ์ --- โดยการเพาะเมล็ด ปักชำและตอนกิ่ง

29 สาละลังกา/Couroupita guianensis

[koo-roo-PEE-ta] [gee-uh-NEN-sis]


ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Couroupita guianensis Aubl.(1775)
ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms.
---Couratari pedicellaris Rizzini in Rodriguésia 28(41): 178 (1976)
---Couroupita acreensis R.Knuth in H.G.A.Engler (ed.), Pflanzenr., IV, 219a: 46 (1939)
---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/592385-1#synonyms
ชื่อสามัญ---Cannon-ball Tree, Guiana cannonball tree, Ayauma tree, Blooming cannon ball tree, Castanha-de-Macaco.
ชื่ออื่น---ลูกปืนใหญ่ (ชลบุรี), สาละลังกา (กรุงเทพฯ) ;[ASSAMESE: Naglingom.];[BENGALI: Kaman gola.];[COLOMBIA: Maraco.];[CZECH: Lončatník guyanský.];[DUTCH: Kanonskogelboom.];[FRENCH: Abricotier du bord de mer, Arbre à boulet de canon, Abricot sauvage, Calebasse colin, Couroupita de Guyane.];[GERMAN : Kanonenkugelbaum, Kanonenkrugel Baum.];[HAITI: Boulét kanon, Laba bom, Bwa bom.];[HINDI: Nagalinga, Tope gola, Shivaling, Ayahuma.];[INDONESIAN: Sala.];[ITALIAN: Palla di cannone.];[MALAYALAM: Naaga danthee.];[MARATHI: Kailasapati, Kailashpati.];[PANAMA: Coco sachapura, Granadillo de las huacas.];[PERU: Ayahuma, Ayahúman.];[PORTUGUESE: Arvore de macaco, Arvora-das-balas-de-canhão, Castanha de macaco, Cuia de macaco, Cuirana, Cuiarana.];[RUSSIAN: Kurupita gvianskaia.];[SPANISH: Coco de mono, Bola de cañón, Arbol de granadillo, Taparón.];[SURINAME: Bala de canon, Bosch kalabas, Boschkalebas, Boskalebas.];[SWEDISH: kanonkuleträd.];[TAMIL: Nagalingam, Lingam.];[TELUGU: Nagamalli.];[THAI: Luk puenyai (Chon Buri); Sala langka (Bangkok).];[VENEZUELA: Mamey hediondo, Taparo de Chuco, Taparo de monte];[VIETNAMESE: Đầu lân.]
EPPO Code--- KOOGU (Preferred name: Couroupita guianensis.)
ชื่อวงศ์---LECYTHIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกากลาง อเมริกาใต้ เขตร้อนทั่วโลก
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล ' Couroupita' เป็นการดัดแปลงชื่อของต้นไม้พื้นเมือง ใช้ในอเมริกาเขตร้อน “ couroupitoutoumou” ; ชื่อสายพันธุ์ 'guianensis' = "ของ กิอานาส" (พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกาใต้) อ้างอิงถึงเกาะกิอานาต้นกำเนิดของต้นไม้นี้
Couroupita guianensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จิก (Lecythidaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Christian Fusée-Aublet (ค.ศ. 1720–1778)นักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2318

ที่อยู่อาศัย---มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ป่าฝนของเกาะกิอานา เกิดขึ้นตามธรรมชาติในพื้นที่กว้างจากอเมริกากลาง (ฮอนดูรัส, คอสตาริกา, ปานามา) ไปยังอเมริกาใต้ตอนเหนือ (โบลิเวีย, โคลัมเบีย, เอกวาดอร์, ฮอนดูรัส, เฟรนช์กิอานา, เวเนซุเอลาและเปรู) ที่ระดับความสูง 200-560 เมตร
- สายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกฝังอย่างกว้างขวางเช่นเดียวกับต้นไม้ประดับที่อยู่นอกเขตของมันในเมืองและเมืองต่าง ๆ เช่นในสหรัฐอเมริกา อินเดีย และประเทศไทย สายพันธุ์นี้ปลูกบ่อยครั้งในรูปแบบของการศึกษาในสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนในหลายส่วนของโลก
ลักษณะ---เป็นต้นไม้ไม่ผลัดใบหรือกึ่งไม่ผลัดใบ (อาจสูญเสียใบหลายครั้งในระหว่างปี แต่จะถูกแทนที่ในเวลาไม่กี่วัน) สูง 15-25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 70 ซม.ลำต้นจะเป็นร่องและเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล ใบยาวรีมีขนาดกว้าง 10 ซม.ยาว 25 ซม.ช่อดอกมีลักษณะเป็นไม้ดอกยาวได้ถึง 2 เมตร เป็นช่อดอกซึ่งเกิดบนลำต้น  (cauliflory) หรือที่โคนกิ่งก้านหลัก ดอกตูมสีเหลืองบานแล้วจะออกสีเฉดแดงส้ม กลีบดอกประกอบด้วยกลีบเนื้อเว้ากลมๆ 6 กลีบ โดย 2 กลีบมีขนาดใหญ่กว่า มีสีตั้งแต่สีส้มถึงสีชมพู ภายในเป็นสีแดง ด้านนอกมักเป็นสีเหลือง โดยมีจานตรงกลางสีขาว ดอกมีกลิ่นหอมฉุนแรง ขนาดดอกบานเต็มที่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-12 ซม. เกสรเพศผู้มีสองส่วน: วงแหวนเกสรเพศผู้อยู่ตรงกลาง และการจัดเรียงเกสรเพศผู้ที่ได้รับการดัดแปลงเป็นหมวก ดอกมักดกมากในช่วงหน้าฝน ดอกบานและร่วงในวันเดียวตอนเย็น ผลสาละ (บนขวา) มีลักษณะเป็นผลกลมขนาดใหญ่ คล้ายลูกปืนใหญ่โบราณ เปลือกแข็งผิวสากเป็นไม้สีน้ำตาลแดง ขนาดเส้นผ่านศูย์กลาง 10-22 ซม.มีเมล็ดเล็ก ๆรูปไข่จำนวนมากประมาณ 200-300 เมล็ด อยู่ในเนื้อสีขาว มีกลิ่นหอมเมื่อผลสุก เมื่อสุก ผลไม้จะหล่นลงมาจากต้น มักจะแตกออกเมื่อกระแทกพื้นซึ่งเนื้อสีขาวจะกลายเป็นสีน้ำเงินอย่างรวดเร็วทันทีที่สัมผัสกับอากาศ และจะมีกลิ่นเหม็น โดยทั่วไปผลไม้ใช้เวลาในการสุกประมาณหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศเขตร้อนชื้นและมีความชื้นเล็กน้อย อาจมีอุณหภูมิลดลงอย่างมากถึง -1 °C ในระยะเวลาอันสั้น (USDA Zone 10a-11)ต้องการแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ดินชื้นอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี แม้ว่ามันจะอาศัยอยู่ในธรรมชาติบนดินที่มีความชื้นเกือบถาวร แต่บางครั้งก็มีน้ำท่วม แต่ก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศตามฤดูกาลได้อย่างชัดเจนเนื่องจากสามารถทนต่อช่วงที่แห้งแล้งได้ เจริญเติบโตเร็วสามารถสูงได้ถึง 2.5 เมตรเมื่ออายุได้ 2 ปี การบำรุงรักษา สูง
การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ย รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป
การตัดแต่งกิ่ง---หากอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่ง แต่คาดว่าจะมีใบร่วงจำนวนมากและอาจได้รับความเสียหายจากผลไม้ที่ร่วงหล่นอย่างหนัก
การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยประมาณทุกๆ สองสัปดาห์โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีปริมาณไนโตรเจนสูง หรือใช้ปุ๋ยทั่วไปที่ความเข้มข้นครึ่งหนึ่ง 2 ครั้ง ต่อปี
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง
รู้จักอ้นตราย---พืชชนิดนี้เป็นพิษหากบริโภค และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังหรือภูมิแพ้หากสัมผัส ละอองเกสรดอกไม้อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้

 

การใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งวัสดุ
ใช้กิน---แม้ว่าผลไม้นั้นจะกินได้ แต่กลิ่นของเนื้อผลทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากลอง ดังนั้นจึงใช้กินเป็นครั้งคราวเท่านั้น ส่วนใหญ่มักใช้เลี้ยงปศุสัตว์ เช่น สุกร และไก่บ้าน
ใช้เป็นยา---ในอายุรเวทน้ำผลไม้ใช้เป็นยาขับเสมหะในอาการไอเฉียบพลันหรือเรื้อรังและในหลอดลมอักเสบ
- ใบอ่อนใช้สำหรับแก้ปวดฟัน
- ใช้สำหรับรักษาเนื้องอก
- ในอเมริกาใต้ใช้สำหรับรักษาอาการปวดและอักเสบ
ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---เป็นต้นไม้ที่สวยงามมากผลิตดอกและผลขนาดใหญ่ สามารถขุดล้อมต้นใหญ่ พักเลี้ยงและนำมาปลูก ใช้ในงานจัดสวนได้ดี ควรหลีกเลี่ยงสถานที่แวะเวียนเนื่องจากอันตรายจากผลไม้หนักซึ่งอาจร่วงหล่นได้ตลอดเวลา
ใช้อื่น ๆ---แก่นไม้เป็นสีเหลืองอ่อน พื้นผิวมีขนาดปานกลางถึงหยาบ ไม่คงทน ไวต่อเชื้อรา และแมลงเจาะลำต้น  ไม้ใช้งานได้ง่ายด้วยเครื่องมือธรรมดา ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่มีมูลค่าต่ำ เช่นของเล่น กล่อง ลังไม้ ไม้ขีดไฟ ไม้ประตูและอุปกรณ์ตกแต่งภายใน ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์  บอร์ดและไฟเบอร์บอร์ด ดอกไม้มีกลิ่นหอมมาก ใช้เป็นน้ำหอมและเครื่องสำอาง เปลือกแข็งของผล บางครั้งใช้เป็นภาชนะ เนื้อผลนำมาใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนังของสัตว์
ความเชื่อ/ พิธีกรรม---ต้นไม้นี้นอกจากจะศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวอะเมซอนแล้ว ยังเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูอีกด้วย เนื่องจากกลีบของดอกไม้มีลักษณะคล้ายกับงูศักดิ์สิทธิ์ ประติมานวิทยาของพระศิวะประกอบด้วยงูใหญ่พันรอบพระศอ  
- ในบางส่วนของประเทศอินเดียต้นไม้ถูกบูชาโดยคู่รักที่ไม่มีบุตร
-*ต้นนี้หลายคนคงมีความสับสนระหว่าง สาละอินเดีย กับ สาละลังกา ว่าต้นไหนที่มีความเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ใบของต้นไหนที่ร่วงเองในวันพระ นำไปบูชาแล้วเกิดศิริมงคล ต้นไหนคือสาละลังกา และต้นไหนคือสาละอินเดีย สาละลังกาหรือเรียกอีกชื่อว่า ต้นลูกปืนใหญ่ มีถิ่นกำเนิดคืออเมริกาใต้ เป็นพืชพื้นเมืองของ บราซิล และตรินิแดด เป็นต้นไม้จากอเมริกาใต้ที่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับเอเชียโดยชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ต้นสาละลังกาหรือต้นลูกปืนใหญ่ถูกนำมาปลูกในพื้นที่ทางศาสนาพุทธและศาสนาฮินดูในเอเชีย โดยเชื่อว่าเป็นต้นไม้ของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ในศรีลังกา ประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ ที่นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ได้มีการเพาะปลูกที่สำนักสงฆ์และสถานที่ทางศาสนาอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่ต้นไม้ที่มาจากศรีลังกา ตามที่เรียกกัน ส่วน สาละอินเดีย ชื่อสามัญคือ Sal Tree ชื่อพฤกษศาสตร์คือ Shorea robusta Roxb.เป็นไม้วงศ์เดียวกับพยอม เต็ง รัง มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศอินเดีย (ข้อมูลจาก หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดยท่าน วิชัย อภัยสุวรรณ 2532)
ภัยคุกคาม--เนื่องจากถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์นี้ได้ลดลงอย่างกว้างขวางเนื่องจากการแผ้วถางเพื่อการตั้งถิ่นฐาน ป่าไม้ และการเกษตร ส่งผลให้ประชากรย่อยถูกคุกคาม และไม่มีภัยคุกคามอื่นที่น่าเป็นห่วง ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2022 Couroupita guianensis ถูกจัดอยู่ในรายการที่มีความกังวลน้อยที่สุด (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern -ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. 2022
source: Oldfield, S. 2023. Couroupita guianensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2023: e.T33969A212029048.เข้าถึงเมื่อ 17 ธันวาคม 2566 ; IUCN taxon ID : 33969
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/33969/212029048
- ต้นไม้ชนิดนี้ถูกพบในพื้นที่คุ้มครองบางแห่ง รวมถึงในโคลอมเบีย ที่ Parque Nacional Natural Tinigua, Reserva Forestal Protectora Serrana de la Lindosa-Angosturas dos, Reserva Nacional Natural Nukak และ Parque Nacional Natural Sierra de Chiribique
- ในเอกวาดอร์ ที่ Reserva Ecologica Mache-Chindul, Reserva Biologica Limoncocha, Parque Nacional Yasuna และ Estacion Biologica Jatun Sacha y Reserva Selva Viva
- ในเปรู ที่ Parque Nacional Manu และ Reserva Territorial Madre de Dios
- ในบราซิล ที่ Reserva Biologica do Abufari, Reserva Extrativista do Cazumba-Iracema และ Reserva Extrativista Chico Mendes ก่อนหน้านี้สายพันธุ์นี้ถูกระบุว่าเป็นชนิดพันธุ์ที่น่ากังวลน้อยที่สุดทั่วโลก (IUCN Red List of Threatened Species ver 2.3 1998)
ระยะเวลาออกดอก/ติดผล--- ตลอดปี
ขยายพันธุ์ ---เมล็ด
- โดยใช้เมล็ดสดเนื่องจากมีอายุการงอกสั้น ปลูกโดยตรงกลางแจ้ง

30 สาละอินเดีย/Shorea robusta

[SHOR-ee-a] [roh-BUS-tuh]

 

ชื่อวิทยาศาสตร์---Shorea robusta Gaertn.(1805.)
ชื่อพ้อง ---Has 2 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:321425-1#synonyms
---Dryobalanops robusta (C.F.Gaertn.) Oken.(1841)
---Vatica robusta (C.F.Gaertn.) Steud.(1841)
ชื่อสามัญ---Sal tree, Shala tree, Indian sal.
ชื่ออื่น---สาละ, สาละอินเดีย ; [ASSAMESE: Sal.];[BENGALI: Sakher, Sakhu, Sal, Salwa.];[BURMESE: Enkhyen.];[CHINESE: Suo luo shuang, Suo luo shuang shu.];[FRENCH: Arbre à sal, Balau jaune, Dammar de l'Inde, Sal.];[GERMAN: Salharzbaum.];[HINDI: Sakher, Sakhu. Sakhua, Sakob, Sal, Sala, Salwa, Shal.];[JAPANESE: Sara noki, Shara noki, Serangan batsuu.];[MALAYSIA: Damar laut (Indonesia), Bangkirai (Borneo), Selangan batu (Sabah), Selangan batu kumus.];[MARATHI: Guggilu, Rala.];[NEPALI: Agrakh, Sakhua, Sakhuvaa (Sakwa), Sal.];[RUSSIAN: Sal, Salovoe derevo, Shoreia moshchnaia.];[SANSKRIT: Ashvakarna, Chiraparna, Sal, Sala, Sarja.];[SIDDHA: Kungilyam.]; [SINHALESE: Dammala.];[SPANISH: Seraya.];[SWEDISH: Sal-träd.];[TAMIL: Attam, Kungiliyam, Shalam.];[TELUGU: Jaalari chettu, Jalari.];[THAI: Sala, Sala-in-dia.];[TRADE NAME: Sal.].
EPPO Code--- SHORO (Preferred name: Shorea robusta)
ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---อนุทวีปอินเดีย
เขตกระจายพันธุ์ ---อนุทวีปอินเดียไปจนถึงจีนตะวันตกเฉียงใต้: ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา อินเดีย เนปาล ภูฏาน จีน (ทิเบต)
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Dipterocarpus' มาจากภาษากรีก 'di' = two, 'pteron' = wing และ 'karpos' = fruit หมายถึงผลไม้สองปีก ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'robusta' มาจากคำว่า 'Robur' ซึ่งเป็นคำภาษาละติน หมายถึงไม้ที่มีความแข็ง ทนทาน
Shorea robusta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2348  
ที่อยู่อาศัย---ถิ่นกำเนิด เนปาล และพื้นที่ทางเหนือของประเทศอินเดีย ตามธรรมชาติมักขึ้นเป็นกลุ่ม ในบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น พบมากในลุ่มน้ำยมุนา แคว้นเบงกอลตะวันตกและแคว้นอัสสัม ชาวอินเดียเรียกกันว่าต้นซาล (Sal)ในภาษาบาลีเรียกว่า"มหาสาละ" พบได้ที่ระดับความสูงถึง 2,000 เมตร


รูปภาพประกอบเพื่อการศึกษา http://www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:321425-1

ลักษณะ---เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 5-25 เมตร ลำต้นเปลาตรงเปลือกสีเทาแตกเป็นร่องลึกเป็นสะเก็ดทั่วไป ทรงต้นเป็นพุ่มทึบปลายกิ่งมักลู่ลง ใบเดี่ยวรูปไข่กว้างเรียงสลับ ยาว 10–30 ซม.กว้าง 5–18 ซม.โคนใบเว้า ปลายใบเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันขอบใบเป็นคลื่น ใบดกหนาทึบ ดอกออกเป็นช่อสั้น ๆตามปลายกิ่งและง่ามใบ ช่อดอกยาว 7.5 - 23 ซม สีขาวอมเหลืองมีกลิ่นหอม กลีบดอกและกลีบรองดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลเป็นผลชนิดแห้งแข็ง มีปีก 5 ปีก ปีกยาว 3 ปีก ปีกสั้น 2 ปีก บนแต่ละปีกมีเส้นตามความยาวของปีก 10-15 เส้น
ข้อกำหนดสภาพแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศแบบมรสุมและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 10-12) อุณหภูมิกลางวันต่อปีอยู่ระหว่าง 28 ถึง 34 ° C แต่สามารถทนอุณหภูมิได้ระหว่าง 7 ถึง 47 ° C นอกจากนี้ พืชยังสามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ต่ำถึงประมาณ -1 ° C ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100 % (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ชอบขึ้นในดินลูกรังที่ชุ่มชื้นดินที่มีการระบายน้ำดี pH ในช่วง 5 - 6.7 โดยทนได้ 4.5 - 7.5 สามารถเจริญเติบโตได้ในดินที่เป็นกรดมาก อัตราการเจริญเติบโตเร็ว จะมีความสูงถึง 6 เมตรหลังจากผ่านไป 6 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ
การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย ทนแล้ง เหมาะสำหรับ Xeriscaping
การตัดแต่งกิ่ง---Unknown
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown
รู้จักอ้นตราย---N/A
การใช้ประโยชน์--- ใช้กิน เมล็ดจะถูกนำไปคั่วต้มหรือบดให้เป็นแป้งหยาบ ใช้ทำขนมปัง เป็นแหล่งของเนย เกลือ น้ำมัน ที่ใช้ในการปรุงอาหาร
- เมล็ดพืชเป็นแหล่งของ 'sal butter' ซึ่งเป็นน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น เนยใส และทดแทนเนยโกโก้ในการทำช็อกโกแลต
ใช้เป็นยา---ยางจากต้น Sal (ṛla ในภาษาสันสกฤต) เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Sal dammar หรือ Indian Dammar ใช้เป็นยาสมานแผลในยาอายุรเวท มีคุณค่าทางยาในการรักษาโรคบิด, หนองใน, ฝีและปวดฟัน เปลือกและใบใช้ ลดไข้ระบายความร้อน, ยาสมานแผล, บรรเทาอาการปวด, ท้องผูก, ขับปัสสาวะ ยาต้มดอกไม้ต้านเชื้อแบคทีเรีย
ใช้ปลูกประดับ---ทนแล้ง เหมาะสำหรับ xeriscaped (การจัดสวนโดยใช้น้ำน้อยที่สุด )
อื่น ๆ---แก่นไม้มีสีน้ำตาลเข้มอมแดง กระพี้เป็นแถบบางๆ มีสีขาว ไม้มีความแข็ง หนัก ทนทานมาก และทนทานต่อการถูกปลวกทำลายได้สูง
- Sal เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาที่สำคัญที่สุดของไม้เนื้อแข็งในประเทศอินเดีย ไม้นั้นมีความเป็นยางและมีความทนทาน เหมาะ สำหรับงานทำวงกบประตูและหน้าต่าง - ในประเทศเนปาลใบของมันถูกนำมาใช้ทำจานและภาชนะในท้องถิ่นที่เรียกว่า "tapari", "doona" และ "bogata" ที่ใช้สำหรับเสิร์ฟข้าวและแกง
- ยางจากต้น Sal โปร่งใสสีขาว มีกลิ่นหอม ซึ่งเรียกว่า 'lal dhuna' ใช้เผาเป็นธูปในพิธีฮินดูและใช้ในการอุดรูรั่วเรือ
- เมล็ด และผลไม้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงสำคัญในท้องถิ่น ได้น้ำมันตะเกียงและไขมันจากพืช
- น้ำมันเมล็ดพืช สกัดจากเมล็ดพืชและใช้เป็นน้ำมันปรุงอาหารหลังจากการกลั่น
- เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน
- * เนื่องจากทนทานต่อไฟ Shorea Robusta จึงมักเป็นต้นไม้ที่โดดเด่นในป่าอินเดีย สำหรับการฟื้นฟูเทียม สามารถใช้ร่วมกับ ข้าวไร่ ข้าวโพด งา และมัสตาร์ด (Orwa et al., 2009) https://www.feedipedia.org/node/25
ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในประเพณี ฮินดู ต้นสาละเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ยังเกี่ยวข้องกับ พระวิษณุ
- ในศาสนาพุทธ การออกดอกช่วงสั้น ๆ ของต้นสาละใช้เป็นสัญลักษณ์ของความไม่เที่ยง และการผ่านไปอย่างรวดเร็วของพระสิริ
- ในทางพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงนอนอยู่ระหว่างต้นสาละสองต้นเมื่อพระองค์ปรินิพพาน
- ในศรีลังกา ผู้คนเข้าใจผิดคิดว่า Couroupita guianensis (ต้นลูกปืนใหญ่ หรือ ต้นสาละลังกา) เป็นต้นสาละแห่งหลักคำสอนทางพุทธศาสนา
ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ของชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 1998 Shorea robusta ถูกระบุว่า มีความเสี่ยงต่ำกว่า/มีความกังวลน้อยที่สุด
สถานะการอนุรักษ์---LR/LC - Lower Risk/least concern - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.(1998)
source: Ashton, P. 1998. Shorea robusta. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T32097A9675160. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T32097A9675160.en. เข้าถึงเมื่อ 18 ธันวาคม 2566.
ระยะออกดอก/ติดผล ---กุมภาพันธุ์-เมษายน/เมษายน-กรกฏาคม
- การติดผลและเมล็ดจะเริ่มเมื่ออายุประมาณ 15 ปี ต้นไม้จะออกผลสม่ำเสมอทุกๆ 2 ปีหรือประมาณนั้น และคาดว่าปีการติดเมล็ดดีทุกๆ 3 - 5 ปี
ขยายพันธุ์ --- เมล็ด ตอนกิ่ง
- เมล็ดจะงอกทันทีหลังจากร่วงหล่นจากต้นไม้หากสภาพความชื้นเอื้ออำนวย เปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดสดคือ 90-100% แต่ความมีชีวิตของมันลดลงเหลือศูนย์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
- ควรหว่านโดยเร็วที่สุด แนะนำให้แช่เมล็ดไว้ 12 ชั่วโมงก่อนหยอดเมล็ด
- แสงแดด 50 - 60% และรดน้ำวันละ 2 ครั้ง

31 ศรีตรัง/Jacaranda filicifolia

[jak-uh-RAHN-duh] [mim-moh-sih-FOH-lee-uh]

ชื่อวิทยาศาสตร์---Jacaranda mimosifolia D.Don.(1822)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:130936-2#synonyms
---Jacaranda chelonia Griseb.(1874)
---Jacaranda ovalifolia R.Br.(1822)
ชื่อสามัญ---Blue Jacaranda, Jacaranda, Black Poui, Fern Tree, Brazilian Rosewood, Green Ebony, Mimosa-leaved Jacaranda
ชื่ออื่น---ศรีตรัง ;[AFRIKAANS: Jakaranda.];[BENGALI: Neelkanth];[BRAZIL: Carobaguaçu, Caroba-guassú, Jacarandá, Jacarandá-caroba, Jacarandá-mimoso, Palissandra.];[CHINESE: Lán huā yíng.];[DUTCH: Palissanderboom.];[ETHIOPIA: Yetebmenja.];[FRENCH: Flambouyant bleu.];[FRENCH GUIANA: Flabwayan ble.];[GERMAN: Mimosenblättrige, Palisanderholzbaum.];[HINDI: Neeli Gulmohur.];[KENYA: Mucakaranda, Omosaria.];[POLISH: Jakaranda mimozolistna.];[PORTUGUESE: Jacarandá, Jacarandá-mimoso.];[SPANISH: Cacha Cacha, Chepereque, Flamboyán azul, Gualanolay, Tarco.];[SWEDISH: Jakarandaträd.];[THAI: Sri-trang].
EPPO Code--- IACMI (Preferred name: Jacaranda mimosifolia)
ชื่อวงศ์---BIGNONIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา
เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-โบลิเวีย, บราซิล, อาร์เจนตินา ประเทศในเขตร้อน
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Jacaranda' มาจากการแปลภาษาละตินของชื่อท้องถิ่นในภาษา tupi-guaraní ของชนเผ่าอเมซอน ; ชื่อเฉพาะ 'Jacaranda' พาดพิงถึงสัณฐานวิทยาของใบไม้ที่คล้าย mimosa (หมายถึงใบไม้ที่มีลักษณะคล้ายผักกระเฉด)
Jacaranda mimosifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แคหางค่าง หรือ วงศ์ปีบ (Bignoniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยDavid Don (1799-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2365
- ศรีตรังเป็นชื่อไม้ต้นสองชนิด ได้แก่ ชนิด J. obtusifolia และชนิด J. mimosifolia ทั้งสองชนิดมีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้ แต่มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ต่างกันบางประการ พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (คอซิมบี๊ ณ ระนอง) ได้นำศรีตรังมาปลูกที่เมืองตรังเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2444
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ (โบลิเวียตอนใต้และอาร์เจนตินาตะวันตกเฉียงเหนือ) เกิดขึ้นในป่าพีดมอนต์ (piedmont) ทั้งในภูมิภาคพฤกษภูมิศาสตร์ของYungas และ Chaco พบได้ที่ระดับความสูง 500 - 2,400 เมตร
ลักษณะ---เป็นไม้ผลัดใบถึงกึ่งผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 40 - 50 ซม.เนื้อแข็ง เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลอ่อนเกือบขาว ลำต้นเปลาตรง โปร่ง แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (Bipinnate) ใบเรียงตรงข้าม ใบย่อยรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนหรือรูปรี ใบย่อยมี 20-40 คู่ ปลายใบแหลม ผิวใบเรียบ ดอกออกเป็นช่อใหญ่ตามยอดและตามโคนก้านใบตอนปลายกิ่ง สีน้ำเงินอมสีม่วงสดใสที่สุด เวลาออกดอกทิ้งใบเกือบหมดต้นจะเหลือดอกพร่างพราวตามปลายกิ่งทุกกิ่ง  ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลักษณะดอกมีกลีบดอก 5 กลีบเชื่อมกันเป็นหลอดรูปแตร ยาว 3-4 ซม. เกสรเพศผู้มี 4 อัน สีขาวโค้งเรียงเป็น 2 คู่ ยาว 1 คู่ สั้น 1 คู่ เกสรเพศเมียมี 1 อัน ผลเป็นฝักแบน บาง ฝักแก่สีน้ำตาลอมเทา กว้าง 1-1.5 ซม.ยาว 2-2.5 ซม.ฝักแก่จะแตกทั้ง 2 ด้าน เมล็ดมีขนาดเล็กสีน้ำตาลเข้ม มีปีกใสปลิวตามลมได้


ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนชื้นและกึ่งร้อนชื้น (USDA Zone 9a) ทนทานต่ออุณหภูมิใกล้ 0 °C ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ตำแหน่งที่แสงแดดจัด (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน ไม่มีขอบเขตบน) เจริญเติบโตได้แม้ในสภาวะที่ยากลำบากและบนดินที่ไม่ดี ชอบดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำดี ไม่ทนต่อดินที่มีน้ำขังหรือดินเหนียว ค่า pH ในช่วง 6.5 - 7.5 ซึ่งทนได้ 6 - 8.5 ค่อนข้างทนต่อมลพิษในเมืองได้ อัตราการเจริญเติบโตเร็วมาก ใช้เวลา 3 เมตรต่อปีในช่วงสองปีแรกและ 1 เมตรต่อปีในปีต่อ ๆ ไป การบำรุงรักษา ต่ำ อายุอยู่ได้ประมาณ 20-30 ปี ภายใต้สภาวะที่เหมาะสมสามารถคาดหวังได้ว่าจะมีอายุได้ถึง 80 ปีขึ้นไป
การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ อาจต้องรดน้ำเพิ่มเติมในช่วงฤดูแล้งหรือความร้อนที่ยืดเยื้อ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนชื้นแฉะตลอดเวลา
การตัดแต่งกิ่ง---ต้นไม้ต้นนี้จะต้องมีการบำรุงรักษาและการดูแลเป็นครั้งคราว และควรตัดแต่งกิ่งหลังจากดอกบานแล้วเท่านั้น
การใส่ปุ๋ย---Unknown
ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาแมลงหรือโรคร้ายแรง อาจพบ เพลี้ยแป้ง/ รากเน่า, เชื้อราน้ำผึ้ง Armillaria heimii (Paterson และ Mwangi, 1996 ) และ Mundulla Yellows (Mundulla Yellows dieback)
รู้จักอ้นตราย---Unknown
การใช้ประโยชน์ ---พืชที่รวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาเชื้อเพลิงและแหล่งที่มาของไม้ ใช้เป็นไม้ประดับในพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตร้อน
ใช้เป็นยา---เปลือกและรากใช้ในการรักษาซิฟิลิส ในกัวเตมาลาและเม็กซิโกดอกไม้ถูกใช้เพื่อรักษาโรคบิดอะมีบา
ใช้เป็นไม้ประดับ---ศรีตรังเป็นต้นไม้กลางแจ้งที่ปลูกประมาณ 4-6 ปีจึงจะมีดอก ประกอบกับมีช่อดอกสีม่วงที่สวยงาม จึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับกันอย่างแพร่หลาย ใช้ในการตกแต่ง ถนนทางเท้า สวนสาธารณะเพราะระบบรากไม่ก้าวร้าว ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการจัดสวน, ประดับสนามหญ้าที่อยู่อาศัยหรืออาคารสาธารณะ ทนทานต่อลมเค็ม สามารถปลูกใกล้ทะเล การให้ร่มเงากรองแสงแดดได้ปานกลาง
วนเกษตรใช้---ปลูกกำบังลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พืชหยั่งรากลึกและแย่งอาหาร และใบร่วงมากเช่นกัน มีพืชหรือพืชผลเพียงไม่กี่ชนิดที่สามารถเติบโตได้สำเร็จด้านล่าง ดังนั้นจึงควรปลูกให้ห่างจากแปลงดอกไม้และพืชอาหารอื่น ๆ
ใช้อื่น ๆ---ไม้เป็นสีเหลือง ขาวแข็งปานกลางหนักเนื้อดี ง่ายต่อการทำงาน  ใช้สำหรับงานไม้ ทำ เสาและทำรายการเล็ก ๆ เช่นทำ เครื่องมือเครื่องใช้งานแกะสลัก และใช้ทำฟืนได้ดี
- ใช้เป็นอาหารสัตว์และเป็นแหล่งที่ดีของน้ำหวานสำหรับผึ้งแอฟริกันในเอธิโอเปีย
- สารสกัดจากเปลือกไม้ยังใช้เพื่อยับยั้งการฟักไข่ของไส้เดือนฝอยในดิน
สำคัญ---ได้รับการกำหนดให้เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานและดอกไม้ประจำจังหวัดตรัง ประเทศไทย
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามที่อยู่อาศัยโดยตรงจากการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนี้ ระบบนิเวศยังถูกแปลงเป็นเกษตรกรรมอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในการเพาะปลูก แต่ในป่ามีรายงานว่าเป็นพืชเฉพาะถิ่นที่มีความสำคัญทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินาและโบลิเวีย ได้รับการประเมินล่าสุดสำหรับ บัญชีแดงของ IUCN ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม ในปี 2019 Jacaranda mimosifolia ถูกระบุว่ามีความเสี่ยงภายใต้เกณฑ์ A2cd
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE A2cd - ver 3.1 - IUCN. Red List of Threatened Species (2019)
source: Hills, R. 2020. Jacaranda mimosifolia. The IUCN Red List of Threatened Species 2020: e.T32027A68135641. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2020-3.RLTS.T32027A68135641.en. Accessed on 18 December 2023.
การดำเนินการอนุรักษ์ https://www.iucnredlist.org/species/32027/68135641
- พบ นอกแหล่งกำเนิด ในสวนพฤกษศาสตร์ 123 แห่ง (BGCI 2019) ได้รับการบันทึกไว้ในพื้นที่คุ้มครอง เช่น อุทยานแห่งชาติ Amboró และดินแดน Isiboro Secure Indigenous Territory และอุทยานแห่งชาติในโบลิเวีย
- แนะนำว่าควรมีการติดตามแนวโน้มประชากรของชนิดนี้ นอกจากนี้ ควรมีการจัดการการเก็บเกี่ยวไม้จากประชากรย่อยในป่าและการคุ้มครองป่าพีดมอนต์ที่ สายพันธุ์นี้อาศัยอยู่เพิ่มเติม
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ---Jacaranda mimosifolia ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานในบางส่วนของแอฟริกาใต้และควีนส์แลนด์ออสเตรเลีย มันสามารถแข่งขันกับพืชพันธุ์พื้นเมืองได้ มันสามารถสร้างกลุ่มของต้นกล้าใต้ต้นไม้ จากการที่สายพันธุ์ขยายจนคลุมพืชผักอื่น ๆใกล้เคียง มีเพียงไม่กี่ชนิดที่อยู่ได้
- J. mimosifolia ถูกระบุว่าเป็นผู้บุกรุกประเภทที่ 3 ในแอฟริกาใต้ (ไม่อนุญาตให้ปลูกเพิ่มเติม - ยกเว้นได้รับอนุญาตพิเศษ - และไม่ทำการค้าในวัสดุที่สามารถแพร่กระจาย - พืชที่มีอยู่จะต้องป้องกันไม่ให้แพร่กระจาย)
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
- เพาะเมล็ดสด แช่น้ำเป็นเวลา 24 ชั่วโมงจะใช้เวลา 10 - 12 วันในการงอก ซึ่งจะคงอยู่ได้นานถึง 2 เดือน อัตราการงอก 50 - 92%
- อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการงอกคือ 25°C  

มีต่อไม้ใหญ่ยืนต้น 2 Tipvipa..V..Suansavarose.2008-31/7/2016, 17/4/2018, 1/11/2019 up date 5/16/2020

5/9/2021

18/12/2023 

อ้างอิง, แหล่งที่มา
ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 .  
---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ
---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/
---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/
---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are
---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku
---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm
---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm
---https://whatflower.net/about/
---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ >
---https://gd.eppo.int/search
---http://www.worldfloraonline.org
---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/
---https://www.cabidigitallibrary.org/
---การออกเสียงสะกดชื่อละตินโดย edric https://www.palmpedia.net/wiki/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

---Check for more information on the species:

Plants Database    ---Names, synonymy and distribution    The Garden.org Plants Database
Global Plant Initiative    ---Digitized type specimens, descriptions and use    หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ
Tropicos    ---Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home
GBIF    ---Global Biodiversity Information Facility    Free and open access to biodiversity data
IPNI    ---International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page
EOL    ---Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth
PROTA       ---Uses    The Plant Resources of Tropical Africa
Prelude    ---Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database
Google Images    ---Images    
        

รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
รูปภาพ--ทิพพ์วิภา วิรัชติ
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com
Update---18/2/2018
          ---17/4/2018

          ---24/6/2022

          ---18/12/2023





  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view