เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
55,528,706 |
Page Views |
62,358,488 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
24/03/2024
View: 9,196
ปาล์ม 7
For information only-the plant is not for sale.
1 |
กะพ้อเขา/ Licuala pahangens |
40 |
หมากนเรศวร, ปาล์มสองทาง/ Wallichia disticha |
2 |
กะพ้อเขาจันทร์ / Licuala poonsakii |
41 |
หมากแฝด/Iguanura bicornis |
3 |
กะพ้อแดง/ Licuala paludosa |
42 |
หมากพน/ Orania sylvicola |
4 |
กะพ้อเตี้ย/ Licuala rumphii |
43 |
หมากพระราหู - Maxburretia furtadoana |
5 |
กะพ้อใบกลม/ Licuala orbicularis |
44 |
หมากพร้าว/ Actinorhytis calapparia |
6 |
กะพ้อสี่สิบ/ Licuala distans |
45 |
หมากลิง/Pinanga sylvestris |
7 |
กะพ้อหนาม/ Licula spinosa |
46 |
หมากวัฒนา/ Pinanga watanaiana |
8 |
กะพ้อหนู/ Licula triphylla |
47 |
หมากส้ม/ Areca vestiaria |
9 |
เขือง/ Wallichia siamensis |
48 |
หมากหวิง/Pinanga disticha |
10 |
เขืองหลวง/ Caryota maxima |
49 |
หมากอาดัง/ Pinanga adangensis |
11 |
จากเขา/Eugeissona tristis |
50 |
หลังกับ/ Arenga obtusifolia |
12 |
ตองหนาม/ Salacca secunda |
51 |
หลาวชะโอนเขา/ Oncosperma horrida |
13 |
ตาลกิ่ง/ Hyphaene coriacea |
52 |
หลาวชะโอนทุ่ง/ Oncosperma tigillarium |
14 |
ตาลกิ่ง/Hyphaene thebaica |
53 |
หลุมพี/ Eleiodoxa confera |
15 |
ตาว (sugar palm) - Arenga pinnata |
54 |
หวายสยาม/ Calamus siamensis |
16 |
เต่าร้างยักษ์คีรีวง/ Caryota kiriwongensis |
55 |
เหลืองพร้าว/ Bentinckia nicobarica |
17 |
เต่าร้างลาย/ Caryota zebrina |
56 |
Basselinia gracilis |
18 |
ปาล์มขนนก - Chrysalidocarpus lucubensis |
57 |
Calyptrocalyx elegans/Fireball palm |
19 |
ปาละ/ Licuala glabra |
58 |
Calyptrocalyx spicatus/ Maluku Kentia |
20 |
เป้งบก/ Phoenix acaulis
|
59 |
Metroxylon /Solomon Ivory Nut Palm |
21 |
เป้งทะเล/ Phoenix paludosa |
60 |
Penanga kuhlii/ Ivory Cane Palm |
22 |
เป้งลังกา/Phonix pusilla |
61 |
Pigafetta elata/White Wanga Palm |
23 |
มะพร้าวแฝด (ตาลทะเล)/ Lodoicea maldivica |
62 |
Pigafetta filaris/Black Wanga Palm |
24 |
รังไก่/ Arenga westerhoutii |
63 |
Polyandrococos caudescens/Buri Palm |
25 |
ลานกบินทร์บุรี - Corypha lecomtai |
64 |
Ptychosperma/New Guinea Cluster Palm |
26 |
สละ/Salacca zalacca |
65 |
Reinhardtia simplex/Upaká Palm. |
27 |
สละอินโด/ Salacca magnifica |
66 |
Sommieria leucophylla/Sleek Palm
|
28 |
สาคู/ Metroxylonsagu |
67 |
Maluku Kentia/Calyptrocalyx spicatus
|
29 |
หมากเขียวกาบแดง/ Ptychosperma lineare |
68 |
Deckenia nobilis /Millionaire's Salad
|
30 |
หมากงาช้างยักษ์/ Pinanga malaiana |
69 |
Finger Lady Palm/ Rhapis multifida |
31 |
หมากเจ/Iguanura polymorpha |
70 |
Fireball palm/Calyptrocalyx elegans |
32 |
หมากเจบาลา/Pinanga simplicifrons |
71 |
Solomon Ivory Nut Palm/ Metroxylon
|
33 |
หมากแจ้/Pinanga polymorpha |
72 |
Pigafetta elata/White Wanga Palm |
34 |
หมากซี่หวี/Areca tunku |
73 |
Pigafetta filaris/White Wanga Palm |
35 |
หมากดำ/ Hydriastele microspadix |
|
|
36 |
หมากตอกถลาง/ Iguanura thalangensis |
|
|
37 |
หมากตอกใบใหญ่/ Iguanura wallichiana |
|
|
|
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัส EPPO เป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int Phonetic spelling of Latin names by edric https://www.palmpedia.net/wiki/
สกุล Licuala (lik-oo-AH-lah) เป็นประเภทของปาล์มในเผ่า Trachycarpeae , พบในป่าเขตร้อนทางตอนใต้ของประเทศจีน ,เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เทือกเขาหิมาลัย ,นิวกินีและทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเกาะ ในปัจจุบัน (กุมภาพันธ์ 2021) มีสายพันธุ์ที่ยอมรับรวม 167สายพันธุ์ (Plants of the World Online) (แสดงในหน้านี้ 8 สายพันธุ์)
กะพ้อเขา/Licuala pahangensis
[lik-oo-AH-lah] [pah-hahn-JEHN-sis]
Picture---Cooper city FL. Photo by Kyle Wicomb Picture---https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_pahangensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala pahangensis Furtado.(1940) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667926-1 ชื่อสามัญ---Licuala palms ชื่ออื่น---กะพ้อเขา พ้อเขา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Péng hēng zhóu lú, Pahang palm.];[THAI: Kapĥo k̄hao, Pĥo k̄hao (General).];[Vernacular: Palas.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LCLSS (Preferred name: Licuala sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ที่ใช้โดยชาวโมลุกกะเพื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'pahangensis' หมายถีงของรัฐปาหัง ประเทศมาเลเซีย Licuala pahangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Caetano Xavier Furtado (1897–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวสิงคโปร์ ในปีพ.ศ.2483 ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืชเฉพาะถิ่นมีถิ่นกำเนิดในมาเลเซีย (รัฐปาหัง)และพบในตอนใต้ของประเทศไทย พบตามป่าดิบชื้น ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวลำต้นเตี้ยติดพื้นดินหรืออาจสูงได้ถึง 1-1.5 เมตร ปกคลุมด้วยเศษเส้นใยของฐานทางใบ มีใบ21-25ใบใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักเว้าลึกถึงสะดือแผ่นใบแผ่กว้าง 1 เมตร ก้านใบยาว 2-3 เมตร ขอบก้านมีหนามแข็งห่างๆ ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 0.50-1 เมตร.จะสั้นกว่าใบแตกกิ่ง 2-3 กิ่ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีขาว ผลรูปไข่เรียบมันขนาด 10 x7 มม.เมล็ดขนาด 0.7x0.6 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้เฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่จะเติบโตได้ในสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ปราศจากน้ำค้างแข็ง (USDA Zones 9B – 11) ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย ที่มีความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี เติบโตได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิเฉลี่ย 15°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 4°C ไม่สามารถทนต่อสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวและลมแรงได้ ไม่ทนต่อไอเกลือ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินตลอดเวลาด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา ซึ่งช่วยให้ดินอุดมด้วยสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย รากของลิกัวลานั้นตื้นและแผ่กว้าง ดังนั้นมันจึงชอบที่จะแทรกตัวเข้าไป อย่าปล่อยให้น้ำขังนิ่ง พืชในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่ง เพียงตัดใบแห้งที่เป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดดอกที่เก่าทิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ(เช่น 18-18-18)ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง ป้องกันเพลี้ยแป้งบนผลไม้สุก รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สำหรับตกแต่งสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ในที่ร่มบางส่วนเมื่อยังเป็นต้นเล็ก เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง ปลูกในภาชนะ ในที่ร่มรำไร และสำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในอาคาร ขยายพันธุ์---โดยเมล็ดจะแตกหน่อช้าและไม่สม่ำเสมอ ต้นกล้าจะปรากฏเร็วภายใน 2 เดือนหลังปลูก และงอกเป็นช่วงๆ ในระยะเวลา 1 ปี
|
กะพ้อเขาจันทร์/Licuala poonsakii
[lik-oo-AH-lah] [(poon-SAHK-ee]
Picture-Former Sullivan Garden. The Big Island Hawaii. Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_poonsakii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala poonsakii Hodel.(1997) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-112239 ชื่อสามัญ---Poonsak's Fan Palm ชื่ออื่น---กะพ้อเขาจันทร์ ,ตะพ้อดง(ทั่วไป); [THAI: Ka pho khao chan, ta pho dong (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- LCLSS (Preferred name: Licuala sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ที่ใช้โดยชาวโมลุกกะเพื่อระบุชนิดของสายพันธุ์ ; ชื่อสายพันธุ์ 'poonsakii' เพื่อเป็นเกียรติแก่ คุณพูนศักดิ์ วัชรกร ผู้รวบรวมประเภทพันธุ์พืชและเมล็ดพันธุ์พืชให้แก่ คุณกำพล ตันสัจจา เจ้าของสวนนงนุช ประเทศไทย Licuala poonsakii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2540 ที่อยู่อาศัย--- เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย พบขึ้นตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศไทย (media.e-taxonomy.eu) พบครั้งแรกที่จังหวัดระยอง ในป่าเขาชื้นที่ระดับความสูง 600 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวหรือแตกกอขนาดเล็ก สูงได้ถึง 4 เมตร มีใบ 15-20 ใบ ใบรูปพัด (palmate) ขนาด 70-80 ซม. จักเว้าลึกถึงกลางใบ มี 10 แฉก แฉกที่อยู่ตรงกลางมีขนาดใหญ่สุด ก้านใบยาว 1 เมตร ขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 1.5 เมตร แผ่กว้าง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ก้านช่อยาวถึง 50 ซม.ช่อดอกมีช่อดอกย่อย 7 ดอกที่ปลายยอด ดอกไม้ที่เพิ่งพ้นเกสร 10 x 4 มม. ทรงกระสุน กลีบเลี้ยง 4 x 3 มม. แฉกตื้น แฉกมน กลีบดอกสูงเป็นกลีบเลี้ยงประมาณ 2 1/2 เท่า กลีบดอก 8 x 2.75 มม. รูปไข่ยาว ปลายแหลม รูปเรือ แหวนเกสรสูง 2-3 มม. รังไข่สูงประมาณ 2 เท่า เกสรเพศผู้มี 6 อัน เป็นใยสั้น สูงประมาณครึ่งหนึ่งของกลีบดอก อับเรณูยาว 1.75 มม. เกสรเพศเมียขนาด 2.5 x 2.5 มม. รูปทรงกลม ผิวเกลี้ยง ปลายแยกเป็นแฉก ยาว 3-4 มม. เรียวยาว กลีบดอกเกือบเท่ากัน ผลอ่อนรูปรีหรือรูปขอบขนาน สีเขียว ขนาด 0.8 x 0.6 ซม.เมื่อผลสุกจะยาว 0.10-1.3 x 0.7-0.8 ซม.และสีแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งในที่ร่มรำไรและสภาพความชื้นปานกลางและไม่ต้องการน้ำมาก ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี ไม่สามารถทนต่อความร้อนอบอ้าวและสภาพลมแรงได้ การป้องกันจากลมแรงป้องกันความเสียหายของใบไม้ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ(เช่น 18-18-18)ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดอาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังแมลงเกล็ดและไรเดอร์ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับสามาถปลูกเป็นปาล์มประดับกระถางในที่ร่มรำไร สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อนข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ขยายพันธุ์---ด้วยการแยกกอ หรือเพาะเมล็ด
|
กะพ้อแดง/Licuala paludosa
[lik-oo-AH-lah] [pahl-oo-DOH-sah]
Picture---Hawaiian Tropical Botanical Garden.Photo.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala paludosa Griff.(1844) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667927-1#synonyms ---Licuala amplifrons Miq.(1861) ---Licuala aurantiaca Hodel (1997) ---Licuala oxleyi H.Wendl.(1878) ---Licuala paniculata Ridl.(1921) ---Licuala spinosa subvar. brevidens Becc.(1886) ชื่อสามัญ---Swamp Fan Palm, Mangrove fan palm, Golden Licuala ชื่ออื่น---กะพ้อแดง กะพ้อ(ทั่วไป), กูวาแมเราะ (มลายู - นราฯ ) ขวน, พ้อพรุ (นราธิวาส) ; [CHINESE: He an zhou lü.]; [GERMAN: Strahlenpalme.];[MALAYSIA: Palas.];[PORTUGUESE: Palmeira-licuala-gigante.];[THAI: Ka pho daeng, Ka pho (General); Ku-wa-mae-ro (Malay-Narathiwat); Khuan, pho phru (Narathiwat).];[VIETNAMESE: Cdy mat cat, Na lat nan.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- LCLSS (Preferred name: Licuala sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามัน, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อของสปีชีส์ 'paludosa' มาจากภาษาละติน "paludis" = ของหนองน้ำโดยอ้างอิงถึงแหล่งที่อยู่อาศัยที่มันเติบโต Licuala paludosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2387
Picture---Tasek Merimbun Heritage Park, Brunei Darussalam.Photo by Mike Gray. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa Picture---Hawaii. Photo by Frolikaual.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_paludosa
ที่อยู่อาศัย--- พบใน หมู่เกาะอันดามัน, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย (สุมาตรา), อินโดนีเซีย (บอร์เนียว) เติบโตป่าในที่ราบลุ่มและภูเขาในมาเลเซีย ขึ้นตามป่าพรุ ในที่ลุ่มและป่า Kerangas ในเกาะบอร์เนียว ในประเทศไทยพบเติบโตตามป่าพรุชายฝั่ง ที่ระดับความสูงประมาณ 900-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอลักษณะสูงได้ถึง 1-7 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 5-7 ซม.ใบรูปพัด (palmate) กว้าง 1-1.5 เมตรก้านใบยาว 1- 2.5 เมตร มีสีตั้งแต่สีน้ำตาลแกมเขียวถึงน้ำตาลส้ม มีหนามแหลมสีดำ ยาว 2-3 (– 5) มม.ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ยาว 1.5–2 เมตร แยกแขนงสั้นมี 6-7ช่อ แต่ละช่อยาว 25-50 ซม.ดอกไม้มากถึง 150 ดอก ในหนึ่งช่อย่อย ผลกลมขนาด 6-8 มม.เนื้อบางผลอ่อนสีเขียวผลสุกสีส้มแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zones 10b-11) สามารถปลูกได้เฉพาะในภูมิอากาศเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนที่มีอุณหภูมิในฤดูหนาวประมาณ 16 °C ในสภาพอากาศที่หนาวจัด มันจะต้องได้รับการปกป้องในเรือนกระจกที่อบอุ่นในช่วงเดือนที่อากาศหนาวเย็น ต้องการตำแหน่งทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง มีที่กำบังจากลมแรง และความชื้นแวดล้อมมากกว่า 70% ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี สามารถปรับตัวอยู่ในที่น้ำแช่ขังหรือน้ำแห้ง ไม่สามารถทนต่อความร้อนอบอ้าวและสภาพลมแรงได้ อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษาต่ำ หายากในการเพาะปลูก การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก ชอบดินชื้นอิ่มตัว พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด หรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อรักษาระดับความชื้น ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง เพียงนำใบแห้งออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ใส่ปุ๋ยน้ำในปริมาณที่เจือจางเดือนละ 1 ครั้งในช่วงฤดูปลูกหรือให้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าในปริมาณเต็มที่ 1 ครั้งในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและอีก 2 ครั้งในช่วงฤดูร้อน โดยใช้ NPK 15-5-10 ดีที่สุด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังแมลงเกล็ดและไรเดอร์/ อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---พืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ใบใช้ห่ออาหาร เช่นข้าวเหนียว ใช้กิน---ใบ ใช้ในอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับอาหารแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า Ketupat ซึ่งเป็นเกี๊ยวที่ทำจากข้าวที่ทำในถุงเล็ก ๆ ใช้ปลูกประดับ---ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน เป็นปาล์มที่เป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ Golden Licuala โดดเด่นเป็นพิเศษและทำให้เป็นไม้ประดับที่พึงปรารถนาคือกาบใบและก้านใบสีส้มสดหรือสีเหลืองทอง เหมาะสำหรับปลูกประดับในที่ร่มรำไรหรือกลางแจ้ง หรือปลูกเป็นไม้กระถางแล้วยกแช่ในน้ำได้ อื่น ๆ---ใบใช้เพื่อทำหมวกและตะกร้าขนาดเล็ก นำมาใช้บนชายฝั่งของเอเชียและในซีลอนแทนกระดาษ ลำต้นใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยในท้องถิ่น ภัยคุกคาม---เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ Boneo อันกว้างใหญ่ของป่าลุ่มเป็นภัยคุกคามร้ายแรงสำหรับพืชชนิดนี้ จากข้อมูลปัจจุบัน พื้นที่ของมันในเกาะบอร์เนียวลดลงเหลือประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร มันยังคงกระจายอยู่ในอาณาเขตของคาบสมุทรอินโดจีน ถูกจัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท "ไม่ได้รับการประเมิน" สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated อนุกรมวิธานนี้ยังไม่ได้รับการประเมินสำหรับ IUCN Red List of Threatened Species. ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
|
กะพ้อเตี้ย/Licuala rumphii
[lik-oo-AH-lah] [ruhm'-fee]
Picture---Photo-ASEAN Tropical Plant Database.http://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_rumphii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala rumphii Blume (1838) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667954-1#synonyms ---Corypha licuala Lam.(1786) ชื่อสามัญ---Celebes Fan Palm, Lontar tree. ชื่ออื่น---กะพ้อเตี้ย ; [INDONESIA: Koal.];[THAI: Ka pho tia (General); ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- LCLRU (Preferred name: Licuala rumphii.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อของสปีชีส์ 'rumphii' ตั้งชื่อตาม Georg Everhard Rumpf (ละตินเป็น Rumphius) ผู้เขียนพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 18 ภาษาเยอรมันชื่อ Herbarium Amboinense Licuala rumphii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2381 ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดใน Sulawesi (Celebes) และ Moluccas ในอินโดนีเซีย เจริญเติบโดได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ชอบตำแหน่งที่อบอุ่นร่มรื่นและชื้น ลักษณะ--- เป็นปาล์มขนาดเล็กมีหลายลำต้นแตกกอพุ่มเตี้ย อาจสูงได้ถึง 4 เมตร ใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักเว้าลึกถึงสะดือ มีใบย่อย 6-10 ใบ ใบกลางมีขนาดใหญ่สุด ใบย่อยแต่ละใบจีบพับปลายใบจักเว้าตื้น แผ่นใบกว้าง 40-80 ซม.ขอบใบก้านมีหนามแข็ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ผลสีแดงมันวาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในสภาพอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (Cold Hardiness Zone: 10a) ในตำแหน่งทั้งในที่ร่มรำไรและแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) มีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินตลอดเวลาด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา ซึ่งช่วยให้ดินอุดมด้วยสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย รากของลิกัวลานั้นตื้นและแผ่กว้าง ดังนั้นมันจึงชอบที่จะแทรกตัวเข้าไป อย่าปล่อยให้น้ำขังนิ่ง พืชในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง เพียงนำใบแห้งสีน้ำตาลออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบรวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ในฤดูหนาวพืชพักตัว อย่าใส่ปุ๋ยในช่วงเวลานี้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช/ แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของวัสดุ ใช้เป็นยา--- *พืชชนิดนี้ได้รับการกล่าวถึงใน Ambonese Herbal ซึ่งเป็นแคตตาล็อกพืชสมุนไพรของ Ambon ซึ่งเป็นเกาะในหมู่เกาะของประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1657 เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับพืช 1,300 ชนิดที่ใช้รักษาโรคในอินโดนีเซียในศตวรรษที่ 17 ซึ่งรวบรวมโดยพนักงานของบริษัท Dutch East Indies มีรายงานว่า L. rumphii ใช้รักษาวัณโรคและลำไส้ใหญ่อักเสบ และปัจจุบันนักวิจัยทางการแพทย์กำลังมองว่า L. rumphii เป็นแหล่งยาปฏิชีวนะ ยาต้านอาการท้องร่วง และยาต้านการติดเชื้อที่เป็นไปได้ (PACSOA) https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_rumphii ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- ความแข็งแรง และขนาดกระทัดรัด ทำให้เป็นปาล์มที่เหมาะสมสำหรับปลูกในบ้าน ปลูกเป็นไม้กระถางใช้ประดับได้ทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง อื่นๆ--- ส่วนกลางที่กว้างที่สุดของใบอ่อนใช้ห่อผลไม้และอาหาร ใบอ่อนตากแห้งนำมาใช้มวนบุหรี่ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
|
กะพ้อใบกลม/Licuala orbicularis
[lik-oo-AH-lah] [ohr-bik-koo-LAHR-is]
Picture---Sempadi, Sarawak, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture---Photo by Rudy Meyer, www.palmseeds.com.au https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_orbicularis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala orbicularis Becc.(1889) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667923-1#synonyms ---Pritchardia grandis H.J.Veitch.(1885) ---Licuala veitchii W.Watson ex Hook.f.(1889) ชื่อสามัญ---Parasol Palm ชื่ออื่น---กะพ้อใบกลม (ทั่วไป) ; [FRENCH: palmier parasol.]; [SARAWAK: biris, biru balat, biru bulat, biru ruai, berupat.]; [SINGAOORE: daun nisang, gereneh.];[THAI: ka pho bai kjom (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LCLOR (Preferred name: Licuala orbicularis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ซาราวัก บอร์เนียว อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อเฉพาะคือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "orbicularis" = วงกลมโดยอ้างอิงถึงรูปร่างของใบไม้ Licuala orbicularis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2332
Picture---Photo by Altaic. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_orbicularis
ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว (ซาราวักตะวันตกเฉียงใต้) พบได้ในป่า Kerangasในป่าเต็งรัง ในหุบเขาชื้นและเนินเขา ที่ระดับความสูง 20-550 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว ลำต้นสั้นติดดิน แต่แตกกิ่งก้านชูใบสูง 0.80-1.5 เมตร. ใบมีขนาดใหญ่เรียบง่ายมีโครงร่างเป็นวงกลมและค่อนข้างแบนสวยงามมาก ใบรูปพัด (palmate) ขอบใบจักฟันเลื่อย ไม่แตกออกจากกัน สีเขียวเป็นมัน แผ่นใบขนาด70-100ซม.ขอบก้านใบยาวบางมีหนามแข็ง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ตั้งตรงแล้วโค้ง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) สีขาว ผลกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 ซม.สุกสีส้มแดง เมล็ดสีแดงผิวเรียบมัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในเขตภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเล็กน้อยซึ่งมีอุณหภูมิ ไม่ต่ำกว่า 22 ° C ต้องการตำแหน่งกึ่งเงาถึงร่มเงา มีที่กำบังจากลมแรง ความชื้นในอากาศสูง ชอบดินร่วนชื้นเป็นกรดเล็กน้อย มีการระบายน้ำดี และมีธาตุอาหารต่ำโดยเพาะไนโตรเจน(N) การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยเป็นระยะด้วยผลิตภัณฑ์ที่สมดุล โดยมีองค์ประกอบขนาดเล็กในรูปของคีเลตในปริมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำในบรรจุภัณฑ์ เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ การใช้ประโยชน์---โดยทั่วไปแล้วพืชจะเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ใบมุง ทำหมวก ฯลฯ พืชยังปลูกเป็นไม้ประดับ มีคุณค่า ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางหรือที่ร่มรำไร ต้นปาล์มที่งดงามที่สุดต้นหนึ่ง แต่ค่อนข้างหายากในการเพาะปลูก สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายใน อุปสรรคสำคัญคือความชื้นไม่เพียงพอ อาจพยายามเพิ่มความชื้นด้วยการพ่นละอองน้ำฝนบ่อยๆ หรือโดยระบบ Reverse Osmosis ที่อุณหภูมิห้อง อื่น ๆ--- ใบนำมามุงหลังคาทำที่พัก ชั่วคราว ใช้เป็นวัสดุทำหมวก 'Langko' และใช้เป็นวัสดุห่อหุ้มข้าวสุก, ยาสูบ ฯลฯ ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด แช่เมล็ดในน้ำอุ่นเป็นเวลาสองวัน เพาะในดินร่วนอินทรีย์ที่มีความชื้นที่อุณหภูมิ 25-28 °C โดยมีเวลางอกที่อาจแตกต่างกันไปตั้งแต่หลายเดือนถึงหนึ่งปี
|
กะพ้อสี่สิบ/Licuala distans
[lik-oo-AH-lah] [DIHS-tahns]
Picture---2015. Photo by Philippe Alvarez.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_distans
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala distans Ridl.(1920) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667864-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded). ชื่ออื่น---กะพ้อสี่สิบ(ทั่วไป), หมากกะพ้อสี่สิบ, ชิง (ภาคใต้) ; [THAI: Ka pho si sip (General); Mak ka pho si sip, Ching (Peninsular).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- LCLSS (Preferred name: Licuala sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ "distans" = การแยก อ้างอิงถึงก้านใบที่แยกห่าง Licuala distans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2463 ที่อยู่อาศัย--- พบครั้งแรกที่เกาะน้อย จังหวัดพังงา เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวที่ขึ้นอยู่ในจังหวัด ระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี และประจวบคีรีขันธ์ ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวสูง 6-7เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5.5–10 ซม.มีทางใบอยู่บนต้นจำนวน 12-15 ก้าน ใบรูปพัด (palmate) แผ่นใบกว้าง 100-120ซม.จักเว้าเป็นสะดือ 25-35 แฉก ขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ช่อดอกยาว 2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกสีขาว ผลรูปไข่ขนาด1.5-1.7ซม.ติดเมล็ดจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นไม้พื้นล่างที่ชอบร่มเงาและความชื้นสูง ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง อุณหภูมิระหว่าง 25 ถึง 30 °C ความชื้นระหว่าง 70 ถึง 80% ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์ปีละ 2 ครั้งในช่วงต้นดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ร่วง เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์ รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ระวังขอบก้านใบมีหนามแหลม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นหนึ่งในปาล์มไทยที่หรูหราที่สุด หากนำมาปลูกประดับสวน ต้องหาที่ปลูกที่มีร่มเงา ลมสงบและความชื้นสูง หากลมพัดแรงจะทำให้ก้านใบหักเนื่องจากแผ่นใบใหญ่หนักแต่ก้านใบเรียวยาว ปลูกด้วยการเพาะเมล็ดทรงต้นจะสวยกว่าการแยกกอ ถ้านำมาปลูกเป็นไม้กระถางก็ปลูกได้อย่างสวยงาม จนกว่าต้นจะสูงถึง1.5เมตร ค่อยนำมาปลูกลงดิน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ
|
กะพ้อหนาม/Licula spinosa
[lik-oo-AH-lah] [spih-NO-sah]
Picture-Nong Nooch Botanic Gardens, Pattaya, Thailand. Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licula spinosa Wurmb.(1780) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Corypha pilearia Lour.(1790). ---Licuala acutifida peninsularis Becc.(1921) ---Licuala horrida Blume.(1838) ---Licuala pilearia (Lour.) Blume.(1838) ---Licuala ramosa Blume.(1830) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667962-1#synonyms ชื่อสามัญ---Spiny licuala, Spiny licuala palm, Good luck palm, Mangrove Fan Palm, ชื่ออื่น---กะพ้อหนาม (ทั่วไป) ;[CHINESE: Ci shan ye zong, Ci zhou lü.];[PORTUGUESE: Palmeira-leque-de-espin-ho (Brazil).];[SPANISH: Licuala de manglar.];[FRENCH: Licuale épineuse, Palmier à helices.];[GERMAN: Mangroven Strahlenpalme, Mangroven Fächerpalme.];[INDIA: Jungli selai (Andaman Islands).];[INDONESIAN: Palas.];[KHMER: Pə'ao (Protial), Phaao.];[MALAYSIA: Palma, Palas tikus, Pokok Palas Duri (Malay).];[PHILIPPINES: Balabat, Balatbit, Likuala.];[PORTUGUESE: Palmeira-leque-de-espin- ho.];[SPANISH: Licuala de manglar.];[THAI: Ka pho nam (General.];[VIETNAMESE: Cay trui.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LCLSP (Preferred name: Licuala spinosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีน พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อสายพันธุ์ 'spinosa' จากภาษาละติน = หนาม อ้างอิงถึงหนามที่มีอยู่ตามขอบของก้านใบ Licula spinosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich von Wurmb (1742–1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2323 ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ (ทางตะวันตกของอินโดนีเซีย), ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สุมาตรา, ชวา, บอร์เนียว, กัมพูชา, ไหหลำ, ชวา, แหลมมลายู, พม่า, นิโคบาร์และเกาะสุมาตรา ในประเทศไทยพบเป็นไม้ป่าทั่วไปทางภาคใต้และภาคตะวันออก ชอบขึ้นในที่โปร่งชายเขา หรือขายน้ำที่เป็นดินตม และบนดอยที่ชุ่มชื้น ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอ สูงประมาณ 3-4 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้น 5-10 ซม.มีเส้นใยและปกคลุมด้วยซากก้านใบในส่วนที่อายุน้อยกว่า ก้านใบมีหนามจากคอต้น ใบรูปพัด (palmate) ใบกลมสีเขียวเข้ม ยาวประมาณ 50-65 ซม. กว้างประมาณ 80-150 ซม.ขอบใบหยักลึกถึงกลางใบและมีรอยจีบ ก้านใบ/ฐานใบ ยาว 25 -45 ซม.สีเหลืองเขียว มีหนามแหลมคมขนาดใหญ่สีเข้มตามขอบ ช่อดอกออกจากซอกกาบใบตั้งตรงหรืองอโค้งลง ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) มีช่อดอก 7-9 ช่อ ยาวประมาณ 1.5-3 เมตร.ดอกสีขาวครีม ผลกลมเรียบเกลี้ยงจำนวนมากขนาดอก 6.5-8.5 มม.ผลอ่อนสีเขียวมะกอกและเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงสีแดงสดเมื่อผลแก่ เมล็ดกลมเรียบขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4-6 มม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในพื้นที่กึ่งเขตร้อนและเขตร้อน และเขตหนาวเหน็บ (USDA Hardiness Zone: 9B - 10B) ต้องการตำแหน่งแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน) ร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันไม่ต่อเนื่องกันในช่วงเช้าหรือบ่าย) และตำแหน่งที่มีร่มเงาเต็ม (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันในช่วงเช้า) ชอบดินชื้นตลอดเวลา ดินอุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหาร เช่นขอบบ่อและลำธาร ใกล้กับน้ำกร่อยก็ปลูกได้ ค่า pH 6.6 - 7.5 ( เป็นกลางถึงเป็นด่างเล็กน้อย) และถูกจัดว่าเป็นพืชในสกุลที่มีความทนทานต่ออุณหภูมิต่ำสุด ( -3 °C ) อัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ ---สิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจนจาก Licualas ทั่วไปตรงที่ทนความหนาวเย็นได้ และชอบแสงแดดจัด นอกจากนี้ ยังชอบน้ำมาก และมักจะมีความสุขมากในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี (Mike Gray) https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa การรดน้ำ---ต้องการน้ำปกติ ชอบดินชื้น ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งเพียงนำใบที่แห้งเป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย--- ใส่ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์ปีละ 2 ครั้งในช่วงต้นดูใบไม้ผลิและปลายฤดูใบไม้ร่วง เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ ระวัง เพลี้ยแป้ง แมลงเกล็ด ไรเดอร์/ อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ระวังขอบก้านใบมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยา ฯลฯและมักจะปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้กิน--- หน่ออ่อน ดิบหรือสุก กินเป็นผัก ใช้เป็นยา--- เปลือกไม้ใช้ร่วมกับพืชชนิดอื่นเพื่อรักษาวัณโรค - ในเมือง Nagaland ประเทศอินเดียเมล็ดใช้สำหรับรักษาอาการไอหอบหืดและมีไข้ ใช้ปลูกประดับ--- กะพ้อต้นนี้เป็นปาล์มประดับแบบใบพัดที่หาดูยากไม่ค่อยมีใครนำมาปลูกประดับบ้าน เพราะหนามที่แหลมคมทั่วทั้งต้น มักจะนำไปปลูกในสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ที่ห่างทางสัญจร อื่น ๆ--- ใบอ่อนใช้สำหรับห่ออาหารเช่น ขนม ข้าวเหนียว ลำต้นใช้ในการทำเครื่องมือจับ ในหมู่เกาะอันดามันใบใช้สำหรับทำเสื้อผ้า ระยะเวลาออกดอก---ต้นฤดูร้อน-ปลายฤดูร้อน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ใน 6-8 สัปดาห์
|
กะพ้อหนู/Licula triphylla
[lik-oo-AH-lah] [trih-FILL-ah]
Picture---Nong Nooch Botanic Gardens, Pattaya, Thailand. Photo by Paul Craft. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_spinosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala triphylla Griff. (1845) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667971-1#synonyms ---Licuala filiformis Hodel.(1997) ---Licuala pygmaea Merr.(1929) ---Licuala stenophylla Hodel.(1997) ---Licuala ternata Griff. ex Mart.(1849) ---Licuala triphylla var. integrifolia Ridl.(1907) ชื่อสามัญ--- Three leaf palm ชื่ออื่น---กะพ้อหนู,กะพ้อนกแอ่น(ปัตตานี), ชิงหางหนู(ภาคใต้), ปาละติกุ(มาเลย์-ปัตตานี);[THAI: Ka pho hnoo, Ka pho nok aen (Pattani);Ching hang nu (Peninsular);Pa-la-ti-ku (Malay-Pattani).];[MALAYSIA: Palas.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LCLTR (Preferred name: Licuala triphylla.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว คาบสมุทรมาลายา สุมาตราและประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' เป็นภาษาละตินของชื่อ “Leko walà” ซึ่งใช้โดยชาวพื้นเมืองของหมู่เกาะ Maluku เพื่อระบุชนิดพันธุ์ Licuala spinosa Wurmb (1780) ; ชื่อสายพันธุ์ 'triphylla' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษากรีก 'tries'= สามและ'phyllon'= ใบไม้ โดยอ้างอิงถึงใบไม้ที่แบ่งเป็นสามส่วน Licuala triphylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2387 ที่อยู่อาศัย--- สายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว, คาบสมุทรมาเลเซีย, สุมาตราและประเทศไทยเติบโตในป่าชั้นล่างของงป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 700 เมตร ในประเทศไทย พบขึ้นทั่วไปตามทุ่งนาชายน้ำ และป่าที่ลุ่มเกือบทั่วจังหวัดนราธิวาสและภาคใต้ ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ต้นเตี้ยมากสูงเพียง 50 ซม.ถึงจะโตเต็มที่ก็จะไม่เกิน1เมตร มีส่วนของลำต้นใต้ดินโค้งงอเป็นข้อปล้องสั้นๆและไม่พัฒนาเป็นลำต้นเหนือพื้นดินจริง ใบรูปพัด (palmate) มี 6-10ใบ เกิดจากฐานตั้งตรงหรือโค้งยาวถึง1.5เมตร ก้านใบย่อย ยาว 0.5-1 เมตร แผ่นใบหยักเว้าลึก3-5แฉก สีเขียวคล้ำทั้งสองด้าน ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ก้านช่อดอกยาว 15-40 ซม.กระจายออกเป็นช่อตั้งตรงหรือโค้ง สั้นกว่าใบ ดอกสีขาวเล็ก ๆ มีความยาวประมาณ 4 มม.ผลกลม รียาว 1ซม.มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.8-1 ซม.ผลอ่อนสีเขียว สีส้มเมื่อสุก มีเมล็ดกลม 1 เมล็ด เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.7 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตภูมิอากาศเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน ต้องการที่ร่มและชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ในที่ร่มถึงร่มรำไร อุณหภูมิระหว่าง 25 ถึง 30 °C อุณหภูมิฤดูหนาวต่ำสุดที่ 16 °C และความชื้นโดยรอบกว่า 70% หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรงในระหว่างวัน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ความชื้นในดินสม่ำเสมอ ดินเป็นกรด ด่าง เป็นกลาง และการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ชอบดินชื้นตลอดเวลา ไวต่อคลอรีนไม่ควรใช้น้ำประปารด พ่นละอองสเปรย์น้ำในช่วงวันที่ร้อนที่สุด ควรรดน้ำเป็นประจำและสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งสนิท การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ต้องการการตัดแต่งเป็นประจำ เพียงนำใบสีน้ำตาลหรือใบแห้งสนิทออก การใส่ปุ๋ย--- ใช้ปุ๋ยหมักอินทรีย์เอนกประสงค์อุดมไปด้วยสารอาหารและมีอัตราส่วน NPK ที่สมดุล พืชในกระถางและพืชในร่ม ใช้ปุ๋ยละลายน้ำเจือจาง ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานโรคและศัตรูพืช ระวัง แมลงเกล็ด (Scale insects) รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นเป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ จัดเป็นไม้ประดับที่มีพุ่มสวยงามแม้ว่าจะมีขนาดเล็ก ใช้เป็นพืชคลุมดินในงานภูมิทัศน์ สวนสาธารณะ บ้านพักอาศัย และสวนทั่วไป เหมาะที่จะปลูกแต่งไว้ตามสวนชายน้ำ หรือเป็น ไม้กระถางในที่ร่มรำไร สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พื้นเมืองสิงคโปร์ สูญพันธุ์ (EX - Extinct ) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ทำความสะอาดเยื่อกระดาษก่อนหน้านี้ และเก็บไว้ในน้ำอุ่นเป็นเวลาสองวัน ในดินร่วนปนอากาศและดินร่วนที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 26-28 °C
|
สกุล Wallichia Roxb. อยู่ภายใต้วงศ์ย่อย Coryphoideae เผ่า Caryoteae มี 8 ชนิด พบที่อินเดีย บังกลาเทศ จีนตอนใต้ พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยมี 3 ชนิด คือ (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)
เขือง (เต่าร้างหนู)/Wallichia caryotoides
[wahl-lik-EE-ah] [kahr-ee-oh-toh-EE-dehs]
Picture---Leu Gardens, Orlando Florida. Photo by Geoff Stein. Picture---Thailand. https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_caryotoides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wallichia caryotoides Roxb.(1820) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214126 ---Harina caryotoides (Roxb.) Buch.-Ham.(1826.) ---Harina wallichia Steud. ex Saloman.(1877) ---Wallichia mooreana S.K.Basu.(1983) ---Wrightea caryotoides (Roxb.) Roxb.(1832) ชื่อสามัญ---Thai Dwarf Fishtail Palm, Wallich palm. ชื่ออื่น---เขือง (เชียงใหม่), ขี้หนาง (ภาคเหนือ), เต่าร้างหนู (กรุงเทพฯ), เต่าร้างหนูใหญ่ (ตรัง) ;;[BANGLADESH: Chilputta.];[CHINESE: Qin ye wa li zong, Walizong.];[MYANMAR: Saingpa, Zanong.];[THAI: Khueang (Chiang Mai); Khi nang (Northern), Taou-rung-nu (Bangkok); Tao rang nu yai (Trang).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---WLLSS (Preferred name: Wallichia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน บังคลาเทศ อินเดีย พม่า ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Wallichia' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Dr.Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ; ชื่อสายพันธุ์ 'caryotoides' หมายถึง ที่ดูเหมือน Caryota จากภาษากรีก " eidos" = ความคล้ายคลึง อ้างอิงถึง Caryota Wallichia caryotoides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363
Picture---Photo: Sierra Sunrise. https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_caryotoides
ที่อยู่อาศัย--- พบใน จีน (ยูนนาน) บังคลาเทศ อินเดีย (อรุณาจัลประเทศ ตริปุระ) พม่า (คะฉิ่น มอญ ยะไข่ สะกาย) ไทย เติบโตในที่ลุ่มถึงป่าดิบชื้น ใกล้แหล่งน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่ที่เป็นหินบนเนินเขาสูงชัน ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-1,800 เมตร ในประเทศไทยพบกระจายทางภาคเหนือ และภาคใต้ที่ จังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต และตรัง ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 500–1,200 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มขนาดเล็กแตกกอต้นสูงได้ถึง 2-3 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2-10 ซม ทางใบยาว 0.8-1.5 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ก้านใบประกอบยาว 0.8–1.5 ม.ขอบกาบใบมีเส้นใยหนาแน่น ใบย่อยมี 8–12 ใบ เรียงสลับระนาบเดียว รูปขอบขนานถึงรูปใบหอก มักจัก 2 พู ยาวได้ถึง 50 ซม. ปลายจักไม่เป็นระเบียบ ขอบใบจัก บิดเป็นลอน ใบสีเขียวเข้มด้านบนและสีเงินด้านล่าง ช่อดอกออกใต้ใบใกล้คอยอด (infrafoliar) ช่อดอกแบบช่อเชิงลดแยกแขนง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเพศผู้ออกด้านข้าง ยาว 40–50 ซม.ก้านช่อดอกยาว 20-25 ซม.ดอกเรียงเวียนเป็นกระจุก แต่ละกระจุกมีดอกเพศผู้ 2 ดอก และดอกเพศเมียที่เป็นหมันหนึ่งดอก ดอกเพศผู้ยาว 5–6 มม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 3 กลีบ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันที่โคน กลีบดอกแยกกัน เกสรเพศผู้มี 11–16 อัน ช่อดอกเพศเมียออกที่ยอด ตั้งขึ้น ยาวเท่า ๆ ช่อดอกเพศผู้ ดอกเพศเมียยาวประมาณ 3 มม.ไม่มีเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน รังไข่มี 3 ช่อง ผลรูปไข่รียาว 1.7 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 0.8 ซม.ผลแก่สีแดง (Palms of Thailand thaipalm.myspecies.info/taxonomy) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zones 9b-11) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องในช่วงเช้า) ในที่ร่ม (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงบางชั่วโมงต่อวัน) และชื้นมีที่กำบังจากลมแรง ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุความชื้นสม่ำเสมอและระบายน้ำได้ดี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---พืชทำความสะอาดตัวเองได้ (ทิ้งใบเอง) เล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ พืชมีกรดออกซาลิก น้ำผลไม้อาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกเป็นไม้กระถางในตำแหน่งที่จะรักษาสีเขียวเข้มที่ดีที่สุดไว้ในที่ร่มบางส่วนถึงเต็ม หรือในที่มีแสงแดดส่องถึงบ้างในระหว่างวัน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
เขืองหลวง/ Caryota maxima
[kahr-ee-OH-tah] [MAHKS-ih-mah]
Picture---Huntington Botancial Gardens, southern California. Photo by Geoff Stein. https://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_maxima
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota maxima Blume.(1838) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665614-1#synonyms ---Caryota rumphiana var. javanica Becc.(1877) ชื่อสามัญ--- Giant Mountain Fishtail Palm, Ko Jung Fishtail Palm, Jaggery palm, Toddy palm ชื่ออื่น---เขืองหลวง, เขืองใหญ่, เต่าร้างดอย (ภาคเหนือ), จอย (แม่ฮ่องสอน), เต่าร้างยักษ์ (ภาคใต้) ;[CHINESE: Yu wei kui.];[FRENCH: Caryota himalaya.];[GERMAN: Himalaja-Fischschwanzpalme.];[ITALIAN: Palma da zucchero.];[MALAY: Rabuk gunung.];[RUSSIAN: Kariota bol'shaya.];[SPANISH: Palmera montana gigante de cola de pez.];[THAI: Khueang luang, Khueang yai, Tao rang doi (Northern); Choi (Mae Hong Son); Tao rang yak (Peninsular).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---CAWMA (Preferred name: Caryota maxima.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ภูฏาน พม่า จีนตอนใต้ เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' เป็นคำภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก "karyon" = ผลปาล์มอินทผลัม ; ชื่อของสายพันธุ์ 'maxima' คือคำภาษาละติน =ที่ใหญ่ที่สุด อ้างอิงถึงขนาดที่ใหญ่ของพืชในสกุล - ชื่อสามัญ Fishtail Palm หมายถึงรูปร่างของใบย่อยเป็นรูปหางปลา Caryota maxima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2381 ที่อยู่อาศัย--- พบตามถิ่นกระจายพันธุ์ใน อินเดีย ภูฏาน พม่า จีนตอนใต้(ไหหลำ กวางตุ้ง กวางสี ยูนนาน) เขตชายแดนไทย-มาเลเซีย เกาะสุมาตรา เกาะชวา เวียดนาม ลาว ขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น มักพบตามพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ตั้งแต่ระดับความสูง 200-2,200 เมตร ในประเทศไทยพบได้ไม่บ่อยนักในป่าชื้นทางภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง และภาคใต้ที่ระดับความสูง 1000-1500 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดใหญ่ลักษณะต้นสูงได้ถึง 30-35 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25-65 ซม ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น (Bipinnate) 10-20 ทาง ก้านใบอ้วนยาว 8-50 ซม. แผ่นใบยาว 2.70-5 ม. มีใบย่อยด้านล่ะ 15-27 ใบ มีใบย่อยชั้นที่สองรูปสี่เหลียมข้าวหลามตัดยาว ขอบปลายใบหยัก ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ช่อดอกห้อยลงออกจากปลายไล่ลงมาทางด้านล่างของลำต้น 3-5 ช่อ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน (monoecious) ก้านช่อดอกยาว 1-1.5 เมตร มีช่อย่อยจำนวนมาก 80-170ช่อ ดอกเพศผู้ขนาด 15 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอกสีเหลือง 12-15 มม. เกสรเพศผู้ 80-100; ดอกเพศเมียขนาด 10 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอก 6-8 มม.ผลกลมสุกสีแดง ผลมีขนาด 2-2.5 ซม.ส่วนมากมีเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA zone: 8b) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดเต็มที่ 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในบ่าย) ปรับตัวได้ทุกสภาพดินแต่ต้องมีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (-7°C) อัตราการเจริญเติบโตเร็ว ความสูงถึง 2 เมตรต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างเพียงพอทุกๆ 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง จำเป็นต้องรดน้ำบ่อยขึ้นในฤดูร้อน ตลอดฤดูหนาวไม่ต้องรดน้ำเพิ่มเติม ความถี่ในการรดน้ำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามฤดูกาล ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมากยกเว้นดินแห้ง การใช้น้ำกรองรดพืชสามารถช่วยได้ เนื่องจากน้ำประปาอาจมีอนุภาคที่เป็นอันตรายต่อพืช การตัดแต่งกิ่ง---ต้นฤดูใบไม้ผลิและปลายฤดูหนาวเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการตัดแต่งในปริมาณมาก หากต้องการควบคุมขนาดต้นปาล์ม สามารถตัดแต่งได้ตามต้องการ แต่ระวังอย่าตัดแต่งกิ่งเกินหนึ่งในสามของขนาดต้น การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้งโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ละลายช้าห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม. ศัตรูพืช/โรคพืช---ไรเดอร์และแมลงเกล็ดอาจเป็นปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพืชที่ปลูกในร่ม/ไวต่อโรคเหลืองตาย (LY: Lethal yellowing disease) รู้จักอ้นตราย---ผลไม้มีผลึกออกซาเลต น้ำผลไม้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอด ใบอ่อนกินเป็นผัก ใช้เป็นยา--- ราก กินสดแก้ท้องอืด ใช้ปลูกประดับ---เหมาะสำหรับปลูกประดับจัดสวนลงแปลงกลางแจ้งให้เป็นธรรมชาติ แต่ต้องไม่ลืมว่าเป็นปาล์มที่ใหญ่มาก หาตำแหน่งปลูกในสวนขนาดปานกลางควรคิดสองครั้ง เผื่อโตไว้ เพราะเป็นปาล์มโตเร็วและขนาดใหญ่มาก อื่น ๆ---เปลือกลำต้น ทุบทำเส้นใยทอผ้า เส้นใยใช้เป็นเชื้อไฟ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
จากเขา/Eugeissona tristis
[yoo-gee-SOHN-ah] [TREES-tiss]
Picture---Photo-Rare Palm Seeds.com. https://www.palmpedia.net/wiki/Eugeissona_tristis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Eugeissona tristis Griff. (1845) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666869-1/general-information ชื่อสามัญ---Dull Bertam Palm, Bertam, Wild Bornean sago, Mountain Nipa, Wild sago ชื่ออื่น---จากเขา, จากเงาะ (นราธิวาส); จากจำ (ปัตตานี, ยะลา); ซือแด (มาเลย์-นราธิวาส) ;[INDONESIA: Ato, Bertam, Kajatao, Pantu, Nanga, Pijatau.];[MALAYSIA: Bertam (Malay).];[THAI: Chak khao, Chak ngo (Narathiwat); Chak cham (Pattani, Yala); Sue-dae (Malay-Narathiwat).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---EUGTR (Preferred name: Eugeissona tristis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ตอนใต้ของไทยและมาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Eugeissona' มาจากภาษากรีก “eu”= ดี และ “geisson” = หลังคา อ้างอิงถึงใบที่ใช้ทำหลังคาได้ดี ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tristis' จากภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม (Proto-Indo-European) = โศกเศร้า อ้างอิงถึงอับเรณูยาวที่ห้อยย้อยลง Eugeissona tristis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388 ที่อยู่อาศัย--- พบได้ทั่วไปบนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรมาเลเซีย และภาคใต้ของประเทศไทย เจริญเติบโตในป่าหลากหลายประเภทตั้งแต่หนองน้ำจนถึงยอดเขา มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุดบนสันเขาที่สูงถึง 1,000 เมตร. ในประเทศไทยพบในพื้นที่ ภาคใต้ตอนล่างที่ จังหวัดยะลา นราธิวาส ขึ้นตามที่ลาดชันหรือสันเขาในป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 200-800 เมตร จากระดับน้ำทะเล - พืชมักบุกรุกพื้นที่ป่าที่เพิ่งถูกถอนออก เจริญเติบโตในสภาพดังกล่าวและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มันถูกมองว่าเป็นวัชพืชโดยผู้พิทักษ์เพราะมันสามารถขัดขวางการสร้างใหม่ของต้นไม้ปกคลุม ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอมีหนามแหลมอย่างดุร้ายก่อตัวเป็นพุ่มไม้หนาทึบได้ถึง 12 เมตร ลำต้นเจริญเติบโตเป็นกอๆจนถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกอประมาณ 3 เมตร ล้อมรอบด้วยใบที่ตายเป็นเวลานาน ลำต้นสั้นทอดเลื้อยอยู่ใต้ดินยาว 1-1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.มีเนื้อไม้แข็งมาก แตกแขนงออกเป็นช่วงสั้นๆ บางครั้งมีรากค้ำยันสูงถึง 1 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) จำนวนมากตรึงตั้งตรงขึ้นไป ทางใบสูงได้ถึง 10 เมตร แผ่นใบยาว 3-4.5 เมตร กาบใบยาว 60-90 ซม. มีหนามแหลมสีดำยาว 2.5 ซม.เรียงแบบไม่สม่ำเสมอลดขนาดไปทางปลายก้านใบ มีใบย่อยด้านละ 55 ใบ รูปแถบเรียงสลับ ขนาด 3-4 x 45-70 ซม. ช่อดอกออกระหว่างซอกใบ (interfoliar) เป็นช่อเชิงลดยาวและตั้งตรงสูงได้ถึง 5 เมตร มี 12-13 ช่อ ช่อดอกย่อยยาว 1.8 เมตร ใบย่อยของช่อดอกด้านข้างค่อยๆ ลดรูปลงจนเป็นใบประดับ กิ่งสุดท้ายที่แตกกิ่งก้านออกเป็นช่อเล็ก ๆ จำนวน 12–13 ใบ ประดับด้วยกาบสีน้ําตาลอย่างแน่นหนา ล้อมรอบดอกไม้คู่หนึ่งซึ่งประกอบด้วยดอกเพศผู้และดอกกระเทย ช่อดอกเพศผู้จะงอกออกมาก่อน ตามด้วยดอกกระเทย ดอกเพศผู้เกิดที่ก้านดอกสั้นยาว ซม. ยาว 6 ซม. สีน้ำตาลมันวาว กลีบเลี้ยงถึง 2 ซม., ริ้ว; กลีบดอกยาวถึง 6 ซม. ปลายโคนเป็นท่อ แยกออกเป็น 3 กลีบ ปลายแหลมเป็นไม้ เกสรเพศผู้ 22–27อัน อับเรณูยาว ห้อยย้อยลง ที่เกสรเพศผู้ ดอกกระเทยคล้ายกับดอกเพศผู้ แต่มีปลายแบนแบบไม่สมมาตร gynoecium ovoid มีจุดยอดเสี้ยมที่เห็นได้ชัดเจน มีดอกที่แข็งแรง มีอายุยืน (บางครั้งมากกว่า 4 เดือน) ผลรูปไข่ถึงเกือบเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวได้ถึง 7-9 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 ซม.สีน้ำตาล.ผิวผลเป็นเกล็ด ปลายยาวยื่นออกคล้ายลูกข่างมีจงอย ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด - พืชเป็น Monocarpic เมื่อออกดอกลำต้นจะหยุดการเจริญเติบโตและตายในที่สุดแต่ยังคงเติบโตผ่านเหง้าซึ่งพัฒนาเป็นต้นใหม่ได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C (Cold Hardiness Zone: 11) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ขึ้นได้ในดินทุกสภาพ ตั้งแต่ดินเหนียวถึงทรายหยาบที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปริมาณมาก ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งระหว่างการรดน้ำ ลดการให้น้ำในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---หมั่นตัดแต่งทางใบและใบที่ตายออก การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคมมาก ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---แม้ว่าจะไม่แพร่หลายในการเพาะปลูก แต่ก็มีการใช้อย่างกว้างขวางโดยคนในท้องถิ่นเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย พืชจะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อเป็นอาหารและแหล่งวัสดุสำหรับทอผ้า บางครั้งนำมาใช้ปลูกประดับ ใช้กิน--- ยอดอ่อนกินเป็นผัก ผลดิบอ่อนกินได้ เนื้อในเมล็ดกินได้คล้ายจาก เกสรดอกไม้กินได้ - รับประทานเป็นเครื่องปรุงสำหรับข้าวหรือสาคู รากที่สะสมแป้งเป็นอาหารหลักของชาวพื้นเมืองในเกาะบอร์เนียว ใช้เป็นยา--- ผลไม้กินแก้โรคไต ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ใช้ปลูกในสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ อื่น ๆ--- ชนเผ่าซาไกใช้ใบมุงหลังคา ทนกว่าใบจาก มีอายุการใช้งาน 4-5 ปี ทางใบ ถูกทำเป็น matting และใช้เพื่อทำผนังภายในและภายนอก ก้านใบนำมาทำเป็นลูกดอกสำหรับล่าสัตว์ รากทำเป็นวัสดุปูพื้นบ้าน รากค้ำยันนำมาทำเป็นไม้เท้าและของเล่น ขยายพันธุ์---เมล็ด การเพาะเมล็ดใช้เวลากว่าจะงอกอย่างน้อย 3 เดือน
|
ตองหนาม/Salacca secunda
[SAH-lahk-kah] [seh-KOON-dah]
Picture---China, S.Yunnan, Xishuangbanna, june 1999. Photo: www.asianflora.com
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca secunda Griff.(1845). ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/670330-1 ชื่อสามัญ---Salacca ชื่ออื่น---ตองหนาม, คาหาน (ทั่วไป) ;[ASSAMESE: Jeng-bet.];[CHINESE: Diān xī shé pí guǒ,];[FRENCH: Salacca de Chine.];[THAI: Tong hnam, Kha han (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---SAJSS (Preferred name: Salacca sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อัสสัม พม่า ไทย จีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Salacca' มาจากภาษามลายูท้องถิ่น "salak" หรือ "zalak" ; ชื่อเฉพาะ 'secunda' จากภาษาละติน = ซึ่งแตกต่างจากเลขสอง (2) อาจหมายถึง: Secunda (Hexapla)การทับศัพท์ภาษาฮีบรู-กรีกครั้งแรกของ The Old Testament ซึ่งมาจากผู้แต่ง Origen Salacca secunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388 ทึอยู่อาศัย--- สายพันธุ์นี้พบได้ในอัสสัม, จีนตอนใต้-ตอนกลาง, พม่า, ไทย เติบโตในป่าเขตร้อน ป่าชั้นล่างของป่าดิบชื้น ป่าพรุผสมดินพรุบนหินปูนและในพื้นที่ที่ถูกรบกวน เติบโตที่ระดับความสูง 270-1,000 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กลักษณะต้นสูงได้ถึง 7 เมตร กาบใบยาว 45-65ซม.ทางใบยาว 4 เมตร มีหนามแบนยาวเป็นแผงเวียนรอบก้านใบ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบย่อยด้านล่ะ 23-30 ใบอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ใบย่อยแผ่กางและอ่อนลู่ สีเขียวอมเหลือง ใต้ใบมีนวลสีขาว ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างช่อในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกเพศผู้ยาว 30-60 ซม. ช่อดอกเพศเมียยาว 25 ซม. ผลกลมขนาด 3x6 ซม.เมื่อสุกสีน้ำตาลเข้มเปลือกผลเป็นเกล็ดเรียงซ้อนเกยกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ถึงครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4-6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย) อุณหภูมิที่เหมาะสม โดยปกติจะสูงกว่า 20 °C และไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ไม่เคยต่ำกว่า 10 °C ชอบดินที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ค่า pH 5.6-7.5 แต่ก็ขึ้นได้ในดินทุกสภาพตั้งแต่ดินเหนียวถึงทรายหยาบที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเติบโตรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมออย่าปล่อยให้หน้าดินแห้งและอย่ารดน้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดทางใบแห้งและใบที่ตายแล้วออก การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้กินสดได้ ใช้ปลูกประดับ--- เหมาะสำหรับปลูกกลางแจ้งริมบ่อน้ำแล้วตัดแต่งให้สวยงาม อื่น ๆ---ใบไม้สำหรับใช้มุง ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดที่แกะออกจากผลมีความสามารถในการงอกได้น้อยกว่า 2 สัปดาห์ ปลูกโดยตรงหรือในเรือนเพาะชำในดินร่วนอินทรีย์ที่ระบายน้ำได้อย่างสมบูรณ์ รักษาความชื้นที่อุณหภูมิ 26-28 °C
|
ตาลกิ่ง/Hyphaene coriacea
[high-FEHN-eh] [cor-ee-ah-SEH-ah]
Picture---Ventura County, California desert. Photo by Geoff Stein. https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hyphaene coriacea Gaertn (1788) ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms. ---Basionym: Chamaeriphes coriacea (Gaertn.) Kuntze.(1891) ---Hyphaene baronii Becc.(1906) ---Hyphaene hildebrandtii Becc.(1906) ---Hyphaene shatan Bojer ex Dammer.(1900) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667492-1#synonyms ชื่อสามัญ---Lala Palm, Doum Palm, Ilala Palm, Southern Ilala palm, Gingerbread tree. ชื่ออื่น---ตาลกิ่ง (กรุงเทพฯ); [AFRIKAANS: Lalapalm, Palmboom, Waaierpalm (Afr.); Lilala (Swati); Nnala (Tsonga); Mulala (Venda); iLala (Zulu).];[CZECH: Dúma.];[GERMAN: Lala-Palme.];[KENYA: Bar, Makoma, Mede, Mkoma, Mlala, Qoone.];[MADACASCAR: Strana, Sata.];[SOUTH AFRICA: Anala, Ilala, Lilala, Mulala, Mala.];[TANZANIA: Kweche, Mkoma, Mkoma lume, Mkonko, Mlala, Mulala.];[THAI: Tan king (Bangkok).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---HHYCR (Preferred name: Hyphaene coriacea.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---โซมาเลีย, แทนซาเนีย, เอธิโอเปีย, เคนยา, ควาซูลูนาทาล, มาดากัสการ์, มาลาวี, โมซัมบิก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hyphaene' มาจากภาษากรีก 'hifinein' = 'เพื่อสาน' หมายถึงผลไม้ที่มีเส้นใยคล้ายตาข่าย (ชั้นกลาง) ของผลไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'coriacea จากภาษาละติน 'coriaceus' หมายถึงหนาและเหนียว อ้างอิงถึงผิวของผลไม้ Hyphaene coriacea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2331 ที่อยู่อาศัย---พืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของแอฟริกาใต้ (KwaZulu-Natal, Limpopo, Mpumalanga) สายพันธุ์นี้เกิดขึ้นในทวีปแอฟริกาและบางเกาะระหว่างมาดากัสการ์และแอฟริกา มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตอนกลาง ตอนใต้ (เอธิโอเปีย เคนยา โมซัมบิก แอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือ โซมาเลียและแทนซาเนีย) ฮวนเดอโนวาและมาดากัสการ์ตะวันตก พบตามทุ่งหญ้าสะวันนาและชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 0-300 เมตร ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่สายพันธุ์ปาล์มที่เกิดขึ้นทั้งในมาดากัสการ์และแอฟริกา (Dransfield and beentje 1995, Dranfield 2010, Stauffer et al. 2014, Stauffer and Ouattara 2017 ) ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกิ่งก้านสาขาที่ฐาน มักจะเติบโตจากจุดเดียวกัน 3-5 ต้นและอาจแตกอีกครั้งเมื่อต้นสูงขึ้น สูงได้ถึง 15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 10-20 ซม.ทีรอยแผลเป็นจากฐานใบเก่าเป็นลายกากบาทเด่นชัด มีใบ 9-20 ใบในมงกุฏ ใบรูปพัด (Costapalmate) แกนโค้ง ก้านใบมีหนามสีดำหนาและโค้งงอ ขอบใบจักเว้าตื้นไม่ถึงครึ่งใบ ทางใบยาว 2 เมตร แผ่นใบสีเขียวอมเทา กาบใบแห้งติดทนนาน ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกจะแตกออกเป็นช่อยาวประมาณ 40-100 ซม.ช่อดอกบนต้นเพศผู้จะห้อยลงมาจากซอกใบ (Interfoliar) เช่นเดียวกับพืชเพศเมียซึ่งต่อมาจะมีพวงของผลจำนวนมาก โดยบันทึกได้มากถึง 2,000 ผลต่อต้น ผลรูปร่างคล้ายลูกแพร์มีเมล็ดเดียว ขนาด 5-6 ซม.เมื่ออ่อนสีเขียวเมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงน้ำตาล มีกลิ่นผลไม้ที่โดดเด่น เปลือกนอกเป็นมันวาวและเหนียว ผลใช้เวลาสองปีกว่าจะสุก ผลสุกอาจยังคงติดอยู่กับต้นไม้อีกสองปีก่อนที่จะร่วงลงพื้น เมล็ดรูปไข่หนึ่งเมล็ดยาวประมาณ 3 ซม.เอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกันโดยมีโพรงตรงกลาง
Picture 1---Female, bearing fruit. Southern California. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea Picture 2---Southern California desert. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_coriacea
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C เติบโตได้ดีที่สุดในพื้นที่ทะเลทรายในแผ่นดินซึ่งมีอุณหภูมิมักจะเกิน 48°C ในฤดูร้อน ต้องการตำแหน่งที่มีแดดจัดแม้ในขณะที่พืชยังมีขนาดเล็ก 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เป็นสปีชีส์ที่ต้านทานความเย็นจัดได้มากที่สุดในสกุล และมักพบขึ้นตามป่าบนดินที่มีการระบายน้ำต่ำ ดินแห้งความอุดมสมบูรณ์ต่ำ อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก (ผลิตใบใหม่1ปี/1ใบ) มีอายุยืนประมาณ 100 ปี การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย เมื่อปลูกแล้วรากที่หยั่งลึกจะค้นหาน้ำใต้ดินทำให้มันทนแล้งอย่างมาก การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อโรคและแมลง รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ - ดิบ มีรสหวานและค่อนข้างน่ากิน แต่ผลไม้มีกากใยมากทำให้เป็นอาหารที่ไม่ดี แต่เด็กๆจะชอบกิน - ของเหลวที่เหมือนนมจากเมล็ดอ่อนใช้เป็นเครื่องดื่มมีรสชาติคล้ายมะพร้าวและสีเหมือนกะทิ - น้ำนมจะถูกรวบรวมโดยการตัดยอดของลำต้นที่กำลังเติบโตและเก็บเกี่ยวสารที่หลั่งออกมา จะถูกนำไปหมักเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์คุณภาพต่ำ กล่าวกันว่ารสชาติเหมือนเบียร์ขิงเมื่อสุก - ต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ดกินเป็นผัก ใช้เป็นยา--- เยื่อผลไม้ใช้สำหรับรักษาอาการปวดท้อง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ--- ความงามของแอฟริกันปาล์มต้นนี้ มีลำต้นที่ต่ำและมีหลายสาขาที่เริ่มต้นการแตกกิ่งที่ระดับพื้นดิน ประกอบกับลำต้นหนาสีเทา ใบสีฟ้าอมเขียว และผลรูปลูกแพร์สีส้ม ทำให้มีลักษณะที่โดดเด่นมาก มีการใช้ในงานภูมิทัศน์ ไม่ใช่พืชสำหรับสวนขนาดเล็กต้องการพื้นที่สำหรับขยายตัว เป็นสายพันธุ์เดียวในสกุลที่มีขนาดเล็กพอสำหรับสวนทั่วไป จะพบได้ตามสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในบางครั้ง แต่ส่วนมากจะพบในสวนพฤกษศาสตร์ อื่น ๆ--- ที่นำมาใช้ เส้นใยใบใช้ในเครื่องจักสาน หมวก ทำเชือก ผลิตภัณฑ์จากใบมีจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เมล็ดใช้ทำเครื่องประดับ - ผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญสำหรับสัตว์โดยเฉพาะลิงบาบูนและช้างที่มีส่วนช่วยในการกระจายเมล็ด ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ไม่ต้องการหรือได้รับการปกป้อง Moll (1972) ประมาณการประชากรใน Kwazulu-Natal (KZN) เพียงอย่างเดียวที่มีมากกว่า 10,000,000 ต้น ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017) Cosiaux, A., Gardiner, L.M. & Couvreur, T.L.P. 2017. Hyphaene coriacea. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T195994A2440415. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T195994A2440415.en. Accessed on 08 June 2023. ระยะเวลาออกดอก---พฤศจิกายน-กุมภาพันธุ์ (แอฟริกา) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดที่เพาะมีอัตราการงอก 66% ภายใน 3 สัปดาห์
|
ตาลกิ่ง/Hyphaene thebaica
[high-FEHN-eh] [theh-BIGH-kah]
Picture---https://www.palmpedia.net/wiki/Hyphaene_thebaica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hyphaene thebaica (L.) Mart.(1838) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms. ---Basionym: Corypha thebaica L.(1753).https://www.gbif.org/species/7931200 ---Chamaeriphes thebaica (L.) Kuntze.(1891) ---Corypha thebaica L.(1753) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667540-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Doum Palm, Egyptian doum palm, African Doum Palm, Gingerbread Palm ชื่ออื่น---ตาลกิ่ง (กรุงเทพฯ) ;[ARAB: Zembaba (Amharic); Dom, Dûm (Arabic).]; [FRENCH: Palmier fourchu, Palmier à ivoire, Palmier doum, Palmier pain d’épice.];[GERMAN: Agyptische Dumpalme, Dumpalme, Pfefferkuchenpalme.];[HEBREW: Dom mitzri.];[ITALIAN: Palma dum.];[PORTUGUESE: Palmeira Africana, Palmeira-doume, Palmeira-de-ramos, Palmeira-de-tebas.];[SPANISH: Duma, Palmera dum.];[THAI: Tan king (Bangkok).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---HHYTH (Preferred name: Hyphaene thebaica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---มอริเตเนีย เซเนกัล อียิปต์ จิบูตี เอริเทรีย ซูดาน ไนจีเรีย ปาเลสไตน์ ซาอุดีอาระเบีย เคนย่า แทนซาเนีย แคเมอรูน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Hyphaene' มาจากภาษากรีก 'hifinein' = 'เพื่อสาน' หมายถึงผลไม้ที่มีเส้นใยคล้ายตาข่าย (ชั้นกลาง) ของผลไม้ ; ชื่อสายพันธุ์ 'thebaica' หมายถึงเมืองThebes เมืองหลวงเก่าของอียิปต์ตอนบน Hyphaene thebaica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2381 ที่อยู่อาศัย--- พบได้ทั่วไปในอียิปต์ตอนบน แต่เดิมมีถิ่นกำเนิดในหุบเขาไนล์ เติบโตอยู่ใกล้แม่น้ำหรือพื้นที่ ที่มีสายน้ำใต้ดิน พบในหุบเขาแม่น้ำรอบโอเอซิสในที่ชื้นในทุ่งหญ้าและบนที่ราบน้ำท่วมถึงแต่ยังอยู่ในที่แห้งและทะเลทรายเปิดจากระดับน้ำทะเลถึง1,400 เมตร
Picture---Dungul Oasis, Egypt. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture---Lobed fruit. Dungul Oasis, Egypt. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกิ่งโดยการแบ่งลำต้นแบบ dichotomic divisionในต้นที่โตเต็มวัย ตั้งแต่ระดับพื้นดินจนถึงยอด ลำต้นแตกเป็นสองกิ่งหรือมากกว่า สูงได้ถึง 10-17 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 30-45 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางกิ่งที่แตกออกมาประมาณ 15-25 ซม.โคนกาบใบติดแน่นกับลำต้น ใบรูปพัด (Costapalmate) แกนโค้ง ขอบใบจักลึกไม่ถึงครึ่งใบ แผ่นใบกว้าง1.2-1.8 เมตร ก้านใบยาว 1.5 เมตร ขอบกาบใบมีหนามแข็งสีดำ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกยาว 1.2 เมตร มีความคล้ายคลึงกันทั้งสองเพศคือแตกกิ่งไม่สม่ำเสมอและมีหนามแหลมสองหรือสามอันเกิดขึ้นจากกิ่งย่อยแต่ละกิ่ง ต้นเพศเมียจะออกผลเป็นไม้ขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 6 x 8 ซม ผิวผลมันสีน้ำตาลปนน้ำตาลเข้ม ผลกินได้รสหอมและหวานอร่อย ใช้เวลากว่าจะสุก 8-12 เดือน มีเมล็ดเดียว ซึ่งคงอยู่บนต้นเป็นเวลานาน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในพื้นที่ที่มีภูมิอากาศแบบเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และอบอุ่น ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน)และดินมีการระบายน้ำได้ดีมาก ทนต่ออุณหภูมิต่ำสุดประมาณ -3 °C ในช่วงเวลาสั้นๆ ขึ้นได้ในดินหลายประเภทที่มีค่า PH 6.5-7.5 อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้อย เมื่อปลูกแล้วรากที่หยั่งลึกจะค้นหาน้ำใต้ดินทำให้มันทนแล้งอย่างมาก ไม่ชอบดินที่มีน้ำขังอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง การใส่ปุ๋ย---ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ศัตรูพืช/โรคพืช---มีความต้านทานต่อโรคและแมลง รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ
ใช้ประโยชน์---ต้นปาล์มดัมได้รับการปลูกเพื่อการใช้งานที่หลากหลายมาเป็นเวลาหลายพันปีในอียิปต์ เป็นแหล่งอาหารท้องถิ่นที่สำคัญ พืชยังใช้เป็นยารักษาโรคและเป็นแหล่งวัสดุ ผลิตสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย ใช้กิน--- ยอดอ่อนและต้นอ่อนที่งอกจากเมล็ด กินเป็นผัก - ผลไม้มีรสชาติของขนมปังขิง บางครั้งก็ทำเป็นน้ำเชื่อมหรือบดเป็นอาหาร ซึ่งทำเป็นเค้กและขนมหวาน - ผลไม้ใช้ทำเครื่องดื่มเชิงพาณิชย์ใน ไนเจอร์ เรียกว่าTorridité Glacée รสชาดคล้ายกาแฟเย็นหรือช็อกโกแลตนม - ใน Eritrea ชื่อของมันคือ Akat หรือ Akaat ในภาษา Tigre เปลือกสีน้ำตาลแห้งบางๆนำมาทำเป็นกากน้ำตาลเค้กและขนมหวาน - เมล็ดกินดิบ อุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีน ขี้เถ้าจากต้นสามารถใช้แทนเกลือได้ ไวน์ปาล์มเตรียมจาก sap - เอนโดสเปิร์มของเมล็ดที่ยังไม่สุกจะนิ่มและมีช่องที่บรรจุของเหลวไว้ ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติดีทางตอนเหนือของไนจีเรีย ส่วนเอนโดสเปิร์มของเมล็ดที่ไม่สุกรับประทานดิบหรือต้ม - ในอียิปต์ผลไม้นั้นวางขายในร้านขายสมุนไพรและเป็นที่นิยมในหมู่เด็ก ๆ ใช้เป็นยา--- เมล็ดใช้กับบาดแแผล ผลไม้แห้งและบดมีผลลดความดันโลหิตและภาวะไขมันในเลือดต่ำ - รากใช้ในการรักษา bilharzia (เป็นโรคที่เกิดจากพยาธิตัวแบน) - ในยาแผนโบราณในมาลีจะใช้รากมานวดที่หน้าอกเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก - ในเบนิน ยาต้มจากใบของ Hyphaene thebaica และ Elaeis guineensis ส่วนทางอากาศของ Indigofera suffruticosa และผลของ Xylopia aethiopica ดื่มเป็นยารักษาโรคดีซ่าน - เปลือกรากนำมาบดเป็นยารักษาอาการจุกเสียดในลำไส้และไส้เลื่อนขาหนีบ - ในซูดานมีการใช้ใบใยอาหารแช่เป็นยาล้างตาสำหรับรักษาโรคตาแดง และผลจะรับประทานเพื่อป้องกันอาการปวดท้องและการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ใช้ปลูกประดับ---ปาล์มที่มีภูมิทัศน์สวยงามและมีค่าเป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกเดี่ยวๆ ในพื้นที่กว้างในสวนขนาดใหญ่และสวนสาธารณะ อื่น ๆ---ไม้สามารถตัดได้โดยใช้ขวาน แต่เลื่อยได้ยากเนื่องจากมีเส้นใยจำนวนมากที่ประกอบเป็นเนื้อไม้ กล่าวกันว่า ไม้ จากต้นพศผู้ดีกว่าต้นพศเมียเนื่องจากไม้ของต้นไม้เพศผู้แข็งและทนทานต่อปลวก ตกแต่งได้ดี ใช้ได้ดีในการก่อสร้าง ทำรั้ว สะพาน ปูพื้น ไม้หมอนรถไฟ และการก่อสร้างแพ - ใบอ่อน ใช้ทอเสื่อทำกระเป๋า ตะกร้า หมวก สิ่งทอหยาบ เชือก Sahel สำหรับบ่อน้ำทำจากปาล์มชนิดนี้ - ในซูดาน ใบอ่อนจะถูกตัดและตากแห้งเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ในช่วงฤดูแล้ง ใบแก่จะขมและไม่อร่อย ช่อดอกเพศผู้ใช้เป็นอาหารสัตว์ในซูดาน - ไฟเบอร์จากก้านใบใช้สำหรับทำฟองน้ำและแปรง วัสดุเหลือใช้จากการสกัดเส้นใย ใบแก่ใช้มุงหลังคา เส้นกลางใบใช้เป็นโครงสำหรับจักสานและมัดรวมกันใช้เป็นไม้กวาด - ใน Eritrea ถูกใช้สำหรับการบรรจุและเสริมแรงซีเมนต์ บางครั้งลำต้นอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน - ผลแห้งให้สีย้อมสีดำใช้ย้อมหนังสัตว์ - เมล็ดแข็งของเมล็ดที่โตเต็มที่เคยใช้สำหรับผลิตกระดุม ลูกปัด และงานแกะสลักขนาดเล็ก พิธีกรรม/ความเชื่อ---เป็นต้นปาล์ม Doum ในตำนาน ถือเป็นต้นปาล์มศักดิ์สิทธิ์จากแอฟริกาตะวันออกเฉียงเหนือเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอียิปต์โบราณที่ฝังผลไม้จำนวนมากในหลุมฝังศพของฟาโรห์ตามประเพณี ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2017) Cosiaux, A., Gardiner, L.M. & Couvreur, T.L.P. 2017. Hyphaene thebaica. The IUCN Red List of Threatened Species 2017: e.T19017230A95306916. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2017-3.RLTS.T19017230A95306916.en. เข้าถึงเมื่อ 09 มิถุนายน 2566 . ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้ระยะเวลาการงอก 3-4 เดือน และอาจใช้เวลาถึง 1 ปี - ลำต้นก่อตัวหลังจาก 18-20 ปี ผลิตผลครั้งแรกหลังจาก 6-8 ปี
|
สกุล Latania (lah-tah-NEE-ah) มีทั้งหมด 3 สปีชีส์ ซึ่งแต่ละชนิดมีถิ่นกำเนิดในเกาะใดเกาะหนึ่งของมาสคารีน ได้แก่ (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์) - Latania loddigesii Mart. - ตาลน้ำเงิน จากมอริเชียสและ Round Island (ดูที่ปาล์ม 5) - Latania lontaroides (Gaertn.) H.E.Moore - ตาลแดง จากหมู่เกาะ Mascaregne และจากเกาะ Reunion - Latania verschaffeltii Lem. - ตาลเหลือง จาก Rodrigues (ดูที่ปาล์ม 5)
ตาลแดง/ Latania lontaroides
[lah-tah-NEE-ah] [lohn-tah-roh-EE-dehz]
Picture---Sarasota, FL. Photo by Keith Zimmerman Picture---QLD. Australia, photo by Daryl O'Connor. https://www.palmpedia.net/wiki/Latania_lontaroides
ชื่อวิทยาศาสตร์---Latania lontaroides (Gaertn.) H.E.Moore.(1963) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Cleophora lontaroides Gaertn.(1791).See https://www.gbif.org/species/2739279 ---Cleophora commersonii (J.F.Gmel.) O.F.Cook (1941) ---Latania borbonica Lam. (1870). ---Latania commersonii J.F.Gmel.(1792). ---Latania rubra Jacq.(1800). ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667783-1#synonyms ชื่อสามัญ---Red latan palm. ชื่ออื่น---ตาลแดง (ทั่วไป) ;[FRENCH: Latanier de Bourbon, Palmier rouge, Latanier de la Réunion, Latanier rouge.];[GERMAN: Rote Latanie, Rote Latanpalme.];[JAPANESE: Ratania-yashi.];[PORTUGUESE: Palmeira-latânia-vermelha, Latânia-vermelha.];[RUSSIAN: Latanija lontaroidnaja.];[SPANISH: Latanero rojo, Latania roja, Mambetari, Taco.];[SWEDISH: Röd sammetspalm.];[THAI: Tan daeng (General).];[WEST INDES ISLES: Latanier de Bourbon.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LTALO (Preferred name: Latania lontaroides.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์---เรอูเนียง ตรินิแดด-โตบาโก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Latania' มาจากภาษาละตินของชื่อเรียกต้นปาล์มในเกาะมอริเชียส: Latanier ; ชื่อเฉพาะ 'lontaroides' มาจากคำศัพท์ภาษามลายู "lontan" แปลว่า "คล้ายกับLontarus", สกุลปาล์มที่ปัจจุบันเรียกว่าBorassus - ชื่อสามมัญ Red latan หมายถึงสีแดงสดของก้านใบอ่อน Latania lontaroides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยHarold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2506 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในเกาะเรอูนียง (Mascarenes) ในมหาสมุทรอินเดีย พบได้ในสภาพธรรมชาติบนพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่แห้งแล้ง บนหน้าผาและในหุบห้วย ในหมู่เกาะมัสคารีน แต่ตอนนี้พบเฉพาะบนเกาะ La Réunion ที่เกิดขึ้นบนชายฝั่งระหว่าง Petite Ile และ Saint-Philippe ลักษณะ--- Red Latan Palm เป็นปาล์มที่มีสีในต้นอ่อนมากที่สุดใน Latania สามสายพันธุ์ เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 8-12 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25 ซม.โคนบวมเล็กน้อย ลำต้นสีเทาเข้ม มีรอยวงแผลเป็นที่เกิดจากใบเก่าร่วงหล่น ต้นที่แก่ลำต้นจะเรียบและเป็นสีดำ ใบรูปพัด (Costapalmate) ขอบใบจักเว้าลึก1ในสามของใบขนาดความกว้าง 2-3 เมตร ขณะต้นยังเล็ก ก้านใบ สะดือและขอบจักใบ มีสีแดงเข้ม เมื่อายุมากขึ้นจะเป็นสีเขียว พื้นผิวใบเป็นคลุมด้วยคราบไขสีขาว ทำให้ปาล์มมีลักษณะเป็นสีเงิน แต่ก้านใบและขอบจะยังคงเป็นสีแดงอยู่เสมอ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ยาว1.5เมตร ดอกสีเหลืองทองแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลรีรูปไข่มีเนื้อ ขนาด 5 ซม. เมื่อสุกสีเขียวอมน้ำตาล มีเมล็ด 1 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะกลมที่ปลายด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งชี้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตเป็นหลักในชีวนิเวศเขตร้อนที่แห้งแล้งตามฤดูกาลเหมาะกับเขตร้อน กึ่งเขตร้อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่เอื้ออำนวยในภูมิภาคที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (USDA Zones 10b-11) ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แสงแดดรำไร (แสงทางอ้อม) ถึงร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-2 °C) ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ชอบดินทรายที่อุดมสมบูรณ์ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินประเภทต่างๆ (ดินเหนียว, ดินร่วน, เป็นด่างเล็กน้อยหรือเป็นกรด) และเติบโตได้แม้ในที่ดินที่ไม่ดี หากมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ รดน้ำทุก 2-3 สัปดาห์ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ให้ใส่ ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดี ที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการแมกนีเซียมจำนวนมาก หากได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ ศัตรูพืช/โรคพืช---แมลงเกล็ดหุ้มเกราะ Hemiberlesia lataniae/ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing (LY).] รู้จักอ้นตราย---ไม่มีรายงานผลกระทบที่เป็นพิษ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับในส่วนต่างๆ ของโลกมีค่าเป็นไม้ประดับที่สำคัญ และเป็นที่นิยมปลูกในสวนเขตร้อน ใช้ในงานภูมิทัศน์ ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ปลูกลงแปลงกลางแจ้งหรือในที่มีร่มเงาบางส่วน ตามสวนสาธารณะ สวนที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ในขณะต้นยังเล็กมีสีแดงเข้มเหมาะปลูกเป็นไม้กระถาง ในกรณีของตัวอย่างที่ยังเล็กอยู่ เมื่อมันเติบโตในที่ร่ม มันจะสูญเสียสีแดงของใบและก้านใบไป และใบจะยาวขึ้น ช่วงความสูงที่สวยงาม 0.5-1.5 เมตร ภัยคุกคาม---เนื่องจากมีเพียงไม่กี่ต้นที่รอดชีวิตบนเกาะเรอูนียง พื้นที่ถูกจำกัด ไว้ที่แนวชายฝั่งเล็ก ๆ บนเกาะเดียว สายพันธุ์ได้ลดลงจากการคุกคามที่อยู่อาศัย แปลงป่าเป็นพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นและการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ มีการค้าระหว่างประเทศเป็นไม้ประดับ ถูกประเมินไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์' สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED A1c - IUCN Red List of Threatened Species (1998) source: Johnson, D. 1998. Latania lontaroides. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38589A10128579. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38589A10128579.en. Accessed on 08 June 2023. ระยะออกดอก---ฤดูร้อน-ฤดูใบไม้ผลิ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้ระยะเวลาในการงอก 1-2 เดือน ต้นกล้ามีเสน่ห์มาก
|
ตาว/ Arenga pinnata
[ah-REHN-gah] [pihn-NAH-tah]
Picture 1---South Florida. Photo by Kyle Wicomb. Picture 2---Photo---https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_pinnata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga pinnata (Wurmb) Merr.(1917) ชื่อพ้อง---Has 13 Synonyms. ---Basionym: Saguerus pinnatus Wurmb.(1779).https://www.gbif.org/species/2733997 ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-14681 ชื่อสามัญ---Black sugar palm, Black fiber palm, Areng palm, Gomuti Palm, Solitary Sugar Palm, Sugar palm, Sweet palm, Kaong palm, Malay sago palm. ชื่ออื่น---ฉก (ใต้); กาฉก (ชุมพร); ตาว, ต๋าว (เหนือ); เตาเกียด (กาญจนบุรี); โตะ (ตราด); เนา (ตรัง); ลูกชิด (กลาง ใช้เรียกเฉพาะเมล็ดเพียงอย่างเดียว); วู้(กะเหรี่ยง-แม่ฮองสอน); หลังค่าย(ปัตตานี) ;[BURMESE: Taung-ong.];[CAMBODIA: Chraè; Chuëk'.];[CHINESE: Sha Tang Ye Zi, Tang Shu, Guang lang, Sui mu.];[DUTCH: Arengpalm, Arenpalm, Gomoetoepalm, Sagoeweerpalm, Suikerpalm.];[FRENCH: Palmier à Sucre, Palmier areng.];[GERMAN: Echte Zuckerpalme, Molukken-Zuckerpalme, Gomuti-Palme, Sagwire-Palme, Zuckerpalme, .];[INDONESIAN: Ejow, Gomuti, Aren, Kaong, Kawung.];[ITALIAN: Palma dello zucchero, Palma arenga.];[JAPANESE: Satou Yashi.];[LAOTIAN: Taw tad.];[MALAY: Kabung, Kabung Enau.];[PHILIPPINES: Kaong, Kabo-negro (Tag.); Irok.];[PORTUGUESE: Gomuteira, Gamúti, Gomuto, Palmeira-do-açúcar, Palmeira-nangka.];[SPANISH: Barú, Bary, Palma De Azúcar, Palmera Del Azúcar.];[SWEDISH: Sockerpalm.];[THAI: Ka chok (Chumphon); Chok (Peninsular); Tao (Northern); Tao kiat (Kanchanaburi); To (Trat) ; Nao (Trang); Luk chit (Central); Wu (Karen-Kanchanaburi); Lang khai (Pattani).];[VIETNAMESE: Bung bang, Doác.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---AGBPI (Preferred name: Arenga pinnata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ไทย พม่า ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย หมู่เกาะแปซิฟิก (ฮาวายและฟิลิปปินส์) บางส่วนของแอฟริกาตะวันออก นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามาเลเซีย 'areng'; ชื่อสายพันธุ์ 'pinnata' = ขนนก อ้างอิงถึงลักษณะของใบ Arenga pinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich von Wurmb (1742–1781) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยElmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2460 ที่อยู่อาศัย--- พบตามธรรมชาติเติบโตในป่าหลักหรือรอง ริมฝั่งแม่น้ำจากระดับต่ำถึงกลาง และพบใกล้กับถิ่นที่อยู่อาศัยของคนในท้องถิ่น ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบเฉพาะภาคใต้ ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวขนาดกลาง ต้นสูงได้ถึง15-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางต้นประมาณ 30-65 ซม รากแข็งแรงมากแผ่ขยายได้ไกลถึง10เมตรและหยั่งลงลึกได้ถึง 3 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มี 20-25ใบ ทางใบยาว 5-8.5 เมตรกาบใบมีขนสีดำเป็นเส้นปกคลุมลำต้นใบสีเขียวเข้มมากด้านล่างสีเงิน ก้านดอกยาวกว่าใบมาก ช่อดอกออกที่ซอกใบ (Interfoliar) ยาว 1-1.5 เมตร ชี้ออกหลายระนาบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกดอกแล้วตาย (Monocarpic) พืชมักจะผลิตดอกไม้ครั้งแรกเมื่ออายุประมาณ12-16 ปีขึ้นอยู่กับระดับความสูงที่ระดับน้ำทะเล ช่อดอกมักเป็นเพศเดียวกัน ห้อยเป็นช่อ มักยาวมากกว่า 2 เมตร ก้านช่อดอกแตกออกเป็นช่อที่มีดอกจำนวนมาก: ช่อดอกเพศเมีย 3-7 ช่อ งอกบนยอด ดอกเพศผู้ 7–15 ดอกปรากฏในภายหลังด้านล่างบนก้าน: ดอกไม้มีกลีบเลี้ยง 3กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ ดอกเพศผู้มีสูงถึง 11,500 ต่อช่อดอก มีเกสร่พศผู้จำนวนมาก ดอกสีเขียวถึงทองสัมฤทธิ์เมื่อเป็นดอกตูม มีสีเหลืองเมื่อดอกบาน ดอกเพศเมียมากถึง 15,000 ต่อช่อดอก ผลสีม่วงดำค่อนข้างกลมมี 3 พู ขนาด 5 ซม.ผลเปลี่ยนเป็นสีเขียวเหลืองเมื่อสุก กว่าจะสุกใช้เวลาเป็นปี มีเมล็ด 2-3 เมล็ด
Picture---1,2 Putrajaya Botanical Gardens, Putrajaya, Malaysia. Photo by (Taman Botani Putrajaya). Photo by Ahmad Fuad Morad. https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_pinnata
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในแสงแดดเต็มรูปแบบ (แสงแดดโดยตรง6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ในที่ร่มเงาบางส่วนถึงในที่ร่มเต็มรูปแบบ ถ้าปลูกในที่ร่มวางในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึงบ้างในระหว่างวัน ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นที่ลึกและอุดมสมบูรณ์ pH ในช่วง 6-7 ทนได้ 5 - 8 ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (-2°C) อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งเล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และถ้าปาล์มปลูกกลางแดด ให้ใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงปาล์มแดงหรือด้วงมะพร้าวแดง (Rhynchophorus ferrugineus) รู้จักอันตราย---เนื้อผลและเปลือกสีเขียวของผลดิบเป็นพิษและทำให้เกิดปฏิกิริยาทางผิวหนังอย่างรุนแรงเมื่อสัมผัสเนื่องจากผลึกแคลเซียมออกซาเลต น้ำผลไม้สุกใช้เป็นยาพิษกับปลาและไม่ควรบริโภค - มีการกล่าวว่าผลไม้สุกจะเป็นพิษรุนแรงสำหรับสุนัข การใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้เอนกประสงค์เป็นพืชที่นิยมปลูกในเอเชียเขตร้อนเนื่องจากมีการผลิตอาหารตลอดทั้งปีและมีการใช้อื่น ๆ อีกมากมาย มีประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากเป็นแหล่งอาหารในฤดูแล้งเมื่ออาหารอื่นขาดแคลน ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ SAP ซึ่งได้จากก้านดอกซึ่งใช้ทำน้ำตาล ใช้กิน--- ใบปรุงสุก ตายอดที่เรียกว่า 'หัวใจปาล์ม' กินเป็นผัก แป้งสาคูสามารถบดจากลำต้นแก่นและใช้สำหรับเค้กบะหมี่และอาหารอื่น ๆ เนื้ออ่อนในผลกินได้ เรียกว่า ลูกชิด เครื่องดื่มและน้ำตาลทำจากน้ำหวานที่ได้จากก้านดอก แป้งสาคูสามารถบดจากลำต้นและแก่นใช้สำหรับทำขนมและอาหารอื่น ๆ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืชในชวาตะวันตกเป็นที่รู้จักกันในชื่อ kolang kaling-นี่คือ endosperm ที่สุกของผลปาล์มอ่อน ใช้สำหรับค็อกเทลและเครื่องดื่มในท้องถิ่นที่รู้จักกันในชื่อ kolak มีรายงานว่าผลไม้สุกสามารถกินได้ ใช้เป็นยา--- รากอ่อนใช้ต้มดื่มเป็นชารักษาปัญหากระเพาะปัสสาวะ นิ่วในไต รากแก่แก้ปวดฟัน รากต้มเป็นประโยชน์ต่อปอด ช่วยย่อยอาหารและช่วยเพิ่มความอยากอาหาร น้ำหมัก (แอลกอฮอล์ที่ได้จากการกลั่นและผสมกับสมุนไพรหลายชนิดและรากของพืชอื่น ๆ ถือเป็นยาเอนกประสงค์) น้ำตาลใช้เป็นยาระบายและเนื้อละเอียดที่เกิดขึ้นระหว่างกาบใบ ใช้เพื่อเร่งการฟื้นตัวจากแผลไหม้ ใช้ในวนเกษตร--- ระบบรากที่หยั่งลึก ปลูกเพื่อรักษาการกัดเซาะบนเนินเขาเพื่อรักษาเสถึยรของดิน ใช้ปลูกประดับ--- การใช้ในงานภูมิทัศน์ เหมาะกับพื้นที่กว้าง สวนสาธารณะ เพื่อเสริมสภาพธรรมชาติ เป็นไม้กระถางที่น่าสนใจเมื่อยังเป็นต้นเล็ก และเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ที่น่าประทับใจเมื่อมีอายุมากขึ้น อื่น ๆ--- เนื้อไม้สีดำและสีเหลืองสวยงามใช้สำหรับปูพื้น เฟอร์นิเจอร์และเป็นไม้ฟืนที่มีค่าความร้อนสูง - ส่วนนอกที่แข็งของลำต้นใช้สำหรับทำถัง พื้นและเฟอร์นิเจอร์ หลักสำหรับเถาพริกไทย มือจับเครื่องมือและเครื่องดนตรี - ใบถูกนำมาใช้เป็นแหล่งของวัสดุมุงหลังคา ใบอ่อนตากแห้งใช้มวนบุหรี่ กาบใบที่มีขนสีดำเป็นเส้นปกคลุมลำต้นเป็นแหล่งของเส้นใยสีดำที่มีความเหนียว (gomuti หรือเส้นใย yonot)ไม่ยืดหยุ่นพอที่จะใช้สำหรับทอผ้าแต่มีความเหนียว แข็งแรงและทนทานมาก ใช้เป็นหลักในการทำเชือกที่ต้องการความแข็งแรงมากซึ่งทนทั้งน้ำจืด น้ำเค็มและไฟ มันถูกใช้สำหรับงานทางทะเล รากใช้เป็นเป็นยาขับไล่แมลง พิธีกรรม/ความเชื่อ---*ตาม นิทานพื้นบ้าน ของชาวซุนดาวิญญาณที่รู้จักกันในชื่อ Wewe Gombel สถิตอยู่ใน ต้นปาล์ม Arenga pinnata ซึ่งเธอยังมีรังและคอยปกป้องเด็กที่เธอลักพาตัวไป https://en.wikipedia.org/wiki/Arenga_pinnata ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดจะงอกง่าย ใช้เวลาในการงอก 2 ถึง 6 สัปดาห์
|
สกุล Caryota (kahr-ee-OH-tah) เป็นประเภทของต้นปาล์ม มักจะเรียกว่า Fishtail palms (ปาล์มหางปลา)เพราะรูปร่างของใบ มีประมาณ 13 ชนิด มีถิ่นกำเนิดในเอเชีย (แสดงในหน้านี้ 3 สายพันธุ์) - Caryota albertii F.Muell. ex H.Wendl.- ควีนส์แลนด์ - Caryota angustifolia Zumaidar & Jeanson -สุลาเวสี - Caryota cumingii Lodd. ex Mart.-ปาล์มหางปลาฟิลิปปินส์ - ฟิลิปปินส์ - Caryota elegans Schaedtler - - Caryota kiriwongensis Hodel -ประเทศไทย - Caryota maxima Blume -กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ยูนนาน, ภูฏาน, อัสสัม, อรุณาจัลประเทศ, ชวา, สุมาตรา, ลาว, มาเลเซีย, เมียนมาร์, ไทย, เวียดนาม - Caryota mitis Lour. -ปาล์มหางปลาพม่า - กวางตุ้ง กวางสี ไหหลำ บอร์เนียว กัมพูชา อินเดีย ชวา สุลาเวสี สุมาตรา ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม - Caryota monostachya Becc. -เวียดนาม กวางสี กุ้ยโจว ยูนนาน - Caryota no Becc. -เกาะบอร์เนียว - Caryota obtusa Griff. -ปาล์มภูเขาไทย - ภูฏาน อัสสัม อรุณาจัลประเทศ ลาว เมียนมาร์ ไทย - Caryota ophiopellis Dowe -วานูอาตู - Caryota rumphiana Mart. - คาโยต้า รัมเพียน่า มาร์ท. -อัลเบิร์ตปาล์ม - ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, มาลูกู, นิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอน, หมู่เกาะบิสมาร์ก - Caryota sympetala Gagnep. -เวียดนาม ลาว กัมพูชา - Caryota urens L. -ทางตอนใต้ของอินเดีย ศรีลังกา - Caryota zebrina Hambali & al. -นิวกินี
เต่าร้างยักษ์คีรีวง/ Caryota kiriwongensis
[kahr-ee-OH-tah]
Picture---https://www,palmpedia.net
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota kiriwongensis Hodel.(2009) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60453504-2/general-information ชื่อสามัญ---Kiriwong palm, Kiriwong fishtail palm, Giant mountain fishtail palm. ชื่ออื่น---เต่าร้างยักษ์, เต่าร้างยักษ์คีรีวง, เต่าร้างยักษ์ใต้ (นครศรีธรรมราช) ;[FRENCH: Palmier de Kiriwong.];[THAI: Tao rang yak, Tao rang yak Kiriwong, Tao rang tai (Nakhon Sri Thammarat), Tao rang yak khi ri wong.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---CAWSS (Preferred name: Caryota kiriwongensis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' เป็นคำภาษาละตินที่มาจากภาษากรีก "caryon" = อินทผลัม ผลปาล์ม; ชื่อสายพันธุ์ 'kiriwongensis' ตั้งขื่อตามหมู่บ้านคีรีวง ประเทศไทย Caryota kiriwongensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2552 ที่อยู่อาศัย--- พบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 โดย D.R. Hodel ชาวสหรัฐ ที่หมู่บ้านคีรีวง ตำบลกะโรม อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช Caryota kiriwongensis ไม่ใช่สายพันธุ์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีพืชขนาดใหญ่เพียงประมาณ 50 ต้น ที่กระจายอยู่ตามพื้นของเนินหินสูงชันในพื้นที่กว้างประมาณ 5 กิโลเมตรในป่าภูเขาชื้นที่ระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร ในปี พ.ศ. 2541 ( Hodel, DR 2009: Caryota kiriwongensis Revisited. – Palms; Journal of the International Palm Society 53(4): 171-172) ลักษณะ---มีลักษณะทางสัณฐานวิทยาคล้ายกับ Caryota obtusa มาก เป็นต้นปาล์มขนาดใหญ่ต้นเดี่ยว สูงถึง 35 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 70–85 ซม. ตรงกลางบวมพอประมาณ ปล้องยาว 20–30 ซม. มีใบบนต้น 8-10 ใบ ใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (bipinnate) ก้านใบยาว 30–50 ซม. ทางใบ ยาว 6–8 เมตร ตรง มีใบย่อย 20–25 ใบในแต่ละด้าน กระจายเท่าๆ กันในระนาบเดียว ลักษณะเป็นหางปลาสองแฉกไม่สมมาตร ก้านใบโคนใบไม่มีหนาม สีเขียวคล้ำ ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ยาวประมาณ 0.60 -1 เมตร.ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) ออกดอกติดผลแล้วตาย (Monocarpic) ติดผลจำนวนมาก ผลกลมสีแดงอมม่วงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม.โดยทั่วไปจะมีเมล็ดสองเมล็ดที่แทบไม่เป็นร่องซึ่งมีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน (เอนโดสเปิร์มที่เป็นเนื้อเดียวกันนั้นผิดปกติสำหรับสกุลนี้) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ต้องการแสงแดดบางส่วน (คือแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ถึงแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน) ดินชื้นและระบายน้ำดี ทนอุณหภูมิต่ำสุด (-1ºC) โดยประมาณ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ใบเป็นสีเหลืองในการเพาะปลูก (ปัญหาดินขาดสารอาหารกับปัญหา pHของดิน) รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับ Caryotas ทั้งหมด เนื้อของเมล็ดและลำต้นมีกรดออกซาลิก ซึ่งเป็นตัวการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งกัดกร่อนเมื่อสัมผัสและควรจัดการด้วยความระมัดระวัง การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในสวนและสวนสาธารณะ ไม่ว่าจะปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะที่จะอยู่ใกล้ทางหลวงและใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย สามารถเพาะเลี้ยงในภาชนะบรรจุได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลง ลานที่สว่างสดใสจะให้สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับตัวอย่างเล็ก ๆ ซึ่งสามารถปลูกได้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง อื่น ๆ---ไม้ยังมีลักษณะที่สวยงามและมีความแข็งแรงเป็นพิเศษ ใบไม้ผลิตเส้นใยที่แข็งแรงซึ่งใช้ทำแปรงและตะกร้า ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
เต่าร้างโน/ Caryota No
[kahr-ee-OH-tah] [NO]
Picture---Singapore.http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_no Picture---Kelana Jaya, Selangor, Malaysia.http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_no
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota no Becc.(1871) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665621-1#synonyms ---Caryota rumphiana var. borneensis Becc. (1877) ชื่อสามัญ---Borneo Fishtail Palm, Giant fishtail palm, Albert Palm. ชื่ออื่น---เต่าร้างโน (ทั่วไป) ;[GERMAN: Riesenfischschwanzpalme.];[MALAYSIA: Caju nó (Malay); Baroch (Dayak).];[RUSSIAN: Kariota no.];[THAI:Tao rang no.];[VIETNAMESE: Cay Moc-muong,] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---CAWNO (Preferred name: Caryota no.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' มาจากภาษากรีก 'caryon' = อินทผลัม ผลปาล์ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'no' มาจากชื่อดั้งเดิมของต้นปาล์มในมาเลเซีย 'Caju nó' Caryota no เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2414 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าดิบชื้นของเกาะบอร์เนียว, อินโดนีเซีย (กาลิมันตัน); มาเลเซีย (ซาบาห์, ซาราวัก)ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ สูง 20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 50- 70 ซม.มีร่องรอยวงแผลเป็นที่เกิดจากใบเป็นข้อนูนโดดเด่น ยอดมงกุฎแผ่กว้างถึง 10 เมตร ใบประกอบแบบขนนก2ชั้น (bipinnate)เรียงตรงข้าม ใบขนาดใหญ่ ยาว ถึง 4-5 เมตร กว้าง 3 เมตร สีเขียวอ่อน ช่อดอกออกจากมงกุฎลักษณะเหมือนช่อไม้กวาด สีครีมขาวถึงเหลืองทอง ยาวไม่เกิน 2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น(monoecious) ตายเมื่อออกดอกและติดผล (monocarpic) ผลเมื่อสุกสีม่วงเข้มถึงดำ ขนาด2-4 ซม. มีเมล็ด 2 เมล็ด ลักษณะกลมสีน้ำตาลมันวาว ขนาด 1.75 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- ต้องการแสงแดดเต็มที่ หรือร่มเงากรองแสงเมื่อต้นยังเล็ก ชอบดินร่วนที่อุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุ แต่สามารถปรับให้เข้ากับดินเหนียวและดินทรายทั้งเป็นด่างหรือกรดเล็กน้อย และมีการระบายน้ำที่ดี มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืชรบกวน/ต้นปาล์มที่โตเต็มที่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคโคนเน่าได้ง่าย รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับ Caryotas ทั้งหมด เนื้อของเมล็ดและลำต้นมีกรดออกซาลิก ซึ่งเป็นตัวการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งกัดกร่อนเมื่อสัมผัสและควรจัดการด้วยความระมัดระวัง ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ พืชในสกุลนี้มักจะปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้กิน---ลำต้นมีแป้งที่สามารถใช้ทำสาคูได้ ตายอด (หัวใจปาล์ม) ที่กินได้และอร่อย เมล็ดใช้เคี้ยวแทนหมาก ใช้ปลูกประดับ--- มีการใช้ในงานภูมิทัศน์ เป็นหนึ่งในปาล์มหางปลาที่ใหญ่ที่สุด ด้วยรูปลักษณ์ ความสูง และโค้งใบที่ประณีต สง่างาม ทำให้มันสมบูรณ์แบบ ปลูกใกล้กับทางหลวงและใช้ในการเน้นทิวทัศน์ เป็นปาล์มที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเขตร้อน อื่น ๆ--- เป็นแหล่งวัสดุ เส้นใยที่ใช้ทำสายเบ็ดหรือสานเป็นตะกร้าเรียกว่า talì onus ส่วนด้านนอกของลำต้นถูกแยกและทำเป็นพื้นไม้ระแนงที่ทนทานและแข็งมาก ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสด งอกใน 4 เดือนถึง 1 ปี
|
เต่าร้างลาย/ Caryota zebrina
[kahr-ee-OH-tah] [zeh-BREE-nah]
Picture---http://www.palmpedia.net/wiki/Caryota_zebrina
ชื่อวิทยาศาสตร์---Caryota zebrina Hambali, Maturb., Heatubun & J.Dransf. (2000) ชื่อพ้อง---No synonyms are record for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:320679-2 ชื่อสามัญ---Zebra Fishtail Palm, Striped Fishtail Palm, Zebral Palm. ชื่ออื่น---เต่าร้างลาย, เต่าร้างม้าลาย(ทั่วไป) ;[THAI: Tao rang lai, Tao rang ma lai (General).]; [INDONESIAN (Bahasa Indonesia): Palem belang (striped palm): Palem tokek (Tokek is the large house gecko).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---CAWSS (Preferred name: Caryota sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกินี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Caryota' มาจากภาษากรีก 'caryon' = อินทผลัม ผลปาล์ม ; ชื่อสายพันธุ์ 'zebrina' มาจากภาษาละติน แปลว่า 'เกี่ยวข้องกับม้าลาย' อ้างอิงถึงสีของส่วนต่างๆของพืช Caryota zebrina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hambali และคณะ [Gregori Garnadi Hambali (fl. 2000) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย , Rudi A. Maturbongs (fl. 2000) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย, Charlie Danny Heatubun (born 1973) นักพฤกษศาสตร์นานาชาติจากปาปัวนิวกินี และ John Dransfield (เกิดปี 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ] ในปี พ.ศ.2543 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเทือกเขา Torricelli ใน West Sepik ของปาปัวนิวกินี (Irian Jaya) อินโดนีเซีย พบใน ป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 850-1,500 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ลำต้นสูง 6-16 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-40 ซม. ระยะระหว่างข้อปล้องยาว 30-40 ซม. รอยแผลเป็นที่เป็นปม กว้างประมาณ 2 ซม ก้านใบ ยาว 1 เมตร มีลายคล้ายม้าลายเป็นแถบสีซีดและน้ำตาลเข้ม ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) (นี่เป็นเพียง Caryota ชนิดเดียวที่ไม่ใช่ bipinnate) ใบยาว 1-2(-5) เมตร กว้าง 1.5 เมตรค่อนข้างหนาและกลมกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชนิด Caryota อื่นๆ ส่วนใหญ่ ก้านใบหนายาว 90-180 ซม.มีแถบลายม้าลายที่ก้านใบงดงามมาก แผ่นใบหนา เหนียว รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบหยักเว้าคล้ายหางปลา ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวปนดำ อยู่ในมุมที่แตกต่างกัน และอยู่รวมกันเป็นกระจุกตามขอบใบ ทำให้ใบมีลักษณะที่ไม่เป็นระเบียบ ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ยาว 1-2.5 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน (monoecious) ดอกรวมกันสามดอกจัดเรียงเป็นเกลียว (ดอกเพศเมียอยู่ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ผลิตเป็นจำนวนมาก สายพันธุ์นี้เป็น monocarpic (ออกดอกติดผลแล้วตาย) ผลกลมเมื่ออ่อนจะใส เมื่อสุกสีม่วงแดงขนาด 15x25 มม.มีเมล็ด 1-2 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้เขตร้อนอย่างแท้จริง (USDA hardiness zones 10b-12) เติบโตดีที่สุดในสถานที่ ที่มีที่กำบังร่มรื่น ดังนั้นตำแหน่งที่ปลูกไม่ควรได้รับแสงแดดโดยตรง (แสงทางอ้อม) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) สามารถทนต่ออุณหภูมิต่างๆ ได้ ตั้งแต่ 0° C ถึง 40° C (แม้ว่าพืชบางชนิดจะทนอุณหภูมิต่ำสุดในฤดูหนาวที่ -2° C ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ) แต่ดีที่สุดคือสูงกว่า 10° C ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ดินชื้นสม่ำเสมอ สามารถปรับตัวได้ในดินทุกสภาพรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย หากมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตช้ามากและปลูกได้ยากมาก การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยวัสดุคลุมดินที่มีความหนาแน่นสูง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา กระถาง Caryota ในร่ม ไม่ควรรดน้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบแห้งหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดหนามดอกที่ใช้แล้วออกเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารต่ำที่สมบูรณ์แบบ (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง/ต้นปาล์มที่โตเต็มที่มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคโคนเน่าได้ง่าย รู้จักอันตราย---เช่นเดียวกับ Caryotas ทั้งหมด เนื้อของเมล็ดและลำต้นมีกรดออกซาลิก ซึ่งเป็นตัวการระคายเคืองต่อผิวหนังและเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งกัดกร่อนเมื่อสัมผัสและควรจัดการด้วยความระมัดระวัง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นปาล์มที่ยอดเยี่ยม แต่เติบโตช้ามากและปลูกค่อนข้างยาก นี่เป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจมากที่ควรมีในทุกคอลเล็กชั่นหรือทุกสวน เป็นที่นิยมมากในหมู่นักสะสมปาล์มเขตร้อน พบในการปลูกเลี้ยงมากกว่าในถิ่นที่อยู่ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสด ใช้ระยะเวลาในการงอก 3-4 เดือน
|
ปาละ/Licuala glabra
[lik-oo-AH-lah] [GLAH-brah]
Picture 1---Hawaii. Photo by Bill Austin.https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_glabra Picture 2---Frazer's Hill, Pahang, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Licuala glabra Griff.(1845) ชื่อพ้อง---No synonym are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667877-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปาละ (ภาคใต้) ; [THAI: Pa-la (Malay-Peninsular).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---LCLSS (Preferred name: Licuala sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Licuala' มาจากชื่อท้องถิ่น "leko wala" ที่กำหนดให้กับปาล์มสกุลนี้ในหมู่เกาะโมลุกกะ ; ชื่อเฉพาะ 'glabra' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน = เรียบไม่มีขน Licuala glabra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388 มีสองชนิดย่อย (Infraspecific) ที่ยอมรับได้ https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667877-1#children - Licuala glabra var glabra : ถิ่นกำเนิดประเทศไทยไปจนถึงคาบสมุทรมาเลเซีย บอร์เนียว - Licuala glabra var. selangorensis Becc.(1921) : ถิ่นกำเนิดของพันธุ์นี้คือคาบสมุทรมาเลเซีย
Picture---J.D. Andersen Nursery, Hawaii. Licuala glabra var. glabra. Photo by Paul Craft. https://www.palmpedia.net/wiki/Licuala_glabra
ที่อยู่อาศัย--- พบในป่าดิบชื้น ชั้นล่างของป่า ที่ลุ่มหรือเนินเขา ที่ระดับความสูง จากระดับน้ำทะเลถึง1300เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว ลำต้นเตี้ยติดพื้นดิน หรืออาจสูงได้ถึง1-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 7 ซม. ก้านใบยาว2.2เมตร ใบรูปพัด (Costapalmate) กว้าง 1.1 เมตร ขอบใบหยักเว้าลึกถึงสะดือ มีใบย่อย 6-33 ใบ ช่อดอกออกระหว่างใบ (interfoliar) ดอกกระเทยสีขาว ผลรูปไข่สีส้มขนาดกว้าง1ซม.ยาว1.5ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้เฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการตำแหน่งแสงแดดยามเช้าที่มีที่กำบังและชื้น แต่สามารถยืนรับแสงแดดได้เต็มที่ในเขตร้อน (ความชื้นในบรรยากาศคงที่สูง) แม้ว่าบางครั้งใบอาจไหม้เกรียมจากแสงแดดโดยตรง พืชอายุน้อยต้องการการปกป้องจากแสงแดดโดยตรงและเติบโตได้ดีที่สุดในบริเวณที่มีร่มเงาถึงร่มเงาบางส่วน หากปลูกในบ้าน พวกมันจะดูดีที่สุดในสภาพแสงกระจายที่สว่าง แต่ทนต่อระดับแสงน้อยได้ ชอบดินร่วน, ดินร่วนปนทรายอุดมด้วยอินทรีย์วัตถุสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย หากมีการระบายน้ำดี อุณหภูมิที่เหมาะสมเฉลี่ย 15°C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 4°C อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมากและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา ซึ่งจะต้องเปียกตลอดเวลา อย่าปล่อยให้น้ำขังแฉะตลอดเวลา พืชที่ปลูกในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดดอกที่ใช้แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปจะปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง ป้องกันเพลี้ยแป้งบนผลไม้สุก รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยงและมนุษย์ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ สำหรับตกแต่งสวนสาธารณะและสวนทั่วไป เมื่อต้นยังเล็กเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางในที่ร่มรำไร ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
เป้งบก/Phoenix acaulis
[FEH-niks] [ah-KOW-liss]
Picture---La Quinta, CA. 5+ year old 5gal, 3 yrs in ground. Male plant. Photo by Dave H.https://www.palmpedia.net/wiki/Phoenix_acaulis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix acaulis Roxb.(1820) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668898-1#synonyms ---Phoenix acaulis var. melanocarpa Griff. (1845) ชื่อสามัญ---Dwarf Date Palm , Stemless Date Palm ชื่ออื่น---ปุ่มเป้ง (ภาคเหนือ), ตุหลุโคดือ, หน่อไคว้เส่ (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน), เป้งบก (ราชบุรี) ;[CHINESE: Wú jīng cì kuí.];[INDIA: Khajuzi, Chota khajur (Uttar Pradesh, Siwalik hills), (S. Biswas, pers. comm.); Khajuri, Pind khajur, Jangly khajur (Hindi), Schap (Lepcha), Chindi, Jhari, Sindi, Juno (Kurku), Pinn khajur, Boichand, Yita.];[NEPALESE: Taakula, Khjur.];[PORTUGUESE: Tamareira-acaule, Tamareira-rasteira.];[TAMIL: Kāṭṭu īccam.];[THAI: Poom peng (Northern); Peng bok.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---PHXAC (Preferred name: Phoenix acaulis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ตอนเหนือของอินเดีย ภูฎาน เนปาล พม่า จีนตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกของประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Phoenix' จากชื่อภาษากรีกสำหรับต้นอินทผลัม ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'acaulis' หมายถึงความสั้นของลำต้น Phoenix acaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2388 ที่อยู่อาศัย--- ปาล์มพื้นเมืองทางภาคเหนือของอินเดีย ,ภูฏานและเนปาล พบในป่าเปิด ป่าละเมาะ ทุ่งหญ้าสะวันนา และป่าสน ที่ระดับระดับความสูง 400- 1500 เมตร. ประเทศไทย พบทางภาคตะวันตก ตามป่าโปร่งที่เปิด ที่ระดับความสูง 300-600 ม. จากระดับน้ำทะเล ลักษณะ--- เป็นปาล์มที่มีลำต้นสั้นมากเป็นกระเปาะ สูงได้ถึง 10 ซม. มีตอโคนใบอยู่หนาแน่น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ยาว 60-180 ซม.กาบใบสีน้ำตาลแดง ก้านใบยาวประมาณ 30 ซม. มีหนามที่ด้านบน ส่วนโคนเป็นกาบหุ้มลำต้น ใบย่อยแข็ง รูปใบหอกแกมยาว แผ่นใบห่อเป็นสามเหลี่ยม ปลายใบแหลมคล้ายเข็ม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) สีขาวครีม ออกเป็นช่อสั้นแน่นระหว่างใบ (Interfoliar)ใกล้ส่วนโคน ช่อดอกมีกาบรูปกระทงขนาดใหญ่รองรับ ก้านช่อดอกเพศผู้ยาวประมาณ 7 x 0.6 ซม. ช่อย่อยเรียงเป็นวงเดียว มีจำนวน 10 – 15 อัน ยาวประมาณ 8 ซม. ไม่เห็นดอกเพศผู้; ก้านช่อดอกเพศเมียยาวประมาณ 9 – 12 x 1.4 ซม. ไม่ขยายเมื่อผลสุก ช่อย่อยจัดเรียงเป็นวงเล็กหนึ่งวง มีจำนวน 15 – 20 อัน ยาวประมาณ 4 – 14 ซม. ดอกเพศเมียมีประมาณ 5 – 20 ดอกต่อช่อย่อย เรียงกันหนาแน่น แต่ละดอกมีราชิลลาบวม (รอยลาย bractiform) ยาว 3 – 10 มม. กลีบเลี้ยง ขนาด3 มม. กลีบดอกขนาด 5 – 6 x 4 มม..ดอกเพศเมียที่ไม่ได้รับการผสมเกสรจะล้มลงกับพื้นโดยไม่เกิดผล ผลรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาด 12 - 18 x 8 มม. ผลอ่อนสีเขียวสุกสีแดงถึงดำ ภายในมีเมล็ดเดียว ขนาด 10 x 5 มม.ผลใช้เวลากว่าจะสุกเกือบหนึ่งปี ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---(USDA Zones 9-11) ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน)ถึงที่ร่มบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) อยู่รอดได้ในที่ร่มค่อนข้างลึก แต่จะ "ยืด" จนสูญเสียรูปร่างที่กะทัดรัด มันผลิตดอกไม้และผลไม้ในตำแหน่งที่มีแดดเท่านั้น ชอบดินชื้นสม่ำเสมอและ สามารถปรับให้เข้ากับดินที่ระบายน้ำได้ดีหลายชนิด (ใช้ดินเบาและระบายน้ำเร็วในภาชนะ) ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (- 5°C) อัตราการเจริญเติบโต ช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเมื่อใบแก่ตาย ควรตัดแต่งออกและปล่อยให้โคนใบแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด หรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าในช่วงฤดูปลูก หรือตามทิศทางของบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยง พืชมีหนามแหลมคมบนก้านใบ ตวรใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน หน่ออ่อน ดิบ-สุกกินเป็นผัก กินได้ทั้งสดและดิบหรือปรุงเป็นซุป ผลมีรสหวานกินได้แม้จะมีเนื้อน้อย คุณภาพของผลไม้โดยรวมถือว่าดี น้ำ ผลไม้ที่ได้จากผลถือเป็นเครื่องดื่มเย็น แต่ก็ทำเครื่องดื่มที่เมาได้ -ในอินเดีย (อุตตรประเทศ แคว้น Balrampur): กินราก เปลือกด้านนอกถูกลอกออกและด้านในถูกแบ่งออกเป็นสี่หรือห้าชิ้นและทุบเพื่อให้ได้แป้งสีขาวที่หยาบ เส้นใยจะถูกเอาออกจากแป้งที่บดโดยใช้ครกหินและสาก (chakki) และทำ ขนมปัง [sic] (chapati) แป้งกล่าวกันว่า 'ร้อน' มากและทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะเมื่อกินในอากาศอบอุ่น ใช้เป็นยา--- ผลบำรุงหัวใจ ระบายความร้อน แก้อาการท้องผูก รากแก้ปวดฟัน ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---นำมาใช้ในการจัดสวนและเป็นไม้ประดับได้ดีเหมาะสำหรับการปลูกในสภาพอากาศที่หลากหลาย ตั้งแต่เขตอบอุ่นไปจนถึงเขตร้อนชื้น และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวนขนาดเล็กหรือเรือนกระจกที่ร้อนแล้งและสว่างสดใส ทนเค็มได้ปานกลางและอาจปลูกใกล้ทะเลได้หากได้รับการปกป้อง (หลังเนินทราย อาคาร ฯลฯ) ข้อสังเกต:สามารถตายด้วยการย้ายปลูกจากสวนได้หากมีขนาดใหญ่ อื่น ๆ--- ลำต้นนำไปใช้ในการก่อสร้างบ้านสร้างคานรองรับหลังคา ภัยคุกคาม---เนื่องจากในบางส่วนของพื้นที่เพาะปลูกคือการเก็บเกี่ยวแก่นของลำต้นเพื่อทดแทนสาคู แก่นอันขมขื่นของ P. acaulis ถูกใช้อย่างมากในอินเดียระหว่างความอดอยากอย่างรุนแรงในช่วงทศวรรษที่ 1930 (Blatter 1926) (SC Barrow.1998)/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Phoenix_acaulis สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---ในปัจจุบันของ P. acaulis ไม่ชัดเจน การอนุรักษ์--- มีรายงานและรวบรวมสปีชีส์นี้จากอุทยานแห่งชาติจิตวันในภาคกลางของเนปาล ใกล้ชายแดนอินเดีย และ Dhar (1998) กล่าวถึงการค้นพบล่าสุดของประชากรในรัฐอุตตรประเทศ สันนิษฐานว่าด้วยการลดลงของแหล่งที่อยู่อาศัยในป่าที่เคยมีอยู่ทั่วแถบใต้หิมาลัยทางตอนเหนือของอินเดีย ถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติของ P. acaulis ได้รับความเดือดร้อนและสายพันธุ์นี้ถูก จำกัด ให้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและไม่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ระยะออกดอก/ ผลสุก---พฤศจิกายน-มกราคม/เมษายน - มิถุนายน (อินเดีบ) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลางอกประมาณ 3 เดือน
|
เป้งทะเล/ Phoenix paludosa
[FEH-niks] [pah-loo-DOH-sah]
Picture---Photo by Paul Craft.---http://www.palmpedia.net/wiki/Phoenix_paludosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix paludosa Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-152694 ---Phoenix andamanensis W.Mill., J.G.Sm. & N.Taylor [Invalid].(1916) ---Phoenix siamensis Miq.(1868) ชื่อสามัญ---Mangrove Date Palm ชื่ออื่น---เป้งทะเล (ทั่วไป) ;[BURMESE: Thin boung.];[HINDI: Hental, Hintāla.];[KHMER: Peng.];[MALAYSIA: Dangsa.];[SPANISH: Palmera de los manglares.];[THAI: Peng thale (General).];[VIETNAMESE: Cha la bien.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---PHXPA (Preferred name: Phoenix paludosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า อินโดจีน คาบสมุทรมาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Phoenix' จากชื่อภาษากรีกสำหรับเรียกปาล์มอินทผลัมในสมัยโบราณ ; ชื่อสายพันธุ์ 'paludosa'เป็นคำคุณศัพท์ภาษาละติน 'padulosus, a, um'= แอ่งน้ำ Phoenix paludosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามันตามแนวชายฝั่งของ อินเดีย ,บังคลาเทศ ,พม่า ,ไทย ,กัมพูชา ,สุมาตรา ,เวียดนาม, คาบสมุทรมาเลเซีย และสุมาตราตอนเหนือ ในธรรมชาติพบเติบโตตามริมฝั่งแม่น้ำ ลำธาร หนองน้ำ ป่าชายเลนหรือป่าพรุและบริเวณน้ำกร่อย ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ขนาดเล็กขึ้นเป็นกลุ่มหนาแน่น ลำต้นตั้งตรงหรือโค้งงอสูงได้ถึง 2- 5 เมตร ขนาดลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.ลำต้นห่อหุ้มด้วยกาบใบที่เป็นเส้นใยหยาบ ๆสีน้ำตาลแดง ใบแห้งคงอยู่เป็นเวลานานภายใต้มงกุฎในขณะที่ส่วนที่เป็นอิสระจะเห็นรอยวงแหวนของรอยต่อของใบไม้ที่ร่วงหล่นห่างกันประมาณ 5 ซม. ที่ฐานมีรากที่โผล่ออกมาจำนวนมาก ใบ มากถึง 20 ใบต่อต้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) ทางใบยาวประมาณ 60-120 ซม.ใบย่อยรูปขอบขนานกระจายพุ่งออกหลายทิศทางม้วนกลับ สีเขียวซีดด้านบน ใต้ใบสีเทา ฐานลดขนาดลงเป็นหนามแข็งคล้ายเข็มยาวได้ถึง 12 ซม.ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ช่อดอกแตกกิ่งตั้งตรง เกิดระหว่างใบ (Interfoliar) เติบโตภายในกาบสีเหลือง ยาวประมาณ 45 ซม.ช่อดอกเพศผู้ยาว 40-60 ซม.ประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก ดอกมีกลีบดอก 3 กลีบ ยาวประมาณ 7 มม.ช่อดอกเพศเมียยาวกว่า 1 เมตร ดอกมีกลีบเลี้ยงอิสระ 3 กลีบ ยาวประมาณ 3 มม. กลมและเว้า ผลเป็นผลเบอร์รี่ทรงรี ขนาด 0.8-1 x 1-1.5 ซม.ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลสดเนื้อด้านนอกอ่อนนุ่มเมื่อสุก ผลอ่อนสีเขียว ใกล้สุก สีส้ม สุกสีม่วงดำ มีเมล็ดเดียวรูปไข่ยาว 0.9-1 ซม.และเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถเพาะปลูกได้ในเขตภูมิอากาศแบบร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10a) บนดินที่มีความชื้นตลอดเวลาเนื่องจากไม่ทนกับช่วงฤดูแล้ง ไม่ทนต่ออุณหภูมิประมาณ 0 °C ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่องช่วงเช้าหรือช่วงบ่าย) จะอยู่รอดได้ในที่ร่มลึก แต่จะ "ยืด" จนสูญเสียรูปร่างที่กะทัดรัด มันผลิตดอกไม้และผลไม้ในตำแหน่งที่มีแดดเท่านั้น ชอบดินที่ชุ่มชื้นมีการระบายน้ำดี สามารถปรับตัวให้เจริญเติบโตได้ในที่ดอนและดินทุกสภาพ อายุยืนอยู่ได้ 40 ปี อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเมื่อใบแก่ตาย ควรตัดแต่งออกและปล่อยให้โคนใบแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง ทุกวันนี้เป็นที่นิยมในการถอนหน่อออกทั้งหมดยกเว้นหน่อบางส่วนและตัดแต่งใบเพื่อสร้างกระจุกปาล์มที่มีลำต้นชัดเจน การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด หรือปุ๋ยที่ปล่อยช้าในช่วงฤดูปลูก หรือตามทิศทางของบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคมบนก้านใบ ตวรใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้ในงานจัดสวน ภูมิทัศน์ เหมาะปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นกลุ่ม ชายน้ำ หลีกเลี่ยงทางสัญจร ทนเค็มได้ปานกลางและอาจปลูกใกล้ทะเลได้หากได้รับการปกป้อง (หลังเนินทราย อาคาร ฯลฯ) อื่น ๆ--- ในถิ่นกำเนิด ใบใช้ทำ เชือกหยาบ เสื่อ ใช้มุงหลังคา ลำต้นสำหรับทำรั้วและใช้ในการก่อสร้างในชนบท ภัยคุกคาม---เนื่องจากพืชชนิดนี้ถูกคุกคามจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยของป่าชายเลนตลอดช่วงของพวกมัน โดยสาเหตุหลักมาจากการสกัดและการพัฒนาชายฝั่ง และมีพื้นที่ป่าชายเลนลดลงประมาณ 24% ในช่วงของสายพันธุ์นี้ตั้งแต่ปี 1980 มันมีพื้นที่ครอบครอง น้อยกว่า 2,000 กม.² ภายในขอบเขตจำกัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พื้นที่และคุณภาพของที่อยู่อาศัยลดลงอย่างต่อเนื่องเนื่องจากการพัฒนาชายฝั่งและการสกัดทรัพยากร สปีชีส์นี้เป็นไปตามเกณฑ์สองในสามเกณฑ์ภายใต้เกณฑ์ B และเกือบผ่านเกณฑ์สำหรับเกณฑ์ A ดังนั้นจึงจัดอยู่ในรายการใกล้ถูกคุกคาม (iucnredlist.org) สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species. ระยะออกดอก---ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-มิถุนายน) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 22-24°C สามารถเกิดได้เองในบางพื้นที่ โดยการแพร่กระจายเมล็ดจากนกหรือค้างคาวฯ
|
เป้งลังกา/Phonix pusilla
[FEH-niks] [POO-sihl-lah]
Picture 1---Sigiriya - Dambulla Road, Sri Lanka. Photo by Dr. Sasha Barrow, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 2---Huntington Botanical Gardens, CA. Photo by Rachael Moore.https://www.palmpedia.net/wiki/Phoenix_pusilla
ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoenix pusilla Gaertn.(1788) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/668940-1#synonyms ---Phoenix farinifera Roxb.(1796) ---Phoenix zeylanica Trimen.(1885) ---Zelonops pusilla (Gaertn.) Raf.(1837) ชื่อสามัญ---Ceylon Date Palm, Flour palm ชื่ออื่น---เป้ง, เป้งลังกา (ทั่วไป) ;[AYURAVADA: Parushaka (Kerala).];[CHINESE: Xi lan hai zao.];[HINDI: Palavat.];[KANNADA: Eeechakeya, Eechalu, Henthaale, Hulleechala, Hullichala, Ichai, Ichalu, Indu, Kiri eechalu, Sannayichalu.];[MALAYALAM: Chittintal, Cittintal, Inta.];[SANSKRIT: Parusakah.];[SIDDHA: Kalangu, Ithi, Sagi.];[SINHALESE: Indi-Gaha.];[SRI LANKA: Indi-gaha.];[TAMIL: Cittintu, Icham, Ichu, Inchu, Indu.];[TELUGU: Chiruta-ita, Chitti-ita, Chittiyita.];[THAI: Peng, Peng lang ka (General).]; ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---PHXPU (Preferred name: Phoenix paludosa.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดียตอนใต้, ศรีลังกา. นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Phoenix' จากชื่อภาษากรีกสำหรับเรียกปาล์มอินทผลัมในสมัยโบราณ ; ชื่อเฉพาะคือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "pusillus, a, um" = เล็ก โดยอ้างอิงถึงขนาดที่เล็กของพืช Phoenix pusilla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2331 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในศรีลังกาและทางใต้สุดของอินเดีย พบกระจายอยู่ในป่าที่แห้งแล้งของ Kerala, Karnataka และ Ghats ตะวันออกของทมิฬนาฑูในอินเดียที่ระดับความสูง 700 เมตร ในศรีลังกาพบในป่าไม้ในพื้นที่แห้งแล้งที่ราบลุ่มที่เปียกชื้นและเนินเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 500 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวหรือแตกกอ สูงถึง 3-6 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-30 ซม.ทางใบยาวสูงสุด 3 เมตรโค้งอ่อนเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง โคนก้านใบมีหนามแหลมยาวคล้ายเข็ม ทางใบแห้งติดกับลำต้น ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ตั้งตรง ยาว 25-75 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ผลทรงกระบอกผลอ่อนสีเขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงและเมื่อสุกมีสีม่วงดำ ขนาด 11-15 x 5-8 มม.เมล็ด รูปไข่ ปลายมน สีน้ำตาลอมชมพู เมื่อสด แห้งเป็นมัน สีน้ำตาลเกาลัด ขนาด 8-12 x 6 มม.เอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนจนถึงเขตอบอุ่น (USDA Zone 9b-11) เติบโตได้ภายใต้เงื่อนไขที่หลากหลาย รวมถึงการสัมผัสชายฝั่ง และในสภาพอากาศตั้งแต่เขตร้อนไปจนถึงเขตอบอุ่น ซึ่งมันสามารถทนต่อความเย็นจัดเป็นครั้งคราวได้ เป็นหนึ่งในปาล์มที่ทนต่อความหนาวเย็นได้ดี ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ในดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ทนดินเค็ม อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งเมื่อใบแก่ตาย ควรตัดแต่งออกและปล่อยให้โคนใบแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด หรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้าในช่วงฤดูปลูก หรือตามทิศทางของบรรจุภัณฑ์ โดยใช้ปุ๋ยสูตรเฉพาะสำหรับปาล์ม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคมบนก้านใบ ตวรใช้ความระมัดระวังในการจัดการ การใช้ประโยชน์ ----ใช้กิน ผลดิบรสหวาน เรียกว่า Eechala-hannu เมล็ดกินได้ รสมีระดับเดียวกับเกาลัด แป้งที่บริโภคได้นั้นมาจากลำต้น ใช้กินในเวลาที่อาหารขาดแคลน ใช้เป็นยา--- ส่วนที่ใช้ ผลไม้ ยางไม้ ใบ ราก - ผลไม้ใช้เป็น ยาโป๊, ขับลม, ระบายความร้อน, ยาระบาย ใช้ในระบบทางเดินหายใจผิดปกติ - ยางไม้ ใช้ในโรคท้องร่วงและโรคทางเดินปัสสาวะ, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ค่อนข้างหายากในการเพาะปลูก เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้ง เป็นกลุ่มในสวนสาธารณะหรือสวนขนาดใหญ่ หลีกเลี่ยงให้ห่างทางสัญจร อื่น ๆ---ใบเมื่อลอกเส้นกลางออก นำไปต้มและตากแห้ง ถูกนำมาใช้ในท้องถิ่นสำหรับผลิตภัณฑ์ทอต่าง ๆ เช่น ทำตะกร้า เสื่อ ฯลฯ. ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---แยกต้นอ่อน, เพาะเมล็ด แช่ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงก่อนหว่าน ใช้เวลาในการงอก 2-3 เดือน งอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิ 21 - 27°C
|
มะพร้าวแฝด/Lodoicea maldivica
[loh-doh-ee-SEH-ah] [mahl-dee-VEE-kah]
Picture 1---Mah, Seychelles. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 2---https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica.
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lodoicea maldivica (JFGmel.) Pers.(1807) ชื่อพ้อง---Has 6 Syninyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668084-1#synonyms ---Basionym: Cocos maldivica J.F.Gmel.(1791). See https://www.gbif.org/species/2731979 ---Borassus sonneratii Giseke (1792). ---Cocos maritima Comm. ex H.Wendl. (1878) ---Lodoicea callypige Comm. ex J.St.Hil.(1805) ---Lodoicea sechellarum Labill.(1807) ---Lodoicea sonneratii (Giseke) Baill.(1895) ชื่อสามัญ---Coco-de-mer, Double coconut, Sea coconut, Love nut, Coco fesse, Seychelles nut. ชื่ออื่น---มะพร้าวแฝด มะพร้าวทะเล ตาลทะเล(กรุงเทพฯ) ;[CHINESE: Hǎi dǐ yē.];[DEUTSCH: Seychellennuß, Seychellenpalme.];[ESPERANTO: Sejŝela palmo.];[FRENCH: Coco de mer, Coco-fesses, Cocotier de mer, cocotier des Seychelles, Palmier des Seychelles.];[GERMAN: Seychellenpalme.];[HONGKONG: Hǎi yēzi zhōngwén.];[HUNGARIAN: Tengeri Kókusz.];[MALAYSIA: Pokok Kelapa Laut (Bahasa Melayu).];[POLAND: Lodoicja seszelska.];[PORTUGUESE: Coco-do-mar.];[SLOVENIAN: Sejšelski orah.];[SWEDISH: Dubbelkokosnöt.];[TAMIL: Iraṭṭait tēṅkāy maram.];[THAI: Ma phrao fad, Ma phrao thale, Tan thale (Bangkok).];[UKRANIAN: Seyshelʹsʹka palʹma.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- LODMA (Preferred name: Lodoicea maldivica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มหาสมุทรอินเดีย หมู่เกาะเซเชลส์ นิรุกติศาสตร์---ไม่ทราบนิรุกติศาสตร์ของสกุล เนื่องจากไม่ได้ระบุโดยผู้แต่ง Philibert Commerçon (1727-1773) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ตามที่บางคนพูด มันมาจาก "Lodoicus" = Louis เพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (1710-1774) กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ; ชื่อสายพันธุ์ 'Maldivica' หมายถึงถิ่นกำเนิดที่สันนิษฐานว่าคือหมู่เกาะมัลดีฟส์ อ้างอิงจากเวลาที่เมล็ดจะรู้จักจากตัวอย่างที่ได้มาจากมัลดีฟส์ ---นี่คือ Monotypic genus.มีเพียง 1 สายพันธุ์ในสกุลคือ Lodoicea maldivica Lodoicea maldivica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Friedrich Gmelin (1748–1804) นักพฤกษศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยาและนักกีฏวิทยาชาวเยอรมัน ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christiaan Hendrik Persoon (1761–1836) นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาเชื้อรา,นักไลเคนและแพทย์ ชาวแอฟริกาใต้ในปี พ.ศ.2350
Picture 1---Male Plant.Praslin Island (Seychelles). Photo by Vilo Picture 2---Peradineya Botanical Garden, Peradineya, Sri Lanka. Photo by Arthur Chapman https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica
ที่อยู่อาศัย--- เป็นพืขเฉพาะถิ่นของเซเชลส์ ในธรรมชาติที่เหลืออยู่เพียง 2 เกาะภายในอุทยานแห่งชาติ Praslin และ Curieuse ของเซเชลส์ ได้รับการคุ้มครองในอุทยานแห่งชาติ Vallée de Mai (มรดกโลกโดย UNESCO) มันสูญพันธุ์ที่เกาะ St Pierre, Chauve-Souris และ Round Islands ประชากรย่อยที่ปลูกเกิดขึ้นบนเกาะมาเฮและหมู่เกาะซิลลูเอตต์ (bgci.org)เติบโตในป่าฝนตามเนินดินซึ่งมีชั้นดินที่ลึกพบได้จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูงประมาณ 300 เมตร ลักษณะ--- ปาล์มชนิดนี้มีผลกับเมล็ดพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดและหนักที่สุดของพืชใด ๆ ในโลก อาจเติบโตได้สูงถึง 34 เมตรโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 50 ซม.ขยายที่ฐาน ใบรูปพัด (Costapalmate) มีความยาวสูงสุดถึง 10 เมตรและกว้าง 4 เมตร ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ต่างต้นกัน (Dioecious) ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกเพศผู้ (ก้านดอก) ยาวถึง 1-1.5 เมตร ทำให้พวกมันยาวที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีดอกเพศเมียที่ใหญ่ที่สุดในสายพันธุ์ปาล์มทุกชนิด ช่อดอกเพศเมีย (ก้านดอก) ยาวไม่เกิน1เมตร มีดอกหลายดอกกว้าง 4-5 ซม.ผลมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 40-50 ซม และสามารถมีน้ำหนักได้ 20-30 กิโลกรัมและพบที่หนักที่สุด 42 กิโลกรัม เมล็ดหนักที่สุดที่ถูกบันทึกไว้ 17.6 กิโลกรัม เมล็ดเมื่อสุกจะมีสีดำถูกหุ้มไว้ในเปลือกแข็งซึ่งคล้ายกับคู่ของมะพร้าวที่อยู่ตรงกลาง หนา แข็ง สีน้ำตาลมีเนื้อสีขาวอยู่ภายในที่กินได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นปาล์มในเขตร้อนชื้น สภาพอากาศมีความร้อนและความชื้นสูงตลอดทั้งปี ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ปลูกได้ในสภาพดินต่าง ๆที่มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก ใช้เวลา 6-10 ปีในการเจริญเติบโตเป็นต้น และใช้เวลา 20-40 ปี ก่อนที่จะเจริญพันธุ์ออกดอกติดผลตั้งแต่ระยะกล้า น่าจะมีอายุยืนอยู่ได้ถึง 200 ปี
Picture 1---Seychelles. https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica Picture 2---Seed.Photo by Fedrico. https://www.palmpedia.net/wiki/Lodoicea_maldivica ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เนื้อผลที่คล้ายวุ้นกินได้ แต่ไม่มีจำหน่ายในเชิงพาณิชย์เนื่องจากมีการจำกัดการกระจายและความยากลำบากในการเพาะปลูกพืช - เมล็ดอ่อนประกอบด้วยเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อน โปร่งแสง คล้ายเยลลี่ที่มีรสหวานพร้อมเนื้อสัมผัสที่หลอมละลาย นิยมกินเป็นของหวาน - ขั้วผลใช้รับประทานเป็นผักและดองในน้ำส้มสายชู ใช้เป็นยา--- เนื้อที่กินได้ ใช้ในสิทธายา ยาอายุรเวทและยังอยู่ในยาจีนโบราณ มีการใช้กันอย่างยาวนานในการแพทย์แผนจีน ในการรักษาอาการไอและใช้เป็นหลักในซุปในฮ่องกงและ จีน ซึ่งใช้เป็นยาและเป็นยาโป๊ว ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มที่หาได้ยากในการเพาะปลูก สายพันธุ์นี้ใช้ปลูกเป็นต้นไม้ประดับในหลายพื้นที่ในเขตร้อน และพบได้ในสวนพฤกษศาสตร์หรือในถิ่นกำเนิดของมัน อื่น ๆ--- ชาวเกาะใช้ใบเพื่อมุงหลังคา ไม้ใช้ทำรั้วและถังเก็บน้ำ เปลือกที่ว่างเปล่าถูกแกะสลักเป็นภาชนะและชาม พิธีกรรม/ความเขื่อ---พืชนี้เป็นที่รู้จักของกะลาสีเรือในมหาสมุทรอินเดียมานานก่อนจะค้นพบและมีบ้านที่แท้จริง เมื่อเวลาผ่านไปเมล็ดปาล์มในตำนานนี้ถูกพบเกยตื้นบนชายหาดร้างหรือลอยไปตามคลื่น และพวกเขากลายเป็นที่รู้จักในนาม ' มะพร้าวแห่งท้องทะเล ' ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นไม้มหัศจรรย์ที่เติบโตจากก้นทะเลในมหาสมุทรในตำนาน รูปแบบสองแฉกที่ชี้นำเรื่องโชคลางได้ก่อให้เกิดตำนานมากมาย รวมถึงความเชื่อที่ว่าพวกเขามีพลังยาโป๊ว - มีความเชื่อผิด ๆ ว่าเมล็ดเป็นยาโป๊ที่มีศักยภาพในบางวัฒนธรรม สิ่งนี้คุกคามประชากรป่าอย่างมากเนื่องจากการรุกล้ำและการค้าที่ผิดกฎหมาย ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ประชากรประกอบด้วยบุคคลที่บรรลุนิติภาวะทั้งหมด 8,282 คน ซึ่งส่วนใหญ่พบในประชากรย่อย 3 กลุ่ม (ประชากร 1,440 คนใน Vallée de Mai, 1,380 คนใน Fond Ferdinand, 1,750 คนใน Curieuse) บุคคลบางคนยังพบกระจายอยู่ทั่วปราสลิน การลดลงของขนาดประชากรคาดว่าจะมากกว่า 30% ในช่วงสามชั่วอายุคน การลดลงขึ้นอยู่กับการลดลงของพื้นที่การครอบครองและไม่สามารถย้อนกลับได้อย่างชัดเจน การสูญเสียที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่สำคัญต่อการอยู่รอดของประชากร ในการค้า เมล็ดของ Lodoicea ได้รับผลตอบแทนสูงตลอดหลายศตวรรษ ความหายาก ทำให้เกิดความสนใจอย่างมากและราคาสูง การแสวงประโยชน์ยังคงดำเนินต่อไปในปัจจุบันและการสะสมเมล็ดได้หยุดยั้งการฟื้นฟูประชากรตามธรรมชาติทั้งหมด ได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ถูกระบุว่าใกล้สูญพันธุ์ภายใต้เกณฑ์ B1ab(ii,iii,v)+2ab(ii,iii,v) สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species (2007) source: Fleischer-Dogley, F., Huber, M.J. & Ismail, S. 2011. Lodoicea maldivica. The IUCN Red List of Threatened Species 2011: e.T38602A10136618. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2011-2.RLTS.T38602A10136618.en. เข้าถึงเมื่อ11 มิถุนายน 2566 . การออกดอก/ติดผล---มักจะเกิดผลเพียงผลเดียวต่อปี การสุกของผลไม้นานถึงเจ็ดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด เมล็ดพันธุ์ควรปลูกในตำแหน่งถาวรเนื่องจากรากจะหยั่งลงไปยาวประมาณ 4 เมตร ระยะเวลาในการงอกใช้เวลา 2 ปี
|
รังไก่/ Arenga westerhoutii
[ah-REN-gah] [wes-ter-hoot'-ee]
Picture 1---Ho'omaluhia, Hawaii https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_westerhoutii Picture 2---Laos. Photo by Dr. T. Evans, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_westerhoutii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga westerhoutii Griff.(1845) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664267-1#synonyms ---Saguerus westerhoutii (Griff.) H.Wendl. & Drude. (1878) ชื่อสามัญ--- Westerhout's Sugar Palm, Sugar palm, Tao, Langkap ชื่ออื่น---หลังกับ (ยะลา, ปัตตานี); รังกับ, หลังค่าย (ใต้); รังไก่ (กลาง); ลาก๊ะ (มลายู-ปัตตานี) :[CHINESE: Guāng láng.];[INDONESIA: Langkap, Anowe kutare, Gtor];[KHMER: Daungoprei (Central).];[LAOS: Mak tao, Tao kai, Tao kouay, Tao ngou.];[MALAYSIA: Kerjim (Malay), Pokok Sagu.];[THAI: Lang kap (Pattani, Yala); Rang kap, Rang khai (Peninsular); Rang kai (Central); La-ka (Malay-Pattani).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---AGBWE (Preferred name: Arenga westerhoutii.) ถิ่นกำเนิด---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามาเลเซีย "areng" ซึ่งหมายถึงArenga pinnata ; ชื่อสปีชีส์นี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Johan Bartholomew Westerhout นักพฤกษศาสตร์ ผู้ช่วยชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 19 ให้กับที่ปรึกษาชาวอังกฤษใน รัฐมะละกา ของมาเลเซีย และเป็นหัวหน้าอุทยานของจังหวัด Naning Arenga westerhoutii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2388 ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในในป่าชื้นในพื้นที่อันกว้างใหญ่ แพร่กระจายจากภูฏานอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและทางใต้สุดของประเทศจีนไปจนถึงคาบสมุทรอินโดจีนทั้งหมด เติบโตตามลำธารในพื้นที่ภูเขาหินปูนหรือในป่าดิบชื้นป่าฝนที่ลุ่มต่ำกว่า 600 (-1400) เมตร
Picture 1---Bukit Lagong, Kepong, มาเลเซีย ภาพถ่ายโดย Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb Picture 2---https://www.palmpedia.net/wiki/Arenga_westerhoutii
ลักษณะ---เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในสกุล Arenga เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 40 ซม.ปกคลุมด้วยฐานถาวรของใบและเส้นใยสีดำติดแน่น ใบรูปขนนก(pinnate) ทางใบยาว 6-8เมตร แข็งยาวเรียว และแผ่กว้าง เรียงตั้งชี้ออกแนวระนาบ ใบย่อยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเขียวเข้มที่ด้านบนและสีเทาอ่อนที่ด้านล่าง ช่อดอกยาว1-1.5เมตร ออกจากโคนใบและส่วนใหญ่จะถูกซ่อนไว้ด้วยใบ (interfoliar) มี 5-6 ช่อ ยาวถึง 3 เมตร ข่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอกย่อยเพศผู้ 60-70 ช่อยาว 60 ซม. ดอกเพศผู้ขนาด 20-25 มม. กลีบเลี้ยง 4-6 มม. กลีบดอก 20-25 มม. เกสรเพศผู้ 200-300อัน ช่อดอกย่อยเพศเมียมีประมาณ 40 ช่อยาว 80-120 ซม.ดอกเพศเมียขนาดถึง 10 มม. กลีบเลี้ยงประมาณ. 5 มม. กลีบดอกประมาณ 10 มม.ดอกมีขนาดเล็กสีแดง ตายหลังจากออกดอกผลิตผล (Monocarpic) ผลมี 3 พู รูปร่างเกือบกลม ขนาด 4-7 ซม เมื่อสุกสีเขียวคล้ำ มักจะมี 3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะกับเขตร้อนในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (USDA Zones 10-12) เท่านั้น ต้องการแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า6- 8ชั่วโมงต่อวัน) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้นสม่ำเสมอการระบายน้ำดี อ้ตราการเจริญเติบโตเร็วในระยะแรก ( 1-3 ปี) ใช้เวลา15-16 ปีกว่าจะออกดอกผลิตผลแล้วตาย (Monocarpic) การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆอย่าปล่อยให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่งพืชสามารถทำความสะอาดตัวเองได้ ซึ่งหมายความว่าโดยทั่วไปแล้วมันจะทิ้งใบสีน้ำตาลของมันเอง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และหากปลูกปาล์มกลางแดด ให้ใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ในที่ที่มีแสงแดดจัด ใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอันตราย---ผลไม้ของสปีชีส์ส่วนใหญ่ในประเภทนี้มีพิษ เนื้อของผลไม้มักจะมีคริสตัลออกซาเลตจำนวนมากทำให้เนื้อกินไม่ได้และทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อสัมผัส ใช้ประโยชน์--- มักถูกเก็บเจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ ใช้กิน--- ต้นปาล์มจะเก็บแป้งจำนวนมากไว้ในลำต้นของมันซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในภายหลังเพื่อเปลี่ยนเป็นช่อดอก น้ำตาลสามารถได้จากช่อดอกเพศผู้ เรียกว่า น้ำตาลปาล์มเต่า เป็นที่นิยมใช้ในขนมหวานและไอศกรีมในลาวและไทย - หน่ออ่อนหรือใบอ่อน (บางครั้งเรียกว่า 'Mak tao cabbage') เป็นอาหารท้องถิ่นที่มีความละเอียดอ่อน ตายอด (หรือที่เรียกว่า 'หัวใจปาล์ม') ของทุกสายพันธุ์ในประเภทนี้จะกินได้และใช้กินเป็นผัก อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้บริโภคตายอดในปริมาณมาก เนื่องจากในบางชนิด (โดยเฉพาะ Arenga tremula) พวกมันสามารถเป็นพิษได้ ใช้ปลูกประดับ--- เป็นปาล์มภูมิทัศน์ที่น่าประทับใจสำหรับสวนเขตร้อนขนาดใหญ่หรือสวนสาธารณะ ใช้ปลูกลงแปลงในที่กลางแจ้งแสงแดดจัดหรือในที่ร่มรำไรริมแหล่งน้ำ อื่น ๆ--- ใบใช้สำหรับมุงและเครื่องจักสาน ไม้ใช้ทำเครื่องใช้เล็ก ๆ หรือแม้กระทั่งใช้ในการก่อสร้าง แต่กล่าวกันว่าไม่คงทนนัก ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แช่เมล็ดล่วงหน้า 24 ชั่วโมงในน้ำอุ่นก่อนหว่าน อาจใช้เวลา 3 - 6 เดือนหรือมากกว่านั้น
|
สกุล Salacca (SAH-lahk-kah) เป็นต้นปาล์มพื้นเมืองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภาคตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัย พวกมันแยกเป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย(dioecious)และผสมเกสรโดยด้วง Curculionidae มีประมาณ 20 สายพันธุ์ที่ยอมรับ (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์)
สละ/Salacca zalacca
[SAH-lahk-kah] [ZAH-lahk-ah]
Picture 1---Photo-southeastgrowers.com. https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca Picture 2---Photo by Desa.https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca zalacca (Gaertn.) Voss.(1895) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:670335-1#synonyms ---Basionym: Calamus zalacca Gaertn.(1791).http://legacy.tropicos.org/Name/50319212 ---Salacca edulis Reinw. (1825). ---Salacca rumphii Wall.(1831), nom. illeg. ---Salacca blumeana Mart.(1838). ---Calamus salakka Willd ex Steud.(1840). ---Salacca edulis var. amboinensis Becc.(1918). ---Salacca zalacca var. amboinensis (Becc.) Mogea.(1982). ชื่อสามัญ---Salak Palm, Salak-palm, Sala, Snake fruit ชื่ออื่น---สละ, ระกำ (ทั่วไป) ;[CHINESE: Keshi sa laka];[GERMAN: Salakpalme.];[INDONESIA: Salak , Buah salak.];[ITALIAN: Salacca.];[JAPANESE: Sarakayashi, Sarakuyashi, Sarakku.];[MALAYSIA: Salak (Malay)];[MYANMAR: Yingan.];[PHILIPPINES: Salak (Tagalog).];[SPANISH: Salaca.];[SWEDISH: Salak.];[THAI: Sala, Ragum, Rakam (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---SAJED (Preferred name: Salacca zalacca.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ชวา สุมาตรา มูลุกกะ ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ หมู่เกาะฟิจิ และควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย) นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Salacca' และชื่อสายพันธุ์ 'zalacca' มาจากภาษามาลายู "salac" หรือ 'zalak' Salacca zalacca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Andreas Voss (1857–1924) นักพฤกษศาสตร์และนักพืชสวนชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2438
Picture 1---Fairchild Tropical Botanical Garden, Coral Gables, FL. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca Picture 2---Thailand. Photo by Frank (Tropico)https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca
ที่อยู่อาศัย--- เติบโตในป่าทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะชวาและทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา แต่ยังไม่ทราบแหล่งกำเนิดที่แน่ชัด มีการปลูกในประเทศไทย ทั่วทั้งมาเลเซียและอินโดนีเซีย ไปจนถึงโมลุกกะ และได้รับการแนะนำในนิวกินี ฟิลิปปินส์ ควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย) เกาะโปนาเป (หมู่เกาะแคโรไลน์) และมีรายงานว่าพบที่หมู่เกาะฟิจิ (worldagroforestrycentre.org) เป็นพืชเขตร้อนชื้นที่ลุ่ม เติบโตในพื้นที่แอ่งน้ำและตามแนวลำธาร ซึ่งพบได้ในระดับสูงจากน้ำทะเลต่ำกว่า 500 เมตร ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กมีหนามมาก มีหนามยาวได้ถึง 15 ซม.ลำต้น Acaulescent (ไม่ปรากฎเหนือพื้นดินเหมือนไม่มีลำต้น) ลำต้นส่วนใหญ่แตกแขนงต่อเนื่องอยู่ใต้ดินยาวถึง 1.5 เมตร ส่วนของลำต้นที่พ้นดินมีเพียงขั้วใบของส่วนใบที่พุ่งตรงขึ้นไปขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.ยาวประมาณ 3-7 เมตร มีหนามแข็งแหลม ผอมยาวสีเทาดำ ออกจากก้านใบและกาบใบ รากใหม่จะงอกทันทีที่ยอดแตกใหม่ ทำให้ใบไม้แทรกอยู่ตามแนวนอนแออัดมาก ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบ (interfoliar) มีช่อดอกประมาณ 3-15 ช่อ ดอกเพศผู้จะหุ้มด้วยฝักยาว 50-90 ซม.ประกอบด้วย 4-12 ช่อ ยาวช่อละ 7-15 ซม. x 0.7-2 ซม.เกสรตัวผู้ 6 อันที่คอดอก สีของดอกเพศผู้เป็นสีน้ำตาล ส่วนดอกเพศเมียมีฝักมีก้านสั้น 20-30 ซม.ประกอบด้วย 1–3 ช่อ ยาว 7–10 ซม.สีของดอกเพศเมียมีสีเขียวมีจุดสีแดงและมีกลีบดอก ผลเจริญเป็นกระจุกที่โคนใบ ผลเป็นรูปทรงรียาว ผลอ่อนเป็นสีน้ำตาล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 ซม ผลแก่เป็นสีแดงอมน้ำตาล เนื้อผลสีเหลืองอ่อน รสหวานอมเปรี้ยวฝาด มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ เปลือกผลเป็นเกล็ดซ้อนกัน บนผลมีขนแข็งสั้นคล้ายหนาม เมล็ดมักมี 3 เมล็ดสีน้ำตาลอมดำยาว 2-3 ซม. และหนา 1.5-2.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในสภาพอากาศร้อนชื้น ต้องการตำแหน่งแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) อุณหภูมิสูงกว่า 20 °C และไม่ต่ำกว่า10 °C ต้องการดินดีอุดมสมบูรณ์ด้วยวัตถุอินทรีย์มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลางระบายน้ำได้ดี pH ในช่วง 5 - 6 ทนได้ 4.5 - 6.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากระบบรากตื้น ปาล์มจึงต้องการแหล่งน้ำในระดับสูง ฝนหรือการชลประทานในช่วงเกือบทั้งปี ไม่ทนต่อน้ำท่วม การตัดแต่งกิ่ง---ในช่วงปีที่ 1 ถึง 3 ควรตัดแต่งกิ่งปาล์มให้น้อยที่สุด ลบเฉพาะใบด้านนอกที่กำลังจะตาย เป็นการกระตุ้นการสังเคราะห์แสงให้ได้มากที่สุดในขณะที่พืชกำลังเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ - เมื่อต้นไม้โตเต็มที่ สูง 3 เมตรขึ้นไป และเริ่มออกดอก ควรตัดใบด้านนอกออกให้หมด ทิ้งใบไว้ 4 ถึง 5 ใบเป็นส่วนหนึ่งของต้นแม่ดั้งเดิม ตัดใบที่กีดขวางทางเดินออก และกำจัดหน่ออ่อนรอบ ๆโคนต้นอย่าปล่อยให้ลูกหน่อพัฒนาเว้นแต่จะต้องการมันเพื่อขยายพันธุ์ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกสลับปุ๋ยเคมี ใส่ปุ๋ยคอก 2 ครั้ง/ปี และใส่ปุ๋ยเคมี 2-4 ครั้ง/ปี ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงแรด (Rhinoceros beetle), ด้วงงวง (Asiatic palm weevil), สัตว์ฟันนแทะกัดกินผล,หอยทากกัดกินดอกและผล/โรคใบจุด, โรคผลเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Sclerotium rolfsii (ราเม็ดผักกาด) รู้จักอ้นตราย---อาจมีอันตรายจากหนามจำนวนมากและแหลมคม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ
Picture---Dusun Ngentak, Kabupaten Sleman, Yogyakarta, Indonesia. Photo by Ahmad Fuad Morad. https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_zalacca
ใช้ประโยชน์---พืชชนิดนี้นิยมปลูกเพื่อเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ในเขตร้อนของประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงและมักพบในตลาดท้องถิ่น ใช้กิน--- ผลสดเมื่อสุกเต็มที่ ในอินโดนีเซียผลไม้ ('manisan salak'), ดอง ('asinan salak') และอาจใช้ผลดิบสดใน 'rujak' ซึ่งเป็นสลัดผลไม้ดิบ ผลสุกจะใช้ทำผลไม้กระป๋อง เมล็ดอ่อนกินได้ ใช้เป็นยา---ผลไม้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ บำรุงหัวใจและหลอดเลือดให้แข็งแรง ปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด ดีต่อสุขภาพดวงตา ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ป้องกันอาการตาบอดตอนกลางคืน ใช้เป็นยาขับเสมหะ - เพิ่มความจำในสมอง สละถูกเรียกว่าเป็นผลไม้แห่งความทรงจำ ช่วยขจัดความเครียดออกซิเดชั่นบางระดับ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม วนเกษตร--- ปลูกเพื่อทำรั้ว แถวของสละที่ปลูกชิดกันและใบไม้ที่มีหนามมากทำให้เกิดแนวป้องกันที่เข้มแข็ง อื่น ๆ---เปลือกของก้านใบอาจใช้ปูเสื่อได้ แผ่นใบใช้สำหรับมุง - *ต้นสละได้รับการปลูกทั่วประเทศอินโดนีเซีย และมีอย่างน้อย 30 สายพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่มีรสฝาดและมีรสหวาน พันธุ์ที่ได้รับความนิยมสองพันธุ์ ได้แก่ สละ pondoh จากจังหวัด Yogyakarta (พบในปี 1980) และสละ Bali จากบาหลี - Salak Pondoh เป็นผลไม้ที่สำคัญในจังหวัดยอกยาการ์ตาบนเกาะชวา ในช่วงห้าปีจนถึงปี 1999 การผลิตประจำปีในยอกยาการ์ตาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเป็น 28,666 ตัน ความนิยม (เมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น ๆ ) ในหมู่ผู้บริโภคชาวอินโดนีเซียในท้องถิ่นมีสาเหตุหลักมาจากความเข้มของกลิ่นและรสหวานก่อนที่จะสุกเต็มที่ สละปอนโดมีรูปแบบที่เหนือกว่าอีกสามแบบ ได้แก่ Pondoh supe, Pondoh hitam (Pondohสีดำ) และ Pondoh gading (Pondohสีงาช้าง/ผิวเหลือง) - สละบาหลี เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้าน Sibetan บนที่ราบสูงของเกาะบาหลี สละบาหลีมีขายทั่วไปทั่วเกาะบาหลี และเป็นผลไม้ยอดนิยมของทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว สละสละโสดเพียงชนิดเดียวและเป็นหนึ่งในปาล์มที่มีเมล็ดเดียวไม่กี่ชนิดในกลุ่ม Calameae clade สลักบาหลีมีมากกว่า 15 สายพันธุ์ โดยมีรสชาติตั้งแต่หวานเหมือนน้ำตาล (Salak Gula Pasir) เปรี้ยวหวานเหมือนส้มโอ (Salak Getih) และเปรี้ยวเหมือนสับปะรด (Salak Nanas) ผลมีขนาดประมาณผลมะเดื่อขนาดใหญ่ มีความกรุบกรอบและชุ่มชื้น ในบางพันธุ์ผลมีรสฝาดเล็กน้อยคล้ายแป้ง เช่น สละโสด; ส่วนผลไม้อื่นๆ เช่น Salak Gondok และ Salak Gula Pasir ก็มีความฝาดเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย -Salak Gula pasir สายพันธุ์ที่แพงที่สุดของ salak บาหลีคือ Gula pasir (ตามตัวอักษร "น้ำตาลทราย" หรือ "น้ำตาลเม็ด" ซึ่งหมายถึงความละเอียดของเนื้อ) ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า salak ทั่วไปและหวานที่สุดในบรรดา salak ทั้งหมด ราคาในบาหลีอยู่ที่ Rp 15,000-30,000 (US$1.00-2.00) ต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปี เนื่องจากสละพันธุ์นี้ขึ้นชื่อเรื่องความหวาน บางครั้งจึงนำไปหมักเป็นเหล้าสละที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ร้อยละ 13.5 คล้ายกับเหล้าองุ่นแบบดั้งเดิม https://www.gbif.org/species/144104909 ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี (เริ่มออกดอก 3-4 ปีหลังหยอดเมล็ด สามารถให้ผลผลิตได้นานถึง 50 ปี ) ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด เมล็ดมีความสามารถในการงอกได้น้อยกว่า 2 สัปดาห์ แช่น้ำอุ่นไว้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงแล้วหว่านในภาชนะ เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก 2-3 เดือน ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าต้นสละจะเป็นต้นเพศผู้หรือต้นเพศเมียจนกว่าจะมีดอกหลังจากปลูกประมาณ 3-4 ปี
*This is a tillering palm, it exhibits saxophone style root growth (it has a heel), keep top third of heel above soil elevation! นี่คือต้นปาล์มที่แตกกอมันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของรากของแซกโซโฟน (มีส้นเท้า) รักษาส้นที่สามบนเหนือระดับดิน! (แปลโดยกูเกิ้ล)
|
สละอินโด/ Salacca magnifica
[SAH-lahk-kah] [mahg-nih-FEE-kah]
Picture---Singapore Botanical Garden. Photo by Nick. Photo by Chard https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_magnifica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Salacca magnifica Mogea.(1980). ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669817-1 ชื่อสามัญ---Greater Salak, Salacca, Sala, Snake Fruit ชื่ออื่น---สละ สละอินโด (ทั่วไป); [INDONESIA: Baroh, Lium, Remayong (Sarawak); Selindung (Kalimantan).];[THAI: Sala, Sala In-do.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---SAJMA (Preferred name: Salacca magnifica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว อินโดนีเซีย โอเชียเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Salacca' มาจากภาษามาลายู "salac" ; ชื่อเฉพาะคือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "magnificus, a, um" = งดงาม อ้างอิงถึงใบของมัน Salacca magnifica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johanis P. Mogea (1947 - 74 ปี ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ.2523 ที่อยู่อาศัย--- มีถิ่นกำเนิดในเกาะบอร์เนียว (ซาราวัก) เติบโตในป่าชั้นล่าง จากระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูงประมาณ 700 เมตร
Picture---Tapeinochilos at Flecker Botanic Garden, Cairns, Queensland, Australia. Photo by aroideana https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_magnifica Picture---Photo-mgonline.com.https://www.palmpedia.net/wiki/Salacca_magnifica
ลักษณะ--- เป็นปาล์มต้นเดี่ยว ลำต้นอ้วนสั้น Acaulescent (ไม่ปรากฎเหนือพื้นดินเหมือนไม่มีลำต้น) ใบแตกจากดิน ยาวประมาณ 4-5 เมตรกว้าง 0.4-0.7 เมตร ปลายใบรูปหางปลา (bifid) ปลายยอดของใบมีความสูง, แข็งและโค้งเล็กน้อยและมีผิวเป็นร่องลึกเช่นเดียวกับขอบใบ ใบมีสีเขียวเป็นมันด้านบนและสีเขียวอมเงินด้านล่าง ก้านใบยาว 0.5-1.6 เมตร กาบใบ ก้านใบและเทางใบมีหนามยาวหลายขนาด ตั้งแต่ 6 ซม.ขึ้นไปสีน้ำตาลอ่อนชี้ไปในทิศทางต่าง ๆกัน ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (dioecious) ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (interfoliar) ยาว 30 ซม.ช่อดอกเพศเมียจะตั้งตรงและมีลักษณะแหลมส่วนใหญ่จะติดผล ช่อดอกเพศผู้จะสั้นและแตกแขนงมาก ผลรูปร่างลูกแพร์ (pyriform) สีน้ำตาลอมชมพู ขนาด 5 ซม. เมื่อสุกสีแดงคล้ำเนื้อหนา รสหวาน มีเกล็ดที่ผิวผลเหมือนหนังงู ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในพื้นที่เขตร้อนชื้น (Cold Hardiness Zone: 10b) สามารถทดลองเพาะปลูกได้ในเขตภูมิอากาศกึ่งเขตร้อน ซึ่งอุณหภูมิต่ำกว่า 10 °C เป็นข้อยกเว้นที่คงอยู่ได้ไม่นาน ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และความชื้นสูงในอากาศ แต่มักจะชอบตำแหน่งที่มีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินร่วนซุยหรือดินร่วนปนทรายที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ pH 6.1 - 6.5 ( เป็นกรดเล็กน้อย) มีความชื้นตลอดเวลา ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง 6°C อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากระบบรากตื้น ปาล์มจึงต้องการแหล่งน้ำในระดับสูง ฝนหรือการชลประทานในช่วงเกือบทั้งปี ไม่ทนต่อน้ำท่วม การตัดแต่งกิ่ง---ในช่วงปีที่ 1 ถึง 3 ควรตัดแต่งกิ่งปาล์มให้น้อยที่สุด เมื่อต้นไม้โตเต็มที่ สูง 3 เมตรขึ้นไป และเริ่มออกดอก ควรตัดใบด้านนอกออกให้หมด ทิ้งใบไว้ 4 ถึง 5 ใบเป็นส่วนหนึ่งของต้นแม่ดั้งเดิม ตัดใบที่กีดขวางทางเดินออก และกำจัดหน่ออ่อนรอบ ๆโคนต้นอย่าปล่อยให้ลูกหน่อพัฒนาเว้นแต่จะต้องการมันเพื่อขยายพันธุ์ การใส่ปุ๋ย---ใส่ปุ๋ยคอกสลับปุ๋ยเคมี ใส่ปุ๋ยคอก 2 ครั้ง/ปี และใส่ปุ๋ยเคมี 2-4 ครั้ง/ปี ศัตรูพืช/โรคพืช---ด้วงแรด (Rhinoceros beetle), ด้วงงวง (Asiatic palm weevil), สัตว์ฟันนแทะกัดกินผล,หอยทากกัดกินดอกและผล/โรคใบจุด, โรคผลเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Sclerotium rolfsii (ราเม็ดผักกาด) รู้จักอ้นตราย---อาจมีอันตรายจากหนามจำนวนมากและแหลมคม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้ที่เก็บรวบรวมตามธรรมชาติมีการบริโภคในท้องถิ่นเนื่องจากรสชาติที่น่าพึงพอใจแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับ Salacca zalacca เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ใช้เป็นไม้ประดับ---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับมากที่สุดในสกุลนี้ เหมาะปลูกลงแปลงกลางแจ้งหรือในที่ร่มรำไรและลมไม่แรงในสวนขนาดใหญ่สามารถใช้ตกแต่งภายในโดยปลูกลงในกระถางหรือในภาชนะขนาดใหญ่ อื่น ๆ---ใบใช้มุงกระท่อม ทำที่พักอาศัยชั่วคราว ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---แยกหน่อ หรือโดยการเพาะเมล็ดสด ที่อุณหภูมิ 26-28 °C โดยมีเวลางอกค่อนข้างนาน ตั้งแต่หลายเดือนถึงหนึ่งปี
|
สกุล Metroxylon (meht-ROKS-ih-lohn)หรือสกุลสาคู มี7สายพันธุ์ ทั้งหมดเป็น เป็นสายพันธุ์ monocarpic (ลำต้นตายหลังจากออกดอกติดผล) เป็นพืช hapaxanthic (ออกดอกครั้งเดียวในวงจรชีวิตหนึ่ง) สาคูต้นอายุ10 ปีขึ้นไปจะออกดอกแล้วตาย มีถิ่นกำเนิดในซามัวตะวันตก นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน โมลุกกะ แคโรลีนและฟิจิ และเพาะปลูกทางทิศตะวันตกของประเทศไทยและแหลมมลายู ในความหลากหลายของแหล่งที่อยู่อาศัย (แสดงในหน้านี้ 2 สายพันธุ์) 1 Metroxylon amicarum ( H.Wendl. ) Hook.f. ปาล์มงาช้าง 2 Metroxylon paulcoxii McClatchey - ซามัว- 3 Metroxylon sagu Rottb -สาคูปาล์ม- นิวกีนี , มาลูกุ 4 Metroxylon salomonense ( Warb. ) Becc.-ปาล์มโซโลมอน -นิวกีนีโมหมู่เกาะโซโลมอน 5 Metroxylon upoluense Becc - ซามัว - 6 Metroxylon vitiense ( H.Wendl. ) Hook.f. -ฟิจิสาคูปาล์ม -วาลลิสและฟุตูนา , ฟิจิ 7 Metroxylon warburgii ( Heimerl ) Becc - นาตาลปุระปาล์ม - หมู่เกาะซานตาครูซ, ซามัว, วานูอาตู
สาคู/ Metroxylon sagu
[meht-ROKS-ih-lohn] [SAH-goo]
Picture---ปาปัวนิวกินี. ภาพถ่ายโดย Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb Picture---ปาปัว อินโดนีเซีย ภาพถ่ายโดย Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb https://www.palmpedia.net/wiki/Metroxylon_sagu
ชื่อวิทยาศาสตร์---Metroxylon sagu Rottb.(1783) ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-126617 ชื่อสามัญ---Sago Palm, True sago palm. ชื่ออื่น---สาคู (ภาคใต้),สากู (มาลายู-ภาคใต้) ;[BURMESE: Tha-gu-bin.];[CHINESE: Xi mi zong.];[FRENCH: Palmier à sagou, Sagoutier.];[GERMAN: Sagopalme.];[INDONESIA: Kersula, Pohon rumbia, Pohon sagu.];[ITALIAN: Palma da sago, sago.];[JAPANESE: Sago yashi.];[ITALIAN: Palma da sago.];[JAVANESE: Ambulung, kersulu.];[KHMER: Chr aè saku.];[LAOS: Tonz.];[MALAYSIA: Rumbia.];[PHILIPPINES: Lumbiya (Tagalog).];[PORTUGUESE: Palmeira.];[SPANISH: Palma sagú.];[SWEDISH: Sagopalm, Taggig sagopalm.];[THAI: Sa khu (Peninsular); Sa-ku (Malay-Peninsular).];[VIETNAM: Sa kuu.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code--- MTRSA (Preferred name: Metroxylon sagu.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย, ปาปัวนิวกินี ,มาเลเซีย (ทั้งคาบสมุทรมาเลเซียและซาราวัก ) ฟิลิปปินส์ ไทย เกาะชวา ,กาลิมันตัน เกาะสุมาตรา โมลุกกุ และหมู่เกาะโซโลมอน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Metroxylon' เป็นการรวมคำในภาษากรีก “μήτρα” (metra) = มดลูก, ครรภ์ และ “ξύλον” (xylon) = ไม้ โดยอ้างอิงจากแป้งที่อยู่ในลำต้น ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'sagu' เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองเรียกแป้งที่อยู่ในลำต้นของพืชนี้ Metroxylon sagu เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christen Friis Rottboell (1727–1797) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2326 - ในสกุล Metroxylon มีเพียง Metroxylon sagu เท่านั้นที่มีทั้ง hapaxanthic หรือ pleonanthic (monocarpic) และ soboliferous (เป็นกลุ่ม) ที่อยู่อาศัย--- มึถิ่นกำเนิดใน นิวกินี และโมลุกกุ เติบโตในพื้นที่ชื้นแฉะบนดินเหนียวที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 700เมตร
Picture---อิเรียนจายา ปาปัว อินโดนีเซีย ภาพถ่ายโดย Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb Picture---Senderwoi ปาปัวตะวันตก อินโดนีเซีย ภาพถ่ายโดย Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb https://www.palmpedia.net/wiki/Metroxylon_sagu
ลักษณะ---ลำต้นเดี่ยวหรือเแตกหน่อ เจริญเป็นกลุ่ม โดยเฉลี่ยมีลำต้น 1-8 ลำต้น ความสูง 6-25 เมตร ทรงต้นคล้ายมะพร้าว มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 35 - 60 ซม.ลำต้นสีน้ำตาลอมเหลือง รอบต้นมีกาบใบห่อหุ้ม ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบ 18 - 20 ใบ แต่ละใบยาวประมาณ 5 - 7 เมตร หรือมากกว่า.ช่อดอกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกสูงและกว้าง 3–7.5 เมตร. ประกอบด้วยก้านที่ต่อเนื่องกันและกิ่งก้านโค้งขึ้นด้านบน (ลำดับแรก) 15–30 กิ่งเรียงเป็นเกลียว สาขาที่หนึ่งแต่ละสาขามีกิ่งก้านสาขาลำดับที่สองที่แข็งกระด้าง 15–25 กิ่ง; สาขาลำดับที่สองแต่ละสาขามีกิ่งก้านสาขาที่สามที่แข็งแกร่ง 10–12 กิ่ง ดอกไม้คู่เรียงเป็นเกลียวบนกิ่งที่สาม โดยแต่ละคู่ประกอบด้วยดอกเพศผู้หนึ่งดอกและดอกกระเทยหนึ่งดอก ติดผลเป็นทะลายเหมือนมะพร้าว ผลมีลักษณะเหมือน drupe ยาว7-11 (-13) ซม.กว้าง 8-9.5 (-12) ซม. ปกคลุมด้วยเกล็ดซึ่งจะเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นเกล็ดสีน้ำตาลแดง 24-28 แถว มีตุ่มนูนเด่นที่ปลายยอดเมื่อสุก มีเมล็ดกลม 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สาคูเป็น ชื่อที่เรียกเพี้ยนมาจากภาษามาเลย์ว่า สากู พบตามริมธารน้ำหรือหนองบึง ชาวพื้นเมืองให้ข้อสังเกตุไว้ว่าพบต้นสาคูที่ไหนที่นั่นจะมีแหล่งน้ำจืด ตั้งถิ่นฐานหมู่บ้านได้ ผิดกับต้นจาก (Nipa fruticans ) พบที่ไหนแสดงว่าเป็นพื้นที่ชายเลน เป็นน้ำกร่อย ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) และความชื้นมากกว่า 70% อุณหภูมิอยู่ในช่วง 25 - 36°C แต่สามารถทนได้ 18 - 40°C พืชสามารถอยู่รอดได้ในอุณหภูมิที่ต่ำถึงประมาณ 10°C เติบโตได้ดีที่สุดในดินเหนียวที่มีปริมาณอินทรียวัตถุสูง ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8.5 ระยะการเจริญเติบโตของพืชกินเวลาอย่างน้อย 8 ปีก่อนที่ต้นไม้จะออกดอก วัฏจักรชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงติดผลประมาณ 10-12 ปี การเติบโตค่อนข้างเร็วมาก ถึง 1.5 เมตร / ปีในสภาพการเพาะปลูกที่ดีที่สุด การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ทนต่อสภาวะที่หลากหลาย ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยน้ำที่เพียงพอ ทนต่อสภาพดินที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมขังได้ อย่างไรก็ตาม ต้นไม้อาจยุบลงและมักไม่ครบวงจรชีวิต และไม่โตเต็มที่ในพื้นที่น้ำท่วมถาวร พืชไม่ทนต่อความแห้งแล้ง (เว้นแต่จะมีน้ำใต้ดินเพียงพอ) การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว การขาดธาตุอาหารรองจะแสดงบนดินที่มีค่า pH สูง ศัตรูพืช/โรคพืช---มึความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---ไม่มีใครรู้จัก ใช้ประโยชน์---ใช้กิน สาคูเป็นพืชอาหารที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติที่มีแป้งอยู่ในลำต้นที่ใช้เป็นอาหารหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นไม้มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์เป็นที่มาหลักของแป้งสาคู เมื่อต้นสาคูมีอายุแก่จัดจนจะออกดอกหรือกำลังออกดอก ชาวบ้านจะตัดลำต้นเอาไส้ใน ที่มีลักษณะเป็นแป้งมาผสมน้ำ แล้วกรองด้วยเครื่องกรอง แป้งนี้มีคุณสมบัติเหนียวแน่นเหนือกว่าแป้งมันสำปะหลัง เรียกรวมไปว่าเม็ดแป้งสาคู แป้งนี้ใช้ในการปรุงอาหารสำหรับพุดดิ้ง, บะหมี่, ขนมปัง ในภูมิภาคเซปิคริเวอร์ของนิวกินีแพนเค้กที่ทำจากสาคูเป็นอาหารหลักมักเสิร์ฟพร้อมปลาสด - ผลสุก รสฝาดกินโดยคนในท้องถิ่น - ตายอด ดิบหรือสุก กินเป็นผัก นิยมนำมานึ่งและรับประทานเป็นเครื่องเคียงกับข้าวหรือใส่ในสตูว์ วนเกษตร---สาคูปลูกในพื้นที่กันชนเป็นวิธีการฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมตัวอย่างเช่น พื้นที่ชายฝั่งทะเลของอินโดนีเซียซึ่งพื้นที่หลายพันเฮคเตอร์ถูกทิ้งร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในดินเปียกรากจะช่วยให้ดินมีเสถียรภาพโดยการดักตะกอน-ต้นอ่อน มีเงี่ยงจำนวนมากทำหน้าที่เป็นกำแพงกั้นที่มีประสิทธิภาพสำหรับปศุสัตว์และผู้บุกรุกที่มีศักยภาพ ใช้ปลูกประดับ---มีความเป็นไปได้ของการนำไปใช้ในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ในเขตร้อนชื้น เนื่องจากพืชมีลักษณะของการตกแต่งและความเร็วในการเจริญเติบโต อื่น ๆ--- ใบใช้เป็นวัสดุมุงหลังคาซึ่งสามารถคงอยู่ได้นานถึงห้าปี - ก้านใบแห้ง (เรียกว่ากาบา - กาบาในภาษาอินโดนีเซีย) ใช้ทำกำแพงและเพดาน มันเบามากและยังใช้ในการก่อสร้างแพ - สารสกัดน้ำตาลเดกซ์โทรสจากแป้งสาคูสามารถนำมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์ได้เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ และไม่มีการระบุถึงภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2018) source: Rahman, W., IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2021. Metroxylon sagu. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T155290240A155290242. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T155290240A155290242.en. เข้าถึงเมื่อ13 มิถุนายน 2566 ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ
|
Solomon Ivory Nut Palm/ Metroxylon salomonens
[meht-ROKS-ih-lohn] [sah-loh-moh-NEN-seh]
Picture 1---French Guiana. Photo by Pierre Olivier Albano. Picture 2---French Guiana. Photo by jpflatres. https://www.palmpedia.net/wiki/Metroxylon_salomonense
ชื่อวิทยาศาสตร์---Metroxylon salomonense (Warb.) Becc.(1913 publ. 1914) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668246-1#synonyms ---Basionym: Coelococcus salomonensis Warb. (1896) https://www.gbif.org/species/2733778 ---Metroxylon bougainvillense Becc. (1914) ชื่อสามัญ---Solomon's sago palm, Solomon Ivory Nut Palm, Hebe-nut palm, Ivory-nut palm ชื่ออื่น---[GERMAN: Salomonen-Elfenbeinnuss.];[PORTUGUESE: Palmeira-de-salomão];[SPANISH: Palma de Salomon]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---MTRSL (Preferred name: Metroxylon salomonense.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี, หมู่เกาะโซโลมอนไปยังวานูอาตู นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุลคือการรวมกันของคำภาษากรีก "metra" = มดลูก และ "xylon" = ไม้ อ้างอิงถึงแป้ง (สาคู) ที่มีอยู่ในลำต้นของมัน; ชื่อละตินของสปีชีส์ 'salomonense' บ่งบอกถึงหนึ่งในสถานที่กำเนิด: หมู่เกาะโซโลมอน Metroxylon salomonense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Gerhard Walpers (1816–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2457 - เป็นสายพันธุ์ Hapaxanthic ( monocarpic ) ออกดอกออกผลครั้งเดียวแล้วตาย ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ (Bismarck Archipelago, Eastern New Guinea, Santa Cruz Islands, Solomon Islands และ Vanuatu) เติบโตตามป่าที่ลุ่มและหนองน้ำจืดมักอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเล พบได้ในระดับความสูงจากน้ำทะเลไม่เกิน 700 เมตร
Picture---RIUM, WP Wilayah Persekutuan, Malaysia. Photo by Ahmad Fuad Morad.https://www.palmpedia.net/wiki/Metroxylon_salomonense
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่มีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างรวดเร็วสูงกว่า 25 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 25 - 55 ซม ลำต้นสีเทาอมน้ำตาล มีรอยแหวนที่เป็นแผลเป็นจากร่องรอยระยะห่างทางแยกของใบ ทางใบยาว 8-11 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มีใบรูปโค้งตั้งตรงปลายยอด ยาวกว่า 1.5 เมตร กว้าง 10-18 ซม.โคนใบและก้านใบมีหนามสีเหลืองอ่อน ช่อดอกออกที่ปลายยอด (Interfoliar) ยาว 4 เมตร เป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ติดผลจำนวนมาก ผลยาว 5.5-6.5 ซม. กว้าง 7-9 ซม. มีเกล็ดสีเหลือง 24-27 แถวมีลักษณะคล้ายเกล็ดงูสีเขียวเหลือง เมื่อสุกสีเหลืองอมน้ำตาล มี1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในเขตภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนเล็กน้อย (USDA hardiness zones: 11-12) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) เติบโตได้ในดินทุกสภาพ ทนน้ำท่วมขังได้ดี ค่า pH ในช่วงที่หลากหลายตั้งแต่ 4 - 7.4 โดยมีอุณหภูมิที่ไม่ควรต่ำกว่า +10 °C หากไม่บ่อยนักและ ในช่วงเวลาสั้น ๆ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ทนต่อสภาวะที่หลากหลาย ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกและสม่ำเสมอ ดูเหมือนว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วด้วยน้ำที่เพียงพอ ทนต่อสภาพดินที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมขังได้ อย่างไรก็ตาม ต้นไม้อาจยุบลงและมักไม่ครบวงจรชีวิต และไม่โตเต็มที่ในพื้นที่น้ำท่วมถาวร พืชไม่ทนต่อความแห้งแล้ง (เว้นแต่จะมีน้ำใต้ดินเพียงพอ) การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว การขาดธาตุอาหารรองจะแสดงบนดินที่มีค่า pH สูง ศัตรูพืช/โรคพืช---มึความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---ปาล์มอายุน้อยจะมีหนามจำนวนมาก ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์--- มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นของชาวพื้นเมืองโดยใช้เป็น อาหาร ยารักษาโรค และวัสดุอื่น ๆ มากมาย ใช้กิน---ตายอดหรือหัวใจปาล์ม กินดิบเป็นผักหรือปรุงด้วยอาหารอื่น ๆ มักจะอยู่ในแกง มีจำหน่ายในตลาดท้องถิ่น เมล็ดอ่อนกินได้ แป้งที่ได้จากลำต้น (แป้งสาคู) วนเกษตรใช้---เมื่ออยู่ในดินเปียก รากจะช่วยให้ดินมีเสถียรภาพโดยการดักจับตะกอน ปาล์มอายุน้อยจะมีหนามจำนวนมากใช้ทำรั้วที่มีประสิทธิภาพสำหรับปศุสัตว์และผู้บุกรุก ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ใช้จัดสวน แม้จะมีลักษณะเป็นไม้ประดับ แต่ก็ไม่ค่อยถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงระยะเวลาที่ลดลงและขนาดที่สง่างามที่อาจเข้าถึงได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาในการกำจัดทิ้ง นอกโซนต้นกำเนิด พบปลูกในสวนพฤกษศาสตร์และในคอลเล็กชั่นของนักสะสมผู้ที่รักปาล๋มเท่านั้น อื่น ๆ---ใบและก้านใบมีการใช้งานที่หลากหลาย ใบใหญ่ถูกใช้โดยประชากรในท้องถิ่นเป็นที่อยู่อาศัยของบ้านแบบดั้งเดิม ใช้มุงผลังคา อายุการใช้งาน 5 ปี ไม้ (เปลือกนอก) ของลำต้นถูกใช้เป็นพื้นและปูกระดานสำหรับการข้ามลำธารสั้นหรือพื้นที่แอ่งน้ำ เป็นผลพลอยได้จากการสกัดแป้ง ไม้ยังถูกใช้เป็นบ้านจันทันและเป็นวัสดุผนังแม้ว่านี่จะเป็นการใช้งานไม่บ่อยนัก เปลือกไม้สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิง - เมล็ดที่มีขนาดใหญ่และแข็งมากเหมือนงาช้างถูกนำมาใช้เพื่อทำสิ่งของจำพวกแกะสลัก เมล็ดแข็งจะถูกส่งออกไปยังอลาสกาซึ่งชาวเอสกิโมแกะสลักไว้ในที่ ที่ทำจากงาช้างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน (32-38 degrees C.) ปลูกจากเมล็ดใช้เวลา 12 - 15 ปีกว่าจะออกดอกเต็มที่
|
หมากเขียวกาบแดง/ Ptychosperma lineare
[tee-koh-SPEHR-mah] [lihn-eh-AH-reh]
Picture---Photo-southeastgrowers.com.https://www.palmpedia.net/wiki/Ptychosperma_lineare
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ptychosperma lineare (Burret) Burret (1935) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669404-1#synonyms ---Actinophloeus linearis Burret.(1931) ชื่อสามัญ--- Lineare Palm Tree ชื่ออื่น---หมากเขียวกาบแดง (ทั่วไป) ;[THAI: mak kheaw kap daeng.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---PPMSS (Preferred name: Ptychosperma sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน และมาลุกุทางตะวันออกของอินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของพืชสกุล 'Ptychosperma' เป็นการรวมคำในภาษากรีกว่า “πτυχή” (ptyché) = รอยพับ และ “σπέρμα” (sperma) = สเปิร์ม (เมล็ด) โดยอ้างอิงจากร่องบนเมล็ด ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'lineare' ความหมาย = Linear หรือ lined Ptychosperma lineare เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCarl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2478
Picture---India. Photo by Dr. Chandni Rawat.https://www.palmpedia.net/wiki/Ptychosperma_lineare
ที่อยู่อาศัย---ปาล์มเขตร้อนสายพันธุ์จากป่าฝนที่ราบลุ่มในปาปัวนิวกินี ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอออกจากจุดเดียวเป็นกลุ่ม บางครั้งอาจเป็นต้นเดียว ลำต้นสูงและเรียวเล็ก สูงได้ถึง3-5เมตร ลำต้นบางแน่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น2.5-10ซม. ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) ทางใบยาว1-1.5ซม. ใบย่อยเล็กเรียวยาว สีเขียวเข้ม ลักษณะคล้ายคลึงหมากเขียว แตกต่างกันที่ หมากเขียวกาบแดงจะ มีกาบใบสีม่วงแดง ช่อดอกแตกแขนงออกเป็นช่อหลายช่ออยู่ใต้ใบ (Infrafoliar) ผลไม้เนื้อดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศร้อนชื้นได้หลากหลาย (USDA hardiness zones: 10B - 11) ปลูกได้ทั้งกลางแจ้งแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงต่อเนื่องในช่วงเช้าหรือบ่าย) ต้องการความชื้นในบรรยากาศสูง ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินอินทรีย์ ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วน ยกเว้นดินที่เปียกแฉะตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม มันสามารถปรับเปลี่ยนได้รวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อยที่มีการระบายน้ำดีมีความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก เล็มหรือเอาหน่อฐานเล็กๆ ออก หากมีมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปลูกในภาชนะเพื่อลดความแออัดและปรับปรุงการเติมอากาศ จากนั้นสามารถใช้หน่อเหล่านี้เพื่อขยายพันธุ์เป็นพืชใหม่ได้ การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ (Spider mites) และ แมลงเกล็ด (Scale insects)/ ไม่ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing (LY).] อาจต้องมีการใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันสีเหลืองที่เกิดจากการขาดแมกนีเซียม (Mg) และ โพแทสเซียม (K) รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นต้นปาล์มเขตร้อนที่สวยงามมากใช้งานง่ายและเติบโตเร็ว ยอดเยี่ยมสำหรับภูมิทัศน์เขตร้อน สามารถปลูกในภาชนะได้หากไม่มีพื้นที่สวน ปลูกในกระถาง สำหรับประดับในร่มหรือเพิ่มความน่าสนใจที่นอกชาน ดาดฟ้า ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่สาธารณะอื่นๆ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ แยกกอ (ยาก)
|
หมากงาช้างยักษ์/ Pinanga malaiana
[pih-NAHN-gah] [mah-lah-ee-AHN-ah]
Picture 1---Floribunda Palms, Hawaii. Photo by Geoff Stein Picture 2---RIUM, WP Kuala Lumpur, Malaysia. Photo by Ahmad Fuad Morad https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_malaiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga malaiana (Mart.) Scheff.(1872) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Seaforthia malaiana Mart.(1838). https://www.gbif.org/species/2739548 ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669103-1#synonyms ชื่อสามัญ---Malaya Sealing Wax Palm, Malay pinanga palm, Malayan-abiki. ชื่ออื่น---หมากงาช้างยักษ์ หมากบาลา (ทั่วไป) ;[CHINESE: Ma lai shan bing lang.];[FRENCH: Palmier pinanga de Malaisie.];[INDONESIA: Pinang keho, Pinang kera, Uraiurai.];[MALAYSIA: Kurdoo, Legong, Pinang boreng, Pinang dampong, Pinang hutan, Pinang kambong, Pinang legong, Pinang limau, Pinang puteri, Pinang sembawa, (Malay).];[THAI: Mak nga chang yak; Mak ba la (General).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---ZPIMA (Preferred name: Pinanga malaiana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาลายา (บอร์เนียว) สุมาตรา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้;ชื่อของสายพันธุ์ 'malaiana' มาจากแหล่งกำเนิด Pinanga malaiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer ( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย---พบในป่าฝนบนคาบสมุทรมลายา (บอร์เนียว) สุมาตราและประเทศไทย ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 200- 800 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดกลาง หน่อแตกจากลำต้น ที่ทอดเลื้อยไปใต้ดินแล้วแตกขึ้น มีหลายลำต้นเขึ้นเป็นกลุ่ม ลำต้นรียวสีเขียวเทาอมฟ้า สูง 6-7 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-6 ซม.ลำต้นสีเขียวเข้ม หน่อแตกห่างจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปใต้ดินแล้วตั้งขึ้น คอใบมีสีม่วงถึงสีเขียวมะกอก กาบใบสีเหลือง ยาวประมาณ 1 เมตร แกนกลางใบและก้านใบสีเหลือง ยาว 1.5-2.0 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียว (pinnate) สีเขียว ใบย่อยมีประมาณ 24 คู่ ช่อดอกออกใต้ใบ (Infrafoliar) ตรงบริเวณข้อต้น ห้อยลง ดอกออกเป็นช่อแบบแยกแขนงสีชมพูสดใส มีช่อย่อยแบน 2-5 กิ่งยาวประมาณ 20- 30 ซม.ดอกออกเรียงเป็นสามลักษณะ เกิดจากดอกเพศผู้ 2 ดอก และดอกเพศเมีย 1 ดอก สีเหลือง/ครีม ผลไม้จะเรียงอย่างสม่ำเสมอบนก้านสาขาเป็นสองแถวชิดกันมาก ออกลูกเป็นวงรีปลายแหลม แรกเป็นสีเขียว ต่อมาเป็นสีแดง สุดท้ายเป็นสีดำเมื่อสุก มีความยาวสูงสุด 2.5 ซม. และกว้างสูงสุด 1.2 ซม. ผลไม้มีเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นสายพันธุ์เขตร้อนและสามารถปลูกได้ในสภาพอากาศที่อุณหภูมิไม่ถึง 0 °C หากไม่เกิดขึ้นบ่อยนักและในช่วงเวลาสั้นๆ (USDA Zones 10 – 11) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดรำไรหรือมีร่มเงากำบังบางส่วน (ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง) ต้องการความชื้นในบรรยากาศมากและไม่ชอบลม โดยเฉพาะที่แห้งแล้งซึ่งอาจทำให้พืชขาดน้ำและตายได้ ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีความชื้นอยู่เสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระบายน้ำได้อย่างสมบูรณ์ อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ชอบรดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท หลีกเลี่ยงน้ำขังที่จะทำให้เกิดรากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing (LY).] รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ความสวยงามเมื่ออกดอกสีชมพูสด และมีเสน่ห์เป็นพิเศษเมื่อติดผล ด้วยก้านสีแดงสดและผลสีดำ ที่สามารถสร้างจุดเด่นในสวน เนื่องจากลักษณะเหล่านี้จึงเป็นที่ต้องการของนักสะสมเป็นอย่างมาก แต่จริง ๆ ยังไม่แพร่หลายและหายากในการเพาะปลูก แต่สามารถชื่นชมได้ในสวนพฤกษศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-กรกฏาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดงอกใน 1/3 เดือน วางไว้ในดินร่วนที่อุดมด้วยสารอินทรีย์ที่อุณหภูมิอบอุ่น 26/28 °C หรือแยกต้นอ่อนที่เกิดใหม่
|
หมากเจ/Iguanura polymorpha
[ig-oo-ah-NOOR-ah] [poh-lih-MORF-ah]
Picture---Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. http://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_polymorpha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura polymorpha Becc.(1886) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667569-1#synonyms ---Iguanura arakudensis Furtado.(1934) ---Iguanura brevipes Hook.f.(1892) ---Iguanura ferruginea Ridl.(1903) ---Iguanura polymorpha var. canina Becc.(1889) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หมากเจ (นครศรีธรรมราช), หมากข้าวสาร (นราธิวาส), หมากงาช้าง (ภาคกลาง) ;[CHINESE: Duo xing lie xi zong.];[THAI: Mak che (Nakhon Sri Thammarat); Mak khao san (Narathiwat); Mak nga chang (Central).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---IGUPO (Preferred name: Iguanura polymorpha.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Iguanura' มาจากการรวมกันของชื่อของสัตว์เลื้อยคลาน "Iguana" กับคำภาษากรีก "uros" = หาง โดยมีการอ้างอิงถึงความคล้ายคลึงกันของช่อดอกของบางสปีชีส์ในสกุล ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'polymorpha' หมายถึงตัวแปรหรือหลายรูปแบบ Iguanura polymorpha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)สกุลหมากตอก (Iguanura)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนแหลมมลายูและประเทศไทย พบตามบริเวณที่มีความชื้นค่อนข้างสูง ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ (caespitose) ขนาดเล็ก น้อยที่จะมีเป็นต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นขนาด 4-6 ซม.กาบใบล่างหุ้มยอดเห็นส่วนของคอชัดเจน ก้านใบยาว15-30 ซม.แกนกลางใบยาว 50-100 ซม.ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) มี 3 คู่ ไม่มีการแบ่งแยกใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลามีรอยหยักเล็กน้อยและมีรอยบาก ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ช่อดอกออกใต้โคนกาบใบ (Infrafoliar) ดอกสีเหลืองอมเขียว ออกแบบช่อแยกแขนง ยาวประมาณ 20-40 ซม.แตกออกเป็นหางหนู 3-6 เส้น ผลเจริญด้านเดียวติดเรียงกันเป็นแถวรีโค้งงอ ปลายแหลม ยาว 1.5-2 ซม.ผลอ่อนมีสีชมพู อมขาว เมื่อสุกสีม่วงอมดำมีเมล็ดเล็กจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardines Zone: 10b) ต้องการตำแหน่งที่ร่มรื่นและชื้น (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) ตำแหน่งที่มีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ โดยทั่วไปแล้วการรักษาเช่นเดียวกับ Pinanga การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ในป่าอิกัวนูราเก็บใบไม้ที่ตายแล้วไว้บนลำต้นเป็นเวลานาน ทำให้ดูไม่เป็นระเบียบ ให้นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับจัดสวนในที่ร่มรำไรหรือปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดจะงอกภายในไม่กี่สัปดาห์ ต้นกล้าเติบโตค่อนข้างเร็วและควรมีใบสามหรือสี่ใบภายในหกเดือนหลังจากงอก
|
หมากเจบาลา/ Pinanga simplicifrons
[pih-NAHN-gah] [sihm-PLIHS-ih-frohns]
Picture 1---Rediscovery in Singapore of Pinanga simplicifrons. Photo by Dr. Wee Foong Ang. Picture 2---Pasoh, Negeri Sembilan, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_simplicifrons
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga simplicifrons (Miq.) Becc.(1886) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669453-1 ---Basionym: Ptychosperma simplicifrons Miq.(1861).See https://www.gbif.org/species/2739412 ชื่อสามัญ---None.(Not recorded) ชื่ออื่น---หมากเจบาลา, เจหางปลาใบเดียว (ทั่วไป) ; [MALAYSIA: Pinang (Malay).];[THAI: Mak che bala, Mak che hang pla bai deaw (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เกาะบอร์เนียว มาลายา สุมาตรา และประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้; ชื่อของสปีชีส์คือคำภาษาละติน "simplicifrons" = ใบที่เรียบง่าย Pinanga simplicifrons เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFriedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429 มีสองสายพันธุ์ย่อย (Varieties) :- ---Pinanga simplicifrons var 'simplicifrons' : พบได้ในเกาะบอร์เนียวมาลายาสุมาตราและประเทศไทย ---Pinanga simplicifrons var. 'pinnata' : พบเฉพาะในมาลายา
Picture 1---Photo by Banckong.https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_simplicifrons Picture 2---The thin strap leaf form of Pinanga simplicifrons. Photo by Clayton York, Utopia Palms & Cycads https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_simplicifrons
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรประเทศมาเลเซียและกระจายพันธุ์ในป่าที่ราบต่ำ ในป่าดิบชื้น มักจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำหรือป่าพรุน้ำจืดเป็นระยะ ในรัฐกลันตัน, ตรังกานู เปรัค และสิงคโปร์ ในประเทศไทยพบทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะ--- เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก สูงประมาณ1-1.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.8–1.5 ซม. สีน้ำตาล.กาบใบยาว 10-20 ซม.สีน้ำตาลแกมเขียวมักแห้งติดคาต้น ก้านใบยาว 10-30 ซม.ใบ pinnate หรือไม่แบ่ง ยาว 35 ซม.สีเขียวเข้ม รูปขอบขนานปลายใบแยกเป็นหางปลา มีใบย่อย 2-4 คู่ ใบย่อยคู่ปลายติดเป็นรูปหางปลา (Bifid) ช่อดอกห้อยย้อยปกคลุมด้วยใบย่อยแบบถาวร ยาว 5-5.7 ซม.ออกตรงซอกใบ (Axillary) โดยแตกออกทางกาบใบแห้ง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ดอกเพศผู้ยาว 7-8 มม.ไม่มีก้านดอก กลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วย 3 แฉก สูงประมาณ 2 มม กลีบดอกยาว 6–7 มม.รูปสามเหลี่ยมแคบ ๆ เกสรเพศผู้ประมาณ 11 อัน ดอกเพศเมียยาวประมาณ 2.5 มม. กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 2 มม. ปลายมน โคนมน กลีบดอกยาวประมาณ 2 มม. ดอกสีขาวครีม ติดผลน้อยมาก เป็นผลมีเนื้อรูปไข่ มักโค้ง ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง ขนาด 1-1.3 x 1.8-2 ซม.มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อนที่อบอุ่น (Cold Hardiness Zone: 10b) เจริญเติบโตได้ดีในร่มเงา (Full Shade คือแสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือแสงแดดบางส่วน (Part Sunคือแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) อุณหภูมิที่เหมาะสมไม่ควรต่ำกว่า 14-16 °C ต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ มีสภาพเป็นกรดเล็กน้อยหรือเป็นกลาง ระบายน้ำได้อย่างสมบูรณ์และคงความชื้นตลอดเวลา อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ชอบรดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท หลีกเลี่ยงน้ำขังที่จะทำให้เกิดรากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับเป็นปาล์มประดับในร่ม ใช้ตกแต่งหรือใช้ทั่วไป ในสวนสาธารณะ สวนหย่อมและสวนขนาดเล็ก นอกจากนี้ยังสามารถปลูกในกระถางเพื่อการตกแต่งภายในที่แสงส่องสว่างได้ สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พื้นเมืองของสิงคโปร์ (ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต (CR) ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ
|
หมากแจ้/Pinanga polymorpha
[pih-NAHN-gah] [pohl-ee-MOHR-fah]
Picture 1---Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia.https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_polymorpha Picture 2---Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 3---Thailand. Photo by Philippe Alvarez. https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_polymorpha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga polymorpha Becc. (1888) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/669128-1#synonyms ---Pinanga robusta Becc.(1892) ---Pinanga wrayi Furtado.(1934) ชื่อสามัญ---None.(Not recorded) ชื่ออื่น---หมากแจ้ (ภาคใต้), เจสามหาง, หมากเจ (ทั่วไป) ; [THAI: Mak chae (Peninsular); Che sam hang, Mak che (General).]; [CHINESE: Duo xing shan bing lang.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้; ชื่อของสปีชีส์คือคำภาษาละติน "polymorpha" = หมายถึงตัวแปรหรือหลายรูปแบบ Pinanga polymorpha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2431 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในป่าดิบเขาในประเทศมาเลเซียและประเทศไทย ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก ลำต้นสีเหลือง มักมีรากค้ำยัน สูงประมาณ 0.8-1.8 เมตรขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2-2.5 ซม.ก้านมงกุฎสีสดใส (สีเหลืองมีขนสีน้ำตาลแดง) กาบใบ ก้านใบ แกนกลางใบมีขนละเอียดสีน้ำตาลแดงปกคลุม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มีใบย่อยมีขนาดรูปร่างต่างกัน มีใบเพียงสองถึงสามใบต่อด้าน ใบย่อยยาว 35 ซม.กว้าง 0.5-1ซม. ปลายใบรูปหางปลาเว้าลึก หลังใบสีเขียวเข้มมีจุดสีเหลือง ท้องใบเคลือบขี้ผึ้งสีเทาเงิน ปลายใบคู่สุดท้ายหยักเป็นซี่ ช่อดอกยาว 5-5.7 ซม.ออกตรงคอยอดโดยแตกจากกลางใบแห้ง ดอกสีขาวครีม ผลติดน้อยมาก ผลอ่อนสีเขียว สุกสีแดง ขนาด 1-1.3 x 1.8-2 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) เจริญเติบโตได้ดีในร่มเงา (Full Shade คือแสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือแสงแดดบางส่วน (Part Sun คือแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรีย์วัตถุ ชื้น สามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อยและมีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ชอบรดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท หลีกเลี่ยงน้ำขังที่จะทำให้เกิดรากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบแห้งออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นพันธุ์ไม้แคระที่มีความสวยงามเป็นพิเศษใช้ปลูกประดับเป็นไม้กระถางที่น่าสนใจมาก ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ (เมล็ดสดมีอัตราการงอกสูง)
|
หมากซี่หวี/Areca tunku
[ah-REHK-ah] [TOON-koo]
Picture 1---Hawaii. Photo by BGL Picture 2---Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Areca_tunku
ชื่อวิทยาศาสตร์---Areca tunku J.Dransf & C.K.Lim.(1992) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/961144-1#synonyms ---Areca bifaria Hodel.(1997) ชื่อสามัญ---None.(Not recorded) ชื่ออื่น---หมากซี่หวี (ทั่วไป) ; [THAI: Mak siwi (General).]; [INDONESIA: Pinang tunku.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ARMSS (Preferred name: Areca sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย สุมาตรา มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Areca'คือภาษาละตินของชื่อท้องถิ่นของสายพันธุ์อินเดียที่อยู่ในสกุล ;ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tunku' = เจ้าชายมาเลย์ Areca tunku เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Dransfield (born 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2535
Picture 1---Gunung Lawit, Trengganu, Malaysia ภาพถ่ายโดย Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb Picture 2---ประเทศไทย. ภาพโดย ดร.ปิยะเกษตร สุขสถาน.https://www.palmpedia.net/wiki/Areca_tunku
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมาเลเซียและสุมาตรา พบตามป่าฝนป่าดิบเขาที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล 300- 800 เมตร ในประเทศไทยพบที่ จังหวัดนราธิวาส. ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็ก สูงประมาณ 3-4 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-6 ซม. มีรากค้ำจุนพยุงลำต้น กาบใบยาว 45 ซม.ห่อหุ้มคอยอด ก้านใบสั้นมากหรือหายไปที่ฐานของใบ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ยาว2-2.5 เมตร สีเขียวเข้ม จัดเรียงกันอย่างสม่ำเสมอ มี 10-16 คู่ (ในรูปยังไม่โตเต็มที่) ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) ช่อดอกตั้งขึ้นสีแดงอมชมพูแตกกระจายอยู่ในระนาบเดียวเป็นรูปพัด ช่อดอกยาวประมาณ 15 ซม.ดอกเพศเมียมีขนาดใหญ่สีเขียวและขาวตัดกัน ดอกเพศผู้จับคู่หรือเดี่ยว มีเกสรเพศผู้ 6 อัน ผลรูปไข่หรือรูปไข่กลับ ขนาดยาว 4.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 3 ซม.ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเขียวอมม่วงถึงสีน้ำตาล ติดผลเฉพาะโคนก้านช่อ เมล็ดขนาด 2.5 x 1.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ในร่มเงา (Full Shade คือแสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือแสงแดดบางส่วน (Part Sun คือแสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ชอบดินชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโต ปานกลาง การบำรุงรักษาต่ำ การรดน้ำ---ชอบรดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท หลีกเลี่ยงน้ำขังที่จะทำให้เกิดรากเน่าได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบแห้งออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---None.(Not recorded) สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---ปาล์มหายากที่อาจเสี่ยงต่อการถูกรบกวนจากป่าโดยเฉพาะ ระยะออกดอก---ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เดือนกรกฎาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ
|
หมากดำ/ Hydriastele wendlandiana
[high-dree-Ah-STEL-eh] [wend-land'-ee-AHN-ah]
Picture 1---Singapore Botanic Gardens. Photo by Michael.https://www.palmpedia.net/wiki/Hydriastele_microspadix Picture 2---Hawaii. Photo by Mike Lock.https://www.palmpedia.net/wiki/Hydriastele_microspadix
ชื่อวิทยาศาสตร์---Hydriastele wendlandiana (F.Muell.) H.Wendl. & Drude.(1875) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms. ---Basionym: Kentia microspadix Warb. ex K.Schum. & Lauterb.(1900) ---Hydriastele microspadix (Warb. ex K.Schum. & Lauterb.) Burret.(1937) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667446-1#synonyms ชื่อสามัญ---Wendland's palm, Florence Falls palm, Latrum Palm, Cat-o'-Nine Tails, Creek Palm. ชื่ออื่น---หมากดำ (ทั่วไป) ; [THAI: Mak dam (General.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE EPPO code---HZDSS (Preferred name: Hydriastele sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปออสเตรเลีย เขตกระจายพันธุ์---ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เมลานีเซีย โพลินีเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Hydriastele' มาจากคำภาษากรีกหมายถึง Hydrias = นางไม้น้ำ, stele = คอลัมน์หรือเสา บางทีอาจหมายถึงลำต้นเรียวยาวของเผ่าพันธุ์ที่เติบโตใกล้น้ำ ; ชื่อสปีชีส์ 'wendlandiana' ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน Hermann Wendland (1825–1903) Hydriastele wendlandiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Ferdinand Jacob Heinrich von Mueller (1825-1896) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันออสเตรเลียในชื่อ Kentia wendlandiana ในปี 1870 และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน และ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2418 ผู้สร้างสกุล Hydriastle ในวารสาร Linnaea ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในออสตราเลเซีย พบได้ทั่วนิวกินีและหมู่เกาะ Aruและทางตอนเหนือสุดของ Northern Territory (จากเกาะ Bathurst เกาะ Melville และเกาะ Croker ข้าม Top End ถึง Groote Eylandt ในอ่าว Carpentaria) และจากนั้นไปยังควีนส์แลนด์ จากคาบสมุทรเคปยอร์คลงมาทางชายฝั่งตะวันออกจนถึงชายหาดมิชชันซึ่งเติบโตบนดินประเภทต่างๆ ในป่าดิบชื้นป่ามรสุมและป่าพรุมักขึ้นในหรือใกล้กับหนองน้ำ ที่ระดับความสูง 0-1,000 เมตร ลักษณะ---ปาล์มขนาดเล็กถึงปานกลางขึ้นเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม ไม่มีหนาม แตกกอมากถึง 10 ลำต้น แต่ละต้นสูงได้ถึง 17 เมตรและมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 12 ซม. ลำต้นผอมมีสีดำเรื่อ ๆมีรอยใบเป็นวงเห็นได้ชัดเจน คอยาวสีเขียวคล้ำ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ใบเรียงไม่สม่ำเสมอ 12-30 ใบแต่ละใบยาวประมาณ 1 - 2.5 เมตร รวมก้านใบ ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอกออกที่ใต้ใบ (Infrafoliar) ออกเป็นช่อ 1-4 ช่อ มักคล้ายหางม้า ดแกเพศผู้มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ เกสรเพศผู้ 6-24 อัน ก้านเกสรสั้นมาก ดอกเพศเมียทรงกลม มีขนาดเล็กกว่าดอกเพศผู้ กลีบเลี้ยง 3 กลีบ ชัดเจน กลมหรือสามเหลี่ยม กว้าง เชื่อมติดกันเป็นวงแหวน มี 3 พู กลีบดอก 3 กลีบ ผลกลมรีถึงทรงรีหรือทรงกระบอก ตรงหรือโค้ง สีขาวอมเหลือง ขนาด 1 ซม.เมื่อสุกสีแดงสดจนถึงสีม่วงดำ เมล็ดรูปทรงกลมถึงรูปไข่ขนาด 5–7 × 5–6.2 มม.เอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10a) ตำแหน่งแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือปลูกในที่มีแสงแดดรำไรและความชื้นในอากาศค่อนข้างสูงจึงจะเจริญงอกงามดี อัตราการเจริญเติบโตช้าแต่ไม่สม่ำเสมอ การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบแห้งออกเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารและวัตถุดิบในท้องถิ่น นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้กิน---ยอดอ่อน หัวใจปาล์ม (แกนในและตาที่กำลังเติบโตของพืช) ใช้กินเป็นผัก กินดิบๆ หรือปรุงสุกก็ได้ อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร (การเก็บเกี่ยวหัวใจปาล์มจะทำให้ลำต้นที่เก็บเกี่ยวตาย แต่ในพืชหลายลำต้นเช่นนี้ ต้นที่เหลือจะยังคงเติบโตและมักจะสร้างลำต้นใหม่) ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ช่วงความสวยงาม1.5-2เมตร สามารถเคลื่อนย้ายได้หากจำเป็น พืชที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่สามารถย้ายได้ดี พืชกระถางในอาคาร ควรป้องกันจากเครื่องปรับอากาศและพัดลม อื่น ๆ---มีการบันทึกการใช้ไม้ชนิดนี้หลายชนิดจากประเทศนิวกินี ซึ่งใช้ปูพื้น มุงหลังคา วัสดุก่อสร้างเตียง ลูกธนู หอกและฉมวก ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมาก มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันไม่พบภัยคุกคามที่สำคัญใดๆ อย่างไรก็ตาม พืชชนิดนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่คนในท้องถิ่น และคาดว่าการตัดไม้ทำลายป่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ขนาดใหญ่ทั่วเกาะนิวกินี ซึ่งอาจคุกคามประชากรย่อยของพืชชนิดนี้ในอนาคต สายพันธุ์นี้จึงได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.(2019) source: Petoe, P., Cámara-Leret, R. & Baker, W.J. 2019. Hydriastele wendlandiana. The IUCN Red List of Threatened Species 2019: e.T151358005A151358675. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2019-3.RLTS.T151358005A151358675.en. เข้าถึงเมื่อ14 มิถุนายน 2566 . ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ดพันธุ์ แยกต้นอ่อน การเพาะเมล็ดสดแช่ไว้ล่วงหน้าหนึ่งสัปดาห์ก่อนแกะเนื้อออกและปลูกในถาดตื้น ใช้เวลาในการงอก 6- 12 เดือน
|
หมากตอกถลาง/ Iguanura thalangensis
[ig-oo-ah-NOOR-ah] [tha -lạng- GHEN - sis]
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Iguanura thalangensis C.K.Lim.(1998) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1001720-1 ชื่อสามัญ---None.(Not recorded) ; Vernacular name remarks: Mak tok talang (หมากตอกถลาง) (Peninsular) ชื่ออื่น---หมากตอกถลาง (ทั่วไป); [THAI: Mak tok thalang (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE EPPO code---IGUSS (Preferred name: Iguanura sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Iguanura' มาจากการรวมกันของชื่อของสัตว์เลื้อยคลาน "Iguana" กับคำภาษากรีก "uros" = หาง โดยมีการอ้างอิงถึงความคล้ายคลึงกันของช่อดอกของบางสปีชีส์ในสกุล ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'thalangensis' หมายถึง ของอำเภอ ถลาง จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยถิ่นที่พบครั้งแรก Iguanura thalangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลIguanura (สกุลหมากตอก) เป็นสกุลของพืชดอกในวงศ์ปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2541 ที่อยู่อาศัย---หมากตอกถลางเป็นปาล์มถิ่นเดียว (endemic) ของไทย พบครั้งแรกที่อำเภอ ถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อปีพ.ศ. 2538 ที่ระดับความสูง 50 เมตรขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ เป็นไม้พื้นล่างของป่า เฉพาะในจังหวัด ชุมพร ภูเก็ต พังงา กระบี่ ตรัง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 200 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มลำเดี่ยวขนาดเล็กสูงได้ถึง 2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5–2 ซม.ลำต้นสีน้ำตาล ทางใบ ยาว 65 ซม.มีใบ 9-10 ใบต่อต้น ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ปลายแหลม แผ่กระจาย ใบย่อย 4-6 คู่ ขนาด 18–25 x 0.5–10 ซม รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ด้านข้างไม่ขนานกัน เรียงไม่เป็นระเบียบใบย่อยคู่สุดท้ายกว้างสุด ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (monoecious) ช่อดอกตามซอกใบ (Interfoliar) ตั้งแต่ 2 ช่อขึ้นไปต่อก้านยาวถึง 45 ซม. ก้านช่อดอกยาวถึง 20 ซม. ก้านดอกย่อย 1–2(–4) ยาว 30 ซม.ก้านดอกยาว 3 ซม. ผลรูปไข่สีขาวอมชมพูถึงแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardines Zone: 10b) ต้องการตำแหน่งที่ร่มรื่นและชื้น (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) ตำแหน่งที่มีร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ โดยทั่วไปแล้วการรักษาเช่นเดียวกับ Pinanga การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---ในป่าอิกัวนูราเก็บใบไม้ที่ตายแล้วไว้บนลำต้นเป็นเวลานาน ทำให้ดูไม่เป็นระเบียบ ให้นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับภายใน สามารถปลูกอยู่ในกระถางได้นาน อยู่ในห้องปรับอากาศได้ดี สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---แม้ว่าจะหายากในท้องถิ่น แต่สายพันธุ์นี้ค่อนข้างแพร่หลายและน่าจะได้รับการพิจารณาว่ามีความกังวลในระดับปานกลาง ในจังหวัดภูเก็ตเกิดขึ้นภายในอุทยานแห่งชาติเขาพระแทวซึ่งสันนิษฐานว่าได้รับการคุ้มครองแม้ว่าการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยอาจคุกคามในพื้นที่อื่น ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
หมากตอกใบใหญ่/ Iguanura wallichiana
[ig-oo-ah-NOOR-ah] [wahl-lihk-ee-AHN-ah]
Picture 1---Rimba Ilmu, Malaysia.Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 2---Singapore Botanic Gardens. Photo by Dr. N. Parks. https://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_wallichiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura wallichiana (Mart.) Benth. & Hook f.ex Becc.(1886) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60458953-2#synonyms ---Areca wallichiana Mart.(1838) ชื่อสามัญ---Guana palm, Tronok, Pinang Burung. ชื่ออื่น---หมากตอกใบใหญ่, หมากปิแน (ภาคใต้), เมร็ง(ตรัง) ; [THAI: Mak tok bai yai, Mak pi nae (Peninsular); Mareng (Trang).]; [CHINESE: Wa shi lie xi zong.]; [MALAYSIA: Tronok, Pinang Burung (Malay).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---IGUWA (Preferred name: Iguanura wallichiana.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดจีน (ไทย), Malesia (มาลายา สุมาตรา) นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Iguanura' มาจากการรวมกันของชื่อของสัตว์เลื้อยคลาน "Iguana" กับคำภาษากรีก "uros" = หาง โดยมีการอ้างอิงถึงความคล้ายคลึงกันของช่อดอกของบางสปีชีส์ในสกุล ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'wallichiana' สายพันธุ์นี้ได้รับเกียรติจากนักพฤกษศาสตร์และศัลยแพทย์ชาวเดนมาร์กNathaniel Wallich (1786-1854)ผู้บรรยายพรรณไม้ชนิดใหม่จำนวนมากและสร้างคอลเล็กชันสมุนไพรขนาดใหญ่ ---ชื่อสามัญของต้นปาล์มนี้ “pinang burung” แปลว่า “ลูกนก” ซึ่งอาจเป็นเพราะผลของมันถูกกระจายโดยนก Iguanura wallichiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน, George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและ Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ จากอดีต Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2429 Includes 3 Accepted Infraspecifics. https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60458953-2#synonyms - Iguanura wallichiana var. major Becc. ex Hook.f.(1892) - Iguanura wallichiana var. rosea C.K.Lim.(1996 publ. 1998) - Iguanura wallichiana var. wallichiana ที่อยู่อาศัย---ปาล์มชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในป่าชื้นของมาเลเซีย สุมาตรา และประเทศไทยที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล ถึง 1,000 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ บางครั้งเป็นปาล์มต้นเดี่ยว ต้นสูง 1-2 เมตร บางครั้งสูงถึง 5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2.5-3.5 ซม.ใบมี8-10 ใบต่อต้น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 1.5 เมตร ก้านใบยาวประมาณ 15 ซม ใบย่อยขนาดไม่แน่นอน ใหญ่บ้างเล็กบ้าง ใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา สีของใบอ่อนที่เปิดใหม่เป็นสีน้ำตาลแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ดอกแยกเพศอยู่บนต้นเดียวกัน (Monoecious) ช่อดอกออกท่ามกลางใบ (Interfoliar) ยาว 30-70 ซม.สีครีม มีหนามแหลมแยกเป็นวงกว้างหลายอัน บางครั้งแตกกิ่งก้านสาขา ผลกลมรี ขนาด 2 x 3 ซม.สุกสีม่วงคล้ำ มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะที่สุดสำหรับภูมิอากาศเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ตำแหน่งที่ปลูกควรอยู่ในพื้นที่ที่มีร่มเงารับแสงในระดับต่ำ ชอบดินที่เป็นกรดเล็กน้อย อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ ความชื้นคงที่และดินที่ระบายน้ำได้ดีหรือแม้แต่ดินที่มีน้ำขัง pH 5.6-6.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใบอ่อนของปาล์มมีสีน้ำตาลแดงสวยงาม จึงนิยมปลูกเพื่อใช้เป็นใบประดับเหมาะสำหรับปลูกเลี้ยงเป็นไม้กระถางประดับตกแต่งภายใน แสงสว่างเล็กน้อยก็อาจอยู่รอดได้เป็นเวลานาน หรือปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน
|
หมากนเรศวร, ปาล์มสองทาง/ Wallichia disticha
[wahl-lihk-EE-ah] [dihs-TIHK-ah]
Picture 1---New Caledonia, photo by Ben.https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha Picture 2---Spring Valley, CA (San Diego County) Photo by MattyB. https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Wallichia disticha T.Anderson.(1869) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:670254-1#synonyms ---Didymosperma distichum (T.Anderson) Hook.f.(1884) ---Wallichia yomae Kurz.(1877) ชื่อสามัญ---Wallich Palm, Distichous fishtail palm, False sugar palm, ชื่ออื่น--- หมากนเรศวร, ปาล์มสองทาง (ทั่วไป) ;[BHUTAN: Thakal.];[CHINESE: Er liè wǎ lǐ zōng.];[INDIA: Katong.];[LAOS: Tao pha.];[MYANMAR: Minbaw, Trung, Zanong.];[PORTUGUESE: Palmeira rabo de peixe.];[THAI: Mak na re suan, Paam song thang (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---WLLDI (Preferred name: Wallichia disticha.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อ้สสัม บังคลาเทศ ลาว ไทย พม่า อินเดีย นิรุกติศาสตร์---สกุลนี้ได้รับเกียรติจาก Nathaniel Wallich นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก (1786-1854); ชื่อของสายพันธุ์ 'disticha' มาจากภาษากรีก "distichos" (จาก "dis" = two และ "stichos" = line) = distichos โดยอ้างอิงจากใบที่เรียงเป็นสองแถวบนด้านตรงข้ามของลำต้น Wallichia disticha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2412 ที่อยู่อาศัย---พบในอัสสัม บังคลาเทศ จีนตอนใต้-กลาง เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก เมียนมาร์ ไทย บังคลาเทศ ภูฏาน จีน (ยูนนาน) อินเดีย (อรุณาจัลประเทศ อัสสัม เมฆาลัย สิกขิม เบงกอลตะวันตก) ลาว (บอลิคำไซ) เมียนมาร์ (พะโค ชิน คะฉิ่น กะเหรี่ยง ยะไข่) ไทย (เหนือ, ตะวันตก) และอาจเป็นเนปาล กระจายตัวอยู่ในที่ลุ่มจนถึงป่าดิบชื้นบนภูเขา โดยเฉพาะตามโขดหินบนที่ลาดชัน มักเกิดร่วมกับหินปูน ในป่าดิบ แต่บางครั้งพบบนดินหินแกรนิตด้วย มักอยู่ในพื้นที่ที่ถูกรบกวนจนถึงระดับความสูง 1,200 เมตร (Henderson, A.J. 2007)/Palmweb.https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha
Picture 1---Hawaii. Photo by Bo-Göran Lundkvist https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha Picture 2---Photo-Dr. John Leslie Dowe.https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวโชว์ลำต้น สูงประมาณ 10 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15-25 ซม.ก้านใบยาว 0.5-1.5 เมตร เนื่องจากลักษณะการเรียงตัวของใบที่ผิดปกติ นี่จึงเป็นหนึ่งในปาล์มที่น่าสนใจและเป็นที่รู้จักมากที่สุด ใบเรียงเป็นสองแถวแนวตั้งข้างลำต้น แผ่นพับรูปหางปลาแคบจำนวนมากถูกจัดเรียงเป็นกระจุกและกระจายเป็นระนาบหลายระนาบ ทำให้ใบไม้มีลักษณะเป็นขนนก (pinnate) โคนกาบใบมีเส้นใยสีน้ำตาลเข้ม ด้านบนแผ่นใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวปนสีเงิน ยาวประมาณ 60 ซม.ช่อดอกสีเขียวออกเป็นกระจุกออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกเพศผู้และดอกเพศเกิดในก้านเดียวกัน บานจากบนลงล่าง ดอกเพศเมียจะออกก่อนห้อยยาวประมาณ1 เมตร มีกิ่งก้านดอก 50 กิ่ง ดอกเพศเมียยาว 2 มม.จากนั้นดอกเพศผู้จะออกตามด้านข้างมีความยาว 1.2 เมตรแตกกิ่งก้านสาขา (rachillae) ประมาณ 1,000 กิ่งและมักจะยาวเป็นสองเท่าของดอกเพศเมีย เกสรดอกยาวถึง 10 มม.ผลรูปกลมรีขนาด 2 x 1.5 ซม. สีน้ำตาลแดง มีสองเมล็ดในแต่ละผล โดยด้านหนึ่งของแต่ละเมล็ด (ด้านที่หันเข้าหาเมล็ดอีกด้าน) แบนราบ *เป็นลักษณะเฉพาะและน่าสนใจอย่างหนึ่งของต้นปาล์มนี้ (นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าใบเปิดในระนาบเดียว) ก็คือพวกมันทั้งหมดดูเหมือนจะเอนไปในทิศทางเดียวอย่างมาก ฉันปลูกทั้งสี่ต้นให้ตั้งตรง (แบบ "ปกติ") แต่ทั้งสี่เอนเอียงไปทางหอเอนเมืองปิซาอย่างมาก" (Bo-Göran Lundkvist) https://www.palmpedia.net/wiki/Wallichia_disticha ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตในพื้นที่กึ่งเขตร้อนที่มีร่มกำบัง ปรับตัวได้ดีและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในสภาพอากาศตั้งแต่เขตอบอุ่นไปจนถึงเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 9b) ต้องการแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ถึงแสงแดดครึ่งวัน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวันต่อเนื่องกันในช่วงบ่าย) ทนอุณหภูมิได้ถึง -2°C (หรือน้อยกว่านั้นในช่วงเวลาสั้นๆ) ชอบดินทรายที่ชื้นสม่ำเสมอแต่สามารถปรับและเจริญได้กับดินเหนียวและดินร่วนปนทราย ทั้งดินที่เป็นด่างหรือเป็นกรดเล็กน้อย ในช่วงชีวิตมีการออกดอกติดผลเพียงครั้งเดียว เมื่อออกดอกติดผล จนผลสุก ก็จะตาย (Monocarpic) การเพาะปลูกจนถึงช่วงที่จะออกดอกอยู่ระหว่าง 10-20 ปี ออกดอกนาน 4-5 ปี ก่อนตาย อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ รดน้ำบ่อย ๆในเดือนที่ร้อนที่สุด อย่าปล่อยให้ดินแห้งเป็นเวลานาน หรือดินที่เปียกแฉะตลอดเวลาหรือน้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีปัญหาศัตรูพืชหรือโรคที่สำคัญ/ รากและลำต้นส่วนล่างสามารถเน่าได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป รู้จักอ้นตราย---เมล็ดเป็นพิษหากกินเข้าไป การใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกในสวนทั่วไปและสวนสาธารณะ ทั้งแบบเดี่ยวหรือแบบกลุ่ม รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะสำหรับเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย สามารถเพาะเลี้ยงในภาชนะบรรจุได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลง ลานที่สว่างสดใสจะให้สภาพแวดล้อมที่ยอดเยี่ยมสำหรับตัวอย่างเล็ก ๆ ซึ่งสามารถปลูกได้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง - เป็นปาล์มที่แปลกตาสวยงามและหายาก ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก อาจเนื่องจากมีความยากลำบากกับการหาเมล็ดพันธุ์ อีกทั้ง การขุดล้อมหมากนเรศวรนั้นยากมากที่จะขุดย้ายไปไว้ที่อื่นได้สำเร็จ เพราะระบบรากมีความละเอียดอ่อน และเป็นรากฝอยหนาแน่น หากถุูกกระทบกระแทก อาจตายเลย หรือ อาจออกดอกก่อนกำหนดแล้วก็ตาย ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอกประมาณ 4-10 เดือน และต้นกล้าก็มีความสวยงาม
|
หมากแฝด/Iguanura bicornis
[ig-oo-ah-NOOR-ah] [bih-KORN-iss]
Picture---Nong Nooch Botanical Garden, Thailand. Photo by Geoff Stein.https://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_bicornis Picture---Photo by Clayton York, Utopia Palms & Cycads.https://www.palmpedia.net/wiki/Iguanura_bicornis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Iguanura bicornis Becc.(1886) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:667550-1 ชื่อสามัญ---None.(Not recorded): Vernacular name remarks: Mak fad (หมากแฝด) (General:Thai) ชื่ออื่น---หมากแฝด (ทั่วไป) ;[CHINESE: Er jiao lie xi zong.];[THAI: Mak fad (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE EPPO code---IGUSS (Preferred name: Iguanura sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Iguanura' มาจากการรวมกันของชื่อของสัตว์เลื้อยคลาน "Iguana" กับคำภาษากรีก "uros" = หาง โดยมีการอ้างอิงถึงความคล้ายคลึงกันของช่อดอกของบางสปีชีส์ในสกุล ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'bicornis' ความหมาย สองเขา Iguanura bicornis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลหมากตอก (Iguanura)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2429 ที่อยู่อาศัย---พบในมาเลเซียและภาคใต้ของประเทศไทย เติบโตในป่าฝน ป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงถึง 800 เมตร ในประเทศไทยพบตามป่าดิบชื้น เส้นทางศึกษาธรรมชาติน้ำตกฮาลาซะห์ หมู่บ้านจุฬาภรณ์พัฒนา 9 ลักษณะ---หมากแฝด เป็นปาล์มกอขนาดกลาง หน่อแตกห่างจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปใต้ดินแล้วตั้งขึ้น สูงไม่เกิน 0.60-3 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.5-1.5 ซม.ลำต้นสีเขียวเข้ม กาบใบสีน้ำตาลอมเหลือง ยาวประมาณ 20-80 ซม.ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) สีเขียวเข้มปลายใบรูปหางปลา ขอบใบเว้าถึงเส้นกลางใบ ใบย่อยมีประมาณ 4-5 คู่ มีขนาดสม่ำเสมอ ยาวประมาณ 0.5-1.5 เมตร กว้างประมาณ 0.2-0.5 เเมตร ใบย่อยเรียงตัวเป็นระเบียบสม่ำเสมอ ปลายใบแหลม หลังใบสีเขียวอ่อนมีจุดประ สีเขียวเข้มทั่วแผ่น ท้องใบสีเทาเงิน ยาวประมาณ 15-50 ซม.กว้างประมาณ 8-30 ซม.ใบอ่อนออกใหม่สีน้ำตาลแดง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) ช่อดอกแบบแยกแขนงสีแดงเข้ม ช่อดอก ออกใต้คอยอด ห้อยลง ก้านช่อตรงหรือสลับฟันปลา สีเขียว ไม่แยกแขนงยาวประมาณ 5-8 ซม. มีก้านช่อย่อย 3-6 อัน ผลรูปไข่หรือรูปรี ติดเรียงข้างก้านช่อในระนาบเดียวกัน ผลอ่อนสีขาว เขียว ผลสุกสีแดงเข้ม มีเมล็ด1เมล็ด * ฐานข้อมูลพันธุ์ไม้ในพื้นที่จุฬาภรณ์พัฒนา 9 หมากแฝด (จุฬาภรณ์ 9) http://srdi.yru.ac.th/bcqy ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ตำแหน่งที่ปลูกควรอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า)หรือในที่ร่ม (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) มีที่กำบังและชื้น ชอบดินที่เป็นกรดเล็กน้อย อุดมด้วยอินทรีย์วัตถุ ความชื้นคงที่และดินที่ระบายน้ำได้ดีหรือแม้แต่ดินที่มีน้ำขัง pH 5.6-6.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ โรคใบจุดจากเชื้อรา รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนกุมภาพันธ์-กันยายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด หรือเลี้ยงต้นอ่อน ต้องการแสงเพียง 20-40%
|
หมากพน/ Orania sylvicola
Picture 1---Edge Hill, Cairns, QLD, AU. Photo by tanetahi.https://www.palmpedia.net/wiki/Orania_sylvicola Picture 2---Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Orania_sylvicola
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Orania sylvicola (Griff.) H.E. Moore.(1962) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-141974 ---Basionym: Macrocladus sylvicola Griff.(1845) https://www.gbif.org/species/5293560 ---Orania macrocladus Mart.(1845) ชื่อสามัญ--- Ibul palm, Forest palm. ชื่ออื่น---หมากพน, พน (ทั่วไป) l; [CHINESE: Sen lin ao lan zong.];[FRENCH: Palmier forestier.]; [MALAYSIA: Ibul, Kayu baluhur (Malay).];[THAI: Mak phon, Phon (General).]; [VERNACULAR name remarks: Ibul (Malay-Peninsula dialect); Iwul (Sundanese); Kayu baluhur (Malay-Asahan and Padang Sidempuan dialects); Phon (Thai-Kao Panom dialect); Kapun (Thai-Kao Salaw dialect); Lee-boy (Thai- Thalae Ban dialect).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ONNSS (Preferred name: Orania sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล 'Orania' ได้รับเกียรติจากมกุฎราชกุมารแห่งเนเธอร์แลนด์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 FGL Willem van Nassau, Lord of De Lek (1601 – 1627) เจ้าชายแห่งออเรนจ์ (Oranje) ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'sylvicola' ="การเจริญเติบโตในป่า"หมายถึงถิ่นที่อยู่ของพืชชนิดนี้ Orania sylvicola เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Orania ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และได้รับชื่อปัจจุบันโดย Harold Emery Moore (1917–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2505 ที่อยู่อาศัย---พบในภาคใต้ของประเทศไทย ,อินโดนีเซีย ,มาเลเซียและสิงคโปร์ พื้นที่ของการกระจายครอบคลุมคาบสมุทรมลายู, สิงคโปร์, สุมาตรา, ชวาตะวันตก, หมู่เกาะ Anambas, กลุ่มเกาะ Karimata, กาลิมันตันตะวันตกและซาราวัก เติบโตในป่าชื้นบางครั้งพบในป่าดงดิบ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึงประมาณ 0-600 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวไม่มีหนาม สูง 15-20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ลำต้น 15-20 ซม.สีเทาเกลี้ยง มีวงรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบ ระยะห่าง 8 ซม.มีใบประมาณ 15 ใบ เวียนออกรอบคอ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 4-5 เมตร ก้านใบยาวประมาณ 1 เมตร ใบย่อยจัดเรียงอยู่ในระนาบเดียวประมาณ 100 ใบ ใบย่อยยาวเรียวสีเขียวเข้ม ใต้ใบสีน้ำตาลอมเทา ฐานใบยาว 60-80 ซม. มีขอบเป็นเส้นๆ และปกคลุมภายนอกด้วย tomentum สีน้ำตาลแดง ห่อหุ้มก้านใบด้านนอกเพียงบางส่วน ช่อดอกบนก้านช่อดอกยาวประมาณ 60-80 ซม.ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ยาว 0.8-1 เมตร มีก้านสาขา (rachillae) จำนวนมาก ยาว 25-40 ซม.แผ่กระจาย ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ดอกรวมเป็นกลุ่มสามดอก (ดอกเพศเมีย ระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ดอกเพศผู้เป็นรูปขอบขนาน ดอกเพศเมียมีลักษณะกลม ผลกลมสีเขีนวคล้ำขนาด 4.5 - 5 ซม.ผลอ่อนสีเขียวหม่นเมื่อสุกสีเขียวอมเหลือง มีเมล็ดรูปทรงกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-4 ซม. เพียงเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10a) แสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรงไม่น้อยกว่า 6ชั่วโมงต่อวัน) หรือแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ชอบตำแหน่งที่ร่มรื่นและมีความชื้นในชั้นใต้ดิน ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน หากมีการระบายน้ำและรักษาความชื้นเกือบตลอดเวลา การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง อย่าปล่อยให้ดินแห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไปจนน้ำขังแฉะเป็นเวลานาน การตัดแต่งกิ่ง---Unknown การใส่ปุ๋ย---Unknown ศัตรูพืช/โรคพืช---Unknown รู้จักอ้นตราย---ปาล์มนี้เป็นที่รู้จักในหมู่นักสะสม สำหรับเมล็ดและส่วนของพืชที่มีพิษ ให้แน่ใจว่าคุณใช้ถุงมือเมื่อทำความสะอาดผลไม้ และล้างมือให้สะอาดในภายหลัง ควรใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร ในสวนสาธารณะและสวนทั้วไปปลูกเป็นกลุ่มหรือปลูกเดี่ยว ๆ อื่น ๆ--- ลำต้นใช้สำหรับสร้างบ้าน ใบใช้สำหรับมุงหลังคาบ้าน ภัยคุกคาม---เนื่องจากต้นปาล์มนี้ถูกจำกัดอยู่ในป่าฝนชายฝั่งที่สูงถึง 200 เมตร. ประชากรย่อยในชวาตะวันตกลดลงเหลือน้อยกว่า 200 ต้นในพื้นที่เดียว ถูกประเมินล่าสุดใน IUCN Red list ประเภท ใกล้ถูกคุกคาม หรือความเสี่ยงต่ำกว่า/ใกล้ถูกคุกคาม : ใกล้จะมีคุณสมบัติที่มีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องหรือใกล้สูญพันธุ์และ/หรืออาจมีคุณสมบัติในอนาคตอันใกล้ สถานะการอนุรักษ์--NT or LR/nt-Lower Risk/near threatened-National-IUCN Red List of Threatened Species 1998 source: Johnson, D. 1998. Orania sylvicola. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38624A10139885. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38624A10139885.en.เข้าถึงเมื่อ17 มิถุนายน 2566 - ในระดับโลก (Global) พืชชนิดนี้แพร่หลายและมักมีมากในคาบสมุทรมาเลเซียและภาคใต้ของประเทศไทย อย่างไรก็ตามในระดับท้องถิ่นอาจถูกคุกคามอย่างร้ายแรง ตัวอย่างเช่น ใน Java ใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว (AP Keim and J. Dransfield. 2012)/Palmweb สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พืชพื้นเมืองของสิงคโปร์ (ใกล้สูญพันธุ์ขั้นวิกฤต (CR)) ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แช่ในน้ำเป็นเวลาสองวัน ในภาชนะสูงอย่างน้อย 20 ซม.ในดินร่วนระบายน้ำที่อุดมด้วยฮิวมัสคงความชื้นไว้ที่อุณหภูมิ 26-30 °C โดยมีระยะเวลาในการงอก 1-3 เดือน
|
|
หมากพระราหู /Maxburretia furtadoana
[maks-boor-REHT-ee-ah] [foor-tah-doh-AHN-ah]
Picture---1 Khao Phra Rahu, Thailand.https://www.palmpedia.net/wiki/Maxburretia_furtadoana Picture---2 Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Maxburretia_furtadoana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Maxburretia furtadoana J.Dransf.(1978) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:31358-1#synonyms ---Liberbaileya Furtado.(1941) ---Symphyogyne Burret.(1941) ชื่อสามัญ---Sun palm ชื่ออื่น---หมากพระราหู (กรุงเทพ); ปาล์มพระราหู (สุราษฎร์ธานี); [THAI: Mak phra rahu (Bangkok); Palm phra rahu (Surat Thani).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Maxburretia' ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ Max Burret (1883-1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ; ชื่อสปีชีส์ 'furtadoana' ตั้งเป็นเกียรติแก่ Caetano Xavier Furtado (1897–1980) นักพฤกษศาสตร์ชาวสิงคโปร์ Maxburretia furtadoana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Dransfield (เกิดปี 1945) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2521 Includes 3 Accepted Species;- - Maxburretia furtadoana J.Dransf.(1978) - ภาคใต้ของไทย - Maxburretia gracilis (Burret) J.Dransf.(1978) - ภาคใต้ของไทย เกาะลังกาวี - Maxburretia rupicola (Ridl.) Furtado.(1941) - สลังงอร์ มาเลเซีย ที่อยู่อาศัย---พบครั้งแรกในประเทศไทย ค้นพบโดย ดร.จอห์น ดรานส์ฟีลด์ (Dr. John Dransfield, 1978)/Palmweb.ที่เขาพระราหู อุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ในพื้นที่ลาดด้านบนที่ค่อนข้างโล่ง ในป่าที่มีลักษณะแคระแกรน และจนถึงรอยแยกในหน้าผา เป็นไปได้ว่าอาจเกิดขึ้นที่อื่นบนเนินเขาหินปูนที่อยู่ใกล้เคียง (ดร. จอห์น Dransfield, 1978)/ปาล์มเว็บ. ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ขยายออกไปโดยเหง้าใต้ดินได้มากสุดถึง10 ต้น ทั่วไปที่พบ 3-5 ต้น สูงประมาณ 3 (-5) เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 5 ซม.ที่โคนต้น มีรอยแตกตามแนวดิ่งและรอยแผลเป็น ด้านบนของลำต้น 1-2 เมตรขึ้นไปเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 12-15 ซม.ลักษณะเด่นคือไม่มีกาบใบ มีรกเป็นหนามแข็งสานกันหุ้มลำต้นไว้ แต่เมื่อลำต้นสูงขึ้นแผ่นรกนี้จะหลุดออก ก้านใบยาว 30-50 ซม.ใบรูปพัด (Costapalmate) แผ่นใบกว้างประมาณ 75 ซม.แฉกลึก แข็งแคบ 25 ถึง 30 ใบ มีปลายใบยาวบาง แผ่นใบด้านบนสีเขียวซีด ด้านล่างปกคลุมด้วยขี้ผึ้งสีขาวบางๆ ช่อดอกออกตามซอกใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกเกสรเพศผู้มักเรียวกว่าและแตกกิ่งแยกสูงและห่างกว่าเกสรเพศเมีย แตกกิ่งเป็น 3 ช่อ ยาว 25-40 ซม.มีกิ่งหลัก 3-5 กิ่ง ดอกอ่อนทรงกลมสีเขียว ดอกบาน บานออกเล็กน้อยสีเหลืองซีดไม่พบกลิ่น ช่อดอกเก่าคงอยู่ ดอกกระเทยที่เห็นในสายพันธุ์นี้เหมือนกันกับดอกเพศเมีย ผลกลมรี ขนาด 0.8 x 0.4 ซม.สีเหลืองอมส้ม สีน้ำตาลเมื่อสุก ผลแก่เป็นสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 9b - 10b.) ตำแหน่งร่มเงา (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) ดินปนทรายหยาบมีการระบสยน้ำดี ค่า pH 6.6 - 9 (เป็นกลางถึงเป็นด่างมาก) อัตราการเจริญเติบโตช้าในช่วงแรก การบำรุงรักษา ต่ำ รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแข็งสานกันรอบลำต้นใช้ความระมัดระวังในการจัดการ การใช้ประโยชน์---ในการเพาะปลูกนั้นหายากยิ่งกว่าในแหล่งที่อยู่อาศัยที่จำกัดและมีอยู่เพียงเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นพืชขนาดเล็กหรือต้นกล้าในคอลเล็กชันบางส่วน เนื่องจากแหล่งที่อยู่อาศัยที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เมล็ดพันธุ์จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะรวบรวมและแทบไม่เคยมีให้เลย สถานะ---*ถูกระบุเป็นพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ (Enangered species) ไปจากแหล่งที่ค้นพบและมีการกระจายพันธุ์อยู่ ด้วยแนวโน้มความเสี่ยงต่างๆ เช่น การระเบิดหินสร้างเส้นทาง การทำเหมือง หรืออาจมีการลุกลามของการเผาไหม้ของไฟป่า อุทยานหลวงราชพฤกษ์ได้ปลูกรวบรวมไว้ที่โดมไม้ร้อนชื้น ภายในอุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่ https://www.royalparkrajapruek.org/Knowledge/ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกกอ แยกหน่อ
|
หมากพร้าว/ Actinorhytis calapparia
[ahk-tin-oh-REE-tiss] [kah-lahp-pahr-EE-ah]
Picture 1---Lae Botanic Garden, Papua New Guinea..https://www.palmpedia.net/wiki/Actinorhytis_calapparia Picture 2---Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb.https://www.palmpedia.net/wiki/Actinorhytis_calapparia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Actinorhytis calapparia (Blume) H.A. Wendland & Drude ex Scheff.(1876) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. ---Basionym: Areca calapparia Blume.(1843) https://www.gbif.org/species/2735548 ---Pinanga calapparia (Blume) H.Wendl.(1878), nom. illeg. ---Ptychosperma calapparia (Blume) Miq.(1855) ---Seaforthia calapparia (Blume) Mart.(1849) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:663980-1#synonyms ชื่อสามัญ---Calappa Palm, Tangalo. ชื่ออื่น---หมากพร้าว (ทั่วไป) ;[INDONESIA: Jambe sinagar, Jawar, Pinang kalapa.];[MALAYSIA: Pinang kelapa, Pinang penawar, Pinang mawar (Malay).];[PHILIPPINES: Tañgalo (Bag.).];[RUSSIAN: Aktinoritis kalappa.];[THAI: Mak phrao (General).]; ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---QCTCA (Preferred name: Actinorhytis calapparia.) ถิ่นกำเนิด---โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์--- นิวกินี หมู่เกาะโซโลมอน ไทย สุมาตราและคาบสมุทรมาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Actinorhytis' คือการรวมกันของคำภาษากรีก "aktis, aktinos" = รังสีการแผ่รังสีและ "rhytos" = รอยย่นที่มีการอ้างอิงถึง เอนโดสเปิร์มของเมล็ด ; ชื่อของสายพันธุ์ 'calapparia' มาจากชื่อมาเลย์ของมะพร้าว (Cocos nucifera): kelapa - นี่คือ Monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์ในสกุลคือ Actinorhytis calapparia Actinorhytis calapparia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ และได้รับชื่อแน่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Carl Georg Oscar Drude (1852–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2419 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดจากปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน มีการกระจายพันธุ์ใน ไทย สุมาตราและคาบสมุทรมาเลเซีย เติบโตในป่าฝน ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเลถึง 1,000 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 12-14 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16-20 ซม ลำต้นตั้งตรงมีข้อปล้องชัดเจน สีน้ำตาลอมเทาสีเขียว ใบรูปขนนก ทางใบยาว 5 เมตร คอยอดยาว 60 ซม. ช่อดอกเดี่ยวที่แยกแขนงออกมากจะก่อตัวใต้ฐานใบ (Infrafoliar) เป็นแนวนอนหรือห้อยลง มีดอกย่อยจำนวนมากสีขาวครีมทั้งสองเพศ วางในลักษณะสามดอก (ดอกเพศเมียท่ามกลางดอกเพศผู้สองดอก) ทั้งสองเพศมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบและกลีบดอก 3 กลีบ และในทั้งสองกรณีกลีบเลี้ยงจะยาวกว่ากลีบดอกสองหรือสามเท่า มีลักษณะเฉพาะ กว้าง อวบเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายรูปกรวย มองเห็นได้ชัดเจน เกสรเพศผู้มี 24-33 อันหรือมากกว่า ช่อดอกเกิดปรากฎการณ์ดอกเพศผู้สุกก่อนดอกเพศเมียและช่วยในการผสมข้ามพันธุ์ ผลขนาดใหญ่มาก รูปไข่รียาว 6-8 ซม.สีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมส้ม ผลแต่ละผลมีเมล็ดทรงกลม 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในในเขตร้อนชื้น ไม่ทนต่อความหนาวเย็นเป็นเวลานาน และโดยทั่วไปถือว่าเหมาะสำหรับพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนที่อบอุ่นกว่าเท่านั้น (Cold Hardiness Zone: 10a - 10b.) ชอบตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) เมื่อโตเต็มวัย ต้นไม้ขนาดเล็กควรปลูกในตำแหน่งที่มีร่มเงาลึก (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือร่มเงาเพียงบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) และจะเสียหายได้ง่ายหากโดนแสงแดดโดยตรง ต้องการความชื้นสูง อุณหภูมิ 18-20 ° C หรือมากกว่านั้น ดินอุดมไปด้วยอินทรีย์วัตถุอาจเป็นกรดหรือเป็นกลางและระบายน้ำได้ดี มีความชื้นสม่ำเสมอ อัตราการเจริญเติบโตเร็วพอสมควร การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก รดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พื้นผิวมีความชื้นตลอดเวลา อย่าปล่อยให้ดินแห้งเป็นเวลานาน ทนแล้งไม่ได้ การตัดแต่งกิ่ง---ไม่จำเป็นต้องตัดแต่ง พืชทิ้งใบเองตามธรรมชาติ การใส่ปุ๋ย---เพื่อป้องกันการขาดธาตุอาหาร ควรใส่ปุ๋ยปาล์มคุณภาพดีที่มีสูตรปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องปีละ 3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยห่างจากโคนต้นอย่างน้อย 15 ซม.ในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช/แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม รู้จักอ้นตราย---ไม่มีหนาม ไม่เป็นพิษต่อมนุษย์และสัตว์ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน แก่นปาล์ม (หัวใจปาล์ม) กินเป็นผัก ใช้เป็นยา---ผลสุกเป็นยา ชาวมาเลย์ เคี้ยวแทนหมาก ผลไม้ที่ใช้ในโลชั่นรักษาขี้ไคล ใช้ปลูกประดับ---เหมาะปลูกกลางแจ้งเป็นกลุ่มหรือแถว หรืออาจจะปลูกในกระถางหรือในภาชนะ ในพื้นที่ที่เย็นกว่าสามารถใช้ได้เฉพาะในห้องโถงใหญ่ในร่มที่มีแสงสว่างและความชื้นเพียงพอเท่านั้น อื่น ๆ--- ผงเมล็ดใช้เป็นแป้งเด็ก แก่นเคี้ยวแทนพลู ความเชื่อ/พิธีกรรม---ได้รับการปลูกกันอย่างแพร่หลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ Malesia ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่ามันมีพลังวิเศษทางเวทย์มนตร์ ผลไม้พกติดตัวเพื่อป้องกันตัว ขยายพันธุ์--ด้วยการเพาะเมล็ด เมล็ดสดใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน ที่อุณหภูมิ 24-28 °C
|
หมากลิง/Pinanga sylvestris
[pih-NAHN-gah] [sihl-VEHS-tris]
Picture---Floribunda Nursery, Hawaii. Photo by Geoff Stein. https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_sylvestris Picture---Thailand. Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_sylvestris
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga sylvestris (Lour.) Hodel.(1998) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Basionym: Areca sylvestris Lour.(1790). See https://www.gbif.org/species/2739380 ---Pinanga chinensis Becc.(1905) ---Pinanga cochinchinensis Blume. (1839) [Illegitimate] ---Ptychosperma sylvestris (Lour.) Miq.(1855) ---Seaforthia cochinchinensis (Blume) Mart.(1849) ---Seaforthia sylvestris (Lour.) Blume ex Mart.(1838) [Illegitimate] ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1000880-1#synonyms ชื่อสามัญ---Chocolate Cane Palm ชื่ออื่น---หมากลิง (ทั่วไป) ;[CAMBODIA: Sla sngap, Sla khmau, Sla tourlieng, Sla condor.];[CHINESE: Hua shan zhu.];[THAI: Mak ling (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อัสสัม, กัมพูชา, ลาว, พม่า, ไทยและเวียดนาม นิรุกติศาสตร์--ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้; ชื่อของสปีชีส์ "sylvestris" = การเจริญเติบโตของป่า Pinanga sylvestris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Donald Robert Hodel (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ.2528) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2541 ที่อยู่อาศัย---พบในจีนภาคใต้ตอนกลาง (ยูนนาน) อัสสัม,กัมพูชา,ลาว,พม่า,ไทย,เวียตนาม เติบโตในป่าดิบชื้นและที่ราบต่ำ ที่ระดับความสูง 100-1750 เมตร ในประเทศไทยมีบันทึกอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาวจังหวัดจันทบุรี ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก หน่อแตกจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปตามพื้นดินแล้วตั้งขึ้น บางครั้งแตกหน่อเหนือพื้นดิน ลำต้น สูงได้ถึง 2- 4 เมตร .เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นขนาด 1.5-3.5 ซม ลำต้นสีม่วงอมน้ำตาล คอยอดยาว 15 ซม.ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 1-1.5 เมตร ใบอ่อนมีสีโทนชมพูแดงจากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ไม่เห็นดอกเพศผู้ ช่อดอกยาว 20 ซม.ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) แตกออกเป็นหางหนู 2-4 เส้น สีขาวนวล ติดผลบนหางหนู ผลรูปรี ขนาด 1.4-1.8 x 0.5-0.7 ซม..ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อผลสุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน และชอบอากาศอบอุ่น (Cold Hardiness Zone: 9b) ชอบแสงแดดรำไร (แสงแดดทางอ้อม) ทนต่อร่มเงา ดินปนทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อย การระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท อย่าปล่อยให้น้ำขัง การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing disease (LY).] รู้จักอ้นตราย---N/A การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ปลายยอดและแก่นของลำต้นที่เก็บเกี่ยวเพื่อเป็นอาหาร ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2009) source: Loftus, C. & Bachman, S. 2013. Pinanga sylvestris. The IUCN Red List of Threatened Species 2013: e.T44393676A44431694. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2013-1.RLTS.T44393676A44431694.en. เข้าถึงเมื่อ18 มิถุนายน 2566 ขยายพันธุ์--เพาะเมล็ด
|
หมากวัฒนา/ Pinanga watanaiana
[pih-NAHN-gah] [wah-tah-nah-ee-AHN-ah]
Picture 1---Floribunda Nursery, Hawaii. Photo by Paul Craft Picture 2---In habitat, Thailand. Photo by Luke Nancarrow https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_watanaiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga watanaiana C.K.Lim.(1998) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-156545 ชื่อสามัญ--None.(Not recorded) ชื่ออื่น---หมากวัฒนา (ทั่วไป) ;[THAI: Mak wat ta na (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้;; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'watanaiana' ได้รับการตั้งชื่อตามชื่อ Watana Sumawong ผู้มีชื่อเสียงด้านปาล์มและนักสะสมผู้บุกเบิกในกรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งได้รวบรวมมันในปี พ.ศ. 2529 ที่ จังหวัดภูเก็ต จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการพบปาล์มชนิดนี้ในที่อื่น และอาจใกล้สูญพันธุ์ได้เนื่องจากมีความน่าสนใจด้านพืชสวน (โฮเดล, D. 1997.) Pinanga watanaiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Lim Chong Keat (born 1930) สถาปนิกและนักพฤกษศาสตร์ชาวมาเลเซีย ในปี พ.ศ.2541
Picture---In habitat, Thailand. Photo by Luke Nancarrow https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_watanaiana
ที่อยู่อาศัย---พืชเฉพาะถิ่น (endemic) พบครั้งแรกที่ จังหวัดภูเก็ต และยังไม่พบที่อื่น ในธรรมชาติ หายากและใกล้สูญพันธุ์ เดิบโตในป่าดิบเขา ป่าฝนที่ราบลุ่ม ของภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย ที่ระดับความสูง150 เมตรขึ้นไป ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สูงประมาณ 2-2.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น1.5- 3.5ซม. ลำต้นสีน้ำตาลอมม่วงเข้มที่โคนสีเขียวใกล้ก้านช่อดอก มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบหลุดร่วง เป็นข้อวง คอยอดสีเหลืองน้ำตาล ยาว 30 ซม.ทางใบยาว70 ซม. ใบไม้มี 6-8ใบ ใบประกอบแบบขนนก (Pinate) ก้านใบยาว 10-13 ซม.ปลายใบแหลม ใบมักมีรอยจุดสีเขียวอ่อนบนใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า ช่อดอกห้อยลง ยาว 5-20 ซม.ดอกไม่สมบูรณ์เพศ ผลรูปไข่ ยาว 1.5 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางผล 1 ซม.สุกสีแดงถึงดำ อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะสำหรับพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อนที่อบอุ่น (Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการแสงแดดรำไร (แสงสว่างทางอ้อม) หรือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า)ดินมีความชื้นและการระบายน้ำดี การใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับตกแต่งภายใน ไม่พบข้อมูลมากนักเกี่ยวกับปาล์มชนิดนี้ สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของประเทศไทย [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm สถานภาพ---เป็นพืชหายาก (rare plant) *[พืชหายาก (rare plants) คือ พืชชนิดที่มีประชากรขนาดเล็กซึ่งยังไม่อยู่ในสถานภาพใกล้จะสูญพันธุ์ (endangered) แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์ได้ พืชหายากเป็นพืชที่เราทราบจำนวนประชากรที่มีอยู่ตามแหล่งต่างๆ และส่วนใหญ่มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับพืชชนิดอื่นๆ]* http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
หมากส้ม/ Areca vestiaria
[ah-REHK-ah] [vehs-tee-ahr-EE-ah]
Picture---Hawaii. Photo by Timothy Brian. http://www.palmpedia.net/wiki/Areca_vestiaria
ชื่อวิทยาศาสตร์--- Areca vestiaria Giseke.(1792) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms. ---Drymophloeus vestiarius Miq.(1868) ---Mischophloeus vestiarius (Giseke) Merr.(1917) ---Pinanga vestiaria (Giseke) Blume.(1839) ---Ptychosperma vestiarium (Giseke) Miq.(1855) ---Seaforthia vestiaria (Giseke) Mart.(1849) ---More.See allThe Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-14650 ชื่อสามัญ---Orange Crownshaft Palm, Sunset Palm, Orange Collar Palm, Red pinang, Monkey pinang. ชื่ออื่น---หมากส้ม (ทั่วไป) ;[INDONESIA: Pinang Merah, Pinang Yaki (monkey pinang).];[MALAYSIA: Pinang berah (Malay).];[PORTUGUESE: Areca-de-pescoço-laranja, Areca-dourada, Palmeira-areca-dourada, Palmeira-areca-vestiária.];[SPANISH: Areca anaranjada.];[THAI: Mak som (General). ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ARMVE (Preferred name: Areca vestiaria.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย: มาลูกุ, สุลาเวสี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Areca' เป็นภาษาละตินของชื่อท้องถิ่น areek ที่ใช้ในภูมิภาค Malabar ของอนุทวีปอินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในสกุล; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'vestiarius' คือคำคุณศัพท์ภาษาละติน "vestiarius, a, um" = เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้า โดยอ้างอิงถึงการใช้งานที่ทำโดยประชากรในท้องถิ่นของเส้นใยสีขาวบาง ๆ ที่ได้มาจากชั้นนอกของลำต้นสำหรับทำเสื้อผ้า Areca vestiaria เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยPaul Dietrich Giseke (1741–1796) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2335 ที่อยู่อาศัย---สายพันธุ์ปาล์มพื้นเมืองในป่าดิบชื้นมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคทางตอนเหนือของ Moluccas และ Sulawesiของอินโดนีเซีย เติบโตในป่าชั้นล่างของป่าชื้นบนดินภูเขาไฟที่ระดับความสูงถึง 1,400 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยว, บางครั้งเป็นกอ สูงได้ถึง 3-10 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 8-12 ซม. วงแหวนมีรอยแยกของใบไม้ที่ร่วงหล่น ระยะห่าง 10-20 ซม. บางครั้งอยู่ที่ฐานรากไม้ค้ำยันที่แข็งแรง คอยอดสีเหลืองอมส้มจนถึงส้มแดง ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 2 เมตร ก้านใบสั้น สีเหลืองอมสีส้มไม่มีหนาม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) แตกแขนงใต้ใบ (infrafoliar) ดอกทั้งสองเพศมีสีเหลืองถึงส้ม เรียงในลักษณะสามดอก ช่อดอกแสดงถึงปรากฏการณ์ของ Proterandry (ดอกเพศผู้จะสุกก่อนดอกเพศเมีย ซึ่งจะทำให้เกิดการผสมข้ามพันธุ์) ผลกลมรีขนาดยาว2-2.8 ซม มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.4 ซม.เมื่อสุกสีเหลืองอมส้ม มีเมล็ดรูปไข่หนึ่งเมล็ดยาวประมาณ 1.4 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในสภาพอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน และชอบอากาศอบอุ่น (Cold Hardiness Zone: 10-11.) ปาล์มชนิดนี้เป็นพืชสวนที่ปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศร้อนชื้นได้หลากหลาย เติบโตได้ดีที่สุดในแสงแดดครึ่งวันและทนต่อแสงแดดโดยตรงได้เมื่ออายุประมาณ 5 ปี พืชอายุน้อยต้องการการปกป้องจากแสงแดดโดยตรงและเติบโตได้ดีที่สุดในบริเวณที่มีร่มเงาถึงร่มเงาบางส่วน หากปลูกในบ้าน พวกมันจะดูดีที่สุดในตำแหน่งแสงแดดรำไร (แสงสว่างทางอ้อม) และความชื้นในดินสูง อุณหภูมิปกติไม่ควรต่ำกว่า 16° C สามารถทนอุณหภูมิได้ถึง 0° C ในช่วงเวลาสั้น ๆชอบดินทรายที่มีธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อยถึงเป็นกลาง ยกเว้นดินที่มี pH 6.5 ถึง 6.8 ที่เปียกแฉะตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม มันสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำเป็นประจำและควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท อย่าปล่อยให้แช่ในน้ำหรือน้ำขัง กระถางต้นไม้ในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด อาจมีการขาดแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช แต่อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันใบเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ป้องกันไรเดอร์ แมลงเกล็ด/ ใบจุดจากเชื้อราอื่นๆ ไวต่อโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing disease (LY).] รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับการตกแต่งสวนสาธารณะและสวนในที่ร่ม เป็นต้นปาล์มตกแต่งที่สวยงามมากที่สุดต้นหนึ่ง เป็นหนึ่งในปาล์มประดับที่มีความสมบูรณ์ที่สุด แต่ค่อนข้างหายากในการเพาะปลูก ใช้เป็นยา--- ผู้คนในสุลาเวสี ใช้ผลปาล์มเป็นยาคุมกำเนิด พวกเขาดื่มยาต้มของเนื้อผลไม้ที่ต้มในน้ำ การขยายพันธุ์--เมล็ด, แยกหน่อ ; เมล็ดงอกภายใน 4 ถึง 8 สัปดาห์ การแยกหน่อจะได้ลักษณะเดิมของต้นแม่ แต่ต้นที่เกิดจากการเพาะเมล็ดอาจเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ไหน ต้นกล้าจะแสดงลักษณะทุกรูปแบบ
|
หมากหวิง/Pinanga disticha
[pih-NAHN-gah] [dihs-TIHK-ah]
Picture1---Bukit Lagong, Malaysia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture2---University of Hawai'i Lyon Arboretum and Botanical Garden. Photo by Dr. John Dransfield, http://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_disticha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga disticha (Roxb.) H.Wendl.(1878) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669063-1#synonyms ---Basionym: Areca disticha Roxb.(1832). See https://species.wikimedia.org/wiki/Pinanga_disticha ---Areca curvata Griff.(1851) ---Areca humilis Roxb. ex H.Wendl.(1878) ---Pinanga bifida Blume.(1839) ---Ptychosperma distichum (Roxb.) Miq.(1855) ---Seaforthia disticha (Roxb.) Mart.(1838) ชื่อสามัญ---Legong Palm. ชื่ออื่น---หมากหวิง, หมากเจ, เจหางปลา, เจใบลาย (ทั่วไป);[CHINESE: Liang lie shan bing lang.];[JAPANESE: Pinanga disutika.];[INDONESIA: Pinang boring padi.];[THAI: Mak wing (Peninsular); Mak che, Che hang pla, Che bai lai (General).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - คาบสมุทรไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย (สุมาตรา) นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้;; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'disticha' มาจากภาษากรีก "distichos" (จาก "dis" = two และ "stichos" = line) = distichos โดยอ้างอิงจากใบที่เรียงเป็นสองแถวบนด้านตรงข้ามของลำต้น Pinanga disticha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล Pinanga ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2421 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรไทยมาเลเซียและยังพบในสิงคโปร์และสุมาตราที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล ถึง 800 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็กมาก มีลักษณะเป็นกอหนา หน่อแตกจากลำต้น สูงประมาณ 0.90-1.40 เมตร ลำต้นสีเขียวหรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 0.6–1 ซม.ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) หรือเป็นใบเดี่ยวรูปหางปลา (Bifid) ขอบใบเว้าถึงเส้นกลางใบ มีใบย่อย 3 - 6 คู่ ปลายใบรูปหางปลา แผ่นใบสีเขียวเข้ม หลังใบมีจุดด่างสีเขียวอ่อน ใบด่างนี้จะคงสีไว้ตลอดชีวิต ท้องใบสีเทาเงิน กาบใบและก้านใบมีขนละเอียดสีน้ำตาลปกคลุม กาบใบสีเขียวอมเหลืองเป็นหลอดหุ้มลำต้น ยาวประมาณ 12ซม. ก้านใบสั้น แกนกลางใบยาว 30-40 ซม. ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) แตกออกเป็น 2-3 เส้น สีขาวนวล ห้อยลง ยาวประมาณ 10 ซม.ผลรูปไข่หรือรูปรี ขนาด 1.2-1.5 x 0.8-1 ซม.ติดเรียงบนก้านช่อในระนาบเดียวกัน ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในสภาพอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) เติบโตได้ดีในตำแหน่งปลูกที่ร่มรำไร แสงแดดส่องถึง 30-40% ดินร่วนปนทรายอุดมสมบูรณ์และชุ่มชื้นสม่ำเสมอ ไม่ชอบสภาพแห้งอย่างแรง การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก (น้อยกว่าถ้าคลุมดินอย่างดี) และควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดดอกเก่าออกเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารอินทรีย์ต่ำ (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ ใช้เป็นยา---เมล็ดใช้รักษาอาการปวดท้องและเป็นยาแก้พิษที่กินเข้าไป ใช้ปลูกประดับ---สำหรับตกแต่งสวนสาธารณะและสวนทั่วไปหรือปลูกในกระถางในที่ร่มรำไร สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในอาคาร ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดใช้เวลาในการงอก 3-4 เดือน ใช้วิธีการแยกหน่อง่ายกว่าการเพาะเมล็ด
|
หมากอาดัง/ Pinanga adangensis
[pih-NAHN-gah] [ah-dah-JEHN-sis]
Picture 1---Photo by Dr. Chandni Rawat. https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_adangensis Picture 2---Mt. Warning Caldera, Nth. NSW, Australia. Photo by Pete https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_adangensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga adangensis Ridl.(1912) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669017-1 ชื่อสามัญ---Malay Ivory Palm, Ivory crown. ชื่ออื่น---หมากอาดัง (ภาคใต้) ; [THAI: Mak adang.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO Code---ZPISS (Preferred name: Pinanga sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pinanga' จากภาษาละตินของชื่อภาษามาเลเซียว่า "pinina" ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองที่ชาวมาเลเซียใช้เรียกปาล์มสกุลนี้; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ “adangensis” = ของอาดัง หมายถึงหนึ่งในสถานที่กำเนิดของมันคือเกาะอาดัง, ตามแนวชายฝั่งไทย Pinanga adangensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2455 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในคาบสมุทรมาเลเซียและประเทศไทย พบเติบโตในป่าชื้นตามแนวชายฝั่ง ที่ระดับความสูงจากน้ำทะเล ถึงประมาณ 200 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นเป็นกระจุก (caespitose) สูงได้ถึง 6- 8 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 4-5 ซม.สีเขียวเรียบเกลี้ยง มีรอยแหวนแผลเป็นที่เกิดจากใบร่วงหล่นเห็นชัด ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาวถึง 2 เมตร กาบใบยาว 30-60 ซม.สีเขียวแกมขาวถึงเหลืองมีขนสีม่วง ก้านใบย่อยยาว 30-50 ซม. ช่อดอกออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ห้อยลงยาว 20-40 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ไม่เห็นดอกเพศผู้ ติดผลเป็นแถบสองด้าน ผลกลมรีรูปไข่ สีแดง สุกสีม่วงดำ ขนาดของผล ยาว 1–1.8 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.6–1.2 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในพื้นที่เขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 9b) บริเวณที่มีร่มเงาและสามารถรับแสงแดดได้เต็มวัน ในดินที่อุดมสมบูรณ์ชื้นตลอดเวลา พืชอาจต้านทานต่อช่วงเวลาแห้งแล้งสั้นๆ ช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม 14-16 °C ทนอุณหภูมิต่ำสุดได้ถึง (0 °C) ในช่วงเวลาสั้น ๆเท่านั้น อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก (น้อยกว่าถ้าคลุมดินอย่างดี) และควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องการการตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบหรือใบสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดดอกเก่าออกเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารอินทรีย์ต่ำ (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เหมาะปลูกในกระถางขนาดใหญ่ เพื่อตกแต่งเป็นไม้ประดับภายใน หรือลงแปลงกลางแจ้งในที่ร่มรำไร ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกกอ เมล็ดใช้เวลางอก 3-4 เดือน
|
หลังกับ/ Arenga obtusifolia
[ah-REN-gah] [ob-too-sih-FOH-lee-uh]
Picture 1---Young plant in Sri Lanka. Photo by Rolf Kyburz https://www.palmpedia.net/wiki/index.php/Arenga_obtusifolia Picture 2---Photo by Giuseppe Mazza.https://www.palmpedia.net/wiki/index.php/Arenga_obtusifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Arenga obtusifolia Mart.(1838) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-14680 ---Gomutus obtusifolius Blume.(1843) ---Saguerus langbak Blume.(1843) ชื่อสามัญ---Sugar palm, Sumatra sugar palm. ชื่ออื่น---หลังกับ, พร้าวหนู มะพร้าวหนู (ทั่วไป) ;[CHINESE: Dun ye guang lang, Su men da la guang lang.];[INDONESIA: Pokok Langkap, Lang lap, Langko, Lang sap.];[MALAY: Langkap.];[RUSSIAN: Arenga tupolistnaya.];[THAI: Lang kap, Phrao nu, Ma phrao nu (General).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---AGBOB (Preferred name: Arenga obtusifolia.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Arenga' มาจากภาษามลายู 'areng' ที่อ้างถึงArenga pinnata ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'obtusifolia' คือการรวมกันของคำคุณศัพท์ภาษาละติน "obtusus, a, um" = ทื่อ และ "folium, ii" = leaf Arenga obtusifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) เป็นปาล์มที่อยู่ในสกุลเดียวกับตาว (Arenga) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2381 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดใน ชวา มลายา สุมาตรา และไทย ป่าดิบชื้นชายฝั่ง, ป่าดิบชื้นที่ราบต่ำ. เนินเขาสูงชันในพื้นที่ชายฝั่งทะเล ป่าฝนขั้นต้นซึ่งพบได้ไม่บ่อยนักในพื้นที่ที่มีการเจริญเติบโตขั้นที่สอง ที่ระดับความสูงถึง 700 เมตร
Picture1, 2---Photo by Cerlin Ng https://www.palmpedia.net/wiki/index.php/Arenga_obtusifolia
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ไม่มีหนาม พืชสร้างลำต้นใหม่จากการเจริญเติบโตของ stoloniferous ที่สามารถมีความยาวได้ถึง 15 เมตร ต้นสูง 6-8 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 15 - 30 ซม.ลำต้นและกาบใบปกคลุมด้วยแผ่นใย ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 3.5-4 เมตร มีใบย่อยรูปใบหอก 60-100 ใบ ก้านใบย่อยยาว 1 เมตร ใบย่อยยาวเรียวสีเขียวเข้ม ใต้ใบมีนวลสีขาวปกคลุม ยาว 0.7-1.5 เมตร และกว้าง 6-8 ซม.เรียงไม่เป็นระเบียบทั้งสองด้านของทางใบ ช่อดอกสีขาว มีดอกทั้งสองเพศ ในช่อดอกเดียวกันซึ่งจัดเรียงในลักษณะสามดอก (ดอกเพศเมียหนึ่งดอกท่ามกลางดอกเพศผู้สองดอก) แต่มีข้อสังเกตว่าในระหว่างการพัฒนา ดอกไม้ทั้งหมดของเพศเดียวจะถูกกำจัดออกไปซึ่งประพฤติตามวัตถุประสงค์ของการสืบพันธุ์อย่างไม่แน่นอน (dioecious.) ช่อผลเป็นกระจุกแน่น ผลรูปรีเป็นสันนูน ขนาด3- 5 ซม.เมื่อสุกสีเขียวอมเหลือง มีเมล็ดสีดำ 1-3 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ในภูมิอากาศเขตร้อนชื้นและกึ่งเขตร้อน (USDA โซน 11-12) เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดด ไม่เหมือนกับสายพันธุ์ส่วนใหญ่ในสกุลนี้ ต้องการแสงแดดเต็มที่ (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ความชื้นสูง หรือแสงแดดบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ทนอุณหภูมิต่ำสุด 2°C ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ชื้นสม่ำเสมอที่เป็นกรดเล็กน้อยหรือเป็นกลาง มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต เร็วปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---เล็มใบเก่าออกเป็นครั้งคราวเท่านั้น การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กทั้งหมดและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปล่อยช้า ใส่ปุ๋ยปีละ 3 ครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง และหากปลูกปาล์มกลางแดด ให้ใส่ปุ๋ยบ่อยขึ้น ในที่ที่มีแสงแดดจัดใบมักจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะนาวหรือสีเหลือง ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเพิ่มเติมจึงช่วยป้องกันการเปลี่ยนสีนี้ได้ ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอันตราย---ผลไม้ของสปีชีส์ส่วนใหญ่ในประเภทนี้มีพิษ เนื้อของผลไม้มักจะมีคริสตัลออกซาเลตจำนวนมากทำให้เนื้อกินไม่ได้ ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและแหล่งที่มาของวัสดุ ใช้กิน---ตายอดหรือหัวใจปาล์ม กินเป็นผัก สามารถปาดช่อดอกเพื่อเก็บน้ำหวานมาผลิตน้ำตาลได้ โดยปาดช่อดอกเพศผู้ ใช้ปลูกประดับ---ทุกชนิดในสกุลนี้มีทั้งคุณค่าที่เป็นที่รู้จักหรือมีศักยภาพในการเป็นไม้ประดับ เหมาะสำหรับปลูกในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง ในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ หรือปลูกในภาชนะตกแต่งภายในอาคาร อื่น ๆ---ใบไม้ใช้ในการมุงและใช้เป็นวัสดุทำเครื่องจักสาน ไม้ใช้ทำเครื่องใช้เล็ก ๆหรือแม้กระทั่งใช้ในการก่อสร้างแต่มีการกล่าวว่าไม่คงทน ระยะออกดอก---ตลอดปี มีลักษณะผิดปกติของสกุล monocarpic จึงไม่ตายหลังออกดอก ขยายพันธุ์---เมล็ดพันธุ์ - รากลึกจะเกิดขึ้นก่อนที่ต้นกล้าจะโผล่ขึ้นมาเหนือระดับดิน ดังนั้นควรหว่านเมล็ดในภาชนะลึกในแต่ละต้น แช่เมล็ดล่วงหน้า 24 ชั่วโมงในน้ำอุ่นก่อนหว่าน อาจใช้เวลา 3 - 6 เดือนหรือมากกว่านั้นก่อนที่จะเห็นสัญญาณการเจริญเติบโตเหนือระดับดิน
|
หลาวชะโอนเขา/ Oncosperma horridum
[ahnk-oh-SPEHRM-ah] [hohr-REED-uhm]
Picture 1---Photo by Paul Craft https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_horridum Picture 2---https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_horridum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oncosperma horridum (Griff.) Scheff.(1872) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668555-1 ---Areca horrida Griff.(1845) ชื่อสามัญ---Mountain Nibung Palm, Thorny palm ชื่ออื่น---หลาวชะโอนเขา, ตุหงัน, ตังหัน, หลาวชะโอนป่า (ปัตตานี), ทุเรียน (นครศรีธรรมราช), กระเรียนเขา, ทุรัง (ภาคใต้), บาไย, บายะห์ (มลายู ยะลา), บาใหญ่ (กระบี่), เบาะ (ยะลา) ;[INDONESIA: Bayas, Ari ribbuk, Pinang bayeh, Nibong.];[MALAYSIA: Bayas, Debung, Nyivung (Malay).];[PHILIPPINES: Anibong-gubat, Tanaian.];[THAI: Krarian khao (Peninsular); Tang han (Pattani); Tu ngan (Pattani); Thu rang (Peninsular); Thurian (Nakhon Si Thammarat); Ba-ya (Malay-Yala); Ba-yai (Malay-Yala); Ba yai (Krabi); Bo (Yala); Lao cha on khao (Pattani); Lao cha on pa (Pattani).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ONPHO (Preferred name: Oncosperma horridum.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ไทย สุมาตรา บอร์เนียว สุลาเวสี ฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Oncosperma" มาจากภาษากรีก '(oncos) mass' และ '(spérma)' หมายถึงพื้นผิวของเมล็ดพืช ; ฉายาเฉพาะ 'horridum' จากภาษาละตินความหมาย = เต็มไปด้วยหนาม อ้างอิงถึงการมีหนามบนลำต้นของพืชชนิดนี้ Oncosperma horridum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Rudolph Herman Christiaan Carel Scheffer( 1844–1880) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในป่าฝนที่ลุ่มบนคาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว ยังพบในสุลาเวสี และฟิลิปปินส์ ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร เกิดขึ้นในท้องถิ่นในเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ Central Catchment และ Pulau Tekong ที่ระดับความสูงถึง 914 เมตร
Picture 1---MacRitchie Reservoir Park; Secondary forest, Photo-floraofsingapore.com. Picture 2---Singapore. Photo by Siyang Teo. https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_horridum
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ มีลำต้น 6 - 12 ลำต้นต่อกอ สูงได้ถึง 20 เมตร ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20-25 ซม. ปกคลุมด้วยเงี่ยงหนามแหลมคมสีดำที่ชี้ลงล่างตามลำต้นและก้านใบ คอยอดยาว 60 ซม. สีเขียวอ่อน มีหนามสีดำที่คอ ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 4 เมตร ก้านใบยาว 1-2 เมตร.ใบย่อยรูปใบหอกสีเขียวสด เรียงเวียนเอียงตั้งขึ้น ช่อดอกขนาดใหญ่ สีเหลือง ดอกออกเป็นช่อใต้คอยอด (Infrafoliar) กางแผ่กระจาย ยาว 50 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกจัดเรียงเป็นสามดอกซึ่งประกอบด้วยดอกเพศเมียหนึ่งดอกระหว่างดอกเพศผู้สองดอก ผลเป็นรูปไข่ มีเนื้อคล้ายขี้ผึ้ง ขนาด 1.5-2 ซม. ลักษณะปกคลุมด้วย Wax เริ่มแรกมีสีเขียว จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและสุดท้ายเป็นสีดำเมื่อสุก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ชอบแสงแดดเต็มวัน (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) หรือกึ่งร่มรำไร (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้าหรือข่วงบ่าย) ที่อุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C อุณหภูมิระหว่าง 5 °C ถึง 10 °C อาจทำให้พืชเสียหายและถึงตายได้ สามารถปรับให้เข้ากับดินประเภทใดก็ได้ แต่ชอบดินอินทรีย์ที่ลึก อุดมสมบูรณ์ และเป็นกรด ค่า pH ของดินที่ต้องการคือ 4.6-5 ที่มีความชื้น ระบายน้ำได้ดี มีความทนทานต่อความเค็มและน้ำกร่อย อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก ต้องการความชื้นสูง สามารถทนต่อน้ำท่วมชั่วคราวหรือระดับน้ำที่ขึ้นลงได้ ซึ่งอาจพบได้ตามแม่น้ำ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ การใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอดสุก กินเป็นผัก ผลไม้กินเป็นครั้งคราว เมล็ดบางครั้งใช้เคี้ยวแทนหมาก (Areca catechu) ใช้ปลูกประดับ---เป็นปาล์มจัดสวนที่ยอดเยี่ยม ปลูกเดี่ยวจะสร้างความน่าสนใจในสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ และด้วยขนาดและการเติบโตที่รวดเร็ว ปาล์มจะแตกเป็นกอใหญ่อย่างสวยงาม อื่น ๆ---ไม้ แข็งแรงและทนทานกว่าปาล์มอื่น ๆ ทนทานเป็นพิเศษในน้ำ ลำต้นที่ทนต่อน้ำทะเลและมักจะใช้ในการสร้าง kelong (โครงสร้างไม้บนตะกอนในทะเลสำหรับการเลี้ยงหรือจับปลา) สถานะของการอนุรักษ์---สายพันธุ์นี้ยังไม่ได้รับการยืนยันโดย International Union for the Conservation of Nature (IUCN) สายพันธุ์นี้ถือว่าอ่อนแอในบางพื้นที่ของพื้นที่กระจายพันธุ์ และมีอยู่เฉพาะในเขตคุ้มครองเท่านั้น ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เมล็ดสดงอกง่าย โดยแช่ในน้ำอุ่นเป็นเวลา 24 ชั่วโมงสามารถงอกได้ภายใน 2 เดือนที่อุณหภูมิ 28 °C เมล็ดพันธุ์หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม จะมีอายุการเก็บรักษาไม่นาน - โดยการแยกหน่อ
|
หลาวชะโอนทุ่ง/ Oncosperma tigillarium
[ahnk-oh-SPEHRM-ah] [tij-ih-lahr-EE-uhm]
Picture 1---Photo by Mahmud Yussop.https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_tigillarium Picture 2---https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_tigillarium
ชื่อวิทยาศาสตร์---Oncosperma tigillarium (Jack.) Ridl.(1864) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:668557-1#synonyms ---Basionym: Areca tigillaria Jack.(1820). https://www.gbif.org/species/2732290 ---Keppleria tigillaria (Jack) Meisn.(1842) ---Areca nibung Mart.(1838) ---Areca spinosa Hasselt & Kunth.(1841) ---Euterpe filamentosa Kunth.(1841) ---Oncosperma cambodianum Hance.(1876) ---Oncosperma filamentosum (Kunth) Blume.(1843) ชื่อสามัญ---Nibung palm, Nibong palm, Wild palm ชื่ออื่น--- หลาวชะโอนทุ่ง, หลาวชะโอน, ชะโอน (ภาคใต้), นิบง (มลายู ปัตตานี) ; [CAMBODIA: Slateaaon (Central Khmer).];[MALAYSIA: Palma, Nibong (malay).];[PORTUGUESE: Palmeira-nibung.];[THAI: Lao cha own thung, Lao cha own, Cha own (Peninsular); Ni-bong (Malay-Pattani).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ONPFI (Preferred name: Oncosperma tigillarium.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - มาเลเซียถึงสุมาตรา, บอร์เนียวและฟิลิปปินส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล "Oncosperma" มาจากภาษากรีก '(oncos) mass' และ '(spérma)' หมายถึงพื้นผิวของเมล็ดพืช ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'tigillarium' มาจากภาษาละติน “tigillum” = จันทันขนาดเล็ก โดยอ้างอิงถึงลำต้นที่บาง Oncosperma tigillarium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2407
Picture---Kuching, Sarawak, Malaysia. Photo by Mahmud Yussop.https://www.palmpedia.net/wiki/Oncosperma_tigillarium
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดใน บอร์เนียว, กัมพูชา, ชวา, มลายู, สุมาตรา และไทย พบได้ในพื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ ตามป่าชายเลนหนองน้ำ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 150 เมตร แปลงสัญชาติและรุกรานไปยังเกาะเขตร้อนสองสามแห่งในซีกโลกตะวันตก ลักษณะ---เป็นปาล์มขนาดใหญ่ แตกกอสูงได้ถึง 25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 10-15 ซม บางครั้งถึง 25 ซม. ขนาดของกอมักจะใหญ่กว่าหลาวชะโอนเขา หนาแน่นโดยปกติ 15 - 30 ลำต้นต่อกอแต่บางครั้งจะมีหลายร้อย ลำต้นมีสีบรอนซ์อ่อนๆ ปรากฏให้เห็นรอยวงแหวนของใบแก่ทั้หลุดร่วง ปกคลุมไปด้วยหนามสีดำจำนวนมากแบนราบ ยาวไม่เกิน 10 ซม.และคว่ำลงเป็นหลัก ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) มีทางใบยาว 3 เมตร.โค้งอย่างสวยงาม สีเขียวอ่อน ปกคลุมด้วยหนามยาวไม่เกิน 10 ซม. ใบย่อยยาว 60–70 ซม.กว้าง 3 ซม. ช่อดอกมีหนามเช่นกันเป็นช่อแยกแนง 2 ชั้น ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน (Monoecious) มีดอกของทั้งสองเพศวางอยู่ในสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกเพศเมียท่ามกลางดอกเพศผู้สอง) ก้านช่อดอกยาว 15-20 ซม ช่อดอกรวม ยาว 40–60 ซม. ผลกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.2 ซม. ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดง และเมื่อสุกสีม่วงดำ มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็สามารถประสบความสำเร็จในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนได้เช่นกัน (แสงแดดโดยตรงอย่างน้อย 4 ชั่วโมงต่อเนื่อง) ปรับให้เข้ากับดินประเภทใดก็ได้ ชอบ pH ในช่วง 6 - 6.5 แต่ทนได้ 5.5 - 7 อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีอยู่ในช่วง 21 - 32°C แต่สามารถทนได้ 10 - 35°C พืชสามารถทนต่อการสัมผัสกับน้ำทะเลได้อย่างน้อยด้วยละอองเกลือและสภาพดินที่ค่อนข้างเค็ม อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก ต้องการความชื้นสูง สามารถทนต่อน้ำท่วมชั่วคราวหรือระดับน้ำที่ขึ้นลงได้ ซึ่งอาจพบได้ตามแม่น้ำ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ตายอดสามารถกินดิบในสลัดหรือปรุงเป็นผัก เนื้อขาวละเอียด รสหวานอมเปรี้ยว ผักที่อร่อยที่สุดและเมื่อต้มแล้วจะมีลักษณะคล้ายหน่อไม้ฝรั่งหรือคะน้า ดอกไม้ใช้สำหรับแต่งกลิ่นข้าว ผลไม้ใช้สำหรับทำแยมและกินเป็นครั้งคราวเคี้ยวแทนหมากพลู ใช้เป็นยา---รากรวมกับรากของ Areca catechu ได้รับการกล่าวขานว่าจะช่วยปรับปรุง/เพิ่มพลังชีวิตของผู้ชาย ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---ถือเป็นหนึ่งในปาล์มที่ใช้ปลูกประดับประดามากที่สุด สำหรับความสง่างามของกลุ่มใบ แต่ได้รับการเพาะปลูกค่อนข้างน้อยเพราะมีหนามมาก เหมาะกับสวนสาธารณะและสวนขนาดใหญ่ ปลูกแยกเป็นกลุ่มหรือเป็นแถวและให้ห่างจากเส้นทางสัญจร อื่น ๆ---ใบเป็นแหล่งของไฟเบอร์ ใช้สำหรับทำตะกร้าและมุงจาก ลำต้นที่ทนต่อน้ำทะเลและมักจะใช้ในการสร้าง kelong (โครงสร้างไม้บนตะกอนในทะเลสำหรับการเลี้ยงหรือจับปลา) ระยะเวลาออกดอก/ติดผล---ดอกไม้ในฤดูร้อนและผลไม้ในฤดูหนาว ขยายพันธุ์---แยกหน่อ เพาะเมล็ด เมล็ดสดสามารถงอกได้ภายใน 2-3 เดือน
|
หลุมพี/Eleiodoxa confera
[ee-lee-oh-DOHKS-ah] [kohn-FEHR-tah]
Picture 1---Nee Soon Swamp Forest, Singapore.https://www.palmpedia.net/wiki/Eleiodoxa_conferta Picture 2---Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb https://www.palmpedia.net/wiki/Eleiodoxa_conferta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Eleiodoxa confeta (Griff.) Burret.(1942) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:666819-1#synonyms ---Basionym: Salacca conferta Griff.(1845) https://www.gbif.org/species/2735100 ---Eleiodoxa microcarpa Burret.(1942) ---Eleiodoxa orthoschista Burret.(1942) ---Eleiodoxa scortechinii (Becc.) Burret.(1942) ---Eleiodoxa xantholepis Burret.(1942) ---Salacca scortechinii Becc.(1919) ชื่อสามัญ---Marsh Sour Relish, Kelubi Palm, Asam paya ชื่ออื่น---ลุมพี, หลุมพี (นราธิวาส,ปัตตานี), กลูบี, กะลูบี, ลุบี (มลายู นราธิวาส) ;[FRENCH: Salacca de Borneo, Salacca de Sarawak.];[INDONESIA: Kelubi.];[MALAYSIA: Kelubi, Kelumi, Asam paya, Asam Kelubi, Kuwai-kuwai, Salak Hutan.];[THAI: Lum phi (Pattani, Narathiwat); Kra-lu-bi, Lu-bi (Malay-Narathiwat).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---EDXCO (Preferred name: Eleiodoxa confeta.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---สกุล 'Eleiodoxa' ได้รับการตั้งชื่อจากคำภาษากรีกสองคำที่แปลว่า "น้ำ" และ "ความรุ่งโรจน์" ; ชื่อสปีชีส์ 'confeta' เป็นภาษาละตินสำหรับ "แออัด" ซึ่งหมายถึงดอกเข็ม - เป็น Monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์ในสกุล คือ Eleiodoxa confeta Eleiodoxa confeta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2485
Picture 1, 2---https://www.palmpedia.net/wiki/Eleiodoxa_conferta
ที่อยู่อาศัย--- พบใน ภาคใต้ของประเทศไทยถึงคาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ และเกาะสุมาตราถึงเกาะบอร์เนียว เติบโตในหนองน้ำจืดมักสร้างอาณานิคมขนาดใหญ่ ตามที่ลุ่มที่มีความอุดมสมบูรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในป่าพรุบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ในฐานะที่เป็นหนึ่งใน พืช จำพวก Hapaxanthic ไม่กี่ชนิด ในวงศ์นี้ ลำต้นแต่ละต้นจะถูกกำหนดและตายหลังจากดอกบาน หน่อใหม่ในกอเดียวกันก็จะขึ้นมาแทนที่ ทรงพุ่มแผ่กว้าง สูงประมาณ 3-4 เมตร ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ออกเรียงเวียนสลับ ทางใบยาว 3-6 เมตร ความกว้างของใบประมาณ 1-2 เมตร กาบใบและก้านใบมีหนามแหลมยาวเรียงเป็นแผง หนามยาว 5-7 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกเป็นช่อแยกแขนง ช่อดอกมีความยาวประมาณ 10-12 ซม.ผลรูปไข่กลับมีเนื้อเมล็ดเดียว ออกเป็นทะลาย ทะลายหนึ่งๆออกผลได้ประมาณ 200-300 ผล เปลือกผลบางเป็นเกล็ดสีน้ำตาล เนื้อในสีเหลืองอมส้มขมพู รสเปรี้ยว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางผลประมาณ 2.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- (Cold Hardiness Zone: 10b) ต้องการตำแหน่งกำบัง ร่มเงา (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) หรือแสงกรอง (แสงทางอ้อม) ในดินชื้นถึงเปียก ดินที่อุดมสมบูรณ์และเป็นกรดเล็กน้อย ทนน้ำท่วมขังได้ดี อัตราการเจริญเติบโต เร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปริมาณมาก ความชื้นสูง สามารถทนต่อน้ำท่วมชั่วคราวหรือระดับน้ำที่ขึ้นลงได้ การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยคนในท้องถิ่นใช้เป็นอาหาร ยาและวัสดุ ผลไม้มักจะขายในตลาดท้องถิ่น ใช้กิน---ผลไม้ Kelubi สุก รสเปรี้ยวและฝาดมาก มักจะดองก่อนบริโภค ใช้สำหรับปรุงรสแกงหรือต้มเพื่อทำขนมหวาน สามารถใช้แทนมะขาม (Tamarindus indicus) - ยอดอ่อนต้มกินเป็นผัก แม้ว่าการเก็บตายอดจะทำให้ลำต้นนั้นตาย (เนื่องจากไม่สามารถแตกตายอดด้านข้างได้) พืชจะสร้างลำต้นใหม่จากลำต้นใต้ดิน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะเก็บเกี่ยวตายอดได้อย่างยั่งยืนหากเก็บในปริมาณที่พอเหมาะ ใช้เป็นยา---มีการอ้างว่าชาวจีนใช้เปลือกผลไม้ที่เป็นเกล็ดเป็นส่วนผสมในการแก้ไอ มันยังขึ้นชื่อว่าเป็นยาแก้พิษของ Antiaris - ยาต้มจากลำต้นใช้พอกแก้อาการไอและเสียงแหบ - ใช้เป็นยารักษาโรค orchitis (คือการอักเสบของอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง) และเชื่อว่าสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ ใช้ปลูกประดับ---เหมาะปลูกลงแปลงริมน้ำ หรือปลูกเป็นไม้กระถางแช่น้ำ อื่น ๆ---ใบใช้สำหรับมุงและทอเป็นเสื่อ สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---พื้นเมืองสิงคโปร์ ประเภท อ่อนแอ - Vulnerable (VU). [ใกล้สูญพันธุ์มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคตอันใกล้.] https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/flora/3/2/3268 การออกดอก/ติดผล---ตั้งแต่เริ่มออกช่อดอกจนถึงผลสุก ใช้ระยะเวลา ประมาณ 18 - 20 เดือน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
หวายสยาม/ Calamus siamensis
[KAL-ah-muhs] [siam-EN-siss]
Picture 1---Nong Nooch Tropical Garden, Pattaya, Thailand. https://www.palmpedia.net/wiki/Calamus_siamensis Picture 2---Photo by Paul Craft.https://www.palmpedia.net/wiki/Calamus_siamensis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calamus siamensis Becc.(1902) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Calamus viminalis Willd..https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665424-1 ชื่อสามัญ---Thai Rattan, Bitter rattan palm. ชื่ออื่น---หวายสยาม, หวายขม (ทั่วไป), หวายบุ่น, หวายดง, หวายใหญ่ (ภาคตะวันออกเฉยงเหนือ), แกรบาตู (มาเลย์-นราธิวาส) ; [CAMBODIA: Padao; Phdao Toeuk (Central Khmer).];[CHINESE: Tiao sheng ten.];[DUTCH: Korrot .];[FRENCH: Rotang osier.];[GERMAN: Rotangpalme.];[INDONESIA: Penjalin cacing (Bali).];[LAOS: Wai khom, Wai nam, Wai deng, Re dark, Yo.];[SPANISH: Palmera rattan amarga.];[THAI: Wai sayam, Wai khom (General); Wai bun, Wai dong, Wai yai (Northeastern); Krae-ba-tu (Malay-Narathiwat).]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---CLUFA (Preferred name: Calamus viminalis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Calamus' จากภาษากรีก 'kalamos' หมายถึง กก; ชื่อเฉพาะ "siamensis" มาจากภาษาละติน 'siam' และ 'ensis' แปลว่า "ของสยาม" ชื่อเรียกเดิมประเทศไทย Calamus siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลหวาย (Calamus)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2445 ที่อยู่อาศัย---พบใน พม่า, ประเทศไทย (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้), กัมพูชา, ลาวและคาบสมุทรมาเลเซีย เติบโตในป่ากึ่งป่าดงดิบที่เสื่อมโทรม ที่ระดับความสูง 0 - 600 เมตร พบในลาวที่ระดับความสูง 0- 100 เมตร ในประเทศไทยที่ระดับความสูง 0 - 300 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มเถาเลื้อยพันแตกกอได้ สร้างกลุ่มลำต้นที่แข็งแรงและไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นยาวได้ถึง 20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1.2-2.5 ซม.ข้อปล้องยาว 15–45 ซม.มีหนามแหลมสีน้ำตาลเข้มรูปสามเหลี่ยมแคบ มีฐานเป็นสีเขียวซีดถึงเหลือง ยาวที่สุดถึง 4.5 ซม. กระจายด้วยหนามที่เล็กกว่ามากถึง 0.5 ซม. หนามโดยทั่วไปกระจัดกระจาย บางครั้งจัดกลุ่มบางส่วน ใบประกอบรูปขนนก (Pinnate) ใบย่อยออกเป็นกระจุกแบบตรงข้าม กระจุกละ 2-10 ใบ ใบย่อยที่ประกอบบนก้านใบมีจำนวนประมาณ 75-90 ใบ สีเขียวเข้มโค้งอ่อนสวยงาม ยาวที่สุด 11–33 x 1-2 ซม. ดอกแยกเพศอยู่ค่างต้น (dioecious) ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกยาวถึง 2.5 เมตร มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ผลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1 ซม.เปลือกเป็นเกล็ดเรียงซ้อนเกยกันแนวตั้ง 15 แถวสีน้ำตาลอมเหลืองแห้ง ขอบสีเข้มกว่า ปลายผลมีติ่ง เมล็ดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10a) แสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) หรือในร่มเงา ดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยฮิวมัส ทนแล้งและทนดินเค็มได้ดี การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก รดน้ำสม่ำเสมออย่าปล่อยให้ดินแห้ง พืชทนแล้งไก้ดี การตัดแต่งกิ่ง---การดูแลเล็กน้อยเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อตั้งต้นกล้าแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องกำจัดวัชพืชบริเวณรอบๆ ต้นกล้าเป็นครั้งคราวจนกว่าต้นไม้จะสูงเกิน 2 เมตร - ควรจัดการร่มเงาเหนือต้นกล้าทุกๆ 6 เดือนในช่วงอายุ 2-3 ปีแรกของต้นอ่อนเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแสงเพียงพอเพื่อให้เติบโตอย่างแข็งแรง การซึมผ่านของแสงประมาณ 40 - 50% โดยทั่วไปถือว่าเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการส่งเสริมการเจริญเติบโตของลำต้น การใส่ปุ๋ย---หลังการตัดแต่ละครั้งใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก กระตุ้นการเจริญเติบโตของหน่อใหม่ด้วยการให้น้ำ หน่อจะออกตลอดทั้งปี มิฉะนั้น หน่อจะผลิตได้เฉพาะในฤดูฝน ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคหรือศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามแหลมคม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---*พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากป่า ส่วนใหญ่จะใช้ในท้องถิ่น ลำต้นเหมาะสำหรับงานหัตถกรรม ส่วนยอดอ่อน รับประทานได้ ลำต้นยังมีการแลกเปลี่ยนในท้องถิ่นในบางครั้ง มีการสังเกตพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่สำหรับการผลิตหน่อกินได้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และบันทึกการเพาะปลูกทั่วเชียงใหม่ย้อนหลังไปถึงปี พ.ศ. 2458 เป็นอย่างน้อย https://tropical.theferns.info/viewtropical.php?id=Calamus+siamensis ใช้กิน---เนื้อผลสุกกินได้เนื้อนิ่มรสหวานๆเปรี้ยวๆ - หน่ออ่อน สุก อาหารพื้นเมืองลาวนิยมรับประทานเป็นผักและใช้ประกอบอาหารหลายชนิด ใช้ปลูกประดับ---ช่วงที่สวยงามคือสูงประมาณ 1 เมตร ปลูกลงกระถางตั้งอยู่ในที่ร่มหรือปลูกลงแปลงกลางแจ้งก็ได้ อื่น ๆ---ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑั หวาย เช่น ทําเฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน เครื่องใช้หรืออุปกรณ์กีฬาต่างๆ ซึ่งหวายเหล่านี้จะใช้ต้นแก่ที่ เจริญเติบโตเต็มที่และมีอายุไม่ตํ่ากว่า 7–10 ปี ภัยคุกคาม---เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ และไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่ามันกำลังถูกคุกคามด้วยการสูญพันธุ์ อย่างไรก็ตามที่อยู่อาศัยของมันเสื่อมโทรมลงทั่วทั้งภูมิภาค ปัจจุบันไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงถูกประเมินไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species. (2011) source: Lansdown, R.V. 2011. Calamus siamensis. The IUCN Red List of Threatened Species 2011: e.T199687A9117589. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2011-2.RLTS.T199687A9117589.en. เข้าถึงเมื่อ22 มิถุนายน 2566 ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มกราคม /กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อจากกอ
|
เหลืองพร้าว/Bentinckia nicobarica.
[ben-tink-EE-ah] [nik-oh-bar-EE-kah]
Picture 1---Singapore.Photo by Geoff Stein.-Fairchild Tropical Botanic Garden, Florida.https://www.palmpedia.net Picture 2---Photo by Dr. Carl E. Lewis,Fairchild Tropical Botanic Garden/Palmweb.https://www.palmpedia.net/wiki/Bentinckia_nicobarica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bentinckia nicobarica (Kurz) Becc.(1885) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See https://powo.science.kew.org/taxon/664852-1#synonyms ---Basionym: Orania nicobarica Kurz.(1875). https://www.gbif.org/species/2735560 ชื่อสามัญ--- Bentinckia palm, Nicobar Palm ชื่ออื่น---เหลืองพร้าว (ทั่วไป); [PORTUGUESE; Palmeira-de-Nicobar.];[THAI: Leuang phrao (General).]; ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---BNKNI (Preferred name: Bentinckia nicobarica.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลนี้เป็นเกียรติแก่ William Henry Cavendish Bentinck (1774-1839) นักการเมืองชาวอังกฤษผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการอินเดีย ; ชื่อชนิดสายพันธุ์ “nicobarica” ตั้งขึ้นตามถิ่นที่พบคือ หมู่เกาะนิโคบาร์ในทะเลอันดามันมหาสมุทร อินเดีย Bentinckia nicobarica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2428 ที่อยู่อาศัย---พืชเฉพาะถิ่น (endemic ) ที่เกิดขึ้นในเกาะ Great Nicobar , Katchal , Nancowryและ Car Nicobar Islands พบได้ในป่าดงดิบที่ลุ่ม ที่ระดับความสูงต่ำใกล้กับชายฝั่ง
Picture---Fairchild Tropical Botanic Garden, Florida. Photo by Dr. Carl E. Lewis, Fairchild Tropical Botanic Garden/Palmweb https://www.palmpedia.net/wiki/Bentinckia_nicobarica
ลักษณะ---เป็นปาล์ม ต้นเดี่ยวสูงได้ถึง 15-20 เมตร เส้นรอบวงลำต้นสูงสุดประมาณ 25 ซม สีเขียวอมเหลือง มีสีเทาแกมตำในส่วนที่เก่าที่สุด ลำต้นมีรอยวงแหวนของใบแก่ที่หลุดร่วง คอยอดยาว1-1.6เมตร ใบรูปขนนก (pinnate) ทางใบยาว1.5-2.4 เมตร โค้งงออย่างสง่างาม ใบย่อยยาวลู่ลง ใบย่อยคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา (Bifid) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอกสมบูรณ์เพศออกใต้ใบ (Infrafoliar) แตกกิ่งก้านดอกออกเป็นสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกเพศเมียระหว่างเพศผู้สองดอก) ผลรูปไข่ ความยาว 1.8 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.2 ซม.มีสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลแดงเมื่อสุก มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะสำหรับปลูกเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนชื้นเท่านั้น (Cold Hardiness Zone: 10a) เนื่องจากไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิใกล้กับ 0 °C ได้ส่วนอุณหภูมิต่ำสุดควรรักษาไว้เหนือ 10°C ตำแหน่งที่เหมาะสมอยู่กลางแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ปรับให้เข้ากับแสงบางส่วนได้ดี (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงบ่าย) ชอบดินร่วนที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์เป็นกรดเล็กน้อย และมีการระบายน้ำที่ดี ทนต่อไอเกลือได้ปานกลาง ไม่สามารถทนต่อความร้อนอบอ้าวและสภาพลมแรงได้ อัตราการเจริญเติบโต เป็นหนึ่งในปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุด การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ชอบดินชื้น (ไม่อิ่มตัว) และต้องการน้ำมากตลอดเวลา ทนต่อน้ำท่วมได้สูง แต่อย่าปล่อยให้อยู่ในน้ำขังนิ่งเป็นเวลานาน การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ทนทานต่อศัตรูพืชและโรคที่สำคัญ แต่อาจต้องมีการป้องกันแมลงเกล็ด (Scale insects) และไรเดอร์ (Spider mites.) รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ประชากรในท้องถิ่นกินส่วนยอด (palmito) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายของพืช ใช้ปลูกประดับ---พืชที่มีคุณค่าทางไม้ประดับและภูมิทัศน์ที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากมีลำต้นที่เรียวยาวและใบที่สง่างาม เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้งในที่มีความชื้นสูง อื่น ๆ---ลำต้นถูกใช้โดยคนในท้องถิ่นใช้สร้างบ้านและทำรั้ว สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวที่เกิดขึ้นในเกาะ Great Nicobar , Katchal , Nancowryและ Car Nicobar Islands [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ภัยคุกคาม---เนื่องจากการตั้งถิ่นฐานที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการสูญเสียที่อยู่อาศัย ถูกคุกคามโดยภัยธรรมชาติ ตายอดถูกกินโดยคนท้องถิ่นเป็นสาเหตุของการตายของต้นไม้ ถูกวางไว้ใน IUCN Red List of Threatened Species ประเภท ใกล้สูญพันธุ์ (EN) - มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ในป่า (ความเสี่ยงสูงมากต่อการสูญพันธุ์ในธรรมชาติในอนาคต) สถานะการอนุรักษ์---EN - Endangered C2a - ver 2.3 - IUCN Red List of Threatened Species.(1998) source: Johnson, D. 1998. Bentinckia nicobarica. The IUCN Red List of Threatened Species 1998: e.T38450A10120169. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.1998.RLTS.T38450A10120169.en. เข้าถึงเมื่อ22 มิถุนายน 2566 การอนุรักษ์---*ตัวอย่างที่ยังมีชีวิตของแทกซอนชนิดนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้ที่สวนพฤกษศาสตร์อินเดียเมืองฮาวราห์ (Indian Botanic Garden, Howrah) และที่ธนาคารยีนฟิลด์แห่งสวนพฤกษศาสตร์เขตร้อนเยาวหราล เนห์รู (The Field Gene Bank of Jawaharlal Nehru Tropical Botanic Garden) และสถาบันวิจัย เมืองธีรุวนันทปุรัมในอินเดีย (Research Institute, Thiruvananthapuram in India.) https://en.wikipedia.org/wiki/Bentinckia_nicobarica การขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ระยะเวลาในการงอก 2-3 เดือน ที่อุณหภูมิ 24-28 °C
|
สกุล Basselinia เป็นประเภทปาล์ม มีถิ่นอาศัย ในนิวแคลิโดเนีย แปซิฟิก การวิเคราะห์โมเลกุล phylogenetic, Hedyscepe จากเกาะลอร์ดฮาว ซ้อนใน Basselinia มี14สายพันธุ์ที่ยอมรับ (แสดงในหน้านี้ 1 สายพันธุ์) 1 Basselinia deplanchei (Brongn. & Gris) Vieill 2 Basselinia eriostachys (Brongn.) Becc. 3 Basselinia favieri H.E.Moore 4 Basselinia glabrata Becc. 5 Basselinia gracilis (Brongn. & Gris) Vieill. 6 Basselinia humboldtiana (Brongn.) H.E.Moore 7 Basselinia iterata H.E.Moore 8 Basselinia moorei Pintaud & F.W.Stauffer 9 Basselinia pancheri (Brongn. & Gris) Vieill 10 Basselinia porphyrea H.E.Moore 11 Basselinia sordida H.E.Moore 12 Basselinia tomentosa Becc. 13 Basselinia velutina Becc. 14 Basselinia vestita H.E.Moore
Basselinia gracilis
[bas-seh-lin-EE-ah] [grah-SIHL-iss]
Picture 1---Locationn: Tchamba, New Caledonia. Photo by Rolf Kyburz, edric.https://www.palmpedia.net/wiki/Basselinia_gracilis Picture 2---New Caledonia. Photo Aug 1991. Photo by Bryan, edric. https://www.palmpedia.net/wiki/Basselinia_gracilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Basselinia gracilis (Brongn. & Gris) Vieill.(1873) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms ---Kentia gracilis Brongn. & Gris.(1864) ---Clinostigma gracile (Brongn. & Gris) Becc.(1877) ---Microkentia gracilis (Brongn. & Gris) Hook.f. ex Salomon.(1887) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:664836-1#synonyms ชื่อสามัญ---Basselinia palm, New Caledonia palm. ชื่ออื่น---None.(Not recorded) ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---BSZGR (Preferred name: Basselinia gracilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย:โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---นิวแคลิโดเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Basselinia' ตั้งชื่อตาม Olivier Basselin กวีชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 15 ; ชื่อฉเพาะ 'gracilis' = สง่างาม Basselinia gracilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adolphe Theodore Brongniart (1801 - 1876) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและJean Antoine Arthur Gris (1829-1872) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Euene Vieillard (1819-1896) นักพฤกษศาสตร์ ศัลยแพทย์ทหารเรือ นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส และผู้อำนวยการ Jardin Botanique de Caen ที่รวบรวมในนิวแคลิโดเนียและตาฮิติ ในปี พ.ศ.2414 ที่อยู่อาศัย---สายพันธุ์นี้หายากมากเป็นต้นปาล์มเฉพาะถิ่นที่ จำกัดอยู่ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของ Grande Terreในนิวแคลิโดเนียในป่าชื้นตามแนวชายฝั่ง เติบโตในป่าฝนจากระดับน้ำทะเลขึ้นไปประมาณ 500-1,000 เมตร บนดินที่ได้จากหิน schistose ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,500 เมตร
Picture 1---Locationn: Tchamba, New Caledonia. https://www.palmpedia.net/wiki/Basselinia_gracilis Picture 1---https://www.palmpedia.net/wiki/Basselinia_gracilis
ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอขนาดเล็ก บ่อยครั้งขึ้นเป็นกระจุก 2-8 ลำ ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่1-10 ซม และ.สูงได้ถึง 8 เมตรลำต้นอาจมีหลายสีรวมกัน มีทั้งจุดสีเทา, สีม่วง, สีเหลือง, สีเขียวและสีส้มที่มีจุดสีดำ คอยอดปกคลุมด้วยเกล็ดหนาแน่นสีม่วงเข้มหรือดำ ด้านนอกด้านนอกสีเหลืองสีส้มหรือสีส้มแดง (Crownshaft ที่มีสีสันมาก มีความแปรปรวนสูง) ยาว30-40 ซม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ทางใบยาว1 เมตร มี 5-11ใบ (pinnate) ใบย่อยยาวเรียวเรียงห่างๆยาว 0.90-1.2เมตร ใบคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา ช่อดอกออกที่คอยอด (Infrafoliar) ตั้งตรง หรือห้อยลง ยาว 30 ซม.เป็นช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ผลกลมขนาด 5-6 มม. สีเขียวอ่อน เมื่อสุกสีแดงเข้มถึงสีดำเมล็ดกลมสีดำ1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกได้ง่ายในที่ร่ม (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงบางชั่วโมงต่อวัน) กรองแสง (แสงสว่างทางอ้อม) หรือแสงแดดยามเช้า การสัมผัสกับแสงแดดจัดโดยตรง (หรือสว่างเกินไป) พร้อมกับระดับความชื้นต่ำจะทำให้ใบไหม้ ต้องการดินร่วนอุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดี ชอบดินที่มีความเป็นกรดค่อนข้างต่ำ pH 6.1-7.5 อัตราการเจริญเติบโตช้าถึงช้ามาก การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ และอย่าให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช--- บางครั้งยุบตัวลงโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นปาล์มสำหรับสะสมทั่วไป ปาล์มนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเพาะเลี้ยงในร่ม เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร การขุดย้าย ค่อนข้างดีถ้าตุ้มดิน (root ball) ไม่ถูกรบกวน สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) ของ นิวแคลิโดเนีย สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น--ถูกจัดวางใน RED LIST STATUS - Endangered (EN) ใกล้สูญพันธุ์ , assessed in 30/09/2016 http://endemia.nc/en/flore/fiche5855 ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน
|
Buri Palm/ Allagoptera caudescens
[ahl-lah-gohp-TEH-rah] [kah-DEHS-sens]
Picture 1---Photo://www.palmpedia.net Picture 2---Entre Rios, Bahia, Brazil. Photo by Dr. Alex Popovkin.https://www.palmpedia.net/wiki/Allagoptera_caudescens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Allagoptera caudescens (Mart.) Kuntze.(1891) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:8522-2#synonyms ---Basionym: Polyandrococos caudescens (Mart.).(1901) https://www.gbif.org/species/2732046 ---Ceroxylon niveum Jacob-Makoy.(1870), nom. superfl. ---Diplothemium caudescens Mart.(1853) ---Diplothemium pectinatum Barb.Rodr.(1898) ---Orania nivea Linden ex W.Watson.(1887) ---Polyandrococos pectinata (Barb.Rodr.) Barb.Rodr.(1901) ชื่อสามัญ---Buri Palm ชื่ออื่น---ปาล์มบุรี, หมากเงิน (ทั่วไป) ;[PORTUGUESE: Buri, Palha-branca.];[THAI: Paam buri, Mak ngeon (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---AGASS (Preferred name: Allagoptera sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---บราซิล นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Allagoptera' เป็นการรวมคำในภาษากรีก “ἀλλαγή” (allagé) = การเปลี่ยนแปลง, การผ่าเหล่า และ “πτερόν” (pterón) = ปีก โดยอ้างอิงถึงแผ่นพับที่เรียงเป็นขนนกตาม rachis ; ขื่อเฉพาะสายพันธุ์ เป็นภาษาละติน 'caudescens' = "หมี" ซึ่งหมายถึง tomentum ที่มีขน Allagoptera caudescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCarl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2434 ที่อยู่อาศัย---พืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของบราซิลพวกมันถูกจำกัดอยู่ในเขตบราซิลตะวันออกเฉียงเหนือ, บราซิลตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะ Buri, Bahia พบตามป่าฝน ป่าชายฝั่งในมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่เปิดกว้าง หรือป่าใกล้กับทะเล
Picture ---Institute Plantarum, Nova Odessa, São Paulo, Brazil. Photo by Mauricio Moreira Caixeta. https://www.palmpedia.net/wiki/Allagoptera_caudescens ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 12-15 เมตร เส้นผ่านศุนย์กลางลำต้น 15-25 ซม.ลำต้นมีร่องรอยแผลเป็นที่ใบหลุดร่วง ในที่ดินไม่ดีแห้งแล้ง มักจะมีลำต้นใต้ดินที่สั้นแทนที่จะเป็นลำต้นตั้งตรง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ทางใบยาว 1-1.8 เมตร โคนกาบใบแบะออกจึงไม่มีส่วนคอ แผ่นใบสีเขียวเข้มด้านบนและด้านล่างสีเงิน กว้างเท่ากันกระจายออกรอบคอ ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) ช่อดอกไม่แตกแขนง ห้อยลง ยาว 30-60 ซม.ผลสีน้ำตาลแกมเขียวเกือบกลมมีความยาวสูงสุด 4.5 ซม. และเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 ซม มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในสภาพอากาศแบบเขตร้อนหรือเขตอบอุ่น (USDA 9-11) เป็น Allagoptera เพียงชนิดเดียวที่ชอบตำแหน่งที่มีร่มเงามากกว่าแสงแดดเต็ม ในดินชื้นปานกลางและมีการระบายน้ำดี pH 5.6-8.5 ทนทานต่อความแห้งแล้ง แต่ไวต่อความเย็น อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางที่ชื้นแต่ไม่สม่ำเสมอ รดน้ำทุกสองสามสัปดาห์ในช่วงฤดูปลูก ทนต่อความชื้นในระดับต่ำและความแห้งแล้งในฤดูร้อน การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง ศัตรูพืช/โรคพืช---None observed รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของวัสดุ ใช้กิน---ผลไม้ และเมล็ดกินได้ ใช้กินเป็นครั้งคราว ใช้ในวนเกษตร---ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกที่ดีและใช้ในการฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ---เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร ตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ต้นอ่อนที่มีใบใหญ่และใบไม่แตก ปลูกเป็นไม้กระถางที่สวยงามน่ารัก อื่น ๆ--ไม้มีน้ำหนักปานกลาง มันถูกใช้เฉพาะในการก่อสร้างจันทัน คาน ฯลฯ ในอาคารชนบท ใบใช้สำหรับมุง สถานภาพ--- *พืชถิ่นเดียว (endemic) ของบราซิล [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 6-8 เดือน เมล็ดมีเวลาสั้นในการเก็บรักษา ดังนั้นควรเก็บเมล็ดสดเพาะหลังจากผลสุกทันที
Picture by---www.palmasenresistencia.blogspot.com *This is a tillering palm, it exhibits saxophone style root growth (it has a heel), keep top third of heel above soil elevation! https://www.palmpedia.net/wiki/Allagoptera_caudescens ! นี่คือต้นปาล์มที่แตกกอมันแสดงให้เห็นถึงการเจริญเติบโตของรากแซกโซโฟน (มีส้นเท้า) ให้ส้นหนึ่งในสามอยู่เหนือระดับดิน (แปลโดยกูเกิ้ล)
|
Ivory Cane Palm/ Penanga kuhlii
[pih-NAHN-gah]
Picture---Roma Street Parklands, Brisbane, Australia.Photo by Paul Latzias.https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_coronata Picture---Las Marias, PR. Photo by Cindy Adair https://www.palmpedia.net/wiki/Pinanga_coronata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pinanga kuhlii Blume.(1839) This name is a synonym of Pinanga coronata.lhttps://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669093-1 ชื่อสามัญ---Java pinanga palm, Kuhl's Palm, Ivory Cane Palm ชื่ออื่น---[INDONESIA: Bing-bin (West Java), Piji (Central Java, East Java, and Bali), Pinang rante (East Java).];[GERMAN (Deutsch): Elfenbeinrohr-Palme, Farbenfrohe Palme.];[JAPANESE: Pinanga yashi.];[SPANISH (Español): Palmera marfil.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---ZPICO (Preferred name: Pinanga coronata.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย โอเชียเนีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Pinanga' คือการแปลภาษาของมาเลเซียชื่อ "pinang"; ชื่อสายพันธุ์ 'kuhlii' อุทิศให้กับนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Heinrich Kuhl (1797-1821) Pinanga kuhlii เป็นชื่อพ้องของ Pinanga coronata สายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2382 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามัน ชวา เกาะ Lesser Sunda และเกาะสุมาตรา พบขึ้นเติบโตในสภาพพื้นที่ เนินเขาสูงชันมาก ในป่าดิบเขา ป่าดิบชื้น พื้นที่ราบในป่าระดับต่ำ จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 1,800 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ลำต้นบางเรียวเหมือนต้นไผ่ สูงได้ถึง 6-8 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 3-5 (-7) ซม.เรียบ สีเขียวอ่อนหรือสีงาช้าง มีรอยแผลเป็นจากใบที่หลุดร่วง ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) ขนาดยาว 1.2-1.5 เมตร กว้าง 70-80 ซม. มีใบย่อย 6-8 คู่ มักจะมีสีชมพูและมีรอยด่างเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อยังเเป็นต้นเล็ก ช่อดอกออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ห้อยลง ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ดอกของทั้งสองเพศมีลักษณะเป็นชามขนาดเล็ก สีขาวอมชมพูหรือเขียวอมแดงและเปลี่ยนเป็นสีแดงตามอายุ ผลกลมรีรูปไข่วางเรียงกันสองแถว ขนาดผล 11-15 x 6-10 มม. ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงและเป็นสีดำเมื่อสุก เมล็ดขนาด 7.5-12 x 5-7 มม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชในเเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA hardiness zones 10-11) ตำแหน่งที่มีร่มเงา ควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบางส่วนเท่านั้น (ควรเป็นแสงแดดยามเช้า) แต่สามารถยืนหยัดรับแสงแดดได้เต็มที่หากมีความชื้นสูงในบรรยากาศคงที่ แม้ว่าบางครั้งใบไม้อาจไหม้เกรียมจากแสงแดดโดยตรง อุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ต่ำกว่า 10°C สามารถทนต่อช่วงอุณหภูมิได้ตั้งแต่ 0°C ถึง 40°C ขอบดินอุดมสมบูรณ์ด้วยฮิวมัส เป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม มันสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างกว้างขวางรวมถึงดินที่เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย หากมีการระบายน้ำดี pH 5.6-7.5 อัตราการเจริญเติบโตปานกลางถึงโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก (น้อยกว่าถ้าคลุมดินอย่างดี) และควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยการคลุมด้วยหญ้าคลุมดินหนา อย่าปล่อยให้น้ำขัง พืชทีปลูกในกระถางในร่มไม่ควรให้น้ำมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ไม่ค่อยต้องตัดแต่งกิ่งเพียงตัดใบแห้งที่เป็นสีน้ำตาลออกเท่านั้น ตัดช่อดอกเก่าทิ้งเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูพืชเช่นเพลี้ยแป้ง การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารต่ำที่สมบูรณ์แบบ (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---โดยทั่วไปปราศจากโรคและแมลงศัตรูพืชที่ร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ เป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายในเขตร้อน สำหรับประดับสวนสาธารณะและสวนทั่วไป สามารถปลูกได้ในกระถางเพื่อตกแต่งภายในอาคารในที่ที่มีแสงสว่าง เป็นหนึ่งในป่ล์มในร่มที่หรูหราและทนทานที่สุด อื่นๆ--- มีการใช้ลำต้นในการก่อสร้าง ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลางอก 3-4 เดือน เมล็ดสามารถมีชีวิตได้นานกว่าเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ในสกุลนี้
|
Hollrung palm/ Calyptrocalyx hollrungii
[kah-lip-troh-KAH-liks] [hohl-ROON-gee]
Picture---Papua New Guinea. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_hollrungii
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx hollrungii (Becc.) Dowe & M.D.Ferrero.(2001) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:1021597-1#synonyms ---Basionym: Linospadix hollrungii Becc.(1889) https://www.gbif.org/species/2733697 ---Paralinospadix hollrungii (Becc.) Burret.(1935) ---Linospadix hellwigianus Warb. ex Becc.(1905) ---Linospadix schlechteri Becc.(1905) ---Paralinospadix clemensiae Burret.(1936) ---Paralinospadix schlechteri (Becc.) Burret.(1935) ชื่อสามัญ---Hollrung palm, New Guinea palm ชื่ออื่น---Hollrung palm ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---KPKSS (Preferred name: Calyptrocalyx sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Calyptrocalyx' มาจากคำศัพท์ภาษากรีก "kalyptra" (หมวก) และ "kalux" (กลีบเลี้ยง) โดยอ้างอิงถึงรูปแบบที่กลีบเลี้ยงชั้นนอกสุดคลุมกลีบดอกอื่นๆ เมื่อดอกตูม ; ชื่อของสปีชีส์ 'hollrungii' เพื่อเป็นเกียรติแก่ Max Hollrung (1858-1937) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและเป็นผู้เชี่ยวชาญในยุคแรก ๆ ในด้านพฤกษศาสตร์ เขาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยคนแรกในเยอรมนีที่ได้รับการแต่งตั้งให้สอนวิชาโรคพืชและอารักขาพืชในมหาวิทยาลัย Calyptrocalyx hollrungii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Leslie Dowe (เขามีบทบาทมากที่สุดในปีพ.ศ. 2536) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลีย และ Michael D. Ferrero (born 1968) เป็นนักพฤกษศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญในระบบและนิเวศวิทยาของArecaceae ในปี พ.ศ.2544
Picture 1---Papua New Guinea. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 2---Photo: https://www.palmpedia.net
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในปาปัวนิวกินี และในส่วนของนิวกินีของอินโดนีเซียคาบสมุทร Huon พบในป่าฝนเขตร้อน ลักษณะ---เป็นปาล์มขนาดเล็ก แตกกอจำนวนมาก สูงประมาณ 2-2.5 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 1-1.5 ซม. ลำต้นมีข้อถี่ ล้อมรอบด้วยแผลเป็นจากใบอย่างเห็นได้ชัดและมีรูปร่างใบแปรผันได้สูง อาจแบ่งขั้ว (แยกจุดเป็นสองจุดเติบโต) ใบเดี่ยวมีรูปร่างต่างกันไปอยู่ในกอเดียว ตั้งแต่ใบรูปหางปลา (Bifid) จนถึงรูปขนนก (Pinnate) ยาว 40-50 ซม. มีใบย่อย 2-4 ใบในบางครั้ง ใบอ่อนที่เกิดใหม่สีม่วงแดงเข้ม หรือสีส้มแดง อยู่ในสีนี้ 2-3 ส้ปดาห์ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Interfoliar) เป็นข่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ทั้งสองเพศ มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบและกลีบดอก 3 กลีบ ผลอ่อนสีเขียวเมื่อสุกสีแดง ขนาด1.5 ซม.มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เหมาะสำหรับสภาพอากาศแบบเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน และต้องการการปกป้องจากความหนาวเย็น (USDA Zones (9b-) 10-11) ต้องการร่มเงาเกือบเต็ม (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4-6 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) ดินที่มีความชื้นอย่างสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี มีความอดทนต่อความเย็นควรปลูกอยู่ในตำแหน่งที่กำบังลม อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ตัองการน้ำปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อย่าให้น้ำมากเกินไป ในช่วงฤดูร้อนให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบ รวมทั้งธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---N/A รู้จักอ้นตราย---ลำต้นและใบมีหนาม ใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกประดับ ไม่ค่อยมีใครปลูก ต้นอ่ายุน้อยมีรูปร่างเล็ก รูปร่างและสีของใบไม้มีศักยภาพที่จะใช้เป็นไม้ประดับได้ เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถาง เมื่อโตขึ้น ปลูกลงแปลงในพื้นที่มีร่มเงา เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสวน ที่มีพื้นที่จำกัด และต้องการพืชขนาดเล็ก เป็นปาล์มที่นักสะสมต้องการ อื่น ๆ---ไม่มีการบันทึก เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับหัตถกรรมหวายไม่มีประโยชน์อะไรเป็นพิเศษ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 2-4 เดือน นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยการแบ่งหน่อ
|
New Guinea Cluster Palm/Ptychosperma microcapum
[tee-koh-SPEHR-mah] [mihk-roh-KAR-puhm]
Picture 1---Fairchild Tropical Botanic Garden, Coral Gables, FL. Photo by Kyle Wicomb Picture 2---Photo by Paul Craft https://www.palmpedia.net/wiki/Ptychosperma_microcarpum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ptychosperma microcapum (Burret) Burret.(1935) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669414-1#synonyms ---Basionym: Actinophloeus microcarpus Burret.(1931). https://www.gbif.org/species/2733856 ---Actinophloeus macrospadix Burret.(1935) ---Ptychosperma macrospadix (Burret) Burret.(1935) ชื่อสามัญ---New Guinea Cluster Palm, Clustering Macarthur Palm , Cluster Palm ชื่ออื่น---None.(Not recorded) ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---PPMSS (Preferred name: Ptychosperma sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---ปาปัวนิวกินี นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Ptychosperma' มาจากภาษากรีก 'ptyché' = พับ และ 'sperma' = เมล็ดโดยอ้างอิงจากร่องที่ปรากฏบนเมล็ด ; ชื่อของสปีชีส์นี้ 'microcapum' = ผลไม้เล็ก ๆ Ptychosperma microcapum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2478 ที่อยู่อาศัย---ถิ่นกำเนิดและที่อยู่อาศัย พบตามป่าดิบเขาในปาปัวนิวกีนี ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง 600 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ต้นสูงได้ถึง 6-9 (-)15 เมตร (หลังจาก15ปี) เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น ขนาด 5-7 ซม. ลักษณะคล้ายหมากเขียว (MacArthur Palm) แต่ใบย่อยจะเป็นกระจุกไม่กระจายเหมือนหมากเขียว ก้านมงกุฎเป็นสีเขียวมะกอก สีเงิน บางครั้งเกือบเป็นสีขาว ใบประกอบแบบขนนก (pinnate) สีเขียวเข้ม ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกใต้คอยอด (Infrafoliar) ผลกลมรีขนาด 1.3 ซม.สุกแล้วสีแดง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10a) แสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ทนต่อแสงแดดโดยตรงได้เมื่ออายุประมาณ5ปีแล้วเท่านั้น พืชอายุน้อยกว่าต้องการตำแหน่งในร่มเงา หรือแสงแดดบางส่วน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ ดินอินทรีย์ ดินร่วนปนทราย หรือดินร่วนที่มีการระบายน้ำดี ยกเว้นดินที่เปียกตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม มันสามารถปรับเปลี่ยนได้รวมถึงพวกที่เป็นกลาง เป็นกรด ดินเหนียว และด่างเล็กน้อย pH 5.1-7.5. อัตราการเจริญเติบโตเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ถึงแม้ว่าจะทนแล้งและทนร้อนได้ แต่ก็ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท และอย่าปล่อยให้อยู่ในน้ำขังแฉะตลอดเวลา การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก เล็มหรือเอาหน่อฐานเล็กๆ ออก หากมีมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปลูกในภาชนะเพื่อลดความแออัดและปรับปรุงการเติมอากาศ จากนั้นสามารถใช้หน่อเหล่านี้เพื่อขยายพันธุ์เป็นพืชใหม่ได้ การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารต่ำ (เช่น 18-18-18) ที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างต้านทานต่อศัตรูพืช ระวังไรเดอร์ (Spider mites) แมลงเกล็ด (Scale insects) / แต่อาจต้องมีการใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันสีเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม เห็นได้ชัดว่าไม่ไวต่อการเกิดโรคเหลืองตาย [Lethal yellowing (LY).] รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับเหมาะปลูกเป็นไม้กระถางหรือลงแปลงในที่ร่มรำไร เป็นที่นิยมมากสำหรับใช้ในงานจัดสวน ภัยคุกคาม---เนื่องจากสายพันธุ์นี้มีการกระจายพันธุ์ที่กว้างมากซึ่งขอบเขตการเกิดขึ้นทั้งหมด (EOO) อยู่ที่ประมาณ 2,440 ตร.กม มีประชากรจำนวนมาก ปัจจุบันสายพันธุ์นี้อยู่ใน Ecoregion ที่ค่อนข้างคงที่ อย่างไรก็ตาม ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยของมันในอนาคต ได้แก่ การขยายทางหลวงจากเมืองหลวง พอร์ตมอร์สบี ไปจนถึงอ่าวมิลน์ ซึ่งจะเพิ่มการเข้าถึงที่ราบชายฝั่งทางตอนใต้ของ เทือกเขา Owen Stanley เปิดพื้นที่ป่าอันกว้างขวางนี้เพื่อการใช้ประโยชน์ (WWF 2001) ช่วงของสายพันธุ์นี้ทับซ้อนกับพื้นที่คุ้มครอง เช่น เขตอนุรักษ์ทัศนียภาพอุทยานแห่งชาติ Paga Hill และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า Moitaka ต้นปาล์มนี้ปลูกในสวนพฤกษชาติ Lae และสวนพฤกษชาติเขตร้อน Fairchild การสำรวจภูมิภาคได้รับการสนับสนุนเพื่อกำหนดสถานะของประชากร ได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'กังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - Version 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2013) source: Loftus, C. 2013. Ptychosperma microcarpum. The IUCN Red List of Threatened Species 2013: e.T44393508A44534621. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2013-1.RLTS.T44393508A44534621.en. _ เข้าถึงเมื่อ23 มิถุนายน 2566 . - ไม่มีรายชื่ออยู่ใน CITES และเมล็ดพันธุ์จากสายพันธุ์นี้ไม่เป็นที่รู้จักว่ามีการรวบรวมเพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุรักษ์นอกถิ่นกำเนิด ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาในการงอก 3-4เดือน
|
Upaká Palm/Reinhardtia simplex
[rine-HARD-tee-ah] [SIM-pleks]
Picture---Osa Peninsula, Costa Rica. Photo by Dr. Reinaldo Aguilar. https://www.palmpedia.net/wiki/Reinhardtia_simplex
ชื่อวิทยาศาสตร์---Reinhardtia simplex (H.Wendl.) Burret.(1932) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:218461-2#synonyms ---Basionym: Malortiea simplex H.Wendl.(1859) https://species.wikimedia.org/wiki/Reinhardtia_simplex ชื่อสามัญ---Upaká Palm, Dwarf Window Pane Palm ชื่ออื่น---None.(Not recorded) ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---RNHSS (Preferred name: Reinhardtia sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---โคลัมเบีย, คอสตาริกา, ฮอนดูรัส, เม็กซิโกตะวันออกเฉียงใต้, นิการากัวและปานามา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Reinhardtia' ได้รับเกียรติจากJohannes Christopher Hagemann Reinhardt(1778-1845)นักชีววิทยาชาวนอร์เวย์ ; ชื่อเฉพาะ 'simplex' = ง่าย Reinhardtia simplex เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุล ปาล์มหน้าต่าง (Reinhardtia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2475 ที่อยู่อาศัย---พบในอเมริกากลางจากฮอนดูรัสจนถึงปานามา พบตามป่าฝนจากเชียปัสในเม็กซิโกไปจนถึงโคลัมเบียทางตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 0- 600 เมตร ลักษณะ---เป็นปาล์มแตกกอ ขนาดเล็ก สูงประมาณ 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำ 1 ซม.ใบย่อยรูปรี 2-3ใบ ยาว 10-15 ซม.ใบกลางใหญ่ที่สุด ใบทั้งหมดมีรอยบากหรือมีรอยหยักที่ปลายใบ ตรงกันข้ามกับพืชสกุล Reinhardtia อื่น ๆ สายพันธุ์นี้ไม่มี "บานหน้าต่าง" หรือรอยกรีดบนใบไม้ ช่อดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ออกพร้อมกันหลายช่อระหว่างกาบใบ (Interfoliar) สีส้ม ยาว 30 ซม.ผลกลมสีเขียวขนาด 1.5 ซม.สุกแล้วสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ในสภาพภูมิอากาศเขตร้อนหรือกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b-11) ต้องการร่มเงา (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) ที่กำบังและชื้น ดินอุดมสมบูรณ์มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโต ช้ามาก การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำประปารดน้ำ มีแนวโน้มที่จะทำให้ปลายใบเป็นสีน้ำตาล การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารต่ำที่สมบูรณ์แบบ (เช่น 18-18-18) รวมถึงธาตุอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ระวังหอยทาก /มีแนวโน้มที่จะเป็นสีเหลืองเว้นแต่จะได้รับการป้องกันอย่างดีจากองค์ประกอบต่างๆ รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับในที่ร่มรำไร ใกล้สวนน้ำในที่ร่มรื่น และเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน เป็นที่ต้องการอย่างมากในฐานะต้นปาล์มของนักสะสมและขาดตลาดอยู่เสมอ ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลาในการงอก 4-6 เดือน
|
Sleek Palm/Sommieria leucophylla
[sohm-MEHR-ee-ah] [lou-koh-FILL-ah]
Picture 1---Near Timika, West Papua, Indonesia.Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. Picture 2---Singapore. Photo by Philippe.http://www.palmpedia.net/wiki/Sommieria_leucophylla
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sommieria leucophylla Becc.(1877) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669956-1#synonyms ---Sommieria elegans Becc.(1877) ---Sommieria affinis Becc.(1914). ชื่อสามัญ---Sleek Palm ชื่ออื่น---ปาล์มแสนสง่า (ทั่วไป); [THAI: pam saen sa nga (General).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---นิวกินี อินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์:--- พืชสกุลนี้ 'Sommieria' ได้รับการยกย่องจากนักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี Carlo Pietro Stefano Sommier (1848-1922) ; ชื่อของสายพันธุ์นี้ 'leucophylla' คือการรวมกันของคำภาษากรีก“leukόs” =สีขาวและ“ phyllo” =ใบไม้โดยอ้างอิงถึงด้านล่างของสกุลใบสีขาว Sommieria leucophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัย---เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของอินโดนีเซีย (Irian Jaya, New Guinea) ปาล์มพื้นเมืองในปาปัวนิวกินีและปาปัวตะวันตกพบอาศัยเติบโตในป่าฝน ป่าดิบชื้นที่ราบต่ำ ที่ร่มหรือกรองแสง ครอบคลุมที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทที่มีความชื้นสูง ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวขนาดเล็ก ต้นสูง 1-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 3-4 ซม.มองเห็นวงแหวนอยู่ใกล้กันมากมีร่องรอยของใบไม้ที่ร่วงหล่น ใบบาง 20-30 ใบ ปลายใบแฉกลึกออกเป็นกระจุกที่ยอดจำนวนมาก ใบมีความยาว 0.90-1.8 เมตร กว้าง 15-30 ซม.ด้านบนสีเขียวเข้มอมน้ำเงิน ใต้ใบแข็งและมีจีบมีนวลขาวสีน้ำตาล ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ตั้งตรง มีความยาวสูงสุดประมาณ 1.5 เมตรและเกิดจากแกนหลักซึ่งแยกกิ่งก้านดอกออกเป็นช่อห้อย ดอกสีครีมหรือสีน้ำตาลอ่อนแบ่งเป็นสามดอกตามแบบฉบับ (ดอกเพศเมียระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ผลมีเนื้อฉ่ำรูปกลมรีขนาด 9 - 15 x 8 - 15 มม.เมื่อสุกสีน้ำตาลเข้ม เปลือกผลนูนคล้ายหนาม มีเมล็ด 1 เมล็ด มีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (Cold Hardiness Zone: 10b) มีอุณหภูมิต่ำสุดไม่ต่ำกว่า +10 °C อุณหภูมิที่อยู่ในช่วง 16.°C ถึง 35.°C ในร่มเงา (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) โดยเฉพาะมีที่กำบังและมีความชื้นในบรรยากาศสูงคงที่ ชอบดินร่วนปนทรายที่อุดมไปด้วยสารอินทรีย์ มีความชื้นสม่ำเสมอและมีการระบายน้ำที่ดี แต่ก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเขตร้อนที่หลากหลาย เช่น ดินเหนียวชายฝั่งทะเล ดินจากภูเขาไฟ ทรายที่เป็นกรด และอื่น ๆ ลุ่มน้ำชายฝั่ง ควรหลีกเลี่ยงดินที่มีน้ำขัง ดินลูกรังมาก ทรายมาก หินหรือดินเลน อัตราการเจริญเติบโตช้ามาก การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---รดน้ำอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปี ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง หลีกเลี่ยงน้ำประปา การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก การใส่ปุ๋ย---ให้ปุ๋ยปีละครั้ง ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---ค่อนข้างไม่เป็นอันตราย ยกเว้นเมล็ดพืช (ออกซีเลต) ใช้ประโยชน์---นี่คือปาล์มชั้นเยี่ยมที่นักสะสมปาล์มต้องการอย่างมาก แต่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก พืชมีลักษณะเฉพาะและสง่างามมากเนื่องจากใบยาวและบาง หายากในการเพาะปลูก มีเฉพาะในสวนพฤกษศาสตร์บางแห่งและในคอลเลกชันส่วนตัวของนักสะสม เหมาะปลูกลงแปลงในที่มีแสงแดดรำไร หรือปลูกเป็นไม้กระถางภายในอาคาร สถานภาพ---เป็นพืชถิ่นเดียวของอินโดนีเซีย *[พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดหรือแยกเป็นกอขนาดใหญ่ การงอกอาจไม่แน่นอนและช้า ใช้เวลาในการงอก 3-6 เดือน
|
Maluku Kentia/Calyptrocalyx spicatus
[kah-lip-troh-KAH-liks] [spih-KAHT-ûs]
Picture---Photo: https://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_spicatus
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx spicatus (Lam.) Blume.(1843) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665547-1#synonyms ---Basionym: Areca spicata Lam.(1783).https://www.gbif.org/species/2733652 ---Pinanga globosa G.Nicholson.(1886) ชื่อสามัญ---Maluku Kentia Palm ชื่ออื่น---[CHINESE: Gai e zong (as Calyptrocalix).];[INDONESIA: Hena-hena.];[PORTUGUESE: Spicatus (Brazil).];[RUSSIAN: Kaliptrokaliks kolosovidnyy.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---KPKSP (Preferred name: Calyptrocalyx spicatus.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย (มาลูกุ) นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Calyptrocalyx' มาจากคำภาษากรีก "kalyptra" (หมวก) และ "kalux" (กลีบเลี้ยง) โดยอ้างอิงถึงกิริยาที่กลีบเลี้ยงชั้นนอกสุดปิดบังอีกอันเมื่อดอกบาน ; ชื่อของสปีชีส์ 'spicatus' ในภาษาละตินหมายถึงรูปร่างของช่อดอกที่ไม่แตกกิ่งก้าน ลักษณะนี้มีอยู่ในทุกชนิดของสกุล Calyptrocalyx แต่ที่นี่ช่อดอกมีขนาดที่น่าทึ่ง Calyptrocalyx spicatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2386 ที่อยู่อาศัย---พบใน อินโดนีเซีย (มาลูกุ) ตามสถานที่มีร่มเงาและป้องกันลมในป่าฝนที่ลุ่ม ลักษณะ---เป็นปาล์มลำต้นเดี่ยว ไม่มีหลายลำต้นเหมือนที่พบใน Calyptrocalyx ชนิดอื่น ขนาดกลาง สูง 7-8 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 25 ซม.ลำต้นสีน้ำตาลซีดถึงสีเทาเห็นข้อปล้องชัด คอยอดยาว 30 ซม.สีเขียวเข้ม ใบรูปขนนก (pinnate) มีมากกว่า 12 ใบ ทางใบเรียงเวียนยาว 2-3.6 เมตร ใบย่อยรูปใบหอก สีเขียวอ่อน ขอบใบแหลม ยาวได้ถึง 60 ซม.ใบที่เกิดขึ้นใหม่อาจมีสีแดงอมส้ม ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน (Monoecious) ช่อดอกยาวไม่เกิน 3 เมตร ออกระหว่างใบ (Interfoliar) ช่อดอกประกอบด้วยดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย มีกลีบเลี้ยงสามกลีบและกลีบดอกสามกลีบ ผลกลมรีสุกแล้วสีส้มถึงสีแดงสด ขนาดของผล 1-3 ซม. มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อน จึงเป็นสายพันธุ์ที่ไวต่อความหนาวเย็นมาก ปลูกได้ในเขตที่ไม่มีน้ำค้างแข็ง (USDA-10b-11) ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำที่ดีซึ่งเต็มไปด้วยสารอินทรีย์ ต้องการตำแหน่งที่กำบังจากลมแรง เติบโตได้ดีที่สุดภายใต้ร่มเงา (ตำแหน่งที่มีแสงสว่างและมีแสงแดดส่องถึงบางชั่วโมงต่อวัน) แต่ทนแดดเช้าได้ แม้ว่าสามารถทนแดดได้มากกว่าเมื่อโตขึ้น อัตราการเติบโตเป็นไปอย่างช้าๆ การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก (น้อยกว่าถ้าคลุมดินอย่างดี) และควรรดน้ำก่อนที่ดินจะแห้งสนิท ช่วยรักษาความชื้นในดินด้วยวัสดุคลุมดินที่มีความหนาแน่นสูง การตัดแต่งกิ่ง---ตัดแต่งใบที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดใบออกถ้ากิ่งยังมีสีเขียวอยู่ การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ค่อนข้างมีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดใช้เคี้ยวกับพลู แทนหมาก (Areca catechu) ใช้เป็นยา---เมล็ดมีสรรพคุณเป็นยาอ่อนๆ ใช้กันอย่างแพร่หลายในบางพื้นที่ของเขตร้อนเป็นยาบดเคี้ยว โดยผสมกับใบพลู (Piper betle) และบ่อยครั้งใช้มะนาว เมล็ดมีแทนนินและอัลคาลอยด์ ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลาย เร่งอัตราการเต้นของหัวใจและเหงื่อ ช่วยระงับความหิวและช่วยป้องกันหนอนในลำไส้ อื่น ๆ---ลำต้นมักใช้เป็นไม้ก่อสร้าง ไม้เนื้อแข็งเปราะและทนทาน แต่ไม่ได้ใช้มากนัก ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ใช้เวลางอกภายใน 4 - 9 สัปดาห์หลังหยอดเมล็ด - เมล็ดที่ร่วงจะงอกได้ง่ายใน 8-16 สัปดาห์
|
Deckenia nobilis /Millionaire's Salad
[deh-keh-NEE-ah] [noh-BILL-iss]
Picture 1---Vallée de Mai, Island of Praslin, Seychelles. Photo by Philippe. Picture 2---Photo: http://www.palmpedia.net. http://www.palmpedia.net/wiki/Deckenia_nobilis
ชื่อวิทยาศาสตร์---Deckenia nobilis H.Wendl. ex Seem.(1870) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/666576-1#synonyms ---Deckeria nobilis (H.Wendl. ex Seem.) Schaedtler.(1875) ---Iriartea nobilis (H.Wendl. ex Seem.) N.E.Br.(1882) ชื่อสามัญ--- Millionaire's Salad, Cabbage Palm ชื่ออื่น---[FRENCH: Salade de millionnaire, Chou palmiste, Palmiste.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---DKNNO (Preferred name: Deckenia nobilis.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา: มหาสมุทรอินเดีย เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะเซเชลส์ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Deckenia' อุทิศให้กับนักสำรวจชาวเยอรมัน Karl Klaus von der Decken (1833-1865); ชื่อของสายพันธุ์มาจากภาษาละติน "nobilis" = โดดเด่น, งดงาม ; ความหมายอื่น:ตั้งชื่อตาม David Noble (เกิดปี 1965) นักสำรวจและนักพฤกษศาสตร์ ชาวออสเตรเลียผู้ค้นพบ ต้นสน Wollemia nobilis ซึ่งตั้งชื่อตามมัน - ชื่อสาม้ญ Millionaire's Salad (สลัดเศรษฐี) เนื่องจากหัวใจปาล์ม ถูกเก็บมากินเป็นสลัดหัวใจปาล์มจำนวนมาก - นี่คือ Monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์ในสกุลคิอ Deckenia nobilis Deckenia nobilis เป็น สายพันธุ์เดียวใน สกุล Deckenia (monotypic)ในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน จากอดีต Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2413 ที่อยู่อาศัย---เป็นพืชเฉพาะถิ่น (endemic) ของหมู่เกาะเซเชลส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เกาะ Mahé, Praslin, Silhouette, La Digue, Curieuse และFélicité เติบโตบนเนินลาดชันและสันเขาในป่าที่ระดับความสูง 0-600 เมตร
Picture 1---Photo by Phillip Arrowsmith.https://www.palmpedia.net/wiki/Deckenia_nobilis Picture 2---Photo by Phillip Arrowsmith.https://www.palmpedia.net/wiki/Deckenia_nobilis
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงถึง 30 เมตรขึ้นไปมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 ซม. สีเทาซีดและสามารถมองเห็นวงแหวนที่เป็นร่องรอยของรอยต่อของใบไม้ที่ร่วงหล่น ดอนเป็นต้นกล้าและอายุน้อยก้าน ใบ มีหนามสีเหลืองปกคลุมยาว 7-8 ซม.ในขณะที่ต้นโตเต็มวัยจะปกคลุมด้วยโทเมนทัมสีขาว ใบรูปขนนก (Pinnate) ยาวประมาณ 4.5- 5 เมตร ช่อดอกแยกแขนงออกใต้ใบใกล้คอยอด (Infrafoliar) สีเขียวแกมเหลือง ปกคลุมไปด้วยหนามสีทอง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทิ้งตัวมันเอง ดอกแยกเพศอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) จัดกลุ่มในแบบคลาสสิกสามดอก (ดอกเพศเมียระหว่างดอกเพศผู้สองดอก) ผลรูปไข่ขนาดเล็กยาวประมาณ 1 ซม.เมื่อสุกสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- (Hardiness: USDA zone: 10b) ตอนต้นยังเล็กต้องการร่มเงาบางส่วนเมื่อโตขึ้นต้องการแสงแดดเต็ม (แสงแดดโดยตรง 6 ชั่วโมงขึ้นไปต่อวัน) ค่อนข้างไวต่อความเย็น (เช่นเดียวกับปาล์มในเซเชลส์ทั้งหมด) ชอบดินทราย ดินร่วนปนทราย ดินเหนียว ที่มีการระบายน้ำที่ดีมาก ค่า PH เป็นกรด, เป็นกลาง, และเป็นด่างเล็กน้อย อัตราการเจริญเติบโตช้า การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำมาก ดินที่ชื้นสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้แห้งระหว่างการรดน้ำ การตัดแต่งกิ่ง---No data การใส่ปุ๋ย---No data ศัตรูพืช/โรคพืช---No data รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามหรือขอบแหลม ใช้ความระมัดระวังอย่างมากในการจัดการ ใช้ปลูกประดับ---ถือได้ว่าเป็นปาล์มที่ประดับตกแต่งได้สวยงามที่สุดชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับปลูกลงแปลงกลางแจ้งและในที่ร่มรำไร สถานภาพ---พืชถิ่นเดียว (endemic) เป็นพืชถิ่นเดียวของหมู่เกาะเซเชลส์ [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย จากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร การเก็บเกี่ยวหัวใจปาล์มที่กิน ได้เกินจำนวนที่ไม่ถูกควบคุมหรือผิด กฎหมาย ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'เปราะบางใกล้สูญพันธุ์' มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ (เกิดจากมนุษย์) สถานะการอนุรักษ์---VU- Vulnerable B1ab(iii)+2ab(iii) - IUCN. Red List of Threatened Species (2011) Ismail, S., Huber, M.J. & Mougal, J. 2011. Deckenia nobilis. The IUCN Red List of Threatened Species 2011: e.T38508A10123751. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2011-2.RLTS.T38508A10123751.en. เข้าถึงเมื่อ25 มิถุนายน 2566 . ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
|
Finger Lady Palm/ Rhapis multifida
[RAH-pis] [mohl-tih-FEE-dah]
Picture 1---University of California Botanical Garden at Berkeley, CA. Photo by growin Picture 2---Gothenburg, Sweden. Photo by David Strand. https://www.palmpedia.net/wiki/Rhapis_multifida
ชื่อวิทยาศาสตร์---Rhapis multifida Burret.(1937) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-177971 ชื่อสามัญ--- Finger Lady Palm, Jade Empress palm, Finger palm, Guangxi fan palm, Jade Palm, Lady Finger Palm ชื่ออื่น---[CHINESE: Tzung chu, Duō liè zōng zhú.];[FRENCH: Palmier éventail à feuilles divisées, Rhapis à feuilles divisées.]. ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---RPJSS (Preferred name: Rhapis sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศจีน นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Rhapis' มาจากคำภาษากรีกว่า “rhapís” ซึ่งเป็นไม้ที่อ้างอิงถึง thi ลำต้นของสายพันธุ์นี้มีความสูงลดลงเมื่อเทียบกับต้นปาล์มส่วนใหญ่ ; ชื่อเฉพาะ 'multifida' จากคำภาษาละตินว่า "multus"=มาก และ "fendo"=ที่แยก ,แบ่ง อ้างอิงถึงส่วนต่างๆ ของใบ Rhapis multifida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) สกุลจั๋ง (Rhapis) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ewald Maximilian Burret (1883–1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2480 ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดในจีน (กวางสี, กวางจง, ยูนนาน) และอาจถึงเวียตนามเหนือ พบในพื้นที่ราบลุ่มเป็นป่าดิบเขาบนเนินหินสูงที่ระดับ 1,000 –1,500 เมตร ลักษณะ---ป็นปาล์มแตกกอออกเป็นกระจุก ลำต้นผอมเรียว สูงได้ถึง 2.5-3 เมตร ในธรรมชาติ แต่การปลูกเลี้ยงโดยทั่วไปจะสูงอยู่ประมาณ 1.5-2 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำ 2.5 ซม. ลำต้นมีเส้นใยสีน้ำตาลปกคลุม แต่ไม่มากมักมองเเห็นลำต้นสีเขียวเข้มให้เห็นผ่านขึ้นมา ใบรูปพัด (Palmate) ใบเป็นรูปครึ่งวงกลมแผ่นใบจักลึกเกือบถึงก้านใบ แผ่นพับแคบและแหลมประมาณ 16-26 แผ่นต่อใบ ก้านใบบางมาก ยาว 20-30 ซม.ไม่มีหนาม ช่อดอกออกระหว่างกาบใบ (Infrafoliar) ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (Monoecious) ช่อดอก ยาวประมาณ 20 ซม.แตกกิ่ง สีเหลือง ผลกลมสีเหลืองขนาด 0.8 ซม.มีก้านยาวถึง 0.5 ซม เมื่อสุกสีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---มีการเพาะปลูกโดยเฉพาะในภูมิอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน แต่ค่อนข้างทนต่อความหนาวเย็น ทนอุณหภูมิ -2, -3 °C ได้เป็นครั้งคราวในช่วงสั้นๆ (Cold Hardiness Zone: 9b-10-11) เติบโตได้ดีที่สุดในที่กรองแสงแดดเป็นบางส่วนและตำแหน่งที่กำบังลม ไม่สามารถทนต่อแสงแดดได้เต็มที่โดยเฉพาะในสภาพอากาศที่แห้งแล้ง ทนแดดโดยตรงได้ถ้าความชื้นในบรรยากาศสูงและมีน้ำเพียงพอ ปรับตัวได้กับดินได้ทุกชนิด แต่ควรใช้ดินปลูกที่มีอินทรีย์วัตถุ เป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อยและมีการระบายน้ำที่ดี ทนทานต่อความร้อนแห้งและลมปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตช้าถึงปานกลาง การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---พืชชนิดนี้ไม่ทนต่อความแห้งแล้ง รดน้ำพอประมาณและสม่ำเสมออย่าปล่อยให้รากแห้ง หลีกเลี่ยงดินที่ชื้นแฉะตลอดเวลา รดน้ำเท่าที่จำเป็นในฤดูหนาว การตัดแต่งกิ่ง---นำใบแห้งออก เล็มหรือเอาหน่อฐานเล็กๆ ออก หากมีมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปลูกในภาชนะเพื่อลดความแออัดและปรับปรุงการถ่ายเทอากาศ จากนั้นสามารถใช้หน่อเหล่านี้เพื่อขยายพันธุ์เป็นพืชใหม่ได้ การใส่ปุ๋ย---ต้องการปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยสารต่ำที่สมบูรณ์แบบ (เช่น 18-18-18) รวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมดปีละ 2 ครั้งในช่วงฤดูปลูก เว้นการใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูหนาว ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง ระวัง ไรเดอร์ แมลงเกล็ด และเพลี้ยแป้ง/ อาจต้องใส่ปุ๋ยเป็นประจำเพื่อป้องกันสีเหลืองที่เกิดจากการขาดโพแทสเซียม ปลายใบสีน้ำตาลมักเกิดจากการสะสมของปุ๋ยมากเกินไปในส่วนผสมของกระถาง รู้จักอ้นตราย---N/A ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ Finger Lady Palm คือพวก จั๋ง ที่เรารู้จักกันดี น่าจะหรูหราที่สุดในบรรดาจั๋งที่ปลูกกันทั่วไป เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งภายใน อาคาร สถานที่ หรือปลูกลงแปลงในที่ร่มรำไร สำหรับสวนขนาดเล็ก ขยายพันธุ์---เมล็ด แยกหน่อ
|
Fireball palm/Calyptrocalyx elegans
[kah-lip-troh-KAH-liks] [EHL-eh-ganz]
Picture---Photo:http://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_elegans
ชื่อวิทยาศาสตร์---Calyptrocalyx elegans Becc.(1889) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:665536-1#synonyms ---Calyptrocalyx bifurcatus Becc.(1923) ---Calyptrocalyx moszkowskianus Becc.(1914) ---Calyptrocalyx schultzianus Becc.(1914) ชื่อสามัญ---Mara palm, Fireball palm. ชื่ออื่น---None.(Not recorded) ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---KPKSS (Preferred name: Calyptrocalyx sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะมาลูกู นิรุกติศาสตร์---ชื่อของสกุล 'Calyptrocalyx' มาจากคำภาษากรีกว่า "kalyptra" (หมวก) และ "kalux" (กลีบเลี้ยง) โดยอ้างอิงถึงกิริยาที่กลีบเลี้ยงชั้นนอกสุดปิดบังส่วนอื่นๆเมื่อดอกบาน ; ชื่อของสปีชีส์ 'elegans' ในภาษาละตินหมายถึงความสง่างามและความเบาของใบและลำต้นบาง Calyptrocalyx elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2432 - พันธุ์ (varieties) แตกต่างกันในรูปทรงของใบ จำแนกได้ 3 พันธุ์ ได้แก่ V-shaped leaf, Irregularly pinnate leaves, Classical pinnate leaf ---พันธุ์แรก (V-shaped leaf) มีใบรูปตัววี bifid ซึ่งยังคงสมบูรณ์อยู่เสมอ ส่วนปลายของแฉกทางใบมีฝอยเป็นประจำ ใบมักจะแข็งและมีความสม่ำเสมอของเนื้อ ใบที่แตกออกมาใหม่จะมีสีแดงสดและเปลี่ยนเป็นสีเขียวอย่างช้าๆหลังจากเปิดออก พุ่มมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับพันธุ์อื่น ---พันธุ์ที่สอง (rregularly pinnate leaves) ความหลากหลายที่มีใบประกอบไม่สม่ำเสมอนั้นอาจจะสวยงามที่สุด ใบอ่อนไม่แตกแยก แต่ขณะเติบโต ใบเริ่มแตกเป็นปล้องยาวขนาดต่างๆ สองปล้องใหญ่สุดท้ายเป็นรูปตัววี ส่วนปลายของปล้องเป็นฝอยและดูเหมือนขาดออกเกือบหมด ใบจะห้อยลง มีความสม่ำเสมอของเนื้อและแสดงเส้นเลือดที่มีเครื่องหมาย ใบที่ออกใหม่มีสีส้มแดง พุ่มไม้มีความสูงแปรผันระหว่าง 3 ถึง 5 ม. พันธุ์นี้ปลูกภายใต้ชื่อสามัญว่า "Boalak" ---พันธุ์ที่สาม (Classical pinnate leaf) มีใบพินเนทแบบคลาสสิกที่มีส่วนที่สม่ำเสมอและบาง ยาวและห้อยเล็กน้อย ทาบกิ่งที่มักจะเป็นรูปโค้งและยื่นใบของพุ่มไม้ไปในทิศทางต่างๆ ปล้องทางใบสองปล้องสุดท้ายเป็นรูปตัว V เสมอ ใบมีความอ่อนนุ่ม ใบที่แตกออกมาใหม่มีสีแดงเข้ม แต่บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล พุ่มไม้มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสามพันธุ์
Picture---Kona, Hawaii. Calytrocalyx elegans 'แบบฟอร์ม Pinnate' https://www.palmpedia.net/wiki/Calyptrocalyx_elegans
ที่อยู่อาศัย---มีถิ่นกำเนิดใน อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี หมู่เกาะมาลูกูและหมู่เกาะใกล้เคียง พบได้ในเขตป่าฝน ลักษณะ---เป็นปาล์มที่มีรูปร่างค่อนข้างแปรปรวน ไม่ว่าในกรณีใด รูปลักษณ์จะเป็นแบบหลายต้น โดยมีลำต้นบางกว่าที่มีรูปร่างคล้ายกับไม้ไผ่ ซึ่งมีความสูงต่างกันและมีหน่อใหม่ที่เติบโตที่โคน ค่อนข้างหายากที่จะพบตัวอย่างที่มีลำต้นเพียงต้นเดียว ลักษณะต้นสูงได้ถึง1.5 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 2 ซม.ลำต้นทั้งหมดมีฝักทางใบสีเขียวซีด มีเส้นใยที่ขอบซึ่งต่อก้านใบและพันก้านทางใบยาว 80 ซม.ก้านใบสั้น ใบรูปขนนก (pinnate) ใบย่อย 6-10 คู่ ใบย่อยคู่สุดท้ายติดกันเป็นรูปหางปลา ใบที่เกิดขึ้นใหม่มีสีส้มแดงสดไปจนถึงสีน้ำตาลแดง ช่อดอกจะโผล่ออกมาระหว่างก้านใบ ตั้งตรง มีความยาวผันแปรได้ ขึ้นอยู่กับความหลากหลาย (varieties ) ระหว่าง 30 ซม. ถึง 1 เมตร โดยมีปลายแหลม เริ่มแรกช่อดอกจะหุ้มด้วยกาบที่ปกป้องและแห้งจะร่วงหล่นหลังจากดอกบาน ช่อดอกเกิดจากเพศผู้และเพศเมียอยู่ในต้นเดียวกัน (Monoecious) สีของดอกไม้สีขาวและสีครีมแตกต่างกันไป มีกลิ่นหอม ดอกเพศผู้ยาว 4-4.5 มม. กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 2 มม. และกลีบดอกยาวประมาณ 4 มม. เกสรเพศผู้มี 8-10 อัน ยาวต่างกัน มีใยยาวประมาณ 4 มม.ดอกเพศเมียรูปไข่ยาว 4 มม. มีปานขนาดใหญ่ ผลรูปวงรี ยาวไม่เกิน 2 ซม.และมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1.5 ซม. มีสีเหลือง/เขียวเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อสุก มีเมล็ด1เมล็ด มีลักษณะกลม ยาวประมาณ 1.1 ซม. และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7 ซม. มีเอนโดสเปิร์มเป็นเนื้อเดียวกัน ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--- เจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศแบบเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน (USDA Zone 11: สูงกว่า 4.5 °C) ถือเป็นสายพันธุ์ที่ทนต่อความหนาวเย็นได้ดีกว่าในสกุล Calyptrocalyx ทั้งหมด ตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดคือร่มเงาบางส่วน (แสงแดดโดยตรง 4 ถึง 6 ชั่วโมงต่อวัน ชั่วโมงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องต่อเนื่องกัน แต่จะทำงานได้ดีที่สุดโดยมีบางชั่วโมงเป็นอย่างน้อยในช่วงเช้า) หรือในร่มทั้งหมด (แสงแดดโดยตรงน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ศูนย์ชั่วโมง ควรใช้เวลาอย่างน้อยสองสามชั่วโมงในตอนเช้าเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด) ชอบจุดที่ร่มรื่นและชื้นในชั้นใต้ดิน ดินอุดมด้วยฮิวมัสชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี อัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ความต้องการน้ำโดยเฉลี่ยปานกลาง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงฤดูร้อน ให้รดน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ดินแห้ง แต่อย่าให้น้ำมากเกินไป รากนั้นไวมากและเน่าง่าย การตัดแต่งกิ่ง---ไม่มีการบันทึก การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองทั้งหมด ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีการบันทึก รู้จักอ้นตราย---ไม่มีการบันทึก ใช้ประโยชน์---ไม่ค่อยมีใครปลูก แต่เป็นปาล์มเขตร้อนที่ดูดีมาก ต้นอ่อนมีขนาดเล็ก รูปร่างและสีของใบมีศักยภาพที่จะใช้เป็นไม้ประดับได้ เหมาะสำหรับสวนที่มีพื้นที่จำกัดและต้องการต้นไม้ขนาดเล็ก มันเป็นปาล์มของนักสะสมที่ยอดเยี่ยม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แยกหน่อ
|
สกุล Pigafetta เป็นสกุลของปาล์ม 2 สายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะ มาลากุ สุลาเวสึ และนิวกินีตะวันตก ชื่อสกุลเป็นชื่อของ Antonio Pigafetta สองสายพันธุ์ คือ 1 Pigafetta elata 2 Pigafetta filaris ทั้งคู่อยู่ในกลุ่มต้นปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
Pigafetta elata/White Wanga Palm
[pig-ah-FEHT-tah] [eh-LAH-tah]
Picture 1---Kona, Hawaii. 03/2015 Photo by Mike Galvin.http://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_elata Picture 2---At Daryl O'Connors, Gold Coast Hinterland, Queensland Australia. Photo by Paul Latzias. http://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_elata
ชื่อวิทยาศาสตร์--Pigafetta elata (Mart.) H.Wendl.(1878) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669010-1#synonyms ---Basionym; Metroxylon elatum Mart.(1838) https://www.gbif.org/species/5293801 ---Sagus elata (Mart.) Reinw.(1843) ชื่อสามัญ---Black Wanga Palm, Wanga Palm ชื่ออื่น---[INDONESIA: Calappa-wanga, Klappa wanga, Wanga (Sulawesi)]; [MALAY: Banga (Sulawesi North).] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) EPPO code---MTRSS (Preferred name: Metroxylon sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย: โอเชียเนีย เขตกระจายพันธุ์---สุลาเวสี ในอินโดนีเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pigafetta' เป็นเกียรติแก่ Antonio Pigafetta (1491 – 1531) เป็นนักปราชญ์และนักสำรวจชาวอิตาลี ; ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'elata' จากภาษาละติน หมายถึง ลักษณะสูงใหญ่คล้ายต้นไม้ Pigafetta elata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Friedrich Philipp von Martius (1794-1868) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Wendland (1825–1903) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2451 ที่อยู่อาศัย---การแพร่กระจาย จำกัด อยู่ในพื้นที่ภูเขาทางตอนเหนือของ Sulawesi (Celebes) ในอินโดนีเซีย ปาล์มนี้เป็นพืชผู้บุกเบิกที่บุกรุกถิ่นอาศัยอย่างรวดเร็วในภูเขาซึ่งพบว่ามีความอุดมสมบูรณ์ Wanga มักจะเจริญเติบโตได้ในร่องรอยของดินถล่มใอดีตกระแสลาวา และแนวฝั่งแม่น้ำ ที่ระดับความสูงระหว่าง 300-1500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
Picture 1---สถานที่ของ Andy Green, โกลด์โคสต์, ควีนส์แลนด์, ออสเตรเลีย ภาพถ่ายโดยสตีฟ Picture 2---Malaysia. Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. http://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_elata
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็วและสูงมาก สูงได้ถึง 50 เมตร แต่โดยทั่วไปมักพบที่ 35-40 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30-45 ซม.เห็นรอยแผลเป็นข้อปล้องสีขาวเด่นชัด มงกุฎทรงกลม ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 5-6 เมตร ก้านใบมีความแข็งแรงความยาวประมาณ 1.8 เมตร ใบย่อยสีเขียวเข้มยาวบางปลายใบแหลม ยาวประมาณ 1 เมตร ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) เป็นต้นเพศผู้และต้นเพศเมีย ออกที่ซอกกาบใบ (Interfoliar) ผลกลมรูปรีขนาดเล็กยาวลักษณะเหมือนลูกหวาย ขนาดประมาณ 1.1-1. 2 ซม. มีเมล็ด1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชประสบความสำเร็จในภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ซึ่งอุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C (USDA Zones 11-12) ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นกล้าต้องการแสงอาทิตย์ที่มีความเข้มสูงเพื่อการเจริญเติบโต ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน สามารถเติบโตได้ในดินที่ขาดธาตุอาหาร โดยทั่วไปแล้วปาล์มนี้ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุด อัตราการเจริญเติบโต 2 เมตรต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ อย่าให้แห้งระหว่างการรดน้ำ ไม่ต้องการดินที่เปียกและเป็นโคลนตลอดเวลา รากและลำต้นส่วนล่างสามารถเน่าได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามจำนวนมากใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์--- ถูกหาประโยชน์อย่างกว้างขวาง สำหรับไม้ ที่ดึงดูดความสนใจในฐานะพืชเศรษฐกิจเชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศใกล้เคียงกัน ใช้กิน--- ผลไม้กินได้ ใช้กินเป็นครั้งคราว ใช้ปลูกประดับ--- ในด้านการเป็นไม้ประดับ ทั้งสองสายพันธุ์ของ Pigafetta เป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมปาล์มทั่วโลก นี่คือสายพันธุ์ที่สวยงามโดดเด่น รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้เหมาะที่จะอยู่ใกล้ทางหลวงและใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย สามารถเพาะเลี้ยงในภาชนะบรรจุได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้าลง อื่น ๆ---ลำต้นมีเนื้อไม้แข็งมากใช้เป็นเสาสำหรับโครงสร้างอาคาร ท่อนไม้ของลำต้นแบ่งผ่าออกเป็นกระดานที่เรียกว่า ruyung ซึ่งใช้สำหรับพื้นอาคารหรือผนัง เส้นใยที่ได้จากใบอ่อนใช้สำหรับทำเกลียวเชือก ใบถูกทำเป็นพรมขนาดเล็ก สถานภาพ---พืชเฉพาะถิ่นของ Sulawesi และ Moluccas [พืชถิ่นเดียวหรือพืชเฉพาะถิ่น (endemic plants) คือ พืชชนิดที่พบขึ้นและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติในบริเวณเขตภูมิศาสตร์เขตใดเขตหนึ่งของโลก และเป็นพืชที่มีเขตกระจายพันธุ์ทางภูมิศาสตร์ค่อข้างจำกัด ไม่กว้างขวางนัก มักจะพบพืชถิ่นเดียวบนพื้นที่ที่มีลักษณะจำกัดทางระบบนิเวศ เช่น บนเกาะ ยอดเขา หน้าผาของภูเขาหินปูน แอ่งพรุ ฯลฯ ถิ่นที่อยู่ดังกล่าวมีสภาพจำกัดของสิ่งแวดล้อมหรือมีสภาพดินฟ้าอากาศเฉพาะที่ (microclimate).] http://www.rspg.or.th/plants_data/rare_plants/definition.htm ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด แช่น้ำอุ่นไว้ 24 ชั่วโมงแล้วหว่านในภาชนะ เมล็ดต้องสด มักจะงอกเร็ว บางครั้งใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือน ที่อุณหภูมิ 24-28 °C การหว่านจะต้องทำที่ความสว่างสูงสุด รวมทั้งในที่มีแสงแดดส่องถึง ในที่ร่ม ต้นอ่อนจะไม่เติบโตและตายในที่สุด
Pigafetta filaris/White Wanga Palm
[pig-ah-FEHT-tah] [fee-LAHR-iss]
Picture 1---Gerardo Herrero Farm, Costa Rica. Bill Sanford giving scale.Photo by Ryan D. Gallivan. Picture 2---Andai, Irian Jaya, Papua, Indonesia. Photo by Dr. John Dransfield, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_filaris
ชื่อวิทยาศาสตร์---Pigafetta filaris (Giseke) Becc.(1877) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms. ---Basionym: Sagus filaris Giseke.(1792).https://species.wikimedia.org/wiki/Pigafetta_filaris ---Metroxylon filare (Giseke) Mart. (1838) ---More. See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:669011-1#synonyms ชื่อสามัญ--- Wanga palm, White wanga palm, Papua New Guinea Pigafetta palm, Pigafetta palm. ชื่ออื่น--- [INDONESIA (Bahasa Indonesia): Wanga.] ชื่อวงศ์---ARECACEAE (PALMAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินโดนีเซีย เซเลเบส นิวกินี โมลุกกะ นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล 'Pigafetta' เป็นเกียรติแก่ Antonio Pigafetta (1491 – 1531) เป็นนักปราชญ์และนักสำรวจชาวอิตาลี ; ชื่อของสปีชีส์คือคำภาษาละติน “filaris” = filiform, filamentous อาจหมายถึงเส้นใยบาง ๆ ที่ได้จากใบและใช้ประโยชน์ สำหรับทำเสื้อผ้า พรม ฯลฯ. Pigafetta filaris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวปาล์ม (Arecaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Paul Dietrich Giseke (1741–1796) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลี ในปี พ.ศ.2420 ที่อยู่อาศัย---พืชพื้นเมืองในนิวกินี โมลุกกะ อินโดนีเซีย เป็นปาล์มที่โตเร็วและสูงเกินปกติ พบได้ในป่าดิบชื้นบนลาวา ริมฝั่งน้ำ และชายขอบป่า เป็นหนึ่งในต้นปาล์มป่าทุติยภูมิที่เคร่งครัดเพียงไม่กี่แห่ง เห็นได้ชัดว่า Pigafetta filaris เป็น Heliophile ที่เข้มงวด (สิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่ถูกดึงดูดด้วยแสงแดดจำนวนมาก) พบที่ระดับความสูง 300 - 1,500 เมตร
Picture 1---Thailand. Photo by Paul.https://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_filaris Picture 2---North Biak, Papua, Biak, Indonesia.Photo by Dr. William J. Baker, Royal Botanic Gardens, Kew/Palmweb. https://www.palmpedia.net/wiki/Pigafetta_filaris
ลักษณะ---เป็นปาล์มต้นเดี่ยว สูงได้ถึง 50 เมตรในถิ่นกำเนิด แต่พบโดยทั่วไปจะพบสูงประมาณ 30-40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 30-45 ซม.เห็นรอยแผลเป็นข้อปล้องเด่นชัด ใบประกอบแบบขนนก (Pinnate) ทางใบยาว 5-6 เมตร ก้านใบมีความแข็งแรงความยาวประมาณ 1.8 เมตร มีหนามเล็กๆสีทองครอบคลุมที่โคนกาบใบและก้านใบอย่างสวยงาม ใบย่อยสีเขียวเข้มยาวบางปลายใบแหลม ยาวประมาณ1เมตร ช่อดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ออกที่ซอกกาบใบ(Interfoliar) มีลักษณะคล้ายกันในต้นเพศเมียและในต้นเพศผู้ มีสีเหลืองซีด ยาวประมาณ 2 เมตร มีก้านดอกและกิ่งก้านเป็นกิ่งเกือบเป็นแนวราบและห้อยเป็นช่อ ผลกลมรูปรีขนาดเล็กยาวประมาณ 1. 2 ซม.ปกคลุมด้วยเกล็ดสีเหลืองถึงสีส้มมี เมล็ด1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชประสบความสำเร็จในภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ซึ่งอุณหภูมิไม่เคยต่ำกว่า 10°C (USDA Zones 11-12) การเติบโตจะหยุดลงที่ประมาณ 13-15 °C ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัด 80-100% (แสงแดดโดยตรง 6-8 ชั่วโมงต่อวัน) ต้นกล้าต้องการแสงอาทิตย์ที่มีความเข้มสูงเพื่อการเจริญเติบโต ไม่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับดิน สามารถเติบโตได้ในดินที่ขาดธาตุอาหาร โดยทั่วไปแล้วปาล์มนี้ถือเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ปาล์มที่เติบโตเร็วที่สุด อัตราการเจริญเติบโต 2 เมตรต่อปี การบำรุงรักษา ต่ำ การรดน้ำ---ต้องการน้ำปานกลางสม่ำเสมอ อย่าให้แห้งระหว่างการรดน้ำ ไม่ต้องการดินที่เปียกและเป็นโคลนตลอดเวลา รากและลำต้นส่วนล่างสามารถเน่าได้หากดินมีความชื้นมากเกินไป การตัดแต่งกิ่ง---ตัดกิ่งที่เป็นโรค เสียหาย หรือแห้ง แต่อย่าลิดถ้าใบยังมีสีเขียวอยู่บ้าง การใส่ปุ๋ย---ต้องการอาหารปุ๋ยที่สมบูรณ์แบบรวมถึงสารอาหารขนาดเล็กและธาตุอาหารรองหรือปุ๋ยที่ปลดปล่อยช้า การขาดธาตุอาหารรองเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว หากได้รับ Mn และ Fe ไม่เพียงพอ ใบไม้จะมีสีเหลืองซึ่งค่อนข้างไม่ดีต่อสุขภาพ การขาดธาตุอาหารรองจะปรากฏบนดินที่มีค่า pH สูงเท่านั้น ศัตรูพืช/โรคพืช---ไม่มีโรคและศัตรูพืชร้ายแรง รู้จักอ้นตราย---พืชมีหนามจำนวนมากใช้ความระมัดระวังในการจัดการ ใช้ประโยชน์---ถูกใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวางในท้องถิ่น สำหรับการก่อสร้าง ใช้กิน--- ผลไม้กินได้ ใช้กินเป็นครั้งคราว ใช้ปลูกประดับ---Pigafetta filaris เป็นปาล์มประดับที่สวยงามและไม่ค่อยมีใครรู้จัก นี่เป็นสายพันธุ์ที่สวยงามโดดเด่น รูปลักษณ์และความสูงที่ประณีตทำให้สมบูรณ์แบบเมื่ออยู่ใกล้ทางหลวง และใช้เพื่อเน้นภูมิทัศน์ที่อยู่อาศัย ใช้ปลูกเดี่ยว ๆหรือเป็นกลุ่ม การปลูกเลี้ยงในภาชนะทำได้แม้ว่าอัตราการเติบโตจะช้ากว่า ในวนเกษตร---ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกพื้นที่เสื่อมโทรมในพื้นที่เปิดโล่งและแสงแดดส่องถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างป่าไม้พื้นเมือง หรือสวนป่า ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีการระบุภัยคุกคามที่สำคัญในอนาคต ได้รับการประเมินล่าสุดใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - ver 3.1 - IUCN Red List of Threatened Species.(2021) source: IUCN SSC Global Tree Specialist Group & Botanic Gardens Conservation International (BGCI). 2021. Pigafetta filaris. The IUCN Red List of Threatened Species 2021: e.T155288970A155288972. https://dx.doi.org/10.2305/IUCN.UK.2021-1.RLTS.T155288970A155288972.en. เข้าถึงเมื่อ26 มิถุนายน 2566 ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลาการงอกอย่างรวดเร็วใน4 สัปดาห์ แต่บางครั้งบางเมล็ดอาจถึง 6เดือน ควรเพาะเมล็ดในที่ที่มีแดดจัดหรือการส่องสว่างสูงสุด ถ้าเพาะในร่ม ต้นอ่อนจะไม่พัฒนาและตายในที่สุด
|
|
อ้างอิง, แหล่งที่มา ข้อมูลในเว็บไซต์นี้ได้รวบรวมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น ---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ ---PALMS & CYCADS https://www.llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/ ---IUCN. Red List of Threatened Species.https://www.iucnredlist.org/ ---https://www.nparks.gov.sg/florafaunaweb/who-we-are ---http://www.dnp.go.th/botany/detail.aspx?wordsnamesci=Winitia0cauliflora0(Scheff.)0Chaowasku ---http://www.asianplant.net/Annonaceae/Stelechocarpus_cauliflorus.htm ---http://khaophrathaew.org/Biodiversity_Flora2.htm ---https://whatflower.net/about/ ---IPNI , 2003, ดัชนีชื่อพืชสากล. ฐานข้อมูลออนไลน์ < http://www.ipni.org/ > ---https://gd.eppo.int/search ---http://www.worldfloraonline.org ---https://llifle.com/Encyclopedia/PALMS_AND_CYCADS/Family/Arecaceae/ ---https://www.cabidigitallibrary.org/ REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับ Geoff Stein (Palmbob) สำหรับภาพถ่ายนับร้อยของเขา ขอขอบคุณเป็นพิเศษกับPalmweb.org ดร. จอห์นดรานสฟิลด์ดร. บิลเบเกอร์และทีมสำหรับข้อมูลและภาพถ่ายของพวกเขา “ไม่มีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์”
***แหล่งข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับปาล์มมีดังนี้: ---www.palmweb.org - แหล่งข้อมูลที่เพิ่มขึ้นซึ่งให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือจำนวนมากเกี่ยวกับอนุกรมวิธานปาล์มและระบบการตั้งชื่อ ---Govaerts, R. และ J. Dransfield 2005 รายการตรวจสอบโลกของ Palms สำนักพิมพ์ Kew รายการตรวจสอบได้รับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและสามารถเข้าถึงออนไลน์ได้ที่http://apps.kew.org/wcsp/home.do ---Dransfield, J. , NW Uhl, C. Asmussen, WJ Baker, MM Harley และ C. Lewis 2551. จำพวก Palmarum วิวัฒนาการและการจำแนกประเภทของปาล์ม (Genera Palmarum ed. 2) สำนักพิมพ์คิว ---http://eunops.org/content/glossary-palm-terms คำศัพท์อินเทอร์แอคทีฟของปาล์มโดยอ้างอิงจากอภิธานศัพท์ที่พิมพ์ใน Genera Palmarum ed 2 ***http://thaipalm.myspecies.info/
Check for more information on the species:
---Plants Database--- Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/ ---Global Plant Initiative --- Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ - กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html ---Tropicos--- Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ ---GBIF--- Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ ---IPNI --- International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ ---EOL--- Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ ---PROTA --- Uses The Plant Resources of Tropical Africa ---Prelude--- Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com. 10/8/2008-10/6/2022
Last up date---15/6/2023
|
|
|
Nice post. I was checking constantly this blog and I’m impressed! Extremely useful info specially the last part I care for such information a lot. I was seeking this certain info for a long time. 8 ball pool
THE ONE CARGO บริการ นำเข้าสินค้าจีน สั่งซื้อสินค้าจากจีน ไม่มีขั้นต่ำ ไม่มีปิดรอบ คิดน้ำหนักตามจริง ถูกตั้งแต่กิโลแรก มีระบบแจ้งเตือนสถานะ นอกจากนี้เรายังให้บริการโอนและจ่ายเงินในสกุลเงินหยวนผ่านธนาคารทุกธนาคารในประเทศจีน
Thank you for another excellent article. Where else could anybody get that kind oof information in such an ideall means of writing? I’ve a presentation next week, and I’m at the look for such info.เบทฟิกvip
There is obviously a lot to identify about this. I think you made certain good points in features also.I am thankful that I discovered this site, precisely the right info that I was searching for. ufa168
ufa789bet เว็บพนันครบวงจร แทงบอล บาคาร่า สล็อต ครบจบที่เดียว
การวางแผนชีวิตประจำวันเป็นหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพและมีความสุข การวางแผนชีวิตประจำวันมีความสำคัญอย่างมากเพราะมันช่วยให้เรามีสติในกิจกรรมที่ต้องทำ และทำให้เราสามารถตัดสินใจในการจัดลำดับความสำคัญของงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและทำให้ชีวิตเป็นระเบียบมากขึ้นได้ ซึ่งผมเองก็วางแผนชีวิตเหมือนกัน แต่ผมมักจะวางแผนในการใช้ชิวตเสมอ และไม่เคยลืมที่จะแบ่งเวลาเพื่อพักผ่อนด้วยการเล่นเกมออนไลน์ที่ สล็อต888 เกมที่นี่สนุกมาก ๆ เป็นเกมที่เล่นง่ายมากที่สุด และให้ความผ่อนคลายอีกด้วย
You understand your projects stand out of the crowd. There is something unique about them. It seems to me all of them are brilliant. chinesisches restaurant baden baden