เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
55,535,520 |
Page Views |
62,365,318 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
22/04/2024
View: 23,723
ต้นไม้ในป่า 7
For information only-the plant is not for sale
1 |
สารภีดง/Mammea harmandii |
31 |
หมากหน่วยแดง/Polyalthia hookeriana |
2 |
สารภีป่า/Anneslea fragrans |
32 |
หมี่/Clausena excavata |
3 |
สาวสอยดาว/Polyalthea sp |
33 |
หมีโป้ง/Litsea monopetala |
4 |
ส่าเหล้าต้น/Goniothalamus undulatus |
34 |
หยีทะเล/Derris indica |
5 |
สำรอง/Scaphium scaphigerum |
35 |
หลังโก่ง/Polyalthia bullata |
6 |
สำโรง/Sterculia foetida |
36 |
หลุมพอทะเล/Intsia bijuga |
7 |
สิวาละที/ Bridelia glauca |
37 |
หอมไกลดง/Harpullia aeborea |
8 |
สิไหรใบใหญ่/Dehasia candolleana |
38 |
หัวเต่า/Mezzettia parviflora |
9 |
สุมต้น/Pittosporum ferrugineum |
39 |
หัวแหวน/Decaspermum parviflorum
|
10 |
สุรามิริด/Polyalthia parviflora |
40 |
หำช้าง/Platymitra macrocarpa |
11 |
เสม็ดทุ่ง/Lophopetalum wallichii |
41 |
หูช้าง/Enterolobium cyclocarpum |
12 |
เสลาใบเล็ก/Lagerstroemia tomentosa |
42 |
เหมือดแก้ว/Sladenia celastrifolia |
13 |
เสลาเปลือกบาง/Lagerstroemia venusta |
43 |
เหมือดคนตัวผู้/Helicia nilagirica |
14 |
เสลาเปลือกหนา/Lagerstroemia villosa |
44 |
เหมือดจี้ดง/Memecylon plebejum var. siamensis |
15 |
เสี้ยวดอกขาว/Bauhinia variegata |
45 |
เหมือดดอย/Symplocos macrophylla ssp.sculata |
16 |
เสี้ยวฟ่อม/ Bauhinia viridescens |
46 |
เหมือดโลด/Aporosa villosa |
17 |
เสี้ยวใหญ่/Bauhinia malabarica |
47 |
เหมือดหลวง/Symplocos cochinchinensis ssp.
|
18 |
แสดสยาม/Goniothalamus repevensis |
48 |
เหมือดหอม/ Symplocos racemosa |
19 |
แสมขน/Avicennia Avicennia lanata |
49 |
เหลืองกระจุก/Cleistopetalum sumatranum |
20 |
แสมขาว/Avicennia alba |
50 |
เหลืองจันทน์/Polyalthia sp |
21 |
แสมดำ/Avicennia officinalis |
51 |
เหลืองไม้แก้ว/Enicosanthum sp.
|
22 |
ไสเดน/Meiogyne hainanense |
52 |
แหนนา/Terminalia glaucifolia |
23 |
หงอนไก่ดง/Harpullia cupanioides |
53 |
แหลบุก/Phoebe lanceolata |
24 |
หนวดปลาดุก/Polyalthia stenopetala |
54 |
ไหมจุรี/Ceiba speciosa (A. St.-Hil.) Ravenna |
25 |
หนังหนาดอกใหญ่/ Enicosanthum
|
55 |
อรพันธุ์/Baikiaea insignis |
26 |
หนามมะเค็ด/ Canthium parvifolium |
56 |
อวบดำ/Linociera ramiflora |
27 |
หนามโมนา/Capparis monantha |
57 |
อ้อยช้าง/Lannea coromandelica |
28 |
หม่อนอ่อน/Myrica esculenta |
58 |
อีแรด/Millusa lineata |
29 |
หมันดง/Cordia dichotoma |
59 |
อูนดง/Cornus oblonga |
30 |
หมันทะเล/Cordia subcordata |
60 |
เอียน/Neolitsea zeylanica |
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
|
สารภีดง/Mammea harmandii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา : www.magnoliathailand.com (by ป้ากระต่าย)-เว็บไซต์เมดไทย (Medthai) ชื่อวิทยาศาสตร์---Mammea harmandii (Pierre) Kosterm.(1956) ---This name is unresolved. ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.com/tpl1.1/record/kew-2372712 ---Calysaccion harmandii (Pierre) Pierre.(1897) ---Ochrocarpos harmandii Pierre.(1883) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สารภีดอกใหญ่ (ระนอง), สารภี (บุรีรัมย์), สารภีดง (เพชรบูรณ์) ;[THAI: Saraphi (Buri Ram); Saraphi dong (Phetchabun); Saraphi dok yai (Ranong).]; [HINDI: Surabhi.]; [SANSKRIT: Surabhi.] EPPO Code---MAFSS (Preferred name: Mammea sp.) ชื่อวงศ์---GUTTIFERAE (CLUSIACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ลาว กัมพูชา เวียตนาม ไทย Mammea harmandii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด (Clusiaceae) หรือ (Guttiferae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยDr.Andre Joseph Guillaume Henri 'Dok' Kostermans (1906 –1994) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซียซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2499 ที่อยู่อาศัยพบขึ้นกระจาย ใน ลาว กัมพูชา ไทย เวียตนาม ในป่าดิบเขา ป่าดิบแล้งและทุ่งหญ้า ในประเทศไทยพบทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางจนถึง 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูง 8-15 (-25) เมตร เรือนยอดกลมหรือรูปกรวยคว่ำ เปลือกสีดำแตกเป็นสะเก็ด ตามต้นและกิ่งมีปุ่มปมที่เป็นจุดกำเนิดของดอกอยู่ทั่วไป มียางข้นสีเหลือง ใบเดี่ยว ออกเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่กลีบแกมรูปขอบขนาน รูปใบหอกกลับ หรือรูปใบหอกกลับแคบ ปลายใบเรียวแหลมหรือมน โคนใบกึ่งรูปหัวใจหรือสอบเรียว ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 6-10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 15-24 ซม.ก้านใบยาว 2.5 ซม.เนื้อใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันทั้ง2ด้าน ดอกเป็นกระจุกตามลำต้นและกิ่งกลีบดอกสีขาว เกสรดอกสีเหลืองดอกมีกลิ่นหอมแรง และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม.ผลรูปกระสวยหรือรูปกลมรี ขนาดกว้าง 2.5 ซม. และยาว 4-5 ซม. สุกสีเหลืองมี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้ -ใช้เป็นยา ตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้เปลือกต้นสารภีดอกใหญ่ เข้ายาสมุนไพรจำพวกประดงรวม 9 ชนิด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคประดง น้ำต้มจากผล ใช้เป็นยากินก่อนคลอดเพื่อบำรุงครรภ์ของสตรี -อื่น ๆ เนื้อไม้เป็นสีแดงมีความแข็งแรง สามารถนำมาใช้ทำด้ามเครื่องมือเครื่องใช้ ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม/เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์----เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
สารภีป่า/Anneslea fragrans
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Anneslea fragrans Wall.(1830) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Callosmia fragrans (Wall.) C.Presl.(1845) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2640572 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---แก้มอ้น (ชุมพร); คำโซ่, ตองหนัง, ต้ำจึง, ตีนจำ, ทำซุง, บานมา, พระราม, โมงนั่ง (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); ทึกลอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ปันม้า, ส้านแดง, ส้านแดงใหญ่, สารภี, สารภีควาย, สารภีดอย, สารภีหมู, สุน (เชียงใหม่); สารภีป่า (ภาคกลาง); ฮาฮอย (เขมร-สุรินทร์) ;[CHINESE: Hóng méi, Chá lí shu.];[MYANMAR: Gangawlwe, Mai-mupi, Meiktun, Ngal-hjyang, Pan-ma, Pon-nyet, Taung-gnaw.];[THAI: Kaem on (Chumphon); Kham so, tong nang, Tam chueng, Tin cham, Tham sung, Ban ma, Phra ram, Mong nang (Northeastern); Pan ma, San daeng, San daeng yai, Saraphi, Saraphi khwai, Ssaraphi doi, Saraphi pa, Saraphi mu, Sun (Chiang Mai); Thue-klo (Karen-Mae Hong Son); hHa-hoi (Khmer-Surin);[VIETNAM: Lương Xương.]. EPPO Code--- 1PETF (Preferred name: Pentaphylacaceae) ชื่อวงศ์---PENTAPHYLACACEAE (THEACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และคาบสมุทรมลายู Anneslea fragrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชา (Theaceae หรือ Pentaphylacaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2347
ที่อยู่อาศัย พบที่ พม่า กัมพูชา ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ (ยูนนาน กวางตุ้ง กุ้ยโจว ไหหลำ) ไต้หวันและคาบสมุทรมาเลย์ พบทั่วไปโดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสันหินในป่าสน แต่บางครั้งก็พบในป่าชื้นป่าไม้หรือพุ่มไม้บนเนินเขาหรือในหุบเขาที่ระดับความสูง 300 - 2,700 เมตร ต้นไม้ถูกพบในป่าในถิ่นที่อยู่ตั้งแต่ร่มเงาหนาแน่นไปจนถึงป่าเปิดโล่ง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบประปรายทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าสนเขา และป่าดิบเขา ความสูง 850-1,700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ ลักษณะต้นสูง10-25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15 - 20 ซม.เปลือกต้นแตกต่างกันออกไปหลายแบบ ปกติสีเทาเข้ม มีรอยแตกลึกเป็นลวดลายละเอียด บางครั้งเปลือกสีครีมค่อนข้างเรียบ ใบเดี่ยวขนาด กว้าง 6–8 ซม. ยาว 18–22 ซม.ก้านใบยาวถึง 2-3.5 ซม ใบรูปหอกปนรูปขอบขนาน แผ่นใบเหนียวคล้ายแผ่นหนัง มักจะพบหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ใบสีเข้มเรียบเป็นมัน มนรีแคบ กิ่งก้านสีน้ำตาลเข้มเรียบเป็นมัน ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกย่อยขนาด 1.5-2 ซม.สีขาวแกมเหลืองกลิ่นหอมแรง กลีบเลี้ยง5กลีบ กลีบดอก5กลีบ ผลสดรูปไข่ขนาดกว้างประมาณ 2.5 ซม. ยาว 4–5 ซม. คล้ายหนัง มีกลีบเลี้ยงสีแดงส้ม ที่เจริญขึ้นมาปกคลุมจนมิด ส่วนนี้จะแข็งคล้ายไม้ และแตกออกไม่สม่ำเสมอเมื่อผลแก่จัด เมล็ดรูปไข่ขนาด 7-12 × 4.5-7 มม.มี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของไม้ที่มีคุณภาพดี -ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านล้านนาจะใช้สารภีป่าทั้งต้น นำมาผสมกับสมุนไพรจำพวกประดง รวม 9 ชนิด นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยารักษาโรคประดง -ดอกมีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ใบและกิ่งใช้แก้ไข้มาลาเรีย ใช้เป็นยากินก่อนคลอดเพื่อบำรุงครรภ์ เปลือกต้นและดอกใช้รักษาโรคบิด ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ในเวียตนาม ใบไม้ที่ใช้ในใบสั่งยาที่เรียกว่า "Maha Neaty" สามารถรักษาไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ -อื่น ๆ ไม้สีเทาสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลหรือสีแดงอ่อน เนื้อละเอียดแข็งและเปราะ ไม้มีลวดลายสวยงาม สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพ ฯลฯ ดอกตูมใช้ย้อมไหมสีแดง ผลเป็นอาหารสัตว์ ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-มีนาคม/กรกฎาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
สาวสอยดาว/Polyalthea sp
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์ ---Polyalthea sp. ชื่อพ้อง--No synonyms are record for this names ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สาวสอยดาว; [THAI: Sao soi dao.]. ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ไทย ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ ที่ระดับความสูง 200-500เมตรชอบที่ร่มรำไรและชุ่มชื้น ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง1เมตร ลักษณะเปลือกต้นสีดำมีช่องอากาศเป็นจุดขาว แตกกิ่งน้อย ยอดอ่อนมีขนสั้นสีเหลืองทองปกคลุม เนื้อไม้แข็งเหนียวมาก ใบรูปขอบขนานกว้าง5.5-8ซม.ยาว20-26ซม.โคนใบมนเบี้ยว ปลายใบแหลม ใบหนา ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างซีดจางกว่า ดอกเดี่ยวออกตามกิ่งแก่เหนือซอกใบ ดอกสีชมพู กลิ่นหอมแรงดอกบานขนาด1.5ซม. ผลกลุ่ม มี8-12ผล รูปรี กว้าง1ซม.ยาว1.5-2ซม. ปลายผลเรียวแหลม ผลแก่สีแดงมี 1 เมล็ด ระยะออกดอก---มกราคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
ส่องฟ้าดง/Clausena harmandiana
ชื่อวิทยาศาสตร์---Clausena harmandiana (Pierre) Pierre ex Guill.(1910) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms. ---Basionym: Glycosmis harmandiana Pierre.(1893) ---Clausena cambodiana Pierre ex Guill. (1910) ---Clausena oliveri Koord. ex Backer.(1911) ---Glycosmis harmandiana Pierre.(1893) ---More. See all https://www.gbif.org/species/3836925 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ส่องฟ้าดง (เลย); ล่องฟ้า (อุดรธานี); เหม็น (จันทบุรี); โปร่งฟ้า (ทั่วไป); สมุยหอม (นครศรีธรรมราช) ;[JAPANESE: Kurausena haromandiana, Kurauzena Haromandiana.];[MALAYSIA: Kasai (Peninsular).];[THAI: Prong fa (General); Long fa (Udon Thani); Samui hom (Nakhon Si Thammarat); Song fa dong (Loei); Men (Chanthaburi).]; [VIETNAM: Giối harmand.]. EPPO Code---CUSHA (Preferred name: Clausena harmandiana.) ชื่อวงศ์---RUTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย Clausena harmandiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Jean Baptiste Louis Pierre จากอดีต Andre Guillaumin (1885–1974) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2453
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย (ชวา เกาะ Lesser Sunda) พบที่ระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-5 (-8) เมตร ลำต้นแตกกิ่งเล็กน้อย ใบประกอบแบบขนนก ยาว 15-55 ซม. ใบย่อย 5-7 (-13)ใบที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในครึ่งบน, รูปไข่แกมขอบขนาน 4-8 (-25) ซม. × 2-7 (-15) ซม.โคนใบป้าน ปลายใบแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อยเล็กๆ เนื้อใบมีจุดน้ำมันใสกระจายทั่วไปและมีกลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่ง กลีบดอกรูปไข่, ยาว 3-4 มม.สีเขียวอ่อนถึงสีขาวแกมเหลือง ผลสดรูปกลมขนาด1.5 ซม.ผลอ่อนสีเขียว แก่สีแดงส้ม มีเมล็ด1-3 เมล็ด ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น -ใช้เป็นยา ยาต้มของรากจะถูกนำมาเป็นยาลดไข้ ใช้รักษาอาการท้องอืดปวดท้องอาหารเป็นพิษ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการปวดศรีษะและหลอดลมอักเสบ ยาพื้นบ้านไทยใช้ ราก แก้ไข้ ปวดศีรษะ แก้ผิดสำแดง ผสมกับรากหนามวัวซัง และเหง้าว่านน้ำ ปริมาณเท่ากัน ต้มน้ำดื่ม แก้หลอดลมอักเสบ หรือสมกับรากพังคี ต้มน้ำดื่ม แก้จุกเสียด ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด
ส่าเหล้าต้น/Goniothalamus undulatus
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Goniothalamus undulatus Ridl.(1920) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2829783 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ส่าเหล้าต้น (ระนอง), บุหงาลำเจียก (กรุงเทพ), จิโนเก๊าะ (มลายู ปัตตานี), นาระ (ปัตตานี) ;[THAI: Sa lao ton (Ranong).] EPPO Code---GJOSS (Preferred name: Goniothalamus sp.) ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'undulatus'ในภาษาละติน ตั้งชื่อตามขอบใบหยัก Goniothalamus undulatus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) สกุลปาหนันช้าง (Goniothalamus)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2463 ที่อยู่อาศัย พบในไทย มาเลเซีย เติบโตในป่าดิบชื้นที่ระดับความสูง 50 ถึง 700 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 300-700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง1-3 เมตร เปลือกเรียบหนาสีน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เหนียว แตกกิ่งน้อย เปลือกกลางไม่ชัดเจน เปลือกชั้นในมีสีเหลืองอ่อนถึงส้มซีด ไม่มีน้ำยาง ใบรูปขอบขนานกว้าง 4-5.5ซม. ยาว12-16ซม.ขอบใบบิดเป็นคลื่น ใบบางเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มด้านล่างสีอ่อนกว่า ขนสั้นสีน้ำตาลหนาแน่นบนกิ่งอ่อนและเส้นใบที่ด้านหลังของใบ ดอกเดี่ยวออกตามซอกใบสีเขียว ก้านดอกยาว 2.5 ซม.ดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 แถว 3 แถว มีขนด้านนอกสีแดง ลักษณะคล้ายหนัง รูปไข่ถึงรูปใบหอก ขอบของกลีบด้านนอกจะม้วนกลับ กลีบด้านในมีขนดกเป็นรูปสามเหลี่ยม ยาว 0.9 - 1.25 ซม.เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีขาวนวลหรือขาวอมเขียว กลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม มี7-15 ผล ผลกลมรี ยาว 1-1.5 ซม.มี 1 เมล็ด ผลแก่สีเหลืองอมเขียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปลูกในที่ร่มรำไรและความชื้นสูง ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ นำมาปลูกเป็นไม้ประดับมีดอกหอม ระยะออกดอก---มีนาคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง
|
สำรอง/Scaphium scaphigerum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Scaphium scaphigerum (Wall. ex G.Don) G.Planch.(1876) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2869609 ---Clompanus scaphigera (Wall. ex G.Don) Kuntze.(1891) ---Scaphium wallichii (Wall. ex G.Don) Schott & Endl.(1832) ---Sterculia scaphigera Wall. ex G.Don.(1831) ชื่อสามัญ---Malva nut ชื่ออื่น---จอง หมากจอง (อุบลราชธานี), บักจอง หมากจอง (ภาคอีสาน), ท้ายเภา(พัทลุง) เปรียง,โปรง(ภาคใต้), พุงทะลาย(กลาง), สำรองหนู (ตะวันออกเฉียงใต้); สำรองกระโหลก,สำรองดอกแดง (ทั่วไป) ;[CHINESE: Pàng dàhǎi.];[THAI: Thai phao, samphao (Phatthalung); Priang, prong (Peninsular); Phung tha lai (Central); Samrong, Samrong nu(Southeastern) ; Samrong kalok, sSamrong dok daeng (General).]. EPPO Code---SCJSC (Preferred name: Scaphium scaphigerum) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ พม่า ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว Scaphium scaphigerum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Gustav Planchon (1833-1900) เภสัชกรและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2419 ที่อยู่อาศัย พบในบังคลาเทศ พม่า ไทย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว เกิดขึ้นในป่าที่ราบลุ่มที่ระดับความสูง 80 - 700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง30-40 (-45) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 150 ซม. โดยมีส่วนค้ำยันสูงถึง 7 เมตร ลำต้นเป็นสีเทาดำ แตกกิ่งก้านรอบต้นเรียงกันเป็นชั้น เปลือกต้นหยาบ มีเส้นเป็นร่องตามแนวดิ่ง ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมขอบขนาน หรือรูปไข่แกมใบหอกกว้างประมาณ 5-20 ซม.ยาวประมาณ 10-30 ซม.เนื้อใบแข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ก้านใบยาว 3-15 ซม.ดอกเป็นดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 16 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 8.5 ซม ช่อดอกเกิดเฉพาะที่ตาข้างของส่วนยอด และเกิดช่อดอกได้ 10-16 ช่อ/ยอด แต่ละช่อมีดอกย่อย 500-700 ดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศและเป็นดอกสมมาตรตามรัศมี มีกลีบรวมสีขาว 5-6 กลีบ กลีบดอกสีเขียวอ่อน มีขนสีแดงที่กลีบเลี้ยง ผลเป็นผลแห้งแตกขณะยังอ่อน ผลออกตามปลายกิ่ง กิ่งหนึ่งมีผลประมาณ 1-5 ผล รูปคล้ายเรือหรือกระสวยขนาด กว้าง 5-6 ซม.ยาวประมาณ 18-24 ซม.เมล็ดรูปรีสีน้ำตาล เปลือกหุ้มเมล็ดชั้นนอกมีสารเมือกจำนวนมากซึ่งจะพองตัวในน้ำมีลักษณะคล้ายวุ้น ใช้ประโยชน์--ใช้กิน เนื้อหุ้มเมล็ดเมื่อแช่น้ำจะพองตัวออกมามีลักษณะคล้ายวุ้น นำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หรือใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง เช่น น้ำพริก ลาบ ยำ แกงจืด (ใช้แทนสาหร่าย) ใช้กินเป็นขนมหวานกินกับน้ำกะทิ หรือใช้แทนรังนก หรือใช้ทำเป็นสำรองลอยแก้ว หรือน้ำสำรองพร้อมดื่มที่บรรจุในกระป๋อง หรือทำเป็นสำรองผง เป็นต้น วุ้นจากเนื้อของผลแก่ "มีส่วน" ช่วยในการลดน้ำหนักได้ เพราะมีเส้นใยอาหารมาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิว ส่งผลให้รับประทานอาหารอื่น ๆ ได้น้อยลง และวุ้นยังมีคุณสมบัติในการดูดซับน้ำ ช่วยดูดซับไขมัน น้ำตาล สารต่าง ๆ -ใช้เป็นสมุนไพรในอินโดนีเซียและการแพทย์แผนจีน เครื่องดื่มที่ชงจากเมล็ดสำรอง ใช้รักษาเสียงแหบแห้งจากไข้หวัด , ไข้หวัดใหญ่ , โรคกล่องเสียงอักเสบ , และด้วยเหตุผลนี้จึงเป็นเครื่องดื่มที่นิยมเสิร์ฟกันในคาราโอเกะ -ใช้เป็นยา ตำรายาไทยใช้เปลือกหุ้มเมล็ดที่พองตัวเป็นยาแก้ร้อนใน เมล็ดใช้เป็นยารักษาโรคคออักเสบ ผลแห้งนำมาแช่กับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไอ เปลือกต้นใช้เป็นยาแก้ไข้ เมล็ดช่วยลดการดูดซึมไขมัน ในประเทศอินเดียมีรายงานการใช้สมุนไพรสำรองเพื่อการรักษาอาการอักเสบ แก้ไข้ และขับเสมหะ ส่วนในประเทศจีนจะใช้สำรองร่วมกับชะเอมนำมาจิบบ่อย ๆ เพื่อช่วยแก้อาการเจ็บคอ ลดอาหารปวด และบำรุงไต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเต็มที่เว็บไซต์เมดไทย (Medthai)https://medthai.com/สำรอง/ -อื่น ๆเป็นแหล่งของไม้ 'kembang semangkok' และเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นและเพื่อการค้า ไม้ใช้ในการก่อสร้าง สำหรับงานไม้และกรุ ส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ กล่องและลัง พื้น ไม้ขีด ไม้อัด วีเนียร์เป็นต้น ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มกราคม/ผลแก่---มีนาคม-เดือนเมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
สำโรง/Sterculia foetida
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Sterculia foetida L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 3 SYnonyms. ---Clompanus foetida (L.) Kuntze.(1891) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2579743 ชื่อสามัญ---Bastard poon tree, Bastard poon, Java olive tree, Java olive, Hazel sterculia, Wild almond tree, Indian Almond, Pinari, Skunk tree, giant sterculia. ชื่ออื่น---จำมะโฮง (เชียงใหม่), มะโรง มะโหรง (ปัตตานี), โหมโรง (ภาคใต้) ;[ASSAMESE: Pohu odal.];[BENGALI: Jungli Badam.];[CAMBODIA: Samrong.];[CHINESE: Xiang ping po.];[FRENCH: Arbre caca, Arbre moufette, Arbre à merde, Olivier de Java, Olivier putois, Sterculier fétide, Tabac de femme.];[GERMAN: Gewöhnlicher Stinkbaum.];[HINDI: Jangli Badam.];[INDONESIA: Kabu-kabu, Kalupat, Kepoh.];[KANNADA: Bhatala Penari.];[MALAYALAM: Poothiyunarthi, Pottakkavalam, Peenari.];[MALAYSIA: Kelumpang, Kelumpang jari.];[MYANMAR: Letpan-shaw.];[NEPALESE: Kaju.];[PHILIPPINES: Kalumpang.];[PORTUGUESE: Castanha-da-Índia, Chichá-fedorento, Oliva-de-java, Puna-bastarda, Xixá-fedorento.];[SPANISH: Anacagüita, Almendro de la India, Olivo de Java.];[SRI LANKA: Kurajadalka; Telambu.];[SANSKRIT: Vitkhadirah.];[TAMIL: Kutiraippitukku.];[THAI: Cham ma hong (Chiang Mai); Ma rong (Pattani); Ma rong (Pattani); Samrong (Central, Eastern); Hom rong (Peninsular);[VIETNAMESE: Tr[oo]m.]. EPPO Code---SRLFO (Preferred name: Sterculia foetida.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า กัมพูชา ไทย เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลียตอนเหนือ แอฟริกาตะวันออก Sterculia foetida เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนและที่ราบลุ่มเขตร้อน พบในป่าปฐมภูมิและทุติยภูมิ มักอยู่บนฝั่งแม่น้ำและหินทรายตามแนวชายฝั่งและในป่าทึบและพื้นที่เปิดโล่ง ซึ่งพบได้ในระดับความสูงถึง 1,500 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายอยู่ตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และตามป่าโปร่งทั่วไป ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100-600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง15-20 (-30) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 90 ซม.ลักษณะทรงต้น ลำต้นเปลาตรง ต้นแก่โคนต้นแตกเป็นพูพอน เรือนยอดเป็นรูไข่ถึงทรงกระบอก ทรงพุ่มโปร่งไม่ทึบ กิ่งก้านแตกแขนงในลักษณะตั้งฉากกับลำต้นและแผ่กว้าง เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลปนเทา มีร่องรอยแผลเป็นของก้านใบที่หลุดลอกรอบต้นอย่างชัดเจน ใบประกอบรูปนิ้วมือแผ่ออกจากจุดเดียวกัน ใบย่อย7-8ใบ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลมหรือมีติ่งแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบหนา ขนาดของใบย่อยกว้าง 3.5-6 ซม.ยาว 10-30 ซม. ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3-5 มม. ส่วนก้านใบประกอบยาว 13-20 ซม. ดอกออกเป็นช่อกระจะขนาดใหญ่ตามปลายกิ่งสีแดงหรือออกแสด ไม่มีกลีบดอกมีแต่กลีบเลี้ยง ดอกมี 5 กลีบ โคนกลีบติดกันเป็นรูปถ้วย ส่วนปลายแยกเป็น 5 กลีบ ปลายกลีบม้วนออก มีขน ดอกเมื่อบานขนาด 1.8-2.5ซม. ดอกมีกลิ่นเหม็นมาก ผลรูปไต ขั้วผลติดกันเป็นกระจุก 4-5 ผล ผลอ่อนเป็นสีเขียว มีขนาดกว้างประมาณ 6-9 ซม.และยาวประมาณ 8-10 ซม. เปลือกแข็งเหมือนเนื้อไม้ ผลแก่สีแดงปนน้ำตาล แห้งแตกเป็นสองซีก เมล็ดสีดำมัน กว้างประมาณ 1.3 ซม.ยาว 2.5 ซม. มีเมล็ด 12-13 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการดินที่ลึกและอุดมสมบูรณ์ชื้น แต่มีการระบายน้ำดีในตำแหน่งที่มีแดดและมีที่กำบัง ขึ้นได้ดีในดินที่หลากหลาย ชอบ pH ในช่วง 6 - 7.5 ซึ่งทนได้ 5 - 8 ใช้ประโยชน์---ต้นไม้อเนกประสงค์ มักจะเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นอาหาร ยาและวัสดุต่างๆสำหรับใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน ผลรสหวานกินได้ เมล็ด คั่ว อบแล้วกินได้ รสชาดเหมือนถั่วลิสงกินมากเกินไปจะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย น้ำมันจากเนื้อในเมล็ด ใช้ในการปรุงอาหาร มีคุณสมบัติคล้ายและสามารถใช้ในลักษณะเดียวกับน้ำมันมะกอก เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 40% -ใช้เป็นยา เปลือกต้นขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ ละลายเสมหะ แก้โลหิตและลมพิการ รักษาโรคไส้เลื่อนได้ดี เปลือกต้นนำมาต้มกับน้ำกินช่วยแก้อาการบวมน้ำ ท้องมานและโรคไขข้อ เปลือกผลแก้ปัสสาวะพิการ เปลือกหุ้มเมล็ด แก้กระหายน้ำ ผลเป็นยาแก้ท้องร่วง ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เปลือกต้น เมล็ด ใบ เป็นยาระบายอ่อน -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ตามริมถนน โรงเรียน หรือในวัด และยังจัดเป็นไม้ป่าที่หายากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นิยมมาปลูกไว้ในบริเวณที่พักอาศัย เพราะดอกมีกลิ่นเหม็นมาก -อื่น ๆ เนื้อไม้สีขาวอมเทา หยาบและเป็นไม้เนื้ออ่อนค่อนข้างเหนียว ไสตกแต่งได้ง่าย ค่อนข้างทนทานสำหรับงานตกแต่งภายใน ใช้ทำเครื่องเรือน หีบใส่ของ ก้านและกลักไม้ขีดไฟ เรือแคนูที่ขุดจากต้นไม้, กระดานปูพื้น, กีต้าร์และของเล่นแกะสลัก- เส้นใยของเปลือกไม้ใช้ทำเชือก เสื่อ, กระเป๋าและกระดาษ น้ำมันจากเมล็ดใช้เติมโคมไฟ เปลือกไม้และใบใช้ไล่แมลง ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-ธันวาคม/มกราคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
สิวาละที/ Bridelia glauca
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bridelia glauca Blume.(1826) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms ---Bridelia acuminatissima Merr.(1915) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-24527 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สิวาละที (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), สีเทาะพานี (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ;[CHINESE: Mo ye tu mi shu.];[INDONESIA: Kanyere badak, Kandri kebo (Jawa); Kanidei, Meretanak, Pentanah (Kalimantan).];[THAI: Si-wa-la-thi (Karen-Mae Hong Son); Si-tho-pha-ni (Karen-Chiang Mai).]; EPPO Code---BDISS (Preferred name: Bridelia sp.) ชื่อวงศ์--- PHYLLANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีน อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน ไต้หวัน คาบสมุทรมลายา อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ถึงนิวกินี Bridelia glauca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume.(1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2369 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนและเอเชียกึ่งเขตร้อนในป่าปฐมภูมิและป่าทุติยภูมิ กระจัดกระจายทั่วไปในประเทศจีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไต้หวัน, ยูนนาน) อินเดีย, พม่า, ไทย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, สุมาตรา, ชวา, กาลิมันตัน,ซาราวัก, บรูไน, ซาบาห์, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, มาลุกุ, นิวกินี พบที่ระดับความสูง 500-1,600 (-2,000) เมตร ในประเทศไทย พบประปรายทั่วไปในที่ชุ่มชื้น ทางภาคเหนือ ทั้งในป่าดิบและป่าชื้นขั้นที่สอง ที่ความสูงถึงระดับ 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูงถึง 15 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 40 ซม.บางครั้งมีค้ำยันสูงไม่เกิน 1.5 เมตร และยาว 3 เมตร ลำต้นฐานบางครั้งมีรากหนาม ใบรูปไข่หรือรูปไข่กลับขนาด 5-15 × 2.5-7.5 ซม.โคนใบป้านปลายใบแหลม เส้นใบข้างเป็นคู่ 11-18คู่จรดกัน แต่ไม่ถึงขอบใบ ก้านใบยาว 4-10 มม ใบแก่ด้านบนไม่มีขน ด้านล่างมีขนห่างๆ ดอก สีเหลืองอมเขียว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.3-0.5 ซม. ก้านดอกยาว 2-6 มม.ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละถึง 50 ดอก ผลยาว 5 - 8 มม.และเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 - 8 มม.สีม่วงแดงหรือออกดำเมื่อสุก เมล็ดรูปรีมีร่องด้านข้างตื้นขนาด 4-7 × 3-4.5 มม.สีน้ำตาลอ่อนมีชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของไม้ -ใช้กิน ผลฉ่ำมีรสหวานกินได้ -อื่น ๆ แก่นไม้สีเหลืองสดถึงน้ำตาลเข้ม กระพี้มีความหนาสูงสุด 5 ซม. มีสีขาวเหลืองถึงส้ม ไม้เนื้อแข็งและทนทาน เนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้าง ทำเสาสะพาน หรือโครงสร้างได้ ในอินโดนีเซียใช้ทำเสาค้างพริกไท ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กันยายน/กันยายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
สิไหรใบใหญ่/Dehaasia candolleana
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ชื่อวิทยาศาสตร์---Dehaasia candolleana (Meisn.) Kosterm.(1973) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Basionym: Dictyodaphne candolleana Meisn.(1864) ---Endiandra candolleana (Meisn.) Kurz.(1875) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สิไหรใบใหญ่ (ยะลา), ทำมัง (สุราษฎร์ธานี) ; [THAI: Si rai bai yai (Yala); Thammang (Surat Thani).] EPPO Code---DHZSS (Preferred name: Dehaasia sp.) ชื่อวงศ์---LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ พม่า ไทย มาลายา หมู่เกาะอันดามัน นิโคบาร์ Dehaasia candolleana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย (Lauraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Meisnและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dr.Andre Joseph Guillaume Henri 'Dok' Kostermans (1906 –1994) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซียที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2516
ที่อยู่อาศัย พบใน บังคลาเทศ พม่า ไทย มาลายา หมู่เกาะอันดามัน นิโคบาร์ ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทั่วประเทศ ที่ระดับความสูง100-450เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง10-18 เมตร ลำต้นแตกกิ่งในระดับสูง เรือนยอดโปร่งแผ่กว้าง เปลือกนอกสีน้ำตาล มีรอยขีดของช่องหายใจนูนเด่น เปลือกมีกลิ่นฉุน ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปไข่กลับ กว้าง5-8ซม.ยาว8-12ซม. โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวนวล ช่อดอกแบบกระจุกซ้อน ออกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง เป็นช่อสั้นๆ ดอกย่อยมีขนาดเล็ก กลีบดอกสีขาวนวล ผลกลมขนาด1ซม.เมื่อแก่สีดำ เมล็ดแข็ง ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้แข็งเหนียว ใช้ในงานก่อสร้าง ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020 ระยะออกดอก/ติดผล--- ขยายพันธุ์---เมล็ด
สุมต้น/Pittosporum ferrugineum
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Pittosporum ferrugineum W.T.Alton.(1811) ---This name is unresolved..See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2561671 ชื่อสามัญ---Splay-Berry Tree, Rusty pittosporum. ชื่ออื่น---สุมต้น (นราธิวาส,สุราษฎร์ธานี), เค ลา, ซันติเลีย (ภูเก็ต) ;[FRENCH: Pittospore ferrugineux.];[THAI: Sum ton (Narathiwat, Surat Thani); Khe la, San ti lia (Phuket).]. EPPO Code---PTUFE (Preferred name: Pittosporum ferrugineum.) ชื่อวงศ์---PITTOSPORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มลายู อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนีทางตอนเหนือของออสเตรเลียไปยังหมู่เกาะโซโลมอน Pittosporum ferrugineum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สุมต้น Pittosporaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Townsend Aiton (1766-1849) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2354
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบในมลายู อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ นิวกีนีทางตอนเหนือของออสเตรเลียไปยังหมู่เกาะโซโลมอน ขึ้นในป่าที่ลุ่มใกล้ชายฝั่งทะเลและป่าพรุ บางครั้งในป่าฝนหรือป่าขั้นรอง ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 5-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางมักไม่ค่อยเกิน 30 ซม.เปลือกเรียบสีน้ำตาลเทา มีช่องอากาศเป็นตุ่มเล็กๆกระจายทั่วไป กิ่งอ่อน ใบอ่อนและช่อดอกมีขนสั้นนุ่มสีสนิมปกคลุมทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทรงรีถึงกลม ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ รูปขอบขนานแกมรูปรี ขนาดกว้าง 2-4 ซม.ยาว 8-12 ซม. โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบและเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลม ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเหลืองอมเขียว ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบบางคล้ายแผ่นหนัง ดอกคล้ายช่อผสมกระจุกสองด้านหลายชั้นแยกแขนง แต่ละช่อประกอบด้วย ดอกย่อยขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางดอกประมาณ 0.5 ซม.สีขาวนวลถึงเหลืองนวลจำนวนมาก ก้านช่อดอกยาว 1-5 ซม.มีขนสั้นสีสนิมปกคลุม ดอกตูมทรงใบหอกเมื่อบานเต็มที่คล้ายดอกเข็ม ผลแบบผลแห้งแตกกลางพู รูปทรงกลมมีก้านเกสรเพศเมียเป็นติ่งติดอยู่ที่ปลาย ขนาดผล 0.9-1.2 x 0.7-1ซม.ผลสุกสีส้มอมเหลือง ผลเป็นรอยย่น เมื่อแก่เต็มที่เปลือกผลแตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดขนาดเล็กสีดำ หุ้มด้วยเนื้อเยื่อสีแดง มี 8-24 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---มักเติบโตได้ดีที่สุดในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง แต่ทนต่อแสงได้ พวกเขาประสบความสำเร็จในดินที่ระบายน้ำได้ดีส่วนใหญ่ สปีชีส์ในสกุลนี้มีแนวโน้มสูงที่จะผสมพันธุ์กับสมาชิกในสกุลอื่น เมื่อปลูกสายพันธุ์จากเมล็ด สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมล็ดพันธุ์นั้นมาจากแหล่งป่าที่รู้จัก หรือจากตัวอย่างที่แยกออกมาในการเพาะปลูก ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา และมีศักยภาพในการปลูกเป็นพืชสวน -ใช้เป็นยา เปลือกใช้เป็นยาแก้พิษทำให้อาเจียน เปลือรากตำอุดโพรงฟันบรรเทาอาการปวดฟันชั่วคราว สายพันธุ์นี้ถูกใช้เบื่อปลาและใช้ในการรักษาโรคมาลาเรีย (http://squid2.laughingsquid.net/hosts/herbweb.com /herbag/A20567.htm) -อื่น ๆไม้เนื้ออ่อนมีกระพี้สีเหลืองซีด บางครั้งใช้เป็นเชื้อเพลิง อาจเป็นเพราะมีเรซินที่ติดไฟได้ ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
สุรามิริด/Polyalthia parviflora
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia parviflora Ridl.(1912) ---This name is unresolved.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2407892 ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Polyalthia rufa Craib.(1924). See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:74689-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สุรามิริด, สุรามีฤทธิ์ (ตะวันออกเฉียงใต้); [THAI: Sura mi rit (Southeastern).]. EPPO Code---QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Polyalthia parviflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2455 ที่อยู่อาศัย พบในไทย มาเลเซีย ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 100-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 1-2 เมตรลักษณะทรงต้น ทรงพุ่มโปร่ง เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอมดำ เนื้อไม้เหนียว กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ใบรูปขอบขนานแกมใบหอกกว้าง 2-4 ซม.ยาว 6-12 ซม.ใบบางและเหนียว โคนใบมนเบี้ยวเล็กน้อยปลายใบแหลมก้านใบสั้นมาก ดอก เดี่ยวออกเหนือซอกใบ ดอกสีเขียวบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกบานขนาด 1 ซม.ปลายกลีบดอกโค้งงุ้มเข้าหากัน ผล เป็นผลกลุ่ม มี 4-12 ผล ผลย่อยไม่มีก้านผล รูปไข่กลับ กว้าง 0.6-1 ซม.ยาว 1-1.5 ซม.ผลอ่อนสีเขียวผลแก่สีแดงเข้ม มี 1-3เมล็ด ใช้ประโยชน์--ปลูกเป็นพืชสมุนไพรมีสรรพคุณทางยา -ใช้เป็นยา ใบ แก้ฟกช้ำ แก้ท้องอึด ขับลมในลำใส้ ทาถูนวดแก้ปวดเมื่อย น้ำมัน แก้ฟกช้ำ แก้เส้นกระตุก ฆ่าเหาและไข่เหา ขับโลหิตให้ขึ้นสู่ผิวหนัง ราก และต้น แก้อ่อนเพลีย แก้ไข้เซื่องซึม แก้ไข้สันนิบาต ระยะออกดอก---ธันวาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
เสม็ดทุ่ง/Lophopetalum wallichii
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Lophopetalum wallichii Kurz.(1872) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Solenospermum wallichii (Kurz) Loes.(1936) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่อวงศ์---CELASTRACEAE ชื่ออื่น--- เสม็ดทุ่ง (ภาคกลาง,แพร่), กระพี้เขาควาย, ดีหมี, พังคี (อุบลราชธานี),ไข่เข้ (ชุมพร), เคิม (เชียงราย), แจะ (พังงา), เนื้อเลีย (อุตรดิตร์), เนิ้อเหนียว (ภาคเหนือ), ปันจะเลีย (ส่วย สุรินทร์), เบือนจะไล (เขมร บุรีรัมย์), เบือนทะลาย (เขมร สุรินทร์), พังซี (สกลนคร,ฟันจุลี,ฟันซุล) ;[THAI: Kra phi khao khwai (Ubon Ratchathani); Khai khe (Chumphon); Khoem (Chiang Rai); Chae (Phangnga); Di mi (Ubon Ratchathani); Tat noi (Northern); Nuea lia (Uttaradit); Nuea niao (Northern); Pan-cha-lia (Suai-Surin); Puean-cha-lai (Khmer-Buri Ram); Puean-tha-lai (Khmer-Surin); Phang khi (Ubon Ratchathani); Phang si (Sakon Nakhon); Phan chuli (Nakhon Ratchasima); Ma niang hat (Phra Nakhon Si Ayutthaya); Yang don (Phitsanulok); Song salueng (Pattani); Samet thung (Central, Phrae); Samet yang (Phitsanulok).];[LAOS: Farng khee.]. EPPO Code---LHPSS (Preferred name: Lophopetalum sp.) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว กัมพูชา หมู่เกาะอันดามัน Lophopetalum wallichii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระทงลาย (Celastraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย พบใน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา หมู่เกาะอันดามัน พบตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูง 400-900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15-20 เมตร เปลือกต้นสีเทาอ่อนค่อนข้างเรียบ เปลือกชั้นในสีแดงอมม่วงเข้ม ใบด้านบนเป็นมัน ด้านล่างมีนวล ขนาดกว้าง4-7ซม.ยาว7-16ซม.ดอกออกเป็นช่อตามปลายยอดหรือซอกใบดอกสีเขียวอ่อน ช่อดอกยาว12ซม.กลีบเลี้ยง 5 กลีบ รูปสามเหลี่ยมปลายแหลม กลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกกลม ดอกขนาด0.4-0.6ซม. ผลทรงกลมกว้าง 3-4 ซม. มีเหลี่ยมและแข็ง แตกได้3(4)เสี้ยวเมล็ดแบนมีปีก ใช้ประโยชน์---ไม้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
เสลาใบเล็ก/Lagerstroemia tomentosa
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia tomentosa C.Presl.(1844) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-19200388 ---Lagerstroemia tomentosa var. caudata Koehne.(1908) ---Murtughas tomentosa (C.Presl) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ--- Leza wood, White Crape Myrtle Tree ชื่ออื่น---เสลาใบเล็ก (ทั่วไป); จะวอ, จูดอ, ชวง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); ฉ่วงฟ้า (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); เบาะโยง, เบาะสะแอน, เบาะเส้า (เชียงราย); เปื๋อยขาว, เส้า, เส้าขาว, เส้าเบาะ, เส้าหลวง (ภาคเหนือ); เสลา (ราชบุรี, สระบุรี); เสลาขาว (ราชบุรี); เสลาเปลือกบาง (กำแพงเพชร) ;[MYANMAR: Kamaing-thwe, Kamaungthwe, Kyon-pha, Leza, Leza-ni, Mahon, Pyinmapyu, Thabeik.];[THAI: Cha-wo (Karen-Mae Hong Son); Chu-do (Karen-Mae Hong Son); Chuang fa (Karen-Kanchanaburi); Chuang (Karen-Mae Hong Son); Bo yong (Chiang Rai); Bo sa aen (Chiang Rai); Bo sao (Chiang Rai); Pueai khao (Northern); Salao (Ratchaburi, Saraburi); Salao khao (Ratchaburi); Salao plueak bang (Kamphaeng Phet); Sao, Sao khao, Ssao bo, Sao luang (Northern).];[VIETNAMESE: Bằng lăng lông.] EPPO Code---LAETO (Preferred name: Lagerstroemia tomentosa.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน พม่า ไทย Lagerstroemia tomentosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Karel Bořivoj Presl (1794–1852) นักพฤกษศาสตร์ชาวเช็กในปี พ.ศ.2387
ที่อยู่อาศัย พบที่อินเดีย จีนตอนใต้(ยูนนาน) พม่า เวียดนาม พบทั่วไปในป่าดิบชื้นและกึ่งป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณมักจะอยู่บนเนินเขาด้านล่างและหุบเขา ที่ระดับความสูง 600 - 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังที่ระดับความสูง 600-700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูงถึง 10-15 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 80 ซม.เรือนยอดแคบเปลือกต้นสีน้ำตาลเทาเข้ม แตกและหลุดเป็นเส้นยาว เปลือกชั้นในเป็นชั้นสีน้ำตาลและขาวบางๆหลายชั้น ใบรูปรีหรือรูปขอบขนาน ขนาดของใบ 4-6.5 ซม.ยาว 10-18 ซม. ก้านใบยาว 4-8 มม. ใบอ่อนมีขนรูปดาวสีเหลือง ใบแก่เกลี้ยง ช่อดอกส่วนมากออกที่ปลายกิ่ง ยาวได้ถึง 40 ซม.ดอกสีขาวหรือชมพูอ่อนขนาด 2.7-3.5 ซม. ชั้น กลีบเลี้ยงแยก 5-6 แฉก มีสัน 10-12 สัน ภายนอกมีขนสีเหลือง ภายในไม่มีขนถึงปลายกลีบ ฐานกลีบดอกแคบคล้ายก้านกลีบ เกสรผู้ขนาดใหญ่ 6-7 อัน สีชมพูขนาดเล็กมากมาย อับเรณูสีเหลือง ผลกลมรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม รูปขอบขนาน ยาว 1-1.7 ซม. มีชั้นกลีบเลี้ยงคลุม1/3ของผล ผลแห้งแตกเป็น 6 ซีก เมล็ดเล็กรูปสามเหลี่ยม ปลายเป็นปีกบาง โค้ง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งที่มีแดดและทนแสงได้ เจริญเติบโตได้ดีในดินที่ชื้นและอุดมสมบูรณ์และมีเนื้อสัมผัสปานกลาง ชอบ pH ในช่วง 5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4 - 7.5 ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ซึ่งใช้ในท้องถิ่นและแลกเปลี่ยน -อื่น ๆแก่นไม้เป็นสีเทาอ่อนถึงน้ำตาลอมเทา เนื้อไม้มีลักษณะค่อนข้างแข็งและทนทานปานกลาง มันถูกใช้สำหรับการก่อสร้าง, ปูกระดาน, เรือแคนู, รถเข็น, เพลา, ล้อ, เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
เสลาเปลือกบาง/Lagerstroemia venusta
ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia venusta Wall ex C.B.Clarke.(1879) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-19200787 ---Lagerstroemia collettii W. G. Craib.(1911) ---Lagerstroemia corniculata Gagnep.(1918) ชื่อสามัญ---Crape myrtle ชื่ออื่น---เซ้า, ติ้ว, ทิ้ว (สระบุรี); เปื๋อยขี้หมู (นครพนม); เปื๋อยช่อ, เสลาดำ, เสลาเปลือกบาง (ราชบุรี); เส้า, เส้าชิ้น, เส้าดำ, เส้าหมื่น (ภาคเหนือ); ม่อหนาม (เงี้ยว-เชียงใหม่); เส่พอมือปรา, เส่เพาะมือกวา (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ;[CHINESE: Xi shuang zi wei.];[MYANMAR: Mahon, Maik-sow, Zaung-bale-ywet-gyi.];[THAI: Sao, tio, thio (Saraburi); Pueai khi mu (Nakhon Phanom); Pueai cho, Sao, Sao chin, Sao dam, Sao muen (Northern); Salao dam, Salao plueak bang (Ratchaburi); Mo-nam (Shan-Chiang Mai); Se-pho-mue-pra, Se-pho-mue-kwa (Karen-Mae Hong Son).];[VIETNAM: Bằng lăng sừng.]. EPPO Code---LAESS (Preferred name: Lagerstroemia sp.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ตอนเหนือของพม่า ไทย ยูนนาน คาบสมุทรอินโดจีน Lagerstroemia venusta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กจากอดีต Charles Baron Clarke (1832-1906) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2422 ที่อยู่อาศัย พบที่จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูง 150-800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 6-12 เมตร เปลือกหนาสีน้ำตาลหรือเทาปนดำ เปลือกแตกเป็นร่องตามยาว หลุดลอกเป็นชิ้นบางยาวๆ ใบเดี่ยวรูปขอบขนานแกมรี ขนาดของใบกว้าง3-5.5ซม.ยาว10-15ซม.ปลายแหลม มน หรือกลม โคนเบี้ยว ก้านใบยาว 0.3-1 ซม. ดอกสีม่วงอมชมพู ออกเป็นช่อตั้งที่ปลายกิ่งยาว 40ซม.มีผงสีขาวคล้ายแป้งปกคลุม มีดอกย่อยจำนวนมากขนาดดอก 2.5 ซม. ดอกตูมคล้ายลูกข่างผลรูปไข่ติดอยู่บนกลีบรองดอกที่ไม่หลุดร่วง รูปรี ยาว 1.5-2.5 ซม.เมื่อแก่แล้วแตกประจากส่วนปลายแตกเป็น 4-5 ซีก ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับสวนทั่วไปและปลูกเป็นไม้ริมทางหลวง ดอกสวยงาม -อื่น ๆเนื้อไม้ใช้ทำเสาและเครื่องมือเกษครกรรม ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
เสลาเปลือกหนา/Lagerstroemia villosa
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Lagerstroemia villosa Wall.ex Kurz.(1873) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-19200789 ---Murtughas villosa (Wall. ex Kurz) Kuntze. (1891) ชื่อสามัญ---Hairy Lagerstroemia, Crape Myrtle ชื่ออื่น--เสลาเปลือกหนา (กำแพงเพชร), เส้าดำ (เชียงใหม่), เส้าหมื่น (ลำปาง), เคี้ยเนี้ย, มูลเถ้า (เลย), แค้วเนื้อ (เพชรบูรณ์), เปื๋อยสาร (ภาคเหนือ), สมอรัด (สุราษฎร์ธานี,พิจิตร), เสลาใบเล็ก (กาญจนบุรี) ;[CHINESE: Mao zi wei.];[MYANMAR: Zaungkale(saung:ka.lé:), Zaungpale (saung:pa.lé:), Zaungbale (zaung:pa.lé:), Zinbye.];[THAI: Khia nia (Loei); Khaeo nuea (Phetchabun); Pueai san (Northern); Mun thao (Loei); Samo rat (Phichit, Surat Thani); Salao dam (Northern); Sbai lek (Kanchanaburi); Salao plueak na (Kamphaeng Phet); Sao muen (Northern). EPPO Code---LAESS (Preferred name: Lagerstroemia sp.) ชื่อวงศ์---LYTHRACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย และยูนนาน Lagerstroemia villosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตะแบก (Lythraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กจากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2316
ที่อยู่อาศัยพบทั่วไปในป่าชื้นผลัดใบ ในประเทศจีน (ยูนนาน) ตอนเหนือของพม่า ไทย ที่ระดับความสูง 700-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูงถึง10- 30 เมตร ลำต้นยาวตรงเรือนยอดแคบ เปลือกต้นสีน้ำตาลแก่หรือเทาดำ มีร่องแตกหยาบๆตามยาวของต้น กิ่งก้านทั้งพื้นผิวของใบและดอกมีขนสีขาว ก้านใบยาว 2-4 (-6) มม.ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปหอก รูปไข่หรือรูปรี ขนาดกว้าง 2.5 ซม. ยาว 5-13 ซม ด้านล่างและด้านบนใบมีขนนุ่มสีเทา ดอกสีขาวมีกลิ่นหอมเล็กน้อย ช่อดอกกลมเป็นช่อกระจุกแน่น ออกที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาว รูประฆัง ดอกตูมรูปกรวย ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 มม.ชั้นกลีบเลี้ยงปลายแยกเป็น 5-6 แฉก มีสันเป็นปีกแคบ 5-6 สัน กลีบดอกเล็กแหลม 5-6 แฉก เกสรเพศผู้ขนาดใหญ่ 5-6 อัน ยาวเป็น 2 เท่าของเกสรชั้นใน ผลขนาด 1.2-1.5 ซม.รูปขอบขนานหรือรูปไข่แคบปลายแหลมมีชั้นกลีบเลี้ยงคลุม 1/3 ของผล ผนังผลแข็งเมื่อแก่แตกออกเป็น4-5 แฉก เมล็ดรวมปีกขนาด (3.5-) 9-10 มม. ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ การดูดซับมลพิษสูง -อื่น ๆสำหรับต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ เนื้อไม้นำไปใช้ในงานก่อสร้างได้ ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
เสี้ยวดอกขาว/Bauhinia variegata
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia variegata Linn.(1753) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Bauhinia chinensis (DC.) Vogel.(1843) ---Phanera variegata (L.) Benth.(1852) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-840 ชื่อสามัญ---Buddhist bauhinia, Mountain Ebony, Poor man's orchid, Butterfly ash, Camel's foot tree, St. Thomas tree, Variegated orchid tree, Sping orchid tree. ชื่ออื่น---นางอั้ว (เชียงใหม่); เปียงพะโก (สุโขทัย); โพะเพ่ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); เสี้ยวดอกขาว (ภาคเหนือ) ;[ASSAMESE: Kancan, Kanchan.];[BENGALI: Kachnar, Kanchan.];[BRAZIL: Unha-de-vaca.];[CHINESE: Yang ti jia, Yáng zǐ jīng.];[FRENCH: Arbe de saint Thomas, Bois de Boeuf, Sabot Boeuf.];[GERMAN: Bunte Bauhinie, Buntfarbene Vauhinie.];[HINDI: Kachnar, Kachanar, Kanchanar.];[JAPANESE: Youtheibok (Mt. yotei wood).];[MALAYALAM: Koral, Kanchan , Chuvanna Mandharam.];[MYANMAR: Bwechin.];[NEPALI: Koiralo.];[PORTUGUESE: Bauínia, Patas-de-camelo, Arvore-de-são-tomé.];[SANSKRIT: Canari, Dalak, Girij, Karbudara, Kancanara, Kancan, Kovidara, Mahapushpa, Pakari, Pitpushpa, Yugmaputra.];[SINHALESE: Koboleela.];[SPANISH: Flamboyán orquídea, Palo de orquídeas, Pata de vaca, Patevaco, Uña de vaca.];[TAMIL: Arbol de las orquídeas, Arbol orquídea, Mantharai, Sigappu mandarai, Sihappu mantarai.];[THAI: Nang ua (Chiang Mai); Piang phako (Sukhothai); Pho-phe (Karen-Kanchanaburi); Siao dok khao (Northern).]. EPPO Code---BAUVA (Preferred name: Bauhinia variegata.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้ อินเดีย พม่า ลาว ตอนเหนือของเวียตนาม Bauhinia variegata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ภาพประกอบการศึกษา---Photo: https://inpn.mnhn.fr/espece/cd_nom/447028?lg=en ที่อยู่อาศัยจากประเทศจีนผ่านทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังอนุทวีปอินเดีย ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ พบมากในป่าผลัดใบ ป่าไผ่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะที่เป็นหินปูน ที่ขึ้นเองในธรรมชาติดอกมักมีสีขาว ที่ระดับความสูง 200-1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กสูง 12-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ซม.เรือนยอดโปร่ง เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาอ่อนถึงดำ มีรอยแตกหยาบๆ ใบกลมหรือรูปไข่แยกเป็น2แฉกลึก1/4-1/3ของความยาวใบ ขนาดของใบ 5-12 ซม. ปลายใบแฉกตื้น ๆ ปลายแฉกมนกลม โคนรูปหัวใจ ก้านใบยาว 3-4 ซม.ใบอ่อนมีขนนุ่มคล้ายไหม ใบแก่มีนวลข้างบนด้านล่างสีอ่อนกว่ามีขนสีขาวละเอียด ช่อดอกแบบช่อกระจะสั้น ๆ ออกตามกิ่งข้างและจำนวนดอกน้อย ใบประดับรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ก้านดอกหนา ยาวประมาณ 5 มม. ดอกขนาด 7-10 ซม. กลีบเลี้ยงรูปกาบ ดอกสีขาว กลีบกลางมีปื้นสีชมพูหรือม่วงอมเหลืองมีกลิ่นหอม กลีบดอก บอบบางมี5กลีบ กลีบรองดอกตะแคงข้าง เกสรตัวผู้ 5 อันขนาดไม่เท่ากัน รังไข่มีขน ผลเป็นฝักรูปแถบ เบี้ยว ยาว 20-30 ซม. มี 10-15 เมล็ด ฝักแห้งแล้วแตกออกตามแนวยาวแล้วม้วนออกด้านนอก เมล็ดแบน 10-25 เมล็ด เส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม. ใช้ประโยชน์--ใช้กิน ใบ ดอก และดอกอ่อนกินเป็นผัก ;- 'Kachnar' เป็นชื่อท้องถิ่นในประเทศอินเดียสำหรับตาที่กินได้ที่เก็บมาจากต้นไม้; มันถูกใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นส่วนผสมในสูตรอาหารอินเดียจำนวนมาก แกงกะหรี่แบบดั้งเดิมจัดทำขึ้นโดยใช้ดอกตูม, โยเกิร์ต, หัวหอมและเครื่องเทศอินเดียพื้นเมือง ตา Kachnar ยังกินเป็นผักผัดและใช้ทำachaarดองในหลายส่วนของอนุทวีปอินเดีย ในบางภูมิภาคจะปรุงด้วยเนื้อวัวสับ -ใช้เป็นยามีสรรพคุณด้านสมุนไพรหลายอย่าง ส่วนที่ใช้ เปลือกไม้ , ดอกไม้ , ใบไม้ , เมล็ด , ลำต้น ใช้สำหรับรักษาเลือดออก ริดสีดวงทวาร, ไอ, ท้องร่วง, โรคบิด,ขับปัสสาวะ, อาหารไม่ย่อย, โรคมาลาเรีย, ผิวหนัง, เจ็บคอ, วัณโรค, หลอดลมอักเสบ,โรคเรื้อน, แผล, โรคอ้วนและหนอนลำไส้มันยังใช้เป็น ยาสมานแผลและยาชูกำลัง -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นที่นิยมกันมากในประเทศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน ทรงต้นสวยงามดอกมีกลิ่นหอม ให้สีต่างๆกัน มีสีขาว ชมพู จนถึงม่วงปลูกตามสวนสาธารณะ บริเวณบ้านพักอาศัยหรือเป็นไม้ริมถนน -อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลแข็งปานกลางใช้ทำเครื่องมือการเกษตร เส้นใยจากเปลือกใช้ทำเขือก ใบเป็นอาหารสัตว์ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง-ต้นไม้ให้ยางหรือเรซินซึ่งใช้เป็นกาวในผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปลือกไม้ให้แทนนิน ให้สีย้อมสีน้ำตาล ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2012 ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
เสี้ยวฟ่อม/ Bauhinia viridescens
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia viridescens Desv.(1826) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Bauhinia baviensis Drake.(1891) ---Bauhinia fusifera C.E.C.Fisch.(1927) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-43540 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---บะหมะคอมี (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); ส้มเสี้ยวน้อย (ปราจีนบุรี); ส้มเสี้ยวใบบาง (ประจวบคีรีขันธ์); เสี้ยวเคี้ยว (เลย); เสี้ยวน้อย, เสี้ยวป๊อก (แพร่); เสี้ยวฟ่อม (ภาคเหนือ) ;[ASSAMESE: Boga-katra, Kanchan, Kuro.];[CHINESE: Lü hua yang ti jia.];[THAI: Ba-ma-kho-mi (Karen-Kanchanaburi); Som siao noi (Prachin Buri); Som siao bai bang (Prachuap Khiri Khan); Siao khiao (Loei); Siao noi, Siao pok (Phrae); Siao fom (Northern);[VIETNAM: Móng bò xanh lục, Móng Bò Trở Xanh.]. EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ พม่าอินโดจีนถึงอินโดนีเซีย Bauhinia viridescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์(Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicaise Auguste Desvaux (1784–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2369 ที่อยู่อาศัย พบที่จีนตอนใต้ (ไหหลำ, ยูนนาน) พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, เวียดนาม และอินโดนีเซีย ในประเทศไทยพบแทบทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ ขึ้นตามชายป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดิบแล้ง ความสูงถึงประมาณ 800 เมตร แยกเป็น var. hirsuta K. Larsen & S. S. Larsen (กาหลงเขา) พืชถิ่นเดียวของไทย พบที่จังหวัดกาญจนบุรี ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 2-4 เมตร มีขนหนาแน่นตามกิ่งอ่อน แผ่นใบด้านล่าง และช่อดอก ใบเป็นใบเดี่ยว รูปไข่ถึงเกือบกลม ขนาด 6-15 ซม. โคนตัดหรือเว้า ปลายแยกเป็น 2 แฉกลึก 1/3-2/3 ของใบ ปลายใบมน ก้านใบยาว 2-5 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกสีขาวอมเหลืองถึงเขียวอ่อน ออกเป็นช่อโปร่ง ขนาดช่อรวม 5-15 ซม.กลีบดอก5กลีบ รูปช้อนถึงรูปใบหอก ดอกเพศผู้มีเกสร10อันขนาดไม่เท่ากัน ผลเป็นฝักแบนยาว 5-7 ซม.กว้าง 0.7-1 ซม.ผิวเรียบ แห้งแล้วแตกตามยาว เมล็ดมี 6-10 เมล็ดรูปแบนยาว ขนาด 2-3 มม. ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มีทรงพุ่มและดอกสวยงามเป็นไม้ประดับได้ดี ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กรกฎาคม/พฤษภาคม-มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
เสี้ยวใหญ่/Bauhinia malabarica
ชื่อวิทยาศาสตร์---Bauhinia malabarica Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Piliostigma malabaricum (Roxb.) Benth.(1852) ชื่อสามัญ---Malabar bauhinia, Lilac Bauhinia ชื่ออื่น---คังโค (สุพรรณบุรี); แดงโค (สระบุรี); ป้าม (ส่วย-สุรินทร์); ส้มเสี้ยว (ภาคเหนือ); เสี้ยวส้ม (นครราชสีมา); เสี้ยวใหญ่ (ปราจีนบุรี) ;[ASSAMESE: Kotra.];[BENGALI: Karmai.];[CAMBODIA: Choueng koo.];[HINDI: Amli, Amlosa, Jhinjora, Khatta.];[INDONESIA: Kendayakan, Benculuk, Kripi.];[KANNADA: Basavanapaada.];[LAOS: Som sieo.];[MALAYALAM: Arampuli, Aarampuli, Vellamandara.];[MARATHI: Amli, Koral.];[MYANMAR: Bwegyin, Bwechin.]; [NEPALESE: Tanki.];[PHILIPPINES: Alibangbang, Alambangbang (Tag.).];[SANSKRIT: Amlapatrah, Ashmantaka, Ashmayukta, Yamalapatrah.];[TAMIL: Malaiyatti, Puliyatti.];[TELUGU: Puli Chinta.];[THAI: Khang kho (Suphan Buri); Ddaeng kho (Saraburi); Pam (Suai-Surin); Som siao (Northern); Siao som (Nakhon Ratchasima); Siao yai (Prachin Buri).];[VIETNAMESE: Mosng bof, Tai tuw owjng, Tai voi.]. EPPO Code---BAUSS (Preferred name: Bauhinia sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ฟิลิปปินส์ ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อย Piliostigma malabaricum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์(Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัยพบที่อินเดีย พม่า ภูมิภาคอินโดจีน ชวา และฟิลิปปินส์ ในประเทศไทยพบทุกภาค ภาคใต้ถึงชุมพร ขึ้นตามชายป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น พบมากในป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อยหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูง 3-15 เมตร มีขนสั้นนุ่มตามช่อดอก ก้านดอก และตาดอก ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ถึงเกือบกลม โคนตัดหรือเว้าปลายแยกเป็น 2 แฉกลึก1/5-1/6 ของใบ ปลายใบมนก้านใบ ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ช่อย่อยแบบช่อกระจะสั้น ยาว 2-4 ซม ออกที่ปลายยอด กลีบดอกสีขาว กลีบรูปขอบขนาน ยาวประมาณ 1 ซม. ก้านกลีบสั้นมาก ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 10 อัน ดอกเพศเมียมีเกสรเพศผู้สั้นๆที่เป็นหมัน 10 อันปลายยอดเกสรเพศเมียเป็นปุ่ม ผลเป็นฝักไม่แตก รูปดาบแบน กว้าง 0.8-2.5 ซม.ยาว20-30 ซม.ปลายแหลมเป็นจงอยยาวมีเมล็ด10-30 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน หน่ออ่อนกินได้ ใบอ่อนกินดิบได้ มีรสเปรี้ยว มีการบริโภคในอินเดีย อินโดนีเซียและไทย- ในประเทศฟิลิปปินส์นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงสำหรับเนื้อสัตว์และปลา -ใช้เป็นยา ดอกแก้ปวดท้อง แก้บิด ใบมีสรรพคุณกระตุ้นกำหนัด แก้ไข้ เปลือกใช้พอกแผลสด ในภาคใต้ของอินเดียและแถบหิมาลัยใช้หน่อเพื่อรักษาอาการไอ, โรคเกาต์, อาการบวมของต่อม, คอพอก ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม/มกราคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ปักชำ
|
แสดสยาม/Goniothalamus repevensis
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Goniothalamus repevensis Pierre ex Finet & Gagnep.(1906) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2829742 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ข้าวหลาม, จำปีหิน (ประจวบคีรีขันธ์); แสดสยาม (ทั่วไป) ;[CAMBODIA: Vor Krovan.];[THAI: Khao lam, Champi hin (Prachuap Khiri Khan); Saet sayam (General).]. EPPO Code---GJOSS (Preferred name: Goniothalamus sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภูมิภาคอินโดจีน Goniothalamus repevensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา(Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและ Francois Gagnepain (1866-1952 ) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2449 ที่อยู่อาศัย พบในภูมิภาคอินโดจีน -กัมพูชา ไทย ลาวและเวียดนาม ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่จันทบุรี ที่ระดับความสูง 600-900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง1-2 เมตร ลักษณะทรงพุ่ม แตกกิ่งน้อย กิ่งอ่อนเรียบสีเขียวปนน้ำตาล เปลือกต้นสีดำมีช่องอากาศสีขาวบิดเวียนตามยาว เนื้อไม้เหนียวมาก ใบ รูปขอบขนานแกมใบหอกกว้าง 3-3.5 ซม.ยาว 12-16 ซม. ก้านใบยาว 6-8 มม.ใบค่อนข้างหนาและเหนียว ดอกออกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบที่หลุดร่วงตามกิ่ง ก้านดอกยาวประมาณ 1 ซม. กลีบเลี้ยงยาว 3-5 มม. เชื่อมติดกันที่โคน ปลายแยกเป็นแฉกรูปสามเหลี่ยมขนาดเล็ก ดอกสีแสดหรือส้มอมชมพู กลีบวงนอก 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลมยาว ยาวประมาณ 2.5 ซม. วงใน 3 กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม ยาว 5-8 มม. เรียงประกบกัน ด้านนอกมีขนละเอียด มีก้านสั้น ๆ ขนาดดอก 2.5-3 ซม. มีกลิ่นหอมอ่อน ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 5-10 ผลแต่ละผลรูปรี กว้าง 8 มม.ยาว2.2-2.6 ซม. ก้านผลย่อยยาวประมาณ 5 มม ผิวผลเรียบเป็นมัน มี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นพรรณไม้หายากที่สามารถนำมาปลูกเป็นไม้กระถาง หรือปลูกในที่ร่มรำไร ระยะออกดอก---เมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด เสียบยอด และการตอนกิ่ง
|
แสมขน/Avicennia lanata
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Avicennia lanata Ridl.(1920) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Avicennia marina var. rumphiana (Hallier f.) Bakh. ---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-18464 ---Avicennia rumphiana Hallier f.(1920) ---Avicennia officinalis var. spathulata Kuntze.(1921) ชื่อสามัญ---Mangrove Avicennia lanata ชื่ออื่น---แสมขน ;[MALAYSIA: Api-api bulu, Api-api Berbulu (Malay).];[THAI: Smae khon.];[VIETNAM: Mắm quăn.]. EPPO Code---AVISS (Preferred name: Avicennia sp.) ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ เป็นพุ่มสูง 5-8 เมตร พบน้อยที่จะมีขนาดใหญ่ถึง 20 เมตร มักขึ้นปะปนกับแสมดำ แสมขนเป็นพรรณไม้ป่าชายเลนที่ค่อนข้างหายาก ลักษณะลำต้นไม่มีพูพอน มีรากหายใจคล้ายดินสอสูง 15-25 ซม.ลำต้นทรงกรวยคว่ำ เปลือกสีเทาเข้ม มีช่องอากาศกระจายทั่วไป กิ่งอ่อนอวบมีข้อนูนเด่น ใบและส่วนต่างๆที่ยังอ่อนมีขนแบบขนแกะสีขาวปกคลุม เมื่อมองระยะไกลจะเห็นพุ่มต้นสีขาวอมเหลือง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับฉาก แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปรีขนาด 1.5-4 ซม.ยาว 2.5-8 ซม. เนื้อใบอวบน้ำแกมเหนียวผิวใบด้านบนสีเขียวหม่นมีขนประปราย ด้านล่างสีขาวอมเหลือง มีขนแบบขนแกะสีขาวปกคลุมหนาแน่นดอก แบบช่อกระจุก ออกตามกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้ปลายยอด ก้านช่อดอกยาว 1-5 ซม.แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย 4-12 ดอก ขนาดเล็กสีเหลืองถึงเหลืองอมส้มผล แห้งแล้วแตกตามรอยประสาน 2 ซีกรูปทรงไข่กว้างเบี้ยวถึงเกือบกลม ค่อนข้างแบน ขนาดกว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 1.3-1.8 ซม.เปลือกผลบางอ่อนนุ่ม สีเขียวอ่อนอมขาว มีขนแบบขนแกะปกคลุมหนาแน่น ปลายผลเป็นจงอยสั้น เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะแตกและม้วนเป็นหลอดกลม เมล็ดงอกตั้งแต่อยู่บนต้นมี 1 เมล็ด ขนบนใบกักเก็บน้ำโดยการดักชั้นอากาศและลดการสูญเสียน้ำผ่านการระเหย ใช้ประโยชน์----ใช้กิน ผลดิบต้มกินและขายเป็นผัก -วนเกษตร เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่เติบโตเร็วที่สุดและใช้ในการฟื้นฟูป่าโกงกางเพื่อปกป้องชายฝั่ง -อื่น ๆ ไม้ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ทำฟืน ดอกไม้มีกลิ่นหอมเป็นแหล่งน้ำหวานของผึ้งที่ผลิตน้ำผึ้งที่ดีที่สุด ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-กุมภาพันธ์/พฤศจิกายน-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
แสมขาว/Avicennia alba
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Avicennia alba Blume.(1826) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Avicennia marina (Forssk.) Vierh. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-18435 ชื่อสามัญ--- White mangrove, Api api putih (Malay) ชื่ออื่น---แสมขาว, แสม, แหม, แหมเล (ใต้), พีพีเล (ตรัง); [INDIA: Singal Bani (Odia).];[INDONESIA: Ros-rosan.];[MALAYSIA: Api api putih, Pokok (Malay); Api-api Hitam (Sarawak).];[MYANMAR: Lame.];[PHILIPPINES: Aip-api puti.];[TAMIL: Vellai kandai.];[TELUGU: Gundu mada, Vilava mada.];[THAI: Smae khao, Smae, Mae, Mae-Lae, Pi-Pi Lae.];[VIETNAM: M[aws]m tr[aws]ng.]. EPPO Code---AVIAL (Preferred name: Avicennia alba.) ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย Avicennia alba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2369 ที่อยู่อาศัย พบในอินเดียถึงอินโดจีน ผ่านหมู่เกาะมาเลย์ไปยังฟิลิปปินส์ นิวกินีและออสเตรเลียตอนเหนือ มักขึ้นเป็นกลุ่มตามเลนงอกใหม่ ริมฝั่งทะเลหรือบริเวณปากแม่น้ำ ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง 10-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 60 ซม.ทรงต้นไม่มีพูพอน ลำต้นเปลาตรงรูปทรงกรวยสั้นๆ แตกกิ่งระดับต่ำ กิ่งแขนงห้อยลง เปลือกสีเทาถึงคล้ำ ไม่มีช่องอากาศ มักมีสีสนิมหรือสีคล้ำซึ่งเกิดจากเชื้อราติดตามกิ่งและส่วนบนของต้น รากหายใจ (Pneumatophores)รูปดินสอ สูง 15-30 ซม.แผ่กระจายหนาแน่นรอบโคนต้น ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้ามตั้งสลับฉาก แผ่นใบรูปรีแกมรูปหอก ขนาดกว้าง 3-5 ซม.ยาว 5-15 ซม.เนื้อใบอวบน้ำแกมเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ป้องกันการสูญเสียน้ำ มีต่อมเกลือ ขับเกลือออกทางผิวใบ ด้านบนสีเขียวคล้ำเป็นมัน ด้านล่างมีขนหนานุ่มสีเทาอ่อนถึงขาวนวลปกคลุม ใบแห้งม้วนเป็นสีดำ ดอก แบบช่อกระจุกออกตามปลายกิ่งและง่ามใบใบใกล้ปลายยอด ยาว 3-8 ซม.มีขนสั้นหนานุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองหม่นปกคลุม ดอกย่อย10-30ดอก สีเหลืองส้มไม่มีก้านดอก ขนาดดอก 0.5 ซม.ผล แบบผลแห้งแตกตามรอยประสานเป็น 2 ซีกรูปคล้ายพริกเบี้ยวค่อนข้างแบนขนาด กว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 2.5-5 ซม. เปลือกผลย่น อ่อนนุ่มสีเหลืองอมเขียว มีขนสั้นสีเทาอ่อนปกคลุมหนาแน่น ปลายผลเป็นจงอย ผลแก่เปลือกแตกแล้วม้วนเป็นหลอดกลม เมล็ดงอกตั้งแต่อยู่บนต้นมี 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลนำมาต้ม รับประทานได้ แต่ไม่นิยมนำมาทำขนม -ใช้เป็นยา สารสกัดจากแก่นใช้เป็นยา เรซินถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ต่างๆ -วนเกษตรเป็นไม้โตเร็ว ใช้เป็นพันธุ์ไม้เบิกนำ ใช้ปลูกร่วมกับ Sonneratia และ Rhizophoraเพื่อป้องกันชายฝั่ง -อื่น ๆ ไม้ค่อนข้างแข็ง ใช้งานได้รอบด้าน เช่น งานก่อสร้าง เสา เฟอร์นิเจอร์ ต่อเรือ และเพื่อการตกแต่ง ถือว่าเป็นฟืนที่ไม่ดี แต่บางครั้งก็ใช้สำหรับถ่าน แสมขาวมีสารแทนนิน ใช้ในการฟอกหนังได้ ใบไม้ใช้เป็นอาหารสัตว์และอาหารปลาดอกไม้เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยน้ำผึ้งและขี้ผึ้ง ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. 2010 ระยะออกดอก/ติดผล--- กรกฎาคม-สิงหาคม/สิงหาคม-ตุลาคม พืชสามารถออกดอกและผลได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะเมื่อเติบโตในเขตเส้นศูนย์สูตร ขยายพันธุ์---เมล็ด หน่อ ราก เมล็ดสดมักมีความงอกสูงมาก โดยปกติมากกว่า 95%
แสมขาว/Avicennia marina
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์--- Avicennia marina (Forssk.) Vierh.(1907) ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms ---Basionym: Sceura marina Forssk.(1775) ---Avicennia alba Blume.(1826) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-18454 ชื่อสามัญ--Grey mangrove, Olive mangrove ชื่ออื่น---แสมขาว, แสม, แหม, แหมเล (ใต้), พีพีเล (ตรัง);[AFRIKAANS: Witseebasboom.];[CHINESE: Hai lan ci shi, Bai gu rang.];[FRENCH: Pal?tuvier gris, Pal?tuvier blanc.];[JAPANESE: Hirugidamashi.];[INDONESIA: Ki balanak (Sundanese).];[MALAYSIA: Api-api Jambu, Api-api ludat (Peninsular); Api-api merah, Api-api sudu (Sarawak).];[NEW ZEALAND: Manawa.];[PHILIPPINES: Api-api (general); Bungalon (Filipino).];[PORTUGUESE: Mangue branco, Mangue nero, Salgueiro.];[SPANISH: Mangle negro.];[TAMIL: Venkandan.];[THAI: Pipi (Krabi); Phi phi le (Trang); Samae, Samae khao, Samae thale (Central); Samae thale khao (Surat Thani); Mae, Mae le (Peninsular); Pipi dam (Phuket).];[VIETNAM: M[aws]m-lu[os]i-d[of]ng.];[VERNACULAR (Others): Sintak-nyabor, Engkuni.]. EPPO Code---AVIMA (Preferred name: Avicennia marina.) ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนเหนือของออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---สกุลAvicenniaได้รับการตั้งชื่อตามผู้ทรงคุณวุฒิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของวิทยาศาสตร์อิสลามในยุคกลาง แพทย์ชาวเปอร์เซีย นักธรรมชาติวิทยา นักปรัชญา และนักคณิตศาสตร์ Abu Ali Husain Ibn Abd Allah (Abu Ali Alhosain Ibn Sina, 980-1037 AD) นักวิชาการชาวตะวันตกรุ่นหลังใช้ชื่อของเขาเป็นภาษาละตินว่า "Avicennia " ; ชื่อเฉพาะ 'marina' หมายถึงที่อยู่อาศัยที่ชายทะเล Avicennia marina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Peter Forsskel (1732–1763) นักสำรวจชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Friedrich Karl Max Vierhapper (1876–1932) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย ในปี พ.ศ.2450 ปัจจุบันมีสามชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ: -Avicennia marina subsp. australasica -Avicennia marina subsp. eucalyptifolia -Avicennia marina subsp. marina ที่อยู่อาศัย ชายฝั่งของเอเชียตะวันตก อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ จีน (รวมถึงไต้หวัน) อินโดจีน มาเลเซีย แอฟริกาตะวันออกถึงโมซัมบิกและแอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มักขึ้นเป็นกลุ่มตามเลนงอกใหม่ ริมฝั่งทะเลหรือบริเวณปากแม่น้ำ ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง 10-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 76 ซม.ทรงต้นไม่มีพูพอน ลำต้นเปลาตรงรูปทรงกรวยสั้นๆ แตกกิ่งระดับต่ำ กิ่งแขนงห้อยลง เปลือกสีเทาถึงคล้ำ ไม่มีช่องอากาศ มักมีสีสนิมหรือสีคล้ำซึ่งเกิดจากเชื้อราติดตามกิ่งและส่วนบนของต้น รากหายใจ (Pneumatophores) รูปดินสอ สูง 15-30 ซม.แผ่กระจายหนาแน่นรอบโคนต้น ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามตั้งสลับฉาก แผ่นใบรูปรีแกมรูปหอก ขนาดกว้าง 3-5 ซม.ยาว 5-15 ซม.เนื้อใบอวบน้ำแกมเหนียวคล้ายแผ่นหนัง ด้านบนสีเขียวคล้ำเป็นมัน ด้านล่างมีขนหนานุ่มสีเทาอ่อนถึงขาวนวลปกคลุม ใบแห้งม้วนเป็นสีดำ ดอก แบบช่อกระจุกออกตามปลายกิ่งและง่ามใบใบใกล้ปลายยอด ยาว 3-8 ซม.มีขนสั้นหนานุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองหม่นปกคลุม ดอกย่อย 10-30 ดอก สีเหลืองส้มไม่มีก้านดอก ขนาดดอก 0.5 ซม.ผล แบบผลแห้งแตกตามรอยประสานเป็น 2 ซีกรูปคล้ายพริกเบี้ยวค่อนข้างแบนขนาด กว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 2.5-5 ซม. เปลือกผลย่น อ่อนนุ่มสีเหลืองอมเขียว มีขนสั้นสีเทาอ่อนปกคลุมหนาแน่น ปลายผลเป็นจงอย ผลแก่เปลือกแตกแล้วม้วนเป็นหลอดกลม เมล็ดงอกตั้งแต่อยู่บนต้นมี 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สายพันธุ์นี้สามารถทนต่อความเค็มสูงได้โดยการขับเกลือออกทางใบ เป็นต้นไม้ที่มีความแปรปรวนสูง มีระบบนิเวศน์หลายแบบ และมีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับสายพันธุ์อื่นๆ มีรายงานว่าทนต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ลมแรง และแมลงศัตรูพืชและโรคต่างๆ เป็นผู้บุกเบิกในสภาพดินที่เป็นโคลนที่มีค่า pH 6.5 ถึง 8.0 อาจรวมถึงโคลนแบบไม่ใช้ออกซิเจน ไม่ทนต่อแสงแดด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ชาวอะบอริจินออสเตรเลียต้มและกินใบเลี้ยงที่ซัดเกยตื้นบนชายหาด -วนเกษตร ใช้เป็นพันธุ์ไม้เบิกนำ Gomes e Sousa (1967) รายงานว่าในประเทศโมซัมบิกสายพันธุ์นี้มีประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพของปากแม่น้ำในน้ำเค็ม -อื่น ๆ เปลือกที่อุดมด้วยแทนนิน เปลือกไม้ใช้สำหรับฟอกและเตรียมสีย้อมสีน้ำตาล ทางเหนือของแอฟริกาตะวันออก ไม้แข็งสีน้ำตาลเหลืองใช้สำหรับทำ Ribs of dhows(เรือเดินทะเลอาหรับแบบดั้งเดิม);- Mabberley (2008) รายงานว่าไม้ซุงต้านทานต่อปลวก นอกจากนี้ เขายังบันทึกด้วยว่าชาวอะบอริจินออสเตรเลียใช้ไม้ทำโล่ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. 2010 ระยะออกดอก---เดือนมกราคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
แสมดำ/ Avicennia officinalis
อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์--- Avicennia officinalis L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Avicennia obovata Griff.(1854) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-18473 ชื่อสามัญ-- Indian mangrove, Gray mangrove. ชื่ออื่น---แสมดำ ;[FRENCH: Paletuvier indien.];[GERMAN: Indische Mangrove.];[PORTUGUESE: Api-api, Mangue-branco.];[THAI: Smae dam.]. EPPO Code---AVIOF (Preferred name: Avicennia officinalis.) ชื่อวงศ์---ACANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย Avicennia officinalis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหงือกปลาหมอหรือวงศ์กระดูกไก่ (Acanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย พบกระจายทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบประเทศอบอุ่นที่มีพื้นที่ติดชายทะเล โดยพบทั่วไปตามริมแม่น้ำหรือลำคลองบริเวณชั้นในของป่าชายเลน ซึ่งไล่มาตั้งแต่ประเทศอินเดีย ศรีลังกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงชายทะเลของออสเตรเลีย ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 8-25 เมตร ลำต้นแตกกิ่งเป็นทรงพุ่มหนา และแตกกิ่งตั้งแต่ด้านล่างของลำต้น โคนลำต้นไม่เป็นพูพอน เปลือกลำต้นเรียบ มีสีเทาอมน้ำตาล เปลือกลำต้นมีช่องอากาศโดยทั่ว รากเป็นร่างแห มีรากหายใจเป็นแท่งโผล่ขึ้นดิน ใบแตกตรงข้ามเป็นคู่ มีก้านใบยาว 0.7 – 1.1 ซม. แผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาวประมาณ 6-9 ซม.ใต้ใบไม่ซีดแบบแสมขาว ใบหนาอวบน้ำป้องกันการสูญเสียน้ำ มีต่อมเกลือที่ใบช่วยขับเกลือออก ช่อดอกคล้ายช่อดอกแสมขาว แต่ดอกใหญ่กว่า ช่อดอกยาวประมาณ 2-6 ซม. แต่ละช่อมีดอก 7-10 ดอก ดอกย่อยแต่ละดอกไม่มีก้านดอก ขนาดดอกประมาณ 1-1.5 ซม. ประกอบด้วยกลีบเลี้ยง จำนวน 5 กลีบ ฐานกลีบเชื่อมติดกัน ปลายกลีบแยกเป็นแฉก ถัดมาเป็นกลีบดอกมีลักษณะเป็นหลอด ประกอบด้วยกลีบดอก จำนวน 4 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน แต่ละกลีบยาวประมาณ 0.4-0.8 ซม. แผ่นกลีบดอกมีสีเหลืองหรือเหลืองถึงส้ม ถัดมาด้านในเป็นเกสรเพศผู้ จำนวน 4 อัน มีก้านเกสรโผล่ยาวเหนือกลีบดอก ผลเป็นรูปกระเปาะคล้ายแสมขาว แต่สั้นกว่า ปลายผลงอ มีขนสีน้ำตาลอ่อนคลุมทั้งผล ขนาดผลกว้างประมาณ 2-2.5 ซม. ยาวประมาณ 2.5-3 ซม. ผลลอยน้ำได้ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พบได้ทั้งหาดทรายปนเลนและหาดเลน pH 6.5-8.0 รวมถึงโคลนแบบไม่ใช้ออกซิเจน ไม่ทนต่อแสงแดด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลใช้ทำขนมลูกแสมซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านของอำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรีได้ โดยนำลูกแสมมาแกะไส้กลางซึ่งเป็นเอ็มบริโอออกไปก่อน นำไปต้มไล่ความขมออกหลายน้ำจนจืด นำลูกแสมต้มนี้ไปคลุกเกลือรับประทาน หรือนำไปผสมกับแป้งมันสำปะหลัง แป้งข้าวเจ้า หัวกะทิ น้ำตาลปี๊บ แล้วนำไปนึ่ง ลูกแสมที่นิยมนำมาทำขนมจะเป็นผลอ่อน เปลือกสีเขียวอ่อน ถ้าผลแก่จะใช้ทำขนมไม่ได้ -ใช้เป็นยา ทุกส่วน (ใช้ต้มดื่ม) บรรเทาอาการโรคเกี่ยวกับข้อ และกระดูก แก้กษัยเส้น ช่วยเจริญอาหาร แก้ปัสสาวะพิการ แก้หอบหืด แก้ไอกรน รักษาฝีในท้อง ต้านการอักเสบ ช่วยขับเสมหะ แก้ริดสีดวงทวาร แก้อาการท้องมาน แก้อาการอาเจียน แก้อาการแน่นท้อง จุกเสียดท้อง แก้อาการท้องเสีย ทุกส่วน (ใช้ต้มอาบหรือทาภายนอก) รักษาโรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน รักษาแผล แผลสด หรือ แผลเป็นหนอง ;- เปลือก และแก่นลำต้น (ใช้ภายนอก) ในประเทศอินเดียนำแก่นมาใช้สำหรับแก้พิษงู ในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย นำแก่นมาใช้เป็นยาทำหมัน ;-ผล และเมล็ด ในประเทศอินเดียนำเมล็ดอ่อนมาตำพอกรักษาฝี แก้กษัยเส้น -วนเกษตร ไม้เบิกนำป่าชายเลน ซึ่งพบได้ทั้งในแหล่งดินเลนแข็ง และดินเลนอ่อนบริเวณใกล้ชายทะเล เป็นพืชป่าชายเลนที่เติบโตเร็ว เป็นแนวป่าที่ช่วยดักตะกอนดินสำคัญในระบบนิเวศป่าชายเลน -อื่น ๆ มีสารแทนนินในเปลือกใช้ฟอกหนัง ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-พฤษภาคม/มิถุนายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ไสเดน/Meiogyne hainanense
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Chieniodendron hainanense Tsiang & P.T.Li.(1964) ชื่อพ้อง----Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2718069 ---Meiogyne hainanense (Merr.) Ban.(1973.) ---Oncodostigma hainanense (Merr.) Tsiang & P.T. Li.(1979.) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ไสเดน ;[CHINESE:Jiao mu.];[THA: Sai den (General).] EPPO Code---1ANNF (Preferred name: Annonaceae) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย Chieniodendron hainanense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Tsiang, Ying (1898-1982) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน และ Ping Tao Li (1936-) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนในปี พ.ศ.2507 ที่อยู่อาศัย พบในประเทศจีน (กวางสี ไหหลำ) ตามป่าทึบในหุบเขาที่ระดับความสูง 300-600 เมตร ในประเทศไทย พบตามป่าดงดิบชื้นและป่าดิบแล้ง ทางภาคกลางและภาคตะวันออก จากที่ราบจนถึงระดับความสูง 400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นไม่ผลัดใบสูง15-25เมตร ลักษณะทรงต้น เป็นพุ่มกลม เปลือกลำต้นสีน้ำตาล มีช่องอากาศเป็นจุดๆ ใบเดี่ยวรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 2.5-14.5 ซม.ยาว 8-12 ซม.ออกเรียงสลับสองข้างกิ่งในระนาบเดียวกัน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเรียบ ก้านใบ 4-5 มม. มีขนสั้น ดอก เป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ออกตามซอกใบสีน้ำตาลแกมชมพู ใบประดับรูปไข่ขนาด 2-4 มม. ดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม. กลีบดอก 6 กลีบเรียงเป็น 2 วงๆละ 3 กลีบมีขนหนาแน่นทั้งสองด้าน เมื่อดอกบานมีขนาด 2.5-3 ซม.ผลกลุ่มมีผลย่อย 5-6 ผล ผลย่อยรูปทรงกระบอกขนาด 2-5 × 2-2.5 ซม. ปลายผลมีติ่งแหลมสั้น เปลือกหนาและแข็ง ผิวขรุขระ ผลแก่สีดำ มีเมล็ด5-8เมล็ด สีน้ำตาลอ่อนออกเหลือง ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้าง ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-ธันวาคม/สิงหาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
หงอนไก่ดง/Harpullia cupanioides
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Harpullia cupanioides Roxb. (1824) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms ---Cupania rupestris Cambess.(1829) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2839784 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ขางขาว, บาหานธาร (ภาคเหนือ); พริกป่า, ลูกกระโปกม้า (ภาคตะวันออกเฉียงใต้); หงอนไก่ดง (สุราษฎร์ธานี) ;[CHINESE: Jiǎ shān luó.];[MALAYSIA: Kayu Kelaweh (Temuan); Kesemak (Malay); Lokud (Sabah); Mampongoh (Murut).];[THAI: Khang khao (Northern); Ba han than (Northern); Phrik pa (Southeastern); Luk krapok ma (Southeastern); Ngon kai dong (Peninsular);[VIETNAM: Cây xơ, Trường cụp.];[TRADE NAME: Tulipwood.] EPPO Code --- HPWCU (Preferred name: Harpullia cupanioides.) ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย นิวกินี ออสเตรเลีย Harpullia cupanioides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ soapberry (Sapindaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2367 ที่อยู่อาศัย พบกระจายจากตอนเหนือของอินเดีย บังคลาเทศ จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน มาเลเซีย นิวกินีและ ตอนเหนือของออสเตรเลีย ในป่าดิบชื้นระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ บางครั้งอยู่ในป่าเบญจพรรณ ป่าสัก ป่าน้ำขึ้นน้ำลง ป่าดิบชื้นหรือที่โล่ง ๆ บนทางลาดและสันเขา ริมฝั่งแม่น้ำ หุบเหว และชายหาด จากระดับน้ำทะเลสูงถึง 1,200 (-1,800) เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น โดยเฉพาะริมลำธาร ความสูงถึงประมาณ 1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูงได้ถึง 20 เมตร หรืออาจสูงถึง 40 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 40 (-100) ซม มีพูพอน กิ่งอ่อนมีขนยาว ไม่มีหูใบ ใบประกอบปลายคู่ ปลายยอดมีตา ใบย่อยส่วนมากมีข้างละ 3-6 ใบ เรียงสลับ ก้านใบประกอบยาว 15-20 ซม. ใบรูปรี รูปไข่ หรือรูปไข่กลับ ยาว 5-36 ซม. ปลายแหลม แหลมยาว หรือมน โคนแหลมถึงกลม เบี้ยว ก้านใบย่อยยาว 5-8 มม.ใบแก่ไม่มีขนหรือขนน้อยมาก ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเป็นช่อยาว ถึง85ซม. ช่อดอกแคบกว่าออกในซอกใบ หรือถัดจากปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบเรียงซ้อนรูปรียาว 3-7 มม.ติดทน ดอกสีขาวอมเหลือง มี 5 กลีบ รูปไข่กลับ ยาว 1-2.4 ซม. ค่อนข้างหนา จานฐานดอกรูปวงแหวน มีขนยาว เกสรเพศผู้ 5 อัน สั้นกว่ากลีบดอกเล็กน้อย ก้านชูอับเรณูยาว 2.5-3.5 มม. อับเรณูสีส้มอ่อน รังไข่มี 2 ช่อง มีขนสั้นนุ่ม แต่ละช่องมีออวุล 1-2 เม็ด ยอดเกสรเพศเมียบิดเวียน ผลแห้งแล้วแตกขนาด 12-20 x 12-32.5 มม. มีกลีบเลี้ยงรองรับ ก้านผล ยาว 0.3-1 ซม. เมล็ดสีน้ำตาลดำ รูปรี ยาว 1.3-1.5 ซม. เยื่อหุ้มสีแดงอมส้มหุ้มรอบเมล็ด ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ซึ่งใช้เฉพาะที่และบางครั้งก็ใช้แลกเปลี่ยน -อื่น ๆไม้ใช้สร้างบ้านทำเครื่องใช้ภายในบ้าน ทำฟืน ถ่านไม้ รู้จักอันตราย---เปลือกไม้มีซาโปนินและใช้เป็นยาพิษเบื่อปลา ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. 2019 ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
หนวดปลาดุก/Polyalthia stenopetala
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia stenopetala (Hook. f. & Thomson ) Finet & Gagnep.(1906) ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms ---Basionym: Unona stenopetala Hook.f. & Thomson.(1855) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2407651 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น--หนวดปลาดุก ;[MALAYSIA: Chagar (Malay).];[THAI: Nuat pla duk (Pattani). EPPO Code---QLHST (Preferred name: Polyalthia stenopetala.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย คาบสมุทรมาลายู บอร์เนียว Polyalthia stenopetala เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และ Thomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และ Francois Gagnepain (1866-1952 ) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2449 ที่อยู่อาศัยพบที่คาบสมุทรมลายู บอร์เนียว ตามป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูง 300-450 เมตร ประเทศไทยพบขึ้นตามป่าดิบชื้น ที่ภาคใต้ตอนล่าง ที่ จังหวัด ตรัง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พบที่ระดับความสูงถึงประมาณ 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง 15-30 เมตร ลีกษณะ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม มีรอยปุ่มดอกจำนวนมาก แตกกิ่งต่ำเรือนยอดเป็นพุ่มกลม กิ่งอ่อนมีขนสั้นหนานุ่มสีน้ำตาล กิ่งแก่มีช่องอากาศสีขาวชัดเจน ใบ รูปขอบขนาแกมไข่กลับ กว้าง 3.5-5 ซม.ยาว 9-12 ซม.โคนใบรูปลิ่มหรือเว้าตื้น ปลายใบแหลม ใบค่อนข้างหนาเส้นกลางใบและเส้นแขนงมีขนปกคลุมจำนวนมากใบอ่อนสีน้ำตาลปนแดง ดอก ออกเป็นกระจุกแน่นตามลำต้นและกิ่งแก่ ดอกสีชมพูอมแดง ดอกบานมีขนาด 2-3 ซม.ดอกดกมาก ผลเป็นผลกลุ่มมี 6-10 ผล รูปกลมรี กว้าง 1.5-2 ซม.ยาว 2-3 ซม.เมื่อผลแก่สีแดง ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
หนังหนาดอกใหญ่/ Enicosanthum membranifolium
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---https://m.facebook.com/groups/655215194571893/permalink/1067287593364649/ ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon membranifolium (J.Sinclair) B.Xue & R.M.K.Saunders.(2012) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonames.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77123025-1 --- Enicosanthum membranifolium J. Sinclair. (2012) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หนังหนาดอกใหญ่, ตำหนังดอกใหญ่ ;[THAI: Nang na dok yai, Tam nang dok yai (Peninsular).]. EPPO Code---MOFSS (Preferred name: Monoon sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภาคใต้ของไทย คาบสมุทรมาลายู Monoon membranifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (fl. 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนและ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่จังหวัดกาญจนบุรี และภาคใต้ที่ พังงา ตรัง นครศรีธรรมราช ยะลา ที่ระดับความสูง 100-400 เมตร เป็นไม้ที่ต้องการความชื้นค่อนข้างสูง ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 5-15 เมตร ลักษณะ เปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม ทรงพุ่มกลม แตกกิ่งจำนวนมากขนานกับพื้นดิน กิ่งยืดยาว กิ่งอ่อนมีขนเล็กน้อย เนื้อไม้เหนียวใบรูปขอบขนานแกมใบหอก กว้าง 4.5-9 ซม.ยาว 16-25 ซม. โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลมใบค่อนข้างบางและเหนียว ขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกตามกิ่งใกล้ปลายยอดบริเวณใต้โคนซอกใบ 1-3 ดอก ดอกสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองนวล กลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกบานอยู่3-4วัน ขนาดดอก 4-5 ซม.ผลกลุ่ม มีผลย่อย 12-15 ผล รูปกลมรี ขนาดกว้าง 1.5 ซม.ยาว 2 ซม. ปลายผลมีติ่งแหลมสั้น มี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกมีกลิ่นหอม สวยงามดอกดก นำมาปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม ระยะออกดอก---ทยอยออกกันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
หนามมะเค็ด/ Canthium parvifolium
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Canthium parvifolium Roxb.(1824) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Plectronia parvifolia (Roxb.) Benth. & Hook.f. ex Kurz.(1877) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-33764 ชื่อสามัญ---Wild Jasmine. ชื่ออื่น---หนามมะเค็ด(เชียงใหม่) ;[CHINESE: Zhu du mu, Miáopǔ miáopǔ, Mù mù];[INDIA: Nagaveda, Balasu.];[LAOS: Nam Khet.];[SIDDHA/TAMIL: Karai, Kadan Karai, Nalla Karai, Kudiram.];[TAMIL: Ciṟuk kārai.];[THAI: Nam ma khet (Chiang Mai).];[VIETNAM: Găng cơm, Găng lá nhỏ, Cẩm xà lặc, Găng cốm, Găng hoa nhỏ, Căng cườm, Nam càng.] EPPO Code---CBJPF (Preferred name: Canthium parvifolium.) ชื่อวงศ์--- RUBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย บังคลาเทศ ไทย เวียตนาม Canthium parvifolium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน อินเดีย บังคลาเทศ ไทย เวียตนาม เติบโตตามธรรมชาติบนขอบของป่าที่ระดับต่ำมักขึ้นอยู่ใกล้ระดับน้ำทะเล 500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูงถึง 7 เมตร มีหนามแหลมออกตามซอกใบออกทางตรงมีขนาดใหญ่และมีความยาว 2.5-5 ซม. เปลือกต้นและกิ่งสีน้ำตาล แตกกิ่งก้านสาขามาก ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม รูปไข่กลับ ปลายใบมน โคนแหลม หรือ สอบแหลม ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนา สีเขียวสด มีหนามแหลมเป็นคู่ๆ ตามข้อใบขนาดใบกว้าง3ซม.ยาว 5.5 ซม.มีขนละเอียดสีทองคลุมใบอ่อน ใบแก่ขนน้อยลงและหยาบ ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อกระจะ ออกที่ซอกใบและปลายยอด ออกช่อละ 2-8 ดอก ดอกสีขาวเหลืองเล็กมาก เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลเป็นผลสด รูปทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2 ซม. ผลดิบสีเขียว ผลสุกสีเหลือง เนื้อผลนิ่ม เมล็ดขนาดเล็ก สีดำจำนวนมาก ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้ แต่ต้องปอกเปลือกก่อนเพราะเปลือกมีรสขม ใบของพืชชนิดนี้ยังกินเป็นผักใบทั่วไปเรียกว่า SAAG ในอินเดีย -ใช้เป็นยา ในอายุรเวท ใบเรียก" Karee " ซึ่งเป็นยาสมานแผลและมีประสิทธิภาพในการแก้ไอและอาหารไม่ย่อย ในsiddha ยาต้มของรากและใบใช้แก้ไข้หวัด ในเวียตนามใช้รักษา รอยช้ำเลือด, บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ, ขับปัสสาวะ เปลือกต้นอ่อนแก้บิด รากใช้ขับพยาธิตัวกลม ในลาวใช้พืชทั้งต้นรักษาโรคเบาหวานและมะเร็ง -อื่น ๆไม้เนื้อแข็งและเหมาะสำหรับการกลึง ดังนั้นจึงใช้สำหรับทำของเล่น เปลือต้นให้เส้นใย ผลใช้ซักผ้าแทนสบู่ ใช้ปลูกเป็นรั้วป้องกันความเสี่ยง ความเชื่อ/พิธีกรรม---ใบใช้ในมนต์ดำ ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม - ธันวาคม (เวียตนาม) ขยายพันธุ์---เมล็ด
หนามโมนา/Capparis monantha
ชื่อวิทยาศาสตร์---Capparis monantha M. Jacobs.(1965) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2697364 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หนามโมนา ; [THAI: Nam mona (General).] EPPO Code---CPPSS (Preferred name: Capparis sp.) ชื่อวงศ์---CAPPARACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย Capparis monantha เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กุ่ม (Capparaceae) ในสกุลชิงชี่ (Capparis)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Marius Jacobs (1929–1983)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2508 ที่อยู่อาศัย กระจายพันธุ์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทยเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวพบเฉพาะที่จังหวัดเพชรบุรีและ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในธรรมชาติพบขึ้นเป็นไม้พื้นล่างของป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าละเมาะ หรือบนเขาหินปูนระดับต่ำ ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง 12-15 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบแผ่กว้างและแตกกิ่งต่ำ เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่องลึก ตามลำต้นและกิ่งบริเวณซอกใบมีหนามแหลมยาว 4-4.5 ซม. ออกตรงข้ามกัน ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปรี ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ดอกเดี่ยวสีขาว ออกที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง กลีบดอกมี 4 กลีบดอกบานขนาด 5-6 ซม.มีเกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลเป็นผลสดแบบมีเนื้อหลายเมล็ด รูปทรงรีหรือรูปไข่[ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---หนามโมนาเป็นพรรณไม้ที่ทนแล้ง โตช้า ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนสิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
หม่อนอ่อน/Myrica esculenta
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Myrica esculenta Buch.-Ham. ex D.Don.(1825) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50058795 ---Myrica sapida Wall.(1826) ชื่อสามัญ---Box myrtle, Bayberry. ชื่ออื่น---ตุด (พังงา); ถั่ว, ฤๅษีเสก, หว้าโละ (ชัยนาท); เม็ดชุนตัวผู้ (พังงา); ส้มสา, ส้มส้า, อินสัมปัดถา (เลย); เส่ข่อโผ่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); หมากหม่อนอ่อน (เงี้ยว-เชียงใหม่); เอี้ยบ๊วย (ภาษาจีน) ;[ASSAMESE: Noga tenga.];[BENGALI: Kaiphal, Satsarila.];[CHINESE: Máo yáng méi.];[HINDI: Kaiphal, Kaphal.];[INDONESIA: Gilinch.];[KANNADA: Kirishivani.];[KHASI: Soh-phi.];[MALAYALAM: Maruta.];[MALAYSIA: Telor cicak, Telur cicak (Malay).];[NEPALI: Kafal.];[SANSKRIT: Katphala, Mahavalkala.];[TAMIL: Chavviyaci.];[THAI: Tut (Phangnga); Thua (Chai Nat); Met chun tua phu (Phangnga); Ruesi sek (Chai Nat); Som sa (Loei); Se-kho-pho (Karen-Mae Hong Son); Mak-mon-on (Shan-Chiang Mai); Wa lo (Chai Nat); Insam pattha (Loei); Ia-buai (Chinese).]. EPPO Code---MYRES (Preferred name: Myrica esculenta.) ชื่อวงศ์--- MYRICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--อินเดีย เนปาล จีน พม่า คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ฟิลิปปินส์ ชวา ซุนดาน้อย สุลาวาสี Myrica esculenta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เอี้ยบ๊วย (Myricaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยFrancis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดีย จากอดีต David Don (17991841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2368 ที่อยู่อาศัยพบในบริเวณภูเขาทางตอนเหนือของอินเดียและเนปาลทางตอนใต้ของภูฏานและเนปาลตะวันตก ในจีนตอนใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 900-2,100 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ขึ้นตามชายป่า ที่โล่งในป่าดิบเขา และป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 2,400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูง 9-15 (-20) เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 92.5 ซม.เรือนยอดโปร่งลำต้นสั้นและคดงอเปลือกสีน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลเข้ม ค่อนข้างหนา มีรอยแตกตามยาวหยาบๆ ใบเดี่ยวเรียงเวียน รูปขอบขนาน รูปใบหอก หรือแกมรูปไข่ ขนาด1.5-3.5 ซม. ยาว 5-11 ซม.ออกเป็นกลุ่มใกล้ปลายกิ่ง ใบอ่อนสีชมพูมีขนนุ่ม ใบแก่เหนียวด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันด้านล่างใบสีซีดกว่า และมีจุดเล็กๆมีน้ำยางเหนียวกระจายทั่วผิว ดอกแยกเพศแยกต้น ช่อดอกแบบหางกระรอกออกตามซอกใบ ดอกขนาดเล็ก ไม่มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอก ช่อดอกเพศผู้ยาว 3-9 ซม. แยกแขนงสั้น ๆ ยาวประมาณ 1 ซม. ก้านช่อสั้น เกสรเพศผู้ 3-7 อัน ช่อดอกเพศเมียยาว 4-8 ซม. ดอกออกหนาแน่น ติดบนกลีบประดับขนาดเล็ก 2 อัน มี 2 คาร์เพล เชื่อมติดกันคล้ายมีช่องเดียว มีขนละเอียด ยอดเกสร 2 อันสีแดง ผลสดกลมหรือแบนเล็กน้อยขนาด1-2 ซม.สีแดงอมส้มผิวมีตุ่มขรุขระมีเนื้อบาง มี1เมล็ด เมล็ดรูปสามเหลี่ยมมีรสฝาดและชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลกินได้รสหวานอมเปรี้ยว ทำน้ำผลไม้สด ของหวาน -ใช้เป็นยา ในตำรับอายุรเวทมีสองพันธุ์ขึ้นอยู่กับสีของดอกไม้: Shweta (สีขาว) และ Rakta (สีแดง) ภายในของเปลือกไม้ เป็นที่มาของยาสมุนไพรอายุรเวท "KAPHAL BOKRA" และ "KATPALA POTHU" เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่พบในเทือกเขาหิมาลัยกึ่งเขตร้อน มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการแพทย์พื้นบ้านเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่นโรคหอบหืด, ไอ, โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง, แผล, การอักเสบ, โรคโลหิตจาง, ไข้, ท้องร่วงและความผิดปกติของหู, จมูกและลำคอ เนื่องจากผลทางเภสัชวิทยาและการรักษาหลายมิติของมันเป็นที่รู้จักกันดีในตำรับยาอายุรเวท -ผลช่วยย่อยและเป็นยาระบาย สารสกัดจากเปลือกแก้ไข้ แก้เจ็บคอ หืดหอบ เปลือกเป็นยาสมานและป้องกันการเน่า -อื่น ๆ เนื้อผลทำเทียนและสบู่ ใช้เบื่อปลา ใช้ย้อมสีผ้าฝ้ายให้สีเหลืองน้ำตาล ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม - กันยายน/กุมภาพันธ์ - เมษายน (อินเดีย) ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
หมันดง/Cordia dichotoma
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cordia dichotoma G.Frost.(1786) ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms ---Gerascanthus dichotomus (G. Forst.) Borhidi.(1988) ---Lithocardium griffithii (C.B.Clarke) Kuntze.(1891) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2736712 ชื่อสามัญ---Clammy Cherry, Bird lime tree, Fragrant manjack, Indian cherry, Sebesten plum , Sebastian tree, Glue berry-tree, Fragrant manjack, Pink pearl, Snotty gobbles, Cumming cordia. ชื่ออื่น---หมันดง (นตรราชสีมา), มันหมู (ลำปาง), ส่าบูอิ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ผักหม่อง (ฉาน-กะเหรี่ยง) ;[ASSAMESE: Goborsuta, Guburhuta, Kotora, Kotra, Buwalu.];[BENGALI: Bahubara.];[CHINESE: Phoà-pò·-chí, Pò bù mù.];[FRENCH: Gommier.];[GUJARATI: Vado gundo.];[HINDI: Bahuar, Dela, Gunda, Lasoda, Tenti.];[JAPANESE: Suzumeinujisha.];[KANNADA: Challe hannu.];[MALAYALAM: Naruveeli, Virasam, Viri.];[MARATHI: Bhokar, Gondani, Gondhan.];[MYANMAR: Hpak-mong, Kal, Kasondeh, Thanat, Thanut, Tun-paw-man.];[NEPALI: Lasura.];[PORTUGUESE: Ffruto-de-entrudo.];[SANSKRIT: Bahuka, Bahuvaraha, Uddalaka.];[SPANISH: Anonang-bakir, Guma, Kendal, Viri.];[TAMIL: Naru-valli, Viricu.];[TAIWAN: Shùzi zǐ, Shùzi.];[THAI: Man dong (Nakhon Ratchasima); Man mu (Lampang); Sa-bu-i (Karen-Mae Hong Son); Phak mong (Shan-Northern).]. EPPO Code---CRHDC (Preferred name: Cordia dichotoma.) ชื่อวงศ์---BORAGINACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์-จีน ญี่ปุ่น อนุทวีปอินเดีย พม่า อินโดจีน มาเลเซีย โพลินีเซีย ปาปัวนิวกินี ออสเตรเลีย นิวแคลิโดเนีย Cordia dichotoma เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Borage หรือ Forget-me-not (Boraginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Johann Georg Adam Forster (1754 –1794)นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน (พฤกษศาสตร์กีฏวิทยาและมานุษยวิทยา)ในปี พ.ศ.2429
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ( ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจวทางตะวันออกเฉียงใต้ ทิเบตและมณฑลยูนนาน) หมู่เกาะริวกิวของญี่ปุ่น, ไต้หวัน, อินเดีย, ปากีสถาน, ศรีลังกา, กัมพูชา, ลาว, พม่า, ฟิลิปปินส์, ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ปาปัวนิวกินี, ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์)และนิวแคลิโดเนีย พบได้ในป่าหลากหลายชนิดตั้งแต่ป่าผลัดใบแห้งไปจนถึงป่าผลัดใบชื้นและพื้นที่น้ำท่วมเป็นครั้งคราว เช่นเดียวกับในป่ามรสุมชื้น เปิดป่าบนเนินเขา, ลำธารบนภูเขา ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ ขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง 10-15 (20) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 - 50 ซม.เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกนอกสีน้ำตาลเทา แตกเป็นร่องถี่ ตื้น ตามยาวลำต้น เปลือกในสีขาว ใบ เดี่ยวเรียงสลับรูปไข่หรือรูปไข่กลับ กว้าง 5-10 ซม.ยาว 8-16 ซม.ปลายใบมนหรือแหลมทู่ โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ หลังใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสาก ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง 2 ครั้ง ออกตามซอกใบ ตามกิ่งและปลายกิ่ง ช่อดอกยาว 10-25 ซม.โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 4-5 แฉกมีขนสีขาว ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-6 ซม.ผลสดแบบมีเนื้อรูปทรงกลมสีเหลืองหรือสีเหลืองอมชมพูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.2 ซม.กลีบเลี้ยงรูปถ้วยปลายเว้าตื้น ขั้วผลยาว 2-3 ซม. เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อสุก เนื้อผลเป็นยางเหนียวใสสีชมพูอ่อน เมล็ดแข็งรูปไข่ 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ เจริญเติบโตได้บนดินหลายประเภท แต่ชอบดินร่วนปนทรายที่ชื้นลึก บนไซต์ที่ดี ต้นไม้จะมีความสูง 4 เมตรใน 4 ปี และมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 20 ซม. ใน 8 - 9 ปี ใช้ประโยชน์---พืชถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้เป็นยาหลายชนิด ต้นไม้มักปลูกเพื่อผลไม้ตลอดช่วงการกระจายตามธรรมชาติ -ใช้กิน ผล ดิบ-สุก กินได้รสหวาน ผลอ่อนดองกินเป็นผัก- ใช้เป็นยา เมล็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ เมล็ดที่ทำเป็นผงถูกนำไปใช้กับการปะทุของผิวหนังและโรคหนองใน ใช้ผงเมล็ดผสมกับน้ำมันและนำไปใช้ทาถือว่าเป็นยาที่ดีสำหรับกลาก เปลือกนั้นมีฤทธิ์ฝาดและเป็นยาสมาน ยาต้มจากเปลือกลำต้นใช้สำหรับการรักษาอาการอาหารไม่ย่อย ท้องเสียไข้บิด, ปวดหัว, ปวดท้องและเป็นยาชูกำลัง และยังมีประโยชน์สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร เปลือกยังใช้กับแผลในปากในรูปแบบของน้ำยาบ้วนปาก ใช้ถูฟันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ใบใช้เป็นยาพอกรักษาไมเกรนอักเสบและบวม ผลมีเมือกมากใช้เป็นยาระบาย เป็นที่นิยมอย่างมากในการรักษาอาการไอและโรคของหน้าอก, มดลูกและท่อปัสสาวะ -อื่น ๆ ไม้นั้นแข็งแกร่งและค่อนข้างดี ใช้สำหรับการก่อสร้างบ้านและอุปกรณ์การเกษตร ไม้ยังใช้เป็นฟืน-ใบถูกนำมาใช้ห่ออาหารก่อนทำอาหารและยังใช้มวนบุหรี่ -น้ำมันได้จากเมล็ด- กาวสามารถทำจากเมือผลไม้ -สารสกัดจากผลไม้แสดงการยับยั้งการฟักไข่ของตัวอ่อนของไส้เดือนฝอยรากปม สำคัญ- เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/ผลแก่---สิงหาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด การงอกเริ่มต้นในประมาณ 3 - 4 สัปดาห์และจะสมบูรณ์ใน 6 สัปดาห์, ตอนกิ่ง, เสียบยอด
หมันทะเล/Cordia subcordata
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Cordia subcordata Lam.(1792) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Cordia orientalis R.Br.(1810) ---Cordia rumphii Blume.(1826) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2737258 ชื่อสามัญ--- Beach cordia, Marer, Island-walnut, Kerosene wood, Snottygobbles, Glueberry, Narrow-leafed bird lime tree, Sea trumpet. ชื่ออื่น---หมันทะเล ;[CHINESE: Cheng hua po bu mu.];[CZECH: Obduž, Kordie.];[FRENCH: Faux-ébène, Noyer d'Océanie, Kou, Tou.];[HAWAII: Kou.];[INDONESIA: Pokok Agutud (Bahasa Melayu).];[JAPANESE: Kibanainuchisha.];[JAVA/MADURA: Kalimasada, Purnamasada, Pramasada.];[MALAYSIA: Bala Laut (Malay).];[SINHALESE: Moodu-lolu.];[TAIWAN: Chéng huā pò bùzi.];[TAMIL: Lakshikottay.];[THAI: Man thale (Southeastern).];[TONGA: Puataukanave.];[VIETNAM: Tâm mộc lá hình tim (Tiếng Việt).]. EPPO Code---CRHSU (Preferred name: Cordia subcordata.) ชื่อวงศ์--BORAGINACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออก, เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ออสเตรเลียเหนือและขยายไปถึงหมู่เกาะแปซิฟิก Cordia subcordata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Borage หรือ Forget-me-not (Boraginaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2335
ที่อยู่อาศัย พบในแอฟริกาตะวันออกไปยังอินเดีย, จีนตอนใต้, พม่า, ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี, ออสเตรเลีย, หมู่เกาะแปซิฟิก (จากไมโครนีเซียถึงเมลานีเซียถึงโปลินีเซีย) พบตามพื้นที่ชายหาด ชายฝั่งทะเลที่เป็นหิน และตามแนวรอยต่อกับป่าชายเลน เป็นต้นไม้บนชายฝั่งพบได้ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 30 (-150) เมตร ในประเทศไทยพบในภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ขึ้นตามชายหาดที่เป็นทรายหรือโขดหิน ในอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูง 2-10 (15 )เมตร ทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลมแน่นแตกกิ่งต่ำ เปลือกนอกแตกเป็นร่องตามยาวตื้น แล้วล่อนเป็นสะเก้ดสีเทาคล้ำถึงน้ำตาล เนื้อไม้สีส้ม ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปรีถึงรูปไข่กว้างขนาด 5-15 ซม.ยาว 6-20 ซม.โคนใบสอบรูปลิ่มขอบใบเรียบ ถึงหยักซี่ฟันเล็กน้อย เนื้อใบบางคล้ายกระดาษ ด้านบนสีเขียวหม่นด้านล่างสีเขียวนวล ดอกออกแบบช่อกระจุกออกตามปลายกิ่งยาว 3-5 ซม.มีดอกย่อยช่อละ 5-7 (-15) ดอก ดอกย่อยขนาดใหญ่คล้ายรูปแตรสีส้มกลีบดอกติดกันคล้ายรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 กลีบ บานตลบไปด้านหลัง เกสรเพศผู้โผล่พ้นปากหลอดกลีบดอกเล็กน้อย ดอกเมื่อบานขนาด 3-5 ซม.ผลมีกลีบเลี้ยงที่เจริญหุ้มจนมิด รูปไข่ถึงทรงกลม 1.5-4 ซม.×2-3 ซม.เปลือกแข็ง ผลอ่อนสีเขียวสุกสีเหลืองถึงสีแดงและต่อมาเป็นสีดำ มีเมล็ด 1-4 เมล็ด เมล็ดยาว 10-13 มม. สีขาว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ มักพบในดินทรายลึก รวมทั้งบนเนินทราย และมักพบบนทรายปะการังเหนือหินปูน ชอบดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดี เป็นกลางถึงเป็นด่างเล็กน้อย ดินอาจมีเกลือในระดับปานกลาง พืชมีระบบรากตื้นและอาจเสียหายได้จากการรบกวนพื้นผิวมากเกินไป มีรายงานจาก Buru (อินโดนีเซีย) ว่าต้นอ่อนของ C. subcordata สามารถสูงถึง 1.1 - 1.5 เมตร 10 เดือนหลังจากปลูกในพื้นที่ที่ดี ในชวาตะวันออก ต้นไม้สูง 4-5 เมตรในสวนอายุ 2 ปีและสูงเฉลี่ย 7 เมตรหลังจาก 4 ปีมีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ย 6.5 ซม ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นส่วนใหญ่เป็นไม้ แต่ยังใช้เส้นใยสีย้อมและใช้กินได้ บางครั้งใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนสาธารณะ มักพบตามวัด -ใช้กิน ในโพลินีเซียใบอ่อนบางครั้งก็เคี้ยวพร้อมกับหมากพลู เมล็ดรสจืดใช้เป็นอาหารในแอฟริกา มีแนวโน้มที่จะกินในช่วงเวลาของการขาดแคลนอาหาร -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดและแก้อักเสบ -ใช้ปลูกประดับ ในประเทศไทยใช้เป็นไม้ประดับ -วนเกษตรใช้ ปลูกไว้เป็นแนวป้องกันลมและรั้วที่อยู่อาศัย และยังใช้สำหรับป้องกันชายฝั่ง -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลอ่อนถึงน้ำตาลเข้มมักมีสีม่วงและสีน้ำตาลเข้มถึงเกือบดำเป็นริ้ว เป็นไม้เนื้ออ่อน แต่ทนทาน ทำงานง่าย ทนปลวกมาก ในหมู่เกาะโซโลมอนตะวันตกในวานูอาตูบนเกาะ Wayaและในตองกาใช้ไม้สำหรับแกะสลัก ในสมัยโบราณ Hawai'i kou wood ใช้ทำ 'Umeke' (ถ้วยชาม) เครื่องใช้และ 'Umeke lā'au (calabashes ขนาดใหญ่ เป็นภาชนะบรรจุ 8-16 ลิตรสำหรับเก็บและหมัก) การใช้ไม้ทำจานถ้วยชาม ฯลฯ เพราะไม้ไม่มีผลต่อรสชาดใด ๆ กับอาหาร เส้นใยที่ได้จากเปลือกใช้สำหรับทำเสื้อผ้าหมวกตะกร้า Aho (สายเบ็ด )-; ไม้เผาไหม้ได้อย่างง่ายดายโดยการถูไม้สองชิ้นเข้าด้วยกันนำไปสู่การตั้งชื่อเล่นในปาปัวนิวกินีว่า "น้ำมันก๊าดต้นไม้" (Pokok Minyak Gas)-; ดอกไม้ใช้ทำพวงมาลัย เปลือกไม้ให้สีย้อมสีน้ำตาลถึงสีแดงสำหรับผ้า Kapa ความเชื่อ/พิธีกรรม ---ชาวบ้านในชวาเชื่อว่าเป็นต้นไม้ที่มีพลังทางวิญญาณ ในประเทศไอร์แลนด์มีการใช้ไม้เป็นทางเข้าในพิธีเข้าบ้านของผู้ชายเสมอ สถานภาพ---พืชหายาก (ในประเทศไทย) ระยะออกดอก/ติดผล---พืชสามารถออกดอกและผลได้ตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---เมล็ด ใช้เวลา 19 - 62 วันในการงอก โดยประมาณ 25% ของเมล็ดจะมีชีวิต
|
หมากหน่วยแดง/Polyalthia hookeriana
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia hookeriana King.(1892) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Monoon hookerianum (King) B.Xue & R.M.K.Saunders (2012) ---See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:74601-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หมากหน่วยแดง (ภาคใต้) ;[SINGAPORE: Mempisang, Sinai.];[THAI: Mak nuai daeng (Peninsular).] EPPO Code--- QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ Polyalthia hookeriana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) สกุลยางโอน (Polyalthia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียในปี พ.ศ.2435 ที่อยู่อาศัยพบใน พม่า ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ในประเทศไทย ขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 500-800เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง10-15 เมตร ลำต้นเปลาตรงแตกกิ่งระดับสูงขนานกับพื้นดิน กิ่งอ่อนมีขนหนาแน่น กิ่งแก่เปลือกเรียบตามลำต้นมีลายเป็นร่องเล็กๆตามแนวยาว ใบมี 10 หรือ 11 คู่ เส้นแขนงและเส้นกลางใบมีขนดกทั้งสองข้าง ก้านใบยาว 0.3-0.5 ซม. และมีขนหนาแน่น ใบรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง 5-7 ซม.ยาว15-18 ซม.โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบค่อนข้างหนาเป็นแผ่นเหนียว ดอกเดี่ยวออกตามกิ่งแก่เหนือรอยแผลใบ ดอกสีเขียวอมเหลือง เมื่อดอกบานเปลี่ยนเป็นสีชมพู กลีบดอกค่อนข้างหนาคล้ายหนัง ดอกบานมีขนาด 3-3.5 ซม. ผลกลุ่มมีผลย่อย 30-40 ผล รูปรีกว้าง 2 ซม.ยาว 3 ซม.ปลายผลมนเกลี้ยง เมื่อแก่สีแดงมี 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ทำเชื้อเพลิง -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับมีกลิ่นหอม มักปลูกตามสวนสาธารณะและสวนทั่วไป ระยะออกดอก--กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
หมี่/Clausena excavata
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Clausena excavata Burm.f.(1768) ชื่อพ้อง---Has 21 Synonyms ---Amyris punctata Roxb.(1832) ---Clausena excavata var. lunulata (Hayata) Tanaka.(1930) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2724793 ชื่อสามัญ---Pink wampee, Hollowed clausena, Pink lime-berry. ชื่ออื่น---หวดหม่อน(กลาง, เหนือ); ขี้ผึ้ง, แสนโสก (นครราชสีมา); ชะมัด (อุบลราชธานี); เพี้ยฟาน, หญ้าสาบฮิ้น, หมี่ (เหนือ); มะหลุย (ใต้); ยม (ชุมพร); รุ้ย (กาญจนบุรี); สีสม, หมอน้อย (กลาง); สมัดใบใหญ่, หัสคุณโคก (เพชรบูรณ์), มุยใหญ่ (ภูเก็ต), สามเสือ (ชลบุรี), สามโสก (จันทบุรี), สำรุย (ยะลา), หัสคุณ (สระบุรี-สงขลา), อ้อยช้าง (สระบุรี) ;[CAMBODIA: Cantrouk san hoeut, Sanitok damrey; Kantrok khmaoch (Central Khmer)];[CHINESE: Shan huang pi, Jiǎ huáng pí.];[HINDI: Agnijal.];[INDIA: Agni jala, Bengjari, Jangli bursunga.];[INDONESIA: Bajetah, Temung, Tikusan.];[LAOS: Khong touang, Kok sa mat, Tcho kou nhia.];[MALAYSIA: Chama, Chamar, Kematu, Kemantu hitam, Pokok kemantu.];[MYANMAR: Daw-hke, Pyin-daw-thein, Seik-nan.];[PHILIPPINES: Buringit.];[PORTUGUESE: Clausena-curry.];[THAI: Huat mon (Central, Northern); Khi phueng, Saen sok (Nakhon Ratchasima); Chamat (Ubon Ratchathani); Phia fan (Northern); Ya sap hin, Mi (Northern); Ma lui (Peninsular); Yom (Chumphon); Rui (Kanchanaburi); Si som, Mo noi (Central); Samat bai yai, Hatsa khun khok (Phetchabun); Mui yai (Phuket); Sam suea (Chon Buri); Sam sok (Chanthaburi); Sam rui (Yala); Hatsa khun (Saraburi, Songkhla); Oi chang(Saraburi).];[VIETNAM: Dâm hôi, Chùm hôi, Châm châu, Nhâm rừng.]. EPPO Code--- CUSEX (Preferred name: Clausena excavata.) ชื่อวงศ์---RUTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, ภูฏาน, เนปาล, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี Clausena excavata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nicolaas Laurens Burman (1733–1793) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2311 ที่อยู่อาศัย พบใน จีน(รวมถึงไต้หวัน), อินเดีย, ภูฏาน, เนปาล, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกินี พบทั่วไปในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูงไม่เกิน5เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 20 ซม. ลักษณะทรงต้น ลำต้นตรง กิ่งก้านมาก เปลือกนอกสีน้ำตาลเปลือกในสีขาว ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ใบย่อย7-15คู่ รูปไข่หรือใบหอก ใบย่อยขนาดกว้าง1.8-4ซม.ยาว2.5-12ซม. โคนใบเบี้ยว ท้องใบมีขนบางๆขอบใบหยักนิดๆ เมื่อขยี้ใบจะมีกลิ่นสาบ ดอกเป็นช่อแตกแขนงรูปปิรามิดออกที่ปลายกิ่งและซอกใบบนๆ กลีบดอกสีขาวแกมเหลือง4กลีบ ผลสีขาวหรือชมพูอ่อนขนาด 1.2-1.8 × 0.8-1.5 ซม.ผลอ่อนมีขนเล็กน้อย ผลแก่เกลี้ยงมีต่อมเป็นจุดและฉ่ำน้ำมีเมล็ด1-2 เมล็ด ใช้ประโยชน์---พืชซึ่งมักจะถูกรวบรวมจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ผลไม้ที่กินได้นั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในหลาย ๆ ช่วงการกระจายของพืชและมักจะปลูกเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ใบปรุงและกินเป็น potherb คล้ายกับกลิ่นแกงกะหรี่เมื่อบด ผลกินได้มีรสชาดคล้ายองุ่น เยื่อของผลรสชาดคล้ายยี่หร่า -ใช้เป็นยา ยาต้มจากรากใช้ในการรักษาไข้ปวดหัวและอาการจุกเสียด ยาต้มของรากดอกไม้หรือใบถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการลำไส้เช่นอาการจุกเสียดอาการอาหารไม่ย่อยและปวดท้อง รากหรือใบ ที่โขลกใช้ภายนอกเป็นยาพอกแผล รวมทั้งแผลในจมูกหรือบางครั้งสำหรับโรคคุดทะราด แผลในจมูกอาจได้รับการรักษาด้วยการรมควันโดยใช้ใบและเปลือกไม้ ในประเทศจีนถือว่าเป็นยาชูกำลังยาสมานแผลและยาชา ใบพอกใช้ในการรักษาอัมพาต ในพม่าใช้ใบสำหรับปัญหากระเพาะอาหาร -อื่น ๆ ไม้เป็นสีขาวและมีโครงสร้างที่ดี แต่มีขนาดเล็กเกินไปที่จะใช้ทำอะไรได้มาก แต่ในชวาต้นไม้มีขนาดใหญ่พอที่จะใช้ทำด้ามขวาน ใบใช้ยัดหมอนมีผลต่อการนอน ใบและเปลือกไม้มีน้ำมันหอมระเหยที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคมและกรกฎาคม-สิงหาคม/สิงหาคม-ตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด
|
หมีโป้ง/Litsea monopetala
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Litsea monopetala (Roxb) Pers.(1807) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Litsea polyantha Juss.(1805) ---Tetranthera monopetala Roxb.(1798) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-17800882 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กระท้อนรอก, กะทัง (ภาคใต้), พอครา (นครศรีธรรมราช),โพหน่วย, มุหมู (กระเหรี่ยง กาญจนบุรี), เมาะโม (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน), ยุ๊กเย้า (แพร่), สะหมึ่ (ชัยภูมิ), หมี (จันทบุรี), หมีตุ้ม, หมีโป้ง, ฮา (เชียงใหม่), อีเหม็น (ภาคเหนือ), คายโซ่ (กาญจนบุรี);[ASSAMESE: Muga, Sualu, Bon-khuwalu, Khuwalu.];[AYURVEDA: Maidaa-lakdi.];[BENGALI: Bara-kukurchita.];[CHINESE: Jiǎ shìmù jiāng zi.];[FRENCH: Bois d'oiseaux à grandes feuilles.];[HINDI: Meda, Gwa, Singraf, Katmarra, Jangli-rai-am.];[KANNADA: Gajapippali, Hemmudi, Kainji.];[KHASI: Dieng soh phohskei, Dieng sohtyllap.];[MANIPURA: Tumitla.];[MARATHI: Ranamba.];[NEPALI: Kutmira.];[SIDDHA/TAMIL: Maidalagadil, Picinpattai.];[TAMIL: Maidalagadil.];[TELUGU: Chiru mamidi, Meda, Chiru maamidi, Naara.];[THAI: Kra thon rok, Ka thang (Peninsular); Pho khra (Nakhon Si Thammarat); Pho-nuai, Mu-mu (Karen-Kanchanaburi); Mo-mo (Karen-Mae Hong Son); Yuk yao (Phrae); Sami (Chaiyaphum); Mi (Chanthaburi); Mi tum, Mi pong, Ha (Chiang Mai); Mi men (Lampang); I men (Northern); Khai so (Kanchanaburi).];[VIETNAM: Cây Mỏ Giấy.]; EPPO Code--- LISMO (Preferred name: Litsea monopetala.) ชื่อวงศ์---LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- จีน, อินเดีย, ภูฏาน, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, ไทย, เวียดนาม Litsea monopetala เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย (Lauraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christiaan Hendrik Persoon (1761–1836) นักพฤกษศาสตร์ นักวิทยาเชื้อรา,นักไลเคนและแพทย์ ชาวแอฟริกาใต้ ในปี พ.ศ.2350 ที่อยู่อาศัยพบใน จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, SW กุ้ยโจว, ไห่หนาน, S ยูนนาน) อินเดีย, ภูฏาน, กัมพูชา, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, ไทย, เวียดนาม บนเนินเขาที่ระดับความสูงต่ำ ผสมกับที่ลุ่มและป่าดิบชื้นหรือป่ากึ่งผลัดใบที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,500 เมตร ในประเทศไทยพบทั่วไปในป่าดิบและป่าผลัดใบทั่วภาคเหนือและในภาคใต้และภาคตะวันตกเฉียงใต้ขึ้นตามที่โล่งของป่าดิบ บริเวณลำธาร ป่าเบญจพรรณ และป่ารุ่นที่ชุ่มชื้นทั่วไป บนพื้นที่ราบและตามลาดเขา ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบหรือผลัดใบช่วงสั้นสูงถึง 10-(15 -17) เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 ซม.สูงสุด 60 ซม. ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อนหรือเทาเข้ม เมื่ออายุมากขึ้นเปลือกจะหนาและหยาบ มีร่องแตกและหลุดลอก เปลือกชั้นในมียางที่มีกลิ่นหอม ใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับ รูปรี รูปไข่กลับ ขนาดของใบ 8-20x5-8(12) ซม.ฐานใบแหลมหรือรูปหัวใจ ใบแก่ด้่านบนเกลี้ยงเป็นมันสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีขนไม่เด่นชัดสีน้ำตาลอมเหลือง เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบเห็นชัดเจน ก้านใบยาว 1-3 ซม.เมื่อขยี้ใบมีกลิ่นเหม็น ดอกสีขาวหรือเหลืองอมเขียว เป็นช่อดอกแบบช่อแยกแขนงสั้นๆ ออกเป็นกระจุกตามกิ่งด้านข้างและตามง่ามใบ มี5-6ช่อร่วมกัน เส้นผ่านศูนย์กลางแต่ละช่อ 2-4 ซม. มีใบประดับ 4-6 ใบ มีดอก 4-8 ดอก แยกเพศ เมื่อบานกว้างประมาณ 8 มม. ก้านดอกยาว 4-7 มม. ผลรูปไข่หรือรูปรีขนาด 0.6-1.2 ซม.ปลายแหลมเล็กน้อย มีชั้นกลีบเลี้ยงรูปจานติดอยู่ ก้านผลอ้วนสั้น ผลสุกสีดำอมน้ำเงินเป็นมัน มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เมล็ดที่อุดมด้วยน้ำมันและใช้ไม้ -ใช้เป็นยา น้ำมันจากผลเป็นยาทารักษาโรคผิวหนังหลายชนิด ใบถูกนำมาใช้เป็นยาเฉพาะสำหรับการรักษาโรคข้ออักเสบ -อื่น ๆไม้ใช้ทำเสา เฟอร์นิเจอร์ ไม้กระดาน เครื่องมือจับ และทำฟืน -ใบมีโปรตีนสูงมากเป็นพิเศษ เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพสูงมาก -เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 30% ซึ่งใช้สำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้นไม้อาหารสัตว์หนอนไหม "Muga" ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียโดยใช้ชื่อท้องถิ่นว่า "Sualu" น้ำมันของสายพันธุ์นี้ได้มาจากการกลั่นด้วยไอน้ำของผลไม้สดดอกไม้และเปลือกไม้. ใช้เป็นแหล่งของน้ำมันหอมระเหย ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-พฤษภาคม/มิถุนายน-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
หยีทะเล/Derris indica
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Millettia pinnata (L.) Panigrahi.(1989) ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms ---Pongamia pinnata (L.) Pierre.(1898) ---Derris indica (Lam.) Bennet (1971) ---More.See all The Plant List ชื่อสามัญ---Indian Beech, Pongamia oil tree, Pongam. ชื่ออื่น--- กายี (ภาคใต้), ราโยด (ปัตตานี), ขยี้ (ชุมพร), เพาะดะปากี้ (มลายู สงขลา), ปารี (มลายู นราธิวาส), มะปากี (มาเลย์-ปัตตานี) ;[AYURVEDA: Naktmaal, Udkirya, Karanja.];[CHINESE: Shuǐ huáng pí.];[FRENCH: Arbre de pongolote.];[HINDI: Karanj.];[INDONESIA: Malapari, Mempari; Bangkong (Java).];[JAPANESE: Kuroyona.];[MALAYALAM: Pungam.];[MALAYSIA: Pokok mempari, Mempari, Kacang kayu laut, Biansu.];[PHILIPPINES: Bani.];[SANSKRIT: Naktamāla.];[SIDDHA/TAMIL: Pungu.];[THAI: Yi nam (Peninsular); Ka yi (Peninsular); Kha yi (Chumphon); Pa-ri (Malay-Narathiwat); Pho-da-pa-ki (Malay-Songkhla); Ma-pa-ki (Malay-Pattani); Ra-yot (Pattani).];[VIETNAMESE: Đậu dầu, Cây sồi Ấn Độ, Cây Pongam, Cây Honge.]. EPPO Code--- PNGPI (Preferred name: Pongamia pinnata.) ชื่อวงศ์--- FABACEAE (LEGUMINOSAE–PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เทือกเขาหิมาลัย อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ อินโดจีน มาเลเซีย จีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น นิวกินี ออสเตรเลีย Millettia pinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Gopinath Panigrahi (1924 –2004) นักพฤกษศาสตร์และอนุกรมวิธานพืชชาวอินเดียในปี พ.ศ.2532 *ในหนังสือเล่มเก่าจะใช้ขื่อ Derris indica (Lam.) Bennet หรือ Pongamia pinnata Pierre.* ที่อยู่อาศัย พบในอนุทวีปอินเดียผ่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือฟิจิและญี่ปุ่น พบเกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าที่ลุ่มทั่วไปตามขอบป่าพรุ ริมฝั่งแม่น้ำลำคลองที่เป็นดินเลน ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง 5-10 (25) เมตรเส้นผ่านศูนย์กลาง50 - 80 ซม ลักษณะทรงต้น เรือนยอดแผ่กว้างเป็นพุ่ม แน่นทึบ ลำต้นมักคดงอ เปลือกเรียบสีเขียวแกมน้ำตาล ถึงน้ำตาลเทา ใบ ประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงสลับถึงเรียงเวียนสลับ ก้านใบรวมแกนช่อใบยาว 10–15 ซม. ใบย่อย 5-7ใบ เรียงตรงข้ามกัน 3 คู่ และที่ปลายก้านอีก 1 ใบ แผ่นใบย่อยรูปไข่แกมรูปขอบขนาน กว้าง 3–4.5 ซม. ยาว 5–12 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างซีดกว่า ดอกแบบช่อเชิงลดมีก้าน ออกตามง่ามใบและปลายกิ่งยาว10-20ซม. ดอกย่อยจำนวนมาก รูปดอกถั่วขนาดเล็กเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 ซม. สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพู ชมพูอมแดงถึงม่วง ผล แบบฝักถั่ว หนา โป่งออก ทรงรูปขอบขนานถึงรูปรี โค้งเล็กน้อย ขนาดกว้าง 2-4 ซม.ยาว 4-7 ซม.ปลายฝักเป็นจงอยสั้นๆ ฝักอวบหนา ผิวเกลี้ยง ฝักแก่สีน้ำตาล ไม่แตก เมล็ดสีแดงคล้ำ รูปโล่แกมรูปขอบขนานขนาด 1.5x2 ซม.มี1เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ ใช้ประโยชน์---ต้นไม้อเนกประสงค์ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งให้น้ำมัน ให้สีย้อม น้ำมันเชื้อเพลิง ยากันแมลง ยารักษาโรคและสินค้าอื่น ๆ อีกมากมาย -ใช้เป็นยา ใช้สำหรับโรคผิวหนัง - กลาก, หิด, โรคเรื้อน, และสำหรับแผล, เนื้องอก, การขยายตัวของม้าม, ช่องคลอดและปัสสาวะ น้ำจากรากใช้สำหรับ ทำความสะอาดแผลพุพอง ดอกไม้ - ใช้ในโรคเบาหวาน ผงเมล็ดใช้สำหรับโรคไอกรนและระคายเคืองของเด็ก ๆ น้ำมันเมล็ดใช้กับผิวหนัง เริมและหิด น้ำมันหอมระเหยจากใบ - ต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา -ใช้ในวนเกษตร ใช้ปลูกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน กิ่งไม้ใบไม้ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับเนื่องจากมีดอกสวยงาม -อื่น ๆ เนื้อไม้แตกต่างกันไปจากสีขาวเป็นสีเหลืองอมเทาไม่มีแก่นที่ชัดเจน ไม่ถือว่าเป็นไม้ที่มีคุณภาพ เพราะไม่คงทนมีแนวโน้มที่จะแยกและบิดงอและเสี่ยงต่อแมลง ใช้สำหรับการทำตู้, รถเข็น,เครื่องมือการเกษตร และมักใช้ทำฟืน-พืชชนิดนี้ใช้ทำไบโอดีเซลในอินเดีย เมล็ดมีน้ำมัน 25–40% ส่วนใหญ่เป็นกรดโอเลอิก ใช้เป็นน้ำมันตะเกียงและน้ำมันหล่อลื่น สารเคลือบเงา, สารยึดเกาะสีน้ำและในการทำสบู่ใช้ผลิตไบโอดีเซลได้เช่นเดียวกับสบู่ดำ ในพื้นที่ชนบทใบแห้งจะถูกเก็บไว้พร้อมเมล็ดพืชเพื่อขับไล่แมลง presscake เมื่อนำไปใช้กับดินมีค่าเป็นสารกำจัดศัตรูพืชโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับไส้เดือนฝอย รากให้ผลผลิตเม็ดสีธรรมชาติที่เรียกว่า 'pinnatin' รู้จักอันตราย-- เมล็ดมีพิษ เมล็ดตำและเมล็ดคั่ว ใช้เป็นยาเบื่อปลา ระยะออกดอก---มกราคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด รากหน่อ ปักชำ
|
หลังโก่ง/Polyalthia bullata
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia bullata King.(1892) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2406975 ชื่อสามัญ--- Black Tongkat Ali. ชื่ออื่น---หลังโก่ง(ตรัง) ;[MALAYSIA: Pokok peleh angin, Tongkat ali (Peninsular); Tongkat Ali hitam, Sepelih angin (Malay).];[THAI: Lang kong (Trang).]; EPPO Code: QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย บอร์เนียว มาเลเซีย สิงคโปร์ Polyalthia bullata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียในปี พ.ศ.2435 ที่อยู่อาศัย พบใน ไทย บอร์เนียว มาเลเซีย สิงคโปร์ ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคใต้ ที่ระดับความสูง 50-400เมตร ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง1.5-3 เมตร เปลือกต้นสีดำแตกกิ่งน้อย กิ่งอ่อนมีขนสีทองหนาแน่น กิ่งแก่มีขนน้อยลง เนื้อไม้เหนียว ใบ รูปหอก กว้าง 3-7 ซม.ยาว 15-30 ซม. โคนใบหยักเว้ารูปหัวใจ ปลายใบเรียวทู่หรือแหลมสั้น ขอบใบเป็นคลื่น ใบบาง ใบด้านบนสีเขียวเข้ม เป็นร่องตามเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบ และมีขนสีน้ำตาลคลุมอยู่ ใบด้านล่าง เป็นร่องตามเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบนูนเด่น และมีขนยาวคลุมอยู่ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อ2-3ดอก ออกตรงยอดตรงข้ามใบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกบานขนาด 2-2.5 ซม.ผลกลุ่ม มี 2-4 ผล ผลกลมขนาด 1 ซม.มีขนคลุมแน่น เมื่อแก่สีแดง มี 2 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งและความสามารถของเพศผู้ ผลการวิจัยพบว่าสารธรรมชาติบางชนิดที่มีอยู่ใน Tongkat Ali สามารถเพิ่มความเป็นชายจากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเกี่ยวกับสารประกอบ Saponosides และ Glycosides ใน Tongkat Ali Hitam แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสามารถช่วยในการ:ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตด้วยการทำความสะอาดและทำให้บริสุทธิ์ เพิ่มระดับเทสโทสเทอโรนในผู้ชาย เพิ่มพลังงานและความแข็งแกร่ง ส่งเสริมการสังเคราะห์อสุจิ ช่วยในภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือด (ช่วยป้องกันปัญหาหัวใจและความดันโลหิตสูง) -ใช้เป็นไม้ประดับ มีการนำมาปลูกเลี้ยงในกระถาง ระยะออกดอก---เดือนมีนาคม-เดือนกรกฏาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
หลุมพอทะเล/Intsia bijuga
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Intsia bijuga (Colebr.) Kuntze.(1891) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Basionym: Macrolobium bijugum Colebr.(1819) ---Afzelia bijuga (Colebr.) A.Gray.(1854) ---More.See https://www.gbif.org/species/2963211 ชื่อสามัญ---Borneo-teak, Island teak, Johnstone River-teak, Moluccan ironwood, Pacific-teak, Scrub-mahogany. ชื่ออื่น---หลุมพอทะเล (สุราษฎร์ธานี), ประดู่ทะเล (ภาคกลาง), งือบาลาโอ๊ะ (มาเลย์-นราธิวาส);[BENGALI: Krishna chura.];[CAMBODIA: Krâkâs prêk.];[FIJI: Vesi.];[FRENCH: Arbre de fer, Bois de cohu foncé, Faux teck, Faux gaïac.];[GUAM: Ifil, Ifit.];[INDONESIA: Merbau asam (Kalimantan).];[MADAGASCAR: Faux Gayac, Fehi, Gayac, Harandranto, Hintsikafitra, Tsararavina.];[MALAYSIA: Merbau ipil (Sarawak, Sabah), Kayu besi (Peninsular), Pepanjat (Malay).];[PAPUA NEW GUINEA: Kwila.];[PHILIPPINES: Ipil laut, Ipil (Tagalog).];[PORTUGUESE: Mogno-de-bornéo, Pau-ferro-das-molucas, Quivila.];[SAMOA: Ifi-lele.];[THAI: Lum pho thale (Surat Thani); Pradu thale (Central); Ngue-ba-la-o (Malay-Narathiwat).];[TONGA: Fehi.];[VIETNAM: Go-nuoc.);[TRADE NAME: Merbau.]. EPPO Code: INTBI (Preferred name: Intsia bijuga.) ชื่อวงศ์---FABACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย ตลอดถึงมหาสมุทรแปซิฟิก Intsia bijuga เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Thomas Colebrooke (1765 –1837) เป็นนักคณิตศาสตร์ตะวันออกชาวอังกฤษ เขาได้รับการอธิบายว่าเป็น "ปราชญ์ภาษาสันสกฤตผู้ยิ่งใหญ่คนแรกในยุโรป"และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Carl Ernst Otto Kuntze (1843–1907) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์), กัมพูชา, ฟิจิ, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาดากัสการ์, มาเลเซีย, ไมโครนีเซีย, พม่า, นิวแคลิโดเนีย, ปาเลา, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, ซามัว, เซเชลส์, ไต้หวัน, แทนซาเนีย (แซนซิบาร์) ประเทศไทยและ เวียดนาม พบขึ้นกระจายตามริมฝั่งแม่น้ำลำคลองที่น้ำทะเลท่วมถึง ตามแนวชายฝั่งที่เป็นแนวของป่าชายเลน พบได้ในระดับความสูงถึง 600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลัดใบ สูงถึง10- 25 (-40) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 150 - 200 ซม ลักษณะลำต้นเปลาเปลือกเรียบสีเทาถึงสีชมพูแกมเทา มีพูพอนแผ่เป็นครีบขนาดเล็ก เรือนยอดแผ่กว้าง ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ แผ่นใบย่อยรูปไข่ยาว 6-14 ซม. และกว้าง 4-8 ซม.ก้านใบยาว 1-2 ซม. ผิวใบเรียบเนื้อใบบางถึงหนาคล้ายแผ่นหนัง ด้านบนสีเขียวด้านล่างสีซีดกว่า ดอก แบบช่อเชิงลดมีก้านแยกแขนงออกตามปลายกิ่งยาวประมาณ 10-16 ซม. ก้านช่อ มีขนนุ่มสั้นละเอียดปกคลุม ดอกย่อย มีกลีบเลี้ยงสีเขียวกลีบดอกสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูและแดง ผลแบบฝักถั่ว ฝักพองมีหลายเมล็ด แข็ง แบนรูปขอบขนานโค้ง ขนาดกว้าง5-8ซม.ยาว10-20ซม.เมื่อแก่ฝักจะหนาขึ้นและเป็นสีน้ำตาล ฝักแก่จัดแตกตามรอยตะเข็บ เมล็ดแบนสีน้ำตาลรูปไข่ ยาว 20 - 35 มม. กว้างและหนา 8 มมมีไม่เกิน8เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งในแสงแดดเต็มหรือร่มเงาบางส่วน ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความอดทนต่อดินเค็ม ลมแรงและไอเกลือ ชอบ pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ทนได้ 5 - 7 ใช้ประโยชน์---ผลิตไม้ที่มีค่ามากที่สุดชิ้นหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้นไม้ถูกใช้ประโยชน์อย่างดุเดือดในป่าเป็นสายพันธุ์ไม้และปลูกในโครงการอนุรักษ์ดิน -ใช้กิน เมล็ดกินได้หลังจากการเตรียมอย่างระมัดระวังโดยจะแช่ในน้ำเกลือเป็นเวลา 3-4 วันแล้วต้ม -ใช้เป็นยา เปลือกและใบใช้ในยาแผนโบราณ ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคไขข้อ โรคบิดและท้องเสีย -วนเกษตรใช้ ด้วยระบบรากที่กว้างขวางจึงเป็นต้นไม้ที่เหมาะสมสำหรับการอนุรักษ์ดินและการถมที่ในลำห้วยที่ถูกกัดเซาะและในแถบกันชนตามลำธาร ต้นไม้ยังใช้ในการทำน้ำให้บริสุทธิ์ มีความทนทานต่อแรงลมเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปลูกเป็นต้นไม้กำบังลม -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ เป็นต้นไม้ที่เติบโตรวดเร็วปานกลางทำให้เป็นไม้ประดับที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปลูกริมทะเลหรือริมถนน -อื่น ๆ ไม้มีค่าสูงในพื้นที่ซึ่งใช้สำหรับการก่อสร้างหนัก เช่น การสร้างสะพาน, เสาไฟฟ้า, หมอนรถไฟ, การสร้างเรือ, คานเสาบ้านและเฟอร์นิเจอร์ รายการอื่น ๆ ที่ทำจากไม้ ได้แก่ ไม้เท้า ชามอาหารและงานแกะสลัก ไม้นี้ใช้สำหรับปูพื้นในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่จำหน่ายทั่วไปภายใต้ชื่อที่แตกต่างกัน มีการจัดซื้อจำนวนมหาศาลสำหรับสถานที่จัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2551 ที่ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าไม้รายใหญ่ที่สุด -กิ่งก้านเล็ก ๆ ของต้นไม้ล้มถูกใช้เป็นฟืน- เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนิน สีย้อมสีน้ำตาลได้มาจากเนื้อไม้และเปลือกไม้-น้ำมันเมล็ดขับไล่แมลง มีการกล่าวถึงเปรียบเทียบกับสารสกัดสะเดา (Azadirachta indica) ที่เป็นที่นิยม ความเชื่อ/พิธีกรรม---ในสมัยก่อนต้นไม้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ในฟิจิ ชามสำหรับให้บริการเครื่องดื่มแบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมคือยาโกน่า (Yagona) ทำจากไม้ของต้นไม้ต้นนี้ ภัยคุกคาม---เนื่องจากการแสวงหาผลประโยชน์ที่มากเกินไป ทำให้สถานะของมันหายไปในพื้นที่แหล่งกำเนิดบางแห่ง ถูกรวมอยู่ในบัญชีแดงของ IUCN (สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ) ว่าเป็นประเภท "ความเสี่ยง" (เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในป่า) สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species 2020 ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและการปักชำ โดยการตัดยาว 60 ซม.ในฟิลิปปินส์มีอัตราการตายสูง (62%)
หอมไกลดง/Harpullia arborea
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Harpullia arborea (Blanco.) Radlk.(1886) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Basionym: Ptelea arborea Blanco.(1837) ---Harpullia mellea Lauterb.(1908) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2839774 ชื่อสามัญ---Tulip-wood tree, Black Tulip wood, Mogum-mogum, Dolls eyes. ชื่ออื่น---หอมไกลดง; ค้างคาว (เชียงใหม่); กระโปกลิง (สระบุรี); กระโปกหมาแดง หมังขะอุย ฮางแกน (สุโขทัย); ตาเสือ (ชัยภูมิ); มะแฟน (ภาคกลาง); หางแก่น กระโปกหมา (ภาคเหนือ) ;[AUSTRALIA: Cooktown tulipwood.];[CHINESE: Qiáomù jiǎshān luō, Jiǎshān luō shǔ ];[MALAYALAM: Puzhukkolli, Puzhukolli, Chittilamadakku.];[MALAYSIA: Apoh (Iban); Arip, Ensiru (Bidayuh); Bambuakat, Tambuakat (Dusun); Sakubong (Melanau).];[PHILIPPINES: Poas, Puas (Tag.); Dariguai, Maramblag (Ibn.); Magalat, Malatubas (Bik.); Kayaskas, Uas-na-puran (Ilk.); Huas (P. Bis.); Uas (Ibn, Ilk, Tag.).];[TAMIL: Nei Kottei.];[THAI:hom klai dong, mang kha ui, hang kaen, krapok ma (Northern); krapok ling (Saraburi).];[VIETNAM: Hoạt bi.]. EPPO Code---HPWAR (Preferred name: Harpullia arborea.) ชื่อวงศ์--- SAPINDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า ไทยกัมพูชา เวียตนามตอนใต้ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ตอนเหนือทวีปออสเตรเลียและแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ Harpullia aeborea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เงาะหรือวงศ์ soapberry (Sapindaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francisco Manuel Blanco (1778–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ludwig Adolph Timotheus Radlkofer (1829–1927),นักอนุกรมวิธานและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2329
ที่อยู่อาศัยพบจากอินเดียและศรีลังกาทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมาเลเซียไปออสเตรเลียและแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ เติบโตตามธรรมชาติในป่าดิบชื้น บนสันเขาทางลาดและที่ราบในหุบเขา หรือในหนองน้ำบนฝั่งแม่น้ำหรือตามชายฝั่งที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,400 เมตร ในประเทศไทยมีการกระจายกว้างในภาคเหนือ พบมากในป่าซึ่งยังไม่ถูกรบกวนมากนักที่ระดับความสูง 300-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 10-20 (-35) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ 60 - 70 ซม.ที่โคนต้นมีร่องเล็กน้อย เปลือกต้นสีเทา ครีม ใบประกอบแบบขนนก ยาวประมาณ 20-40 ซม. ใบย่อย 2-6 คู่ รูปรีแกมขอบขนานขนาดกว้าง 3-7 ซม.ยาว 8-21 ซม. เส้นแขนงใบข้างละ 6-12 เส้น ก้านใบย่อยยาวประมาณ 3 -6 มม.โคนใบเว้าเล็กน้อยฐานใบไม่สมมาตร ปลายใบแหลม ผิวใบเกลี้ยง ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลทองหนาแน่น ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อยาว 15-20 (-40) ซม.มีขนนุ่ม ดอกย่อยขนาดเล็กสีครีมอมเขียว มีกลิ่นหอม ขนาด1.1-1.8 ซม.กลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบดอกมี 4-5 กลีบ เรียงเวียน มักจะมีขนโดยเฉพาะที่ขอบกลีบ ผลออก เป็นกลุ่มช่อยาว 35 (60) ซม.ผลแบบแคปซูล ขนาด 3-6.5 ซม.ผิวผลเนียน ผลเป็นสีเขียวอมน้ำตาล เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแกมส้มหรือเป็นสีแดง มีพูลึกแตกออกเป็นสองส่วน แต่ละส่วนมี 1-2 เมล็ด เมล็ดสีดำเป็นมันค่อนข้างกลมขนาด 0.5-0.8 ซม. มีเนื้อสีส้มเป็นรูปวงแหวนหุ้มที่ฐานเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งในดวงอาทิตย์เต็ม พบได้ในป่าที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ในดินร่วนปนทรายหรือในพื้นที่หินปูนหรือบนดินภูเขาไฟ ที่ระบายน้ำได้ดี เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่กำบังจากลมแรง ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาขับไล่ปลิง สบู่และเป็นแหล่งของไม้คุณภาพดี ไม้มีการแลกเปลี่ยนเพื่อใช้ในงานตู้ที่มีคุณภาพสูง ต้นไม้มักจะปลูกในสวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลไม้ประดับ -ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือก ผลไม้ เมล็ด น้ำมันเมล็ดใช้ภายนอกใช้รักษาโรคไขข้ออักเสบ แก้เจ็บคอ น้ำจากเปลือกและผลใช้ระงับความเจ็บปวด -ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีเหลืองน้ำตาล ไม้เนื้อแข็งปานกลาง หดตัวเล็กน้อยเมื่อแห้ง ใช้สำหรับงานตู้และเฟอร์นิเจอร์ชั้นสูง, อาคารบ้าน, ไม้อัด, กล่องบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ในเกรละประเทศอินเดียเปลือก ผลไม้ และเมล็ดพืชที่ใช้โดยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เป็นยาขับไล่ปลิง สระผม และต่อต้านโรคไขข้อ รู้จักอันตราย---เปลือกมีสารซาโปนินและใช้เป็นยาเบื่อปลา ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-เมษายน (ในอินเดีย) พืชสามารถออกดอกและออกผลได้ตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด (แช่น้ำไว้ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงในน้ำอุ่น)
|
หัวเต่า/Mezzettia parviflora
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Mezzettia parviflora Becc.(1871) ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms ---Lonchomera leptopoda Hook.f. & Thomson.(1872.) ---Mezzettia curtisii King.(1892) ---Mezzettia herveyana Oliv.(1887) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2364633 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---หัวเต่า (นครศรีธรรมราช) ;[BORNEO: Ampunjit selapatan; Banitan; Barun; Bongkoi; Kepayang babi; Mahumbut; Mempisang; Nyaten; Pisang-pisang.];[INDONESIA: Bayut batu, Foki-foki, Empanyit selapatan.];[MALAYSIA: Mempisang, Meroyan Hutan, Kepayang burong (Malay); Payang burong (Sarawak); Bayut batu (Sumatra).];[THAI: Hua tao (Nakhon Si Thammarat). EPPO Code---MZZPA (Preferred name: Mezzettia parviflora.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว กาลิมันตัน เซเลเบส โมลุกะ Mezzettia parviflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีในปี พ.ศ.2414 ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว (ซาราวัก บรูไน ซาบาห์กลางและตะวันออก กาลิมันตัน) เซเลเบสและโมลุกะ พบได้ในป่าเต็งรังผสม keranga และป่าพรุ ป่าดงดิบที่ไม่ถูกรบกวนซึ่งมีความสูงไม่เกิน 800 เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูงถึง 40 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 90 ซม.เปลือกต้นสีดำแตกเป็นร่องเล็กน้อย โคนลำต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย ต้นเปลาตรงแตกกิ่งระดับสูงขนานกับพื้นดิน ทรงพุ่มกลมโปร่ง กิ่งอ่อนเรียบ เนื้อไม้เหนียวมาก ใบรูปรีแกมขอบขนานยาว 6–13 ซม แผ่นใบหนา ขอบใบเรียบสีเขียวเข้มเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อกระจุก 2–9 ดอก ตามกิ่ง ก้านช่อสั้น มีใบเกล็ดเล็กๆที่ก้านดอก กลีบดอก 6 กลีบเรียงกันสองชั้น ผิวเรียบเป็นมัน เมื่อดอกบานมีสีเหลืองอมเขียวดอกบานทนได้นาน1-2 วัน ผลย่อยมี 1–2 ผล รูปไข่หรือรูปรี ยาว 5–8 ซม ผนังหนาแข็ง มีนวล ผลแก่มีสะเก็ดสีเทาแกมน้ำตาล ก้านผลแข็ง ยาว 1–2 ซม มีเมล็ด 2 เมล็ด สีดำ ยาว 3–4 ซม ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและเป็นเชื้อเพลิง -อื่น ๆสารสกัดจากเนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาฆ่าแมลง สถานภาพ---พืชหายาก ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฏาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
หัวแหวน/Decaspermum parviflorum ssp parviflorum
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Decaspermum parviflorum (Lam.) A.J.Scott.(1979) ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms ---Basionym: Eugenia parviflora Lam.(1789) ---Decaspermum paniculatum (Lindl.) Kurz.(1877) ---Nelitris parviflora (Lam) Blume.(1850) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-56689 ชื่อสามัญ---Silky myrtle. ชื่ออื่น---กริม (สุราษฎร์ธานี), ขี้ใต้, พลองขี้ควาย (ภาคใต้), ตุกาบือแน (มาเลย์-นราธิวาส), บูเงาะบาลี (มาเลย์-ปัตตานี), สู่มือฝ่อ, เส่มีพอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ;[CHINESE: Wu ban zi lian shu.];[MALAYSIA: Baduk-baduk, Kelentit Kering (Malay); Badukan, Bawing (Dusun); Belau Belau (Kedayan); Beliaduk, Tegiras, Belau Baduk, Barik (Bajau); Ubah Nipat (Iban).];[THAI: Krim (Surat Thani); Khi tai, Phlong khi khwai (Peninsular); Tu-ka-bue-nae (Malay-Narathiwat); Bu-ngo-ba-li (Malay-Pattani); Su-mue-fo, Se-mi-pho (Karen-Chiang Mai).]. EPPO Code---DEKPA (Preferred name: Decaspermum parviflorum.) ชื่อวงศ์---MYRTACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่า จีน, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, นิวกินี, ไมโครนีเซีย, ออสเตรเลีย Decaspermum parviflorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Andrew John Scott (born 1950) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2522 ที่อยู่อาศัยพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่พม่าตอนใต้ไปจนถึงตอนใต้ของจีน, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซียส่วนใหญ่, นิวกินี ขยายไปถึงไมโครนีเซียและทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เติบโตในพุ่มไม้และป่าเขตร้อนขยายไปถึงระดับความสูงประมาณ 2,300 เมตร.ประเทศไทยพบเป็นไม้ป่าพื้นเมืองของไทยที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูง 10-20 เมตร ลักษณะเปลือกต้นหนาและแตกเป็นร่องลึกตามยาว แตกกิ่งจำนวนมาก ก้านใบยาว 3–7 มม ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปไข่กลับ แผ่นใบหนาแข็ง ขนาดใบกว้าง 0.5-4 ซม.ยาว1-10 ซม.ผิวใบเรียบสีเขียวเข้มทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบใกล้ปลายยอดยาว9 ซม. มีดอกย่อย 3-8 ดอก ใบประดับรูปไข่รูปใบหอกยาว 0.5-2 ซม ชั้นกลีบเลี้ยงปลายแยก 5 พูคงอยู่ติดผล กลีบดอกบางมี4กลีบ ดอกสีขาวหรือชมพู เกสรผู้จำนวนมากปลายก้านเกสรเพศเมียกลม เมื่อบานขนาด0.8ซม.ผลเล็กกลมสีม่วงเข้มถึงดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 มม. มีขนปกคลุมบนพื้นผิว เมล็ดมี 3-12 เมล็ด ดอกบานพร้อมกันทั้งช่อ ดอกบาน1-2วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆช่วงพลบค่ำ ช่วงออกดอกเต็มต้นอยู่ประมาณ 2สัปดาห์ ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยา -ใช้กิน ผลไม้ดิบกินได้ ผลสุกมีรสหวาน ขั้วยอดใช้เป็นเครื่องปรุงรส -ใช้เป็นยา ผลไม้ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง ใบเป็นยาฝาด เคี้ยวกับหมาก (Areca catechu) ใช้เป็นยารักษาโรคบิด และยังช่วยให้ฟันแน่นกระชับ *@ChumchnKhnRaksPhrrnMi สมุนไพรพื้นบ้าน ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ช่วยขับน้ำคาวปลา ใช้ใบสดขี้ไต้ ใบสดตะไคร้ ใบสดโคลงเคลงดอกม่วง ใบชะพลูสด ใบกะเพราขาวสด ใบกระดุมเงิน ใบขมิ้นนาง ใบทุ ใบกาโปบาโกะ ใบบอระเพ็ด ผลเบ็ญกานี ลูกหมากอ่อน ใบนมสวรรค์ เอาทั้งหมดตำให้ละเอียด กวนบนไฟให้เข้ากันจนเหนียว ปั้นเป็นลูกกลอนกิน ต้องกินหลังจากคลอดแล้ว 20 วันและกินต่อไปอีก 20 วัน (ไม่กินหลังคลอดทันที เพราะสมุนไพรบางชนิดเป็นยาร้อน จะร้อนทำให้น้ำนมหยุดไหล)* https://bit.ly/2QiTUNi ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
หำช้าง/Platymitra macrocarpa
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Platymitra macrocarpa Boerl.(1899) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:74485-1 ---Platymitra siamensis Craib.(1912) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กะหำ (จันทบุรี); ตุมช้าง, หำช้าง, หัวช้าง, นางเร็ว (ขลบุรี-ประจวบคีรีขันธ์) ;[CHINESE: Kuān mào huā.];[INDONESIA: Kalak kembang (Javanese), Ki laja, Ki sigeung (Sundanese).];[MALAYSIA: Mempisang, Mangitan, Pokok Mangitan (Malay).];[THAI: Kaham (Chanthaburi), Tum chang, Ham chang, Hua chang, Nang reao (Chon Buri, Prachuap Khiri Khan).]. EPPO Code---1ANNF (Preferred name: Annonaceae.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย Platymitra macrocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jacob Gijsbert Boerlage (1849 –1900) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2442 ที่อยู่อาศัย พบในประเทศไทย, คาบสมุทรมาเลเซีย, สุมาตราและชวาตะวันตก ชนิดนี้หายากและกระจัดกระจายในป่าที่ลุ่มโดยทั่วไปบนเนินเขา ในมาเลเซียนั้นสามารถพบได้ในหลาย ๆ พื้นที่ ได้แก่ ลังกาวี, เคดาห์, เประ, สลังงอร์, เนกรีเซมบีลันและยะโฮร์ ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ ที่ระดับความสูง 200-500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง 12-20 (-35) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 30-40 ซม.ลำต้นเปลาตรงเปลือกนอกของลำต้นจะเป็นสีเทาหรือเทาเข้มแตกร้าว เปลือกสีน้ำตาลอ่อนด้านใน แตกกิ่งระดับสูงจำนวนมากในระดับสูง ทรงพุ่มโปร่งแผ่กว้าง เนื้อไม้เหนียว ใบรูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 1.5-2.5 ซม.ยาว 5-13 ซม. โคนใบมนกว้างและเบี้ยวเล็กน้อย ปลายใบเรียวหรือหยักเป็นติ่ง ใบมีสีเขียวเข้มบนพื้นผิวด้านบน แต่มีสีอ่อนกว่าสำหรับด้านล่าง ดอกออกเป็นกระจุกตามกิ่งเหนือรอยแผล ดอกสีเหลือง กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันตรงโคน ปลายแยกเป็นแฉกทู่ๆ3แฉก กลีบดอกมี6กลีบเรียงเป็น2ชั้น กลีบชั้นนอกมีขนาดใหญ่กว่ากลีบชั้นใน ดอกบานขนาด 1.5-2 ซม.ผลกลุ่มมีผลย่อย 1-3 ผล ไม่มีก้านผล ผลรูปกลมรียาว 5-6 ซม. เปลือกหนาและแข็ง เมล็ดกลมแบน ใช้ประโยชน์---ในแง่ของการประยุกต์ใช้สายพันธุ์นี้เป็นพืชพื้นเมืองที่ได้รับการรายงานว่ามีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างภายในอาคารสร้างเรือและ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์การเกษตรและเครื่องประดับบางชนิด แม้ว่าตระกูล Annonaceae นั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพมากมายโดยเฉพาะอัลคาลอยด์ แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับ สายพันธุ์นี้ถึงฤทธิ์ทางเคมีและฤทธิ์ทางชีวภาพ สถานภาพ ---พืชหายาก ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม - กุมภาพันธ์/ผลแก่--เดือนมีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
หูช้าง/Enterolobium cyclocarpum
ชื่อวิทยาศาสตร์---Enterolobium cyclocarpum (jacq.) Griseb.(1860) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Mimosa cyclocarpa Jacq.(1805) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-41453 ชื่อสามัญ---Guanacaste, Caro Caro, Elephant's Ear Tree, Earpod, Elephant’s ear, Monkey-ear tree, Devil's Ear. ชื่ออื่น---หูช้าง (กรุงเทพฯ) ;[CARIBBEAN/JAMAICA: Monkey Soap.];[CHINESE: Xiang er dou.];[COLOMBIA: Anjera, Carito, Orejero, Piñón.];[CUBA: Pashaco creja de negro.];[EL SALVADOR: Conacaste.];[FRENCH: Caro, Oreille d'éléphant, Oreille de singe, Bois tanniste rouge.]; [GERMAN: Affenseife.];[MEXICO: Guanacastle.];[PANAMA: Corotú.];[PORTUGUESE: Guanacaste, Orelha-de-elefante, Arvore-das-orelhas-de-elefante.];[SPANISH: Arbol de las orejas, Caro, Costa-mahogany, Dormilón, Flamboyan extranjero, Guanacaste, Huanacaxtle, Nacastillo, Nacastle, Pich, Picho.];[THAI: Hu chang (Bangkok).]. EPPO Code---ENECY (Preferred name: Enterolobium cyclocarpum.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-MIMOSACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์--- ตอนกลางและตอนใต้ของทวีปอเมริกาใต้ แคริบเบียน สหรัฐอเมริกา Enterolobium cyclocarpum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nikolaus Joseph von Jacquin (1727-1817) นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการแพทย์, เคมีและพฤกษศาสตร์ ชาวเนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย August Heinrich Rudolf Grisebach (1814-1879) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2403
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศเม็กซิโก บราซิล เวเนซูเอล่า มันแพร่หลายในหมู่เกาะแคริบเบียนและใน กายอานา ฟลอริดา เปอร์โตริโกและฮาวาย พบตามธรรมชาติในพื้นที่ชายฝั่งทะเลและตามริมฝั่งแม่น้ำ มักพบในพื้นที่เสื่อมโทรมของที่ราบลุ่มชื้นและต่ำและในพื้นที่ป่าที่ถูกรบกวน ที่ระดับความสูง 300-1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ผลัดใบ สูง 20-30 (-45) เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2- 3 เมตร เปลือกมีความหนา 2- 3 ซม. เรียบหรือบางครั้งมีรอยย่นเล็กน้อยสีเทาซีด ในต้นไม้ที่มีอายุมากๆจะพัฒนาตัวค้ำยันขนาดเล็กและสร้างรากขนาดใหญ่ที่ทอดยาวไปตามพื้นดินประมาณ 2-3 เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2 ชั้น (Bipinnate) กว้าง17-20 ซม.ยาว 15-40 ซม. จำนวน 4-15 คู่ มีใบย่อย 40-70 ใบเรียงสลับ ใบย่อย รูปขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนมน ขอบใบเรียบ ดอกออกเป็นกระจุกบนช่อแยกแขนงตามกิ่งและซอกใบ กลุ่มดอกสีเขียวเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 ซม. ดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 5 แฉก ผลเป็นฝักแบนติดเป็นวงกลม โค้งงอเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-12 ซม. ฝักผิวเรียบสีน้ำตาลดำมันวาวและมีรสหวาน เมื่อฝักแก่ไม่แตกในฤดูแล้งเมื่อต้นไม้ใบร่วงจะมีฝักสีน้ำตาลห้อยอยู่บนต้นไม้ มี 8-20 เมล็ด เมล็ดมีขนาดใหญ่รูปไข่แบนสีน้ำตาลมันวาวกว้าง 2.3 ซม. x ยาว 1.5 ซม. ล้อมรอบด้วยเนื้อหวานหอมเป็นรูพรุนและเป็นเส้น ๆ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดีและอยู่ในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึง ชอบ pH ในช่วง 4.5 - 8 ซึ่งทนได้ 4 - 8.5 ทนทานต่อความแห้งแล้งมาก สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศไนโตรเจนบางส่วนถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโตแต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ใช้ประโยชน์---เป็นสายพันธุ์อเนกประสงค์กับการใช้งานที่หลากหลาย ให้ไม้ดี สบู่ แทนนินและยาง บางครั้งเมล็ดและฝักที่กินได้จะรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น -ใช้กิน เมล็ดกินได้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสามารถเปรียบเทียบกับถั่วได้ ปรุงในซุปและซอสหรือจะปิ้งและบด เพื่อทำแป้ง ในบางพื้นที่เมล็ดจะถูกคั่วและนำไปใช้แทนกาแฟ -ใช้เป็นยา น้ำที่ได้จากเปลือกใช้ในการรักษาโรคหวัด ยางที่ได้จากลำต้นใช้เป็นยารักษาอาการเจ็บหน้าอก -ใช้เป็นไม้ประดับให้ร่มเงาใช้เป็นไม้ประดับในสวนสาธารณะ อาจจะใหญ่เกินไปสำหรับสวนในบ้านพักอาศัย และอาจมีอันตรายหากปลูกอยู่ในที่ลมแรงเพราะกิ่งเปราะหักง่าย -อื่น ๆ แก่นไม้สีน้ำตาลวอลนัท มีความทนทานสูงต่อเชื้อราและปลวก ใช้สำหรับการก่อสร้างและทำ handycrafts ของเล่นและของใช้ มีความหนาแน่นต่ำมากและสามารถทำวัสดุที่ลอยได้สำหรับอวนปลาหรือเรือแคนู เนื้อจากฝักมีซาโปนินและใช้เป็นผงซักฟอกซักเสื้อผ้า ใบ ฝักและเมล็ดใช้ใน อเมริกากลาง เพื่อเลี้ยงสัตว์กินพืชเช่น แพะ แกะหรือม้า รู้จักอันตราย---ฝุ่นจากโรงเลื่อยอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ขี้เลื่อยถูกใช้เป็นพิษในปลา สามารถฆ่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สำคัญ---ต้นไม้นี้ถูกนำมาใช้เป็นต้นไม้ประจำชาติของคอสตาริกา ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ( 2019) ระยะออกดอก---เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
เหมือดแก้ว/Sladenia celastrifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Sladenia celastrifolia Kurz.(1873) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-31600501 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น--เหมือดแก้ว(นครราชสีมา ;[CHINESE: Le guo cha, Dúyào shù.];[THAI: Mueat kaeo (Nakhon Ratchasima).]. EPPO Code--- ZLDCE (Preferred name: Sladenia celastrifolia.) ชื่อวงศ์---SLADENIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย เวียตนาม Sladenia celastrifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Sladeniaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2416 ที่อยู่อาศัยพบในจีน (กุ้ยโจว ยูนนาน) ตอนเหนือของพม่าไทยและเวียตนาม เติบโตตามธรรมชาติในป่าไม้ในหุบเขาที่ระดับความสูง 700-1900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นสูง 4-6 เมตร แตกกิ่งเล็กๆจำนวนมาก เนื้อไม้แข็งและเหนียวมาก ใบเดี่ยวรูปรี 5-12(-16.5) × 3-5.5 ซม.แผ่นใบหนาและเหนียว ขอบใบจักเป็นซี่เล็กๆ ช่อดอกออกที่ซอกใบ ยาว 3-4 ซม.มีดอกย่อย 7- 9 ดอก กลีบดอก สีขาว รูปไข่กลับ-รูปขอบขนานไม่เท่ากัน 5-6 × 2-3 มม. หัวมน ปลายมน มีเกสรเพศผู้ 10(-13) อัน ดอกย่อยสีขาวเมื่อบานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม.ดอกทยอยบานทั้งช่อ ผลแคปซูลรูปกรวยยาว 7-8 × 3-4 มม.กลีบเลี้ยงติดถาวร เมล็ดรูปไข่สีน้ำตาลแกมเหลืองยาวประมาณ 3 × 1 มม ช่วงออกดอกเต็มต้นสวยงามอยู่ได้ถึง 2 สัปดาห์ ดอกบาน1-2 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตลอดวัน และหอมแรงช่วงพลบค่ำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพรรณไม้ทีชอบอากาศเย็นและทนทานต่อแรงลมได้ดี โตช้า ใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าพื้นเมืองของไทยที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
เหมือดคนตัวผู้/Helicia nilagirica
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ชื่อวิทยาศาสตร์---Helicia nilagirica Bedd.(1864) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-26501084 ---Helicia cornifolia W.T.Wang.(1956) ---Helicia erratica Hook.f.(1886) ---Helicia erratica var. sinica W.T. Wang.(1956) ---Helicia stricta Diels.(1915) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เหมือดคนตัวผู้, จิกหิน, เหมือดตบ (เชียงใหม่), ช่องดุ (กระเหรี่ยง กาญจนบุรี), เดื่อหิน, ตะขาบต้น,โพสะลอง (เลย) ;[CAMBODIA: Luët tôch (Khmer).];[CHINESE: Shēn lǜ shān lóng yǎn.];[BHUTAN: Bandre, Potor shing.];[INDIA: Tagale muggu(Kan).];[THAI: Mueat khon tua phu, Chik hin, Mueat top (Chiang Mai); Chong-du (Karen-Kanchanaburi); Duea hin, Ta khap ton, Pho sa long (Loei).];[VIETNAM: Quắn hoa.]. EPPO Code---HIINI (Preferred name: Helicia nilagirica.) ชื่อวงศ์---PROTEACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, เนปาล, สิกขิม, ภูฏาน, พม่า, อินโดจีน Helicia nilagirica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหมือดคน (Proteaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Richard Henry Beddome (1830–1911) นักธรรมชาติวิทยา นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2407
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ที่อยู่อาศัย เติบโตตามธรรมชาติในป่าดิบแล้งกว้างลาดภูเขาหุบเขาในประเทศ จีน (ยูนนาน) ที่ระดับความสูง1,000-2,000 ในอินเดีย (ทางใต้ของตะวันตก Ghats-South Sahyadri) เนปาล, สิกขิม, ภูฏาน, ) พม่า ไทย กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม พบตามป่าดิบเขา ริมฝั่งแม่น้ำในป่ากึ่งป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ในป่าเขากึ่งโล่งแจ้ง มักจะขึ้นปนกับไม้สน ที่ระดับความสูง 500-1700 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบเขาตอนบน (2,000-2,600 เมตร) ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงประมาณ 5-15 เมตร เปลือกต้นสีครีมอ่อนถึงสีน้ำตาลแก่ มีรอยแตกตื้นๆ ใบเดี่ยวเรียงเวียนรอบกิ่งรูปไข่กลับ รูปรีหรือรูปขอบขนาน กว้าง 4-6.5 ซม.ยาว 8-14 ซม.ก้านใบยาว 5-15 มม.อ้วนใหญ่บวมที่ฐานเกลี้ยง ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมแดงหนาแน่น ใบแก่เหนียวเรียบเกลี้ยง หรือเกือบเรียบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อตามกิ่ง สีขาวอมเหลือง หรือขาวอมเขียว สมบูรณ์เพศ ดอกเป็นช่อยาว 5-20 (34) ซม.ก้านผลยาว 0.5 ซม.อ้วนและแข็ง ผลสีน้ำตาลอมม่วง ผิวเกลี้ยงรูปกลมหรือรูปไข่กลับแกมเบี้ยว ปลายสั้นฐานเป็นจุกมีเปลือกหุ้ม 1.5-3 มม. แข็ง เป็นหนัง เส้นผ่านศุนย์กลางผล 2.5-3.5 ซม.มี เมล็ดขนาดใหญ่เมล็ดเดียว ใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาแหล่งที่มาของไม้และอาจเป็นอาหาร มันถูกปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าในประเทศไทย -ใช้กิน ผลกินได้ -ใช้เป็นยา แท็กซ่าถูกอธิบายว่าเป็นพืชสมุนไพร ผลของมันเป็นแหล่งหลักของ helicid ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งระบบประสาทส่วนกลาง ในขณะที่ผลและใบมีสารประกอบที่มีประโยชน์อื่นๆ ทั้งผลและใบถูกใช้โดยชนชาติต่างๆ ในยูนนาน-; ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในอำเภอแม่แจ่มใช้ใบของสายพันธุ์นี้ประคบบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ -อื่น ๆ ไม้สีเทาอมชมพูมีความแข็งปานกลาง ใช้กับงานตกแต่งแต่ไม่คงทน ในกัมพูชา ไม้ใช้สำหรับอาคารชั่วคราว ในขณะที่กิ่งและกิ่งเล็กๆ เป็นแหล่งฟืน ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มิถุนายน/มีนาคม-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
เหมือดจี้ดง/Memecylon plebejum var. ellipsoideum
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Memecylon plebejum var ellipsoideum. Craib.(1931) ชื่อพ้อง---This name is a synonyms of Memecylon plebejum Kurz.(1875) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ตะมองคอง, มังกร (เชียงใหม่), เหมือดจี้ดง (ลำปาง); [THAI: Ta mong khong, Mangkon (Chiang Mai); Mueat chi dong(Lampang).] EPPO Code---MMCSS (Preferred name: Memecylon sp.) ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ พม่า ไทย Memecylon plebejum var ellipsoideum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2474
ที่อยู่อาศัย พบในบังคลาเทศ ตอนใต้ของพม่า ไทย พบทั่วไปในป่าเบญจพรรณ ป่าชั้นล่างกึ่งโล่งแจ้ง ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูงถึง 1-2 เมตร ลำต้นคดงอ เปลือกสีน้ำตาลเข้ม บาง มีรอยแตกละเอียด เปลือกชั้นในสีครีม ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามระนาบเดียวกัน ขนาดใบกว้าง 2- 4 ซม.ยาว 5-10 ซม.ใบแก่เหนียว หนาเป็นมัน สีเขียวเข้ม ท้องใบสีเขียวอมเหลือง ดอกขนาด 0.5ซม.สีม่วงอมน้ำเงินออกเป็นช่อแน่น ก้านดอก 0.2 ซม. เรียวเล็กมีรอยต่อใบประดับที่ฐานชั้นกลีบเลี้ยงรูปกรวยปลายแยก 4 แฉก กลีบดอก 4 กลีบ บานโค้งกลับและหลุดร่วงง่าย ผลกลมขนาด 0.7-0.9 ซม. มีก้านเกสรเมียติดข้างบน สีเหลืองแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน เนื้อบางและเมล็ดขนาดใหญ่ ใช้ประโยชน์---เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย ระยะออกดอก/ติดผล--- ขยายพันธุ์---เมล็ด
เหมือดดอย/Symplocos macrophylla spp.sulcata
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Symplocos macrophylla subsp. sulcata (Kurz) Noot (1975) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Lodhra sulcata (Kurz) Miers in J. Linn. Soc., Bot. 17: 300 (1879) ---Symplocos sulcata Kurz in J. Asiat. Soc. Bengal, Pt. 2, Nat. Hist. 40: 65 (1871) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:891839-1#synonyms ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---เหมียดป่า; เหมือดดง (เลย); เหมือดดอย (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Gou cao shan fan.];[THAI: Mueat chi dong; Mueat dong (Loei), Mueat doi (Northern).]. EPPO Code--- SYSSS (Preferred name: Symplocos sp.) ชื่อวงศ์---SYMPLOCACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน จีน Symplocos sulcata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Symplocaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2413
ที่อยู่อาศัยพบในประเทศจีน [ Xizang (Mêdog Xian),ยูนนาน พบตาม ป่าผสมที่ระดับความสูง1200--2300 เมตร.] อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีนในประเทศไทย มีการกระจายกว้างขวางพบทั่วไปตามป่าดิบเขา ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นสูง 18 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลอมแดง เปลือกบางเรียบแตกตามยาวบ้างเล็กน้อย ก้านใบ 4--13 มม ใบรูปไข่แคบใบกว้าง 3-6.5 ซม.ยาว 8-20 ซม. ใบ บางมีขนยอดอ่อนและก้านมีขนสีน้ำตาลเข้มปกคลุม ดอก เป็นช่อ ยาวถึง 3 ซม.ก้านดอกยาวถึง 2 ซม. มีขนหนาแน่น ตุ่มตารูปกรวย มีกาบใบที่หลุดร่วงไวซ้อนกันห่อหุ้ม กลีบเลี้ยง แยกเป็นพูลึก ยาว 1-2 มม.กลีบดอกยาว 2.5-6 มม.เกสรเพศผู้ 30-50 อัน หมอนรองดอกมีขนหนาแน่น มีสัน ผลขนาด 7--10 X 4 มม.รูปมนรีหรือทรงกระบอกที่ยอดมีกลีบเลี้ยงที่คงอยู่ เนื้อผลบางมีชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง มีเมล็ดสีน้ำตาลเข้ม 2 เมล็ด ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ประโยชน์ ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-พฤศจิกายน/มีนาคม-ตุลาคม (จีน) ขยายพันธุ์---เมล็ด
เหมือดโลด/Aporosa villosa
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Aporosa villosa (Lindl.) Baill.(1858) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Aporosa sphaerosperma Gagnep.(1923) ---Aporosa sphaerosperma var. cordata Gagnep.(1923) ---Scepa villosa Lindl.(1836) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-13345 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---กรม (ภาคใต้) ด่าง; แด่งพง (สุโขทัย); ตีนครืน, พลึง, เหมือดโลด (กลาง); เหมือดควาย, เหมือดตบ (เหนือ); ประดงข้อ (พิจิตร); เหมือดหลวง (เชียงใหม่); [THAI: Krom (Peninsular); Daeng phong, Dang (Sukhothai); Tin khruen, Phlueng, Lot (Central); Mueat khwai, Mueat top, Mueat luang (Northern); Pradong kho (Phichit).]. EPPO Code--- ZPSVI (Preferred name: Aporosa villosa.) ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- พม่า คาบสมุทรอินโดจีน นิรุกติศาสตร์--- ชื่อสกุล "Aporosa" มาจากภาษากรีก “aporia” = 'ยาก' หมายถึงสกุลที่ยากในการจัดจำแนก สกุล Aporosa เดิมอยู่ภายใต้วงศ์ Euphorbiaceae ปัจจุบันอยู่เผ่า Antidesmeae มี 82 ชนิด พบที่อินเดีย ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ถึงหมู่เกาะแปซิฟิก ในไทยมี 20 ชนิด หลายชนิดมีลักษณะคล้ายกันมาก เช่น นวลเสี้ยน A. octandra (Buch.-Ham. ex D. Don) Vickery เหมือดโลด A. villosa (Lindl.) Baill., A. wallichii Hook. f. และ A. yunnanensis (Pax & K. Hoffm.) F. P. Metcalf Aporosa villosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Lindley (1789-1865) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henri Ernest Baillon (1827-1895) นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2401
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินโดจีนเป็นไม้ที่พบทั่วไปในชั้นล่างของป่าผลัดใบและป่าสนพบที่ระดับความสูง 100 - 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 6-15 เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลเทาหรือน้ำตาลออกแดง มีรอยแตกลึกๆ เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อนหรือส้ม มีวงบางๆสีน้ำตาล เนื้อไม้สีแดง ค่อนข้างแข็งเนื้อไม้สม่ำเสมอ ใบเป็นประเภท ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่แกมรูปขอบขนาน ขนาดของใบกว้าง5-8ซม.ยาว9-18ซม.แผ่นใบค่อนหนาเรียบด้านบน ด้านล่างมีขนสีเหลืองนุ่ม ก้านใบพอง ดอกออกเป็นกระจุกแยกเพศอยู่ร่วมต้น (monoecious) ดอกเพศผู้ออกตามซอกใบไม่มีก้านดอก เรียงติดกันแน่น แต่ละดอกมีใบประดับ ขนาดเล็กรองรับ ดอกเพศเมียออกเป็นกระจุกมี 2-5 ดอก ออกติดลำต้นแต่ละดอกไม่มีก้านดอก ผลรูปไข่มีขนสีน้ำตาลอมเหลืองหนาแน่นปกคลุมขนาด กว้าง ซม.ยาว 1 ซม.เมื่อแก่แตกออกเป็น 2 ซีกเยื่อหุ้มเมล็ดสีส้มแดงมีเมล็ด 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาและเชื้อเพลิง -ใช้เป็นยา เปลือกไม้และไม้ใช้เป็นยา -อื่น ๆ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---เดือน มกราคม-เดือนกุมภาพันธ์ ขยายพันธุ์---เมล็ด
เหมือดหลวง/Symplocos cochinchinensis var. laurina
อ้างอิง ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Symplocos cochinchinensis var. laurina (Retz.) Noot.(1975.) ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms ---Basionym: Myrtus laurina Retz.(1786) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-30900246 ชื่อสามัญ--- Laurel sapphire berry, Laurel Sweet-leaf. ชื่ออื่น---ขี้หนอนใหญ่ (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)โลด (ภาคใต้), เหมือดเมี่ยง, เหมือดหลวง (ภาคเหนือ), เหมือดลิ้น (ภาคตะวันออก) ;[HINDI: Bholiya, Sodh.];[INDIA: Boothakanni, Velladaai (Local name).];[KANNADA: Chang, Lodha.];[MALAYALAM: Kamblivetti, Pachotti, Parala, Pambari.];[MARATHI: Mirajoli.];[NEPALI: Kholme.];[SANSKRIT: Lodhra.];[TAMIL: Kambli-vetti.];[TELUGU: Loddugu.];[THAI: Khi non yai (Northeastern); Lot (Peninsular); Mueat miang, Mueat luang (Northern); Mueat lin(Eastern).];[CHINESE:Huang niu nai.];[VIETNAM:Dung lá trà, Cây lượt, Du đất,Dung sạn.]. EPPO Code---SYSSS (Preferred name: Symplocos sp.) ชื่อวงศ์--- SYMPLOCACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน จีน คาบสมุทรมาเลย์ บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น ทวีปอเมริกา Symplocos cochinchinensis var. laurina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Symplocaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Anders Jahan Retzius (1742–1821) นักไลเคน, แพทย์ชาวสวีเดนและและศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hans Peter Nooteboom (born 1934) นักพฤกษศาสตร์ ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2518
ที่อยู่อาศัย เกิดตามธรรมชาติในป่าดิบชื้นกึ่งป่าดงดิบ ในเอเซียเขตร้อน : (อินเดีย ศรีลังกา พม่าไทย อินโดจีน จีน(ฝูเจี้ยน กวางจง กวางสีไหหลำ) ฟอร์โมซา ญี่ปุ่น); ใน Malesia: สุมาตรา, คาบสมุทรมาเลย์ (หายาก), ชวา (พบได้บ่อย), เกาะบอร์เนียว (หายาก), เซเลเบส (หายาก) ภาคใต้ของอเมริกา: อาร์เจนตินา ที่ระดับความสูง 300-2000 เมตร ส่วนใหญ่อยู่เหนือ 1,300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็ก น้อยที่จะสูงถึง 20 (-35) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงสุด 50 ซม เปลือกต้นสีเทาเข้มหรือน้ำตาลเกลี้ยง ก้านใบ 6-15 มม มีร่องด้านบน ใบเดี่ยวรูปใบหอกหรือรูปไข่เแกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 3-9 ซม.ยาว 12-25 ซม.ขอบใบมีซี่ตื้นๆและมีต่อม ยอดอ่อนมีขนสีน้ำตาลส้มหนาแน่น ใบแก่ด้านล่างมักจะมีขนโดยเฉพาะตามตามเส้นใบ ดอกเป็นดอกช่อมีกลิ่นหอมเล็กน้อย เป็นช่อยาวแคบ ช่อยาว 3-15 ซม. ผล ขนาด 0.5-1 ซม. แก่จัดสีเขียวอมน้ำเงิน รูปกลมหรือคนโทแคบ ปลายผลมีจงอยของชั้นกลีบเลี้ยง มีร่องตื้นๆและเนื้อบาง มีเมล็ด1เมล็ดที่โค้งงอ ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา รักษาแผลไฟไหม้ เปลือกใช้แก้ไข้แก้บิดแก้ท้องร่วง ในประเทศจีนเปลือกใช้รักษาโรคหวัด -อื่น ๆไม้ใช้ทำสิ่งก่อสร้างหลัก เสาบ้าน และทำกรอบประตูหน้าต่าง เปลือกอุดมไปด้วยแทนนินและอลูมิเนียม ยาต้มจากเปลือกจะใช้ในการผลิตสีแดงสีเหลืองและสีน้ำตาลที่ใช้ในอุตสาหกรรมผ้าบาติกในชวา ระยะออกดอก---มีนาคม - พฤษภาคม ขยายพันธุ์--เมล็ด
เหมือดหอม/ Symplocos racemosa
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม2โดย ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ชื่อวิทยาศาสตร์---Symplocos racemosa Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Symplocos intermedia Brand.(1906) ---Symplocos macrostachya Brand.(1901) ---Symplocos propinqua Hance.(1868) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-30900416 ชื่อสามัญ---Lodha tree, Lodh tree, Symplocos bark, China nora. ชื่ออื่น---เหมือดหอม, เหมือดน้อย (ภาคเหนือ,ตะวันออกเฉียงเหนือ), เหมือดโลด (นครราชสีมา), เหมือดส้ม (ส่วย ศรีษะเกษ), กฤษณา, ตะลุมนก,หว้า(ราชบุรี), เหมือดหล้า, เหมือดเหล้า (ชัยภูมิ), เหมือดดอก, เหมือดไร่ (ภาคเหนือ);[ARABIC: Moongama.];[AYURVEDIC: Lodhra, Rodhra, Shaavara., Sthulavalkal, Trita, Pattikaa Lodhra, Shaabara Lodhra.];[BENGALI: Lodha, Lodhra.];[CHINESE: Zhū zǐ shù.];[KANNADA: Bala loddugina mara.];[MALAYALAM/TULU: Pachotti.];[MYANMAR: Dauk-yut, Mmwet-kang, Nle-prangkau, Pya.];[TAMIL: Velli-lethi.];[TELUGU: Lodduga, Sapara.];[SANSKRIT: Batabhadra, Balipriya.];[SIDDHA/TAMIL: Vellilethi, Vellilothram.];[THAI: Mueat hom, Som mo tia, Mueat kaeo, Mueat khao (Northeastern, Northern); Mueat lot (Nakhon Ratchasima); Talum nok, Wa, Kritsana (Ratchaburi); Mueat yom mai (Southeastern); Mueat khon, Mueat yai (Eastern); Mueat noi, Mueat noi (Si Sa Ket); Mueat dok, Mueat rai (Northern); Mueat lao (Chaiyaphum).];[UNANI: Lodh Pathaani.];[VIETNAM: Mu ếch , Dung chùm, Dung đất, Dụt, Lượt.]. EPPO Code---SYSSS (Preferred name: Symplocos sp.) ชื่อวงศ์---SYMPLOCACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน จีน Symplocos racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Symplocaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นทั่วอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ อัสสัม เบงกอลและพม่า จีน(ไหหลำ) ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม พบได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นที่ระดับความสูงถึง 1300 เมตร ประเทศไทยพบทั่วไปในป่าเต็งรัง บริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่างๆกัน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ระดับความสูง 100-450 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูง 7-12เมตร แตกกิ่งมากทรงพุ่มรูปกรวยคว่ำ สีเขียวเข้ม เปลือกสีน้ำตาลเทา แตกเป็นสะเก็ด เปลือกไม้มักจะมีรอยสีขาว กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปกคลุม ใบหนาแน่นที่ปลายกิ่งรูปรีหรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอกยาว 8-16 x 3-6.5 ซม. โคนใบและปลายใบแหลม ขอบใบหยักเนื้อใบหนาสีเขียวเข้มเป็นมันทั้งสองด้านก้านใบยาว 0.6 - 1 ซม.ดอกช่อออกที่ปลายกิ่งเป็นช่อสั้น ยาว 8-18 ซม., ดอกย่อยสีขาว 5-10 ดอก กลีบดอก 5 กลีบ มีเกสรผู้จำนวนมากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสดรูปรี ขนาด1-1.5 x 0.6 ซม. เมล็ด 1-3, เมล็ดรูปไข่, แข็ง ใช้ประโยชน์--ใช้เป็นยา ส่วนที่ใช้ เปลือก ราก ดอก ส่วนใหญ่จะใช้เปลือกไม้ เป็นพืชสมุนไพรที่นิยมใช้กันมากในยาแผนโบราณรวมถึง Unani และอายุรเวท อาจเป็นพัน ๆ ปี เป็นที่นิยมใช้ในภาวะเลือดออกผิดปกติ นอกจากนี้ยังใช้อย่างกว้างขวางในความผิดปกติของตาและระบบทางเดินอาหาร - เปลือกสมานแผล, ยาโป๊, ยาชูกำลัง, ใช้ในท้องร่วง, โรคบิด, โรคเรื้อน, ท้องมาน, โรคเลือด, การคลอดก่อนกำหนด, แผลในช่องคลอด การติดเชื้อหลังคลอด เยื่อบุตาอักเสบ, ยาต้มใช้รักษาฟันผุมีเลือดออกเหงือก ใช้ในความผิดปกติของมดลูกและความผิดปกติของประจำเดือน เปลือกไม้ ใบ ผลและเมล็ด ใช้ในการตกเลือด, รู้สึกแสบร้อน, โรคเบาหวาน -อื่น ๆ สีย้อมสีเหลืองที่สกัดจากใบและเปลือกไม้ โดยส่วนใหญ่แล้วเปลือกจะถูกใช้เป็นสีผสมกับสีอื่น มันเป็นหนึ่งในส่วนผสมของผงสีแดงที่ใช้ในช่วงเทศกาล Holi ในการพิมพ์ผ้าดิบและการย้อมสีหนัง จะใช้เป็นตัวเสริม ;-ไม้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ระยะออกดอก--- ธันวาคม-มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
เหลืองกระจุก/Monoon anomalum
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Monoon anomalum (Becc.) B.Xue & R.M.K.Saunders (2012) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Polyalthia anomala Becc.(1871) ---Cleistopetalum sumatranum H.Okada (1996) ---More.See all https://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:77122989-1#synonyms ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เหลืองกระจุก (ทั่วไป);[MALAYSIA: Kayu Chegan Putih (Temuan); Mempisang (Malay).];[THAI: lueang kra chuk (General).] EPPO Code---MOFSS (Preferred name: Monoon sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บอร์เนียว สุมาตรา มาลายา ไทย Monoon anomalum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Odoardo Beccari (1843–1920) นักพฤกษศาสตร์ชาวอิตาลีและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bine Xue (fl. 2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีนและ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ ในปีพ.ศ.2555 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในมาเลเซียตะวันตก มาลายา บอร์เนียว สุมาตรา ในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 100-300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง 10-15 เมตร เปลือกต้นหนา มีกลิ่นฉุนสีน้ำตาลอมเทา ตามลำต้นมีปุ่มดอกนูนเด่นแตกกิ่งน้อย เนื้อไม้เหนียวใบรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง5-8 ซม.ยาว 15-19 ซม.โคนใบมนถึงรูปลิ่ม ปลายใบแหลม ใบบาง สีเขียวอ่อนเส้นแขนงใบเป็นร่องเห็นได้ชัด ดอกออกเป็นกระจุก10-30 ดอก ตรงปุ่มดอกตามต้น ดอกอ่อนสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือชมพู มีกลิ่นหอมอ่อน ผลกลุ่มมีผลย่อย 2-8 ผล รูปกลมรี กว้าง1.2 ซม.ยาว1.5-1.8 ซม.เปลือกเรียบสีเขียว เมื่อแก่สีเขียวอมเหลือง ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-กันยายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ด
เหลืองจันทน์/Polyalthia sp
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Polyalthia sp. ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เหลืองจันทน์ EPPO Code--- QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย ที่อยู่อาศัยพบขึ้นตามป่าทุกภาคของประเทศ ไทย พบมากที่สุดทางภาคเหนือและภาคใต้ Polyalthia sp.เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae) ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กสูง 3-5เมตร ขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 100-350เมตร เปลือกหนามีกลิ่นฉุน ทรงพุ่มโปร่งแตกกิ่งขนานกับพื้นดิน มีรอยสีขาวเป็นขีดตามยาวตามลำต้นและกิ่ง เนื้อไม้เหนียว ใบรูปขอบขนานแกมไข่กลับ กว้าง7-9ซม.ยาว 18-23ซม. ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อยใบบางสีเขียวอ่อน ดอกออกเป็นช่อกระจุก3-8ดอก ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมอ่อนออกดอกดก ดอกบานทนได้ประมาณ 2-3 วัน ผลกลุ่ม มีผลย่อย12-20ผล รูปกลมรี กว้าง1.8ซม.ยาว2.5ซม.เปลือกเรียบสีเขียว เมื่อแก่สีเหลือง มีเมล็ด 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดทั้งวัน ไม่ชอบน้ำท่วมขัง ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับและปลูกเลี้ยงได้ทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง มีดอกดกสวยงามและมีกลิ่นหอม ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-เดือนกันยายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง
แหนนา/Terminalia glaucifolia
ชื่อวิทยาศาสตร์---Terminalia glaucifolia Craib.(1928) ชื่อพ้อง---This name is unresolved.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2434244 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---แหนนา, แหนนก (ภาคเหนือ,ภาคกลาง), ตีนนก (นครราชสีมา,ปราจีนบุรี), หางแหน (บุรีรัมย์), แหน (ทั่วไป), แหนขี้นก (ภาคเหนือ) ; [THAI: Tin nok (Nakhon Ratchasima, Prachin Buri); Hang haen (Buri Ram); Haen (General); Hnae khi nok (Northern); Hnae nok (Central, Northern); Hnae na (Central, Northern); Hnae pik yai (Chon Buri, Nakhon Sawan, Uthai Thani).] EPPO Code---TEMSS (Preferred name: Terminalia sp.) ชื่อวงศ์---COMBRETACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ไทย ลาว Terminalia glaucifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สมอ (Combretaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2471 ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย พม่า ไทย ลาว พบตามป่าผลัดใบที่ระดับความสูง 250-850 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูง 8-20 เมตร เรือนยอดกลม เปลือกสีเทาเข้ม ใบเดี่ยวรูปรี หรือรูปรี แกมรูปไข่กว้าง 4.5-6.5 ซม.ยาว10-15 ซม.ผิวใบเกลี้ยงด้านล่างมีนวล มักมีต่อมอยู่บริเวณกลางก้านใบ ดอกสีเหลืองอมน้ำตาล ออกเป็นช่อเชิงลดไม่แตกแขนง ออกตามซอกใบ ยาว 12-17 ซม. กลีบเลี้ยงรูปถ้วยปลายแยกเป็น 5 แฉกรูปสามเหลี่ยม เกสรเพศผู้ 10 อัน รังไข่รูปรีมีขนแน่น ดอกบานมีกลิ่นเหม็น ผลมีเมล็ดเดียวแข็ง ขนาดประมาณ กว้าง 3.5-5 ซม. ยาว 2.5-4 ซม.มีปีก 2 ปีก ปีกกว้างเท่ากับความยาว ส่วนกลางผลหน้าตัดกลม เมื่อแห้งมีสัน ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้ไม่ทน ใช้งานไม่แพร่หลาย ผลแห้งใช้เป็นไม้ประดับแห้ง ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาค/ตุลาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด
แหลบุก/Phoebe lanceolata
อ้างอิง ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Phoebe lanceolata (Nees) Nees.(1836). ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms ---Basionym: Ocotea lanceolata Nees.(1836) ---Laurus lanceolata Wall. ex Nees.(1831). ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---แหลบุก (ภาคใต้),ไก่หัด, ตกสืบ, ตองหอม, ปีตอง (เชียงใหม่), ตั่งนี (ลำปาง,แพร่), ท๊อป, สิไหรคางคก (ปัตตานี), สิแกซาเต๊าะ (มลายู นราธิวาส);[CHINESE: Pi zhen ye nan.];[INDIA: Kekra.];[THAI: Kon bueng, Tut bueng (Nong Khai); Kai hat, Tok suep, Tong hom, Pi tong (Chiang Mai); Khrut(Sukhothai); Tang ni (Lampang, Phrae); Thip saek (Nakhon Ratchasima); Thop, Si rai khang khok (Pattani); Si-kae-sa-to (Malay-Narathiwat); Lae buk (Peninsular).] EPPO Code---PBOLA (Preferred name: Phoebe lanceolata) ชื่อวงศ์---LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังกลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ ชวา Phoebe lanceolata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย (Lauraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2379
ที่อยู่อาศัยพบในอินเดีย บังกลาเทศ ภูฏาน พม่า เนปาล ปากีสถาน ไทย (ภาคเหนือ) และลาว (จังหวัดบริคัมไซ คำม่วน หลวงพระบาง และเชียงขวาง) คาบสมุทรมาเลย์ ชวา พบทั่วไปทั้งในป่าดิบและป่ากึ่งโล่งแจ้ง บางครั้งพบในป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูงถึง 900-1600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง15-25 เมตร ออกดอกไวขณะยังเป็นพุ่ม เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกระแหงตื้น ๆ มีกลิ่นฉุน ก้านใบยาว 1-2.5 ซม.ใบเดี่ยวรูปใบหอกขนาด 13-22 (-25) × 3-5.5 (-6.5) ซม.บางเหนียวเรียบเกลี้ยง ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างมีนวลสีเขียวอมเทา ใบอ่อนสีม่วงแดง ดอกเล็กสีขาวหรือครีม เป็นช่อกระจุกยาว 20 ซม.ออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบ ผลมีเนื้อรูปขอบขนานหรือรูปไข่แคบ ยาว 10-12 มม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 มม.ด้านบนและด้านล่างแบนบุ๋มเล็กน้อย ก้านผลยาว1ซม.หนาและเป็นปุ่มเล็กน้อย สีดำมันวาวเมื่อสุก กลีบเลี้ยง ถาวร มึเมล็ด 1เมล็ด ใช้ประโยชน์---เป็นพันธุ์ที่โตเร็วใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าพื้นเมืองในประเทศไทย -อื่น ๆลำต้นใช้ทำเสารั้วและเป็นแหล่งเชื้อเพลิงชั้นดีสำหรับใช้ในท้องถิ่น ใบเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/กรกฏาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ไหมจุรี/ Ceiba speciosa (A. St.-Hil.) Ravenna
ชื่อวิทยาศาสตร์---Ceiba speciosa (A. St.-Hil.) Ravenna.(1998) ชื่อพ้อง--- Has 4 Synonyms ---Basionym: Chorisia speciosa A.St.-Hil.(1827) ---Bombax aculeatum Vell.(1829) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2707399 ชื่อสามัญ---Silk floss tree, False silk tree, Brazil kapok. ชื่ออื่น---งิ้วชมพู, ไหมจุรี (ทั่วไป), งิ้วฮาวาย;[ARAB: Qabuq jamil.];[CHINESE: Měirén shù.];[FRENCH: Arbre bouteille.];[GERMAN: Florettseidenbaum.];[ITALIAN: Falso kapok.];[JAPANESE: Tokkurikiwata.];[NEPALESE: Ghyāmpē rūkha.];[PORTUGUESE: Arvore-de-paina, Paineira.];[SPANISH: Palo borracho, Arbol botella, Toborochi, Arbol de la lana, Samohu, Palo rosado.];[THAI: Ngio chomphu, Mai churi (General), Ngio Hawaai.]. EPPO Code---CEISS (Preferred name: Ceiba sp.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---อเมริกาใต้ เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาเขตร้อน และแอฟริกา Ceiba speciosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin François César Prouvençal de Saint-Hilaire (1779–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pierfelice Ravenna (born 1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวชิลี ในปีพ.ศ.2541
ที่อยู่อาศัย พืชเขตร้อนและเขตอบอุ่น มีถิ่นกำเนิดในบราซิล อาร์เจนตินา ปารากวัย เปรู และโบลิเวียที่ระดับความสูง400-1600 เมตร ในอเมริกาใต้มีชื่อท้องถิ่นหลายชื่อ ในภาษาสเปนว่า Palo borrachocแปลว่า "เมาเหล้า"หรือ"ต้นไม้เมา" ลักษณะ เป็นต้นไม้ผลัดใบสูงได้ถึง 15-30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 80-120 ซม.ลำต้นบวมรูปขวดมีหนามหนารอบลำต้น ต้นอ่อนมีสีเขียว ต้นแก่สีเทา ใบประกอบรูปฝ่ามือเรียงเวียนมีใบย่อย5-7ใบรูปใบหอก ยาว 10-12 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ ขอบใบจักฟันเลื่อย หลังผลัดใบก่อนที่จะผลิใบใหม่จะออกดอก จะออกเป็นกระจุกตามซอกใบ ดอกมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10-15 ซม.รูปร่างคล้ายกับดอกชบา มี 5 กลีบ สีครีมสีขาวหรือสีเหลืองมีแถบสีน้ำตาลลูกเกาลัดสีดำที่แผ่ออกมาจากจุดศูนย์กลางและสีชมพูหรือสีม่วงไปทางปลายกลีบ ผลเป็นแคปซูลแห้งแล้วแตก รูปไข่กว้าง ยาว 12-20 ซม. ผนังด้านในมีขนคล้ายไหม มีเมล็ดสีดำจำนวนมาก (100-150 เมล็ด)และมีใยนุ่นเป็นปุยหนาแน่น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่อุดมสมบูรณ์และมีการระบายน้ำดีและอยู่ในตำแหน่งที่แสงแดดส่องถึง ทนทานต่อความแห้งแล้งมาก การเจริญเติบโต เร็ว ต้นอ่อนที่ปลูกใหม่จะสูงถึง 5 - 6 เมตรภายใน 2 ปี ใช้ประโยชน์---เก็บเกี่ยวพืชจากป่าเพื่อใช้ไหมขัดเมล็ดเป็นหลัก นิยมปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในเขตร้อน -ใช้กิน น้ำมันที่ใช้ในอาหารและอุตสาหกรรมจากเมล็ดพืช -ใช้ปลูกประดับ ปัจจุบันสายพันธุ์นี้ปลูกเพื่อจุดประสงค์ในการประดับเป็นหลัก ปลูกในสวนสาธารณะหรือตามถนนในเมือง -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีเทาและน้ำตาล ไม้เนื้อ่อนมีน้ำหนักเบา มีความทนทานเพียงเล็กน้อย อ่อนไหวต่อเชื้อราและแมลง ใช้สำหรับการทำเรือแคนู, ราง, ชามไม้,กล่อง -ต้นไม้ให้เส้นใยที่มีพื้นผิวซึ่งมีลักษณะเหมือนไหม ปุยเมล็ดเป็นวัสดุในการบรรจุหมอนวัสดุที่เหมือนนุ่น มีคุณภาพดี ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ ;-เมล็ด - หว่านทันทีที่สุก เมล็ดงอกภายใน 5 - 8 วัน อัตราการงอก 80% ขึ้นไป
|
อรพันธุ์/Baikiaea insignis
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---Photo: https://twitter.com/srilankanflora/status/990243943420919808 ชื่อวิทยาศาสตร์---Baikiaea insignis Benth.(1865) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Baikiaea eminii Taub.(1894) ---Baikiaea minor Oliv.(1871) ---Baikiaea fragrantissima Baker f.(1928) ---More.See all https://www.gbif.org/species/2943825 ชื่อสามัญ---Nkoba, Nkobakoba, Rhodesian teak ชื่ออื่น---อรพันธ์ (ทั่วไป) ;[THAI: Oraphan (General).];[UGANDA: Nkoba, Nkobakoba.];[VERNACULAR NAME: Bolengu (Lingala).]. EPPO Code--- 1LEGF (Preferred name: Fabaceae.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-CAESALPINIOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา เขตกระจายพันธุ์--- แอฟริกาใต้ อินเดีย ศรีลังกา Baikiaea insignis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae) วงศ์ย่อยราขพฤกษ์ (Caesalpinoideae หรือ Caesalpiniaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2408 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของแอฟริกา: เซเนกัล, ไนจีเรีย, แคเมอรูน, อิเควทอเรียลกินี, กาบอง, คองโก, ดีอาร์คองโก, แองโกลาตอนเหนือ, ยูกันดา, เคนยา, รวันดา, บุรุนดี, แทนซาเนีย เติบโตในป่าฝน ป่าภูเขา ป่าพรุ ที่ระดับความสูงไม่เกิน1,800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางไม่ผลัดใบ สูง 10-15 (-35) เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 25 ซม.ทรงพุ่มแผ่กว้าง เปลือกสีเทาหรือสีเทาน้ำตาลเรียบหรือแตกเล็กน้อย แตกกิ่งต่ำจำนวนมาก ปลายกิ่งห้อยลู่ลง เนื้อไม้เหนียว ใบประกอบมีใบย่อย 4 ใบ รูปรียาว 15-18 ซม.แผ่นใบหนาแข็งเรียบเป็นมันช่อ ดอกสีขาวออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 4-5 ดอก กลีบดอกสีขาว4กลีบ และสีเหลือง1กลีบ กลีบบางขอบกลีบย่น เมื่อบาน ขนาดดอกประมาณ5ซม.ดอกบานพร้อมกันทั้งช่อบานทนนาน1-2วันแล้วโรยส่งกลิ่นหอมอ่อนๆช่วงใกล้ค่ำ ผลเป็นฝักยาวรูปรีขนาด17-40 (–60) ซม. × 5–12 ซม.ปกคลุมด้วยขนหนาแน่นสีน้ำตาล เมล็ดทรงรีแบนสีแดงเข้มขนาด 3–4.5 × 1.5–3 ซม. ฝักแยกเปิดและเมล็ดกระเด็นออกไปหลายเมตรจากต้นแม่ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---แม้ว่าหลายสายพันธุ์ในครอบครัว Fabaceae จะมีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดิน แต่สายพันธุ์นี้บอกว่าไม่มีความสัมพันธ์เช่นนี้ดังนั้นจึงไม่สามารถตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ในท้องถิ่นและบางครั้งก็ใช้เป็นอาหารสำหรับความอดอยาก บางครั้งมีการซื้อขายไม้ บางครั้งปลูกเป็นร่มเงาให้ถนนและเป็นไม้ประดับ -ใช้กิน ใบจะถูกกินเป็นผักเช่นเดียวกับเมล็ดคั่วและบดส่วนใหญ่ใช้ในช่วงเวลาอดอยาก -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีฟางหรือสีเหลืองมีลายเส้นสีเข้ม ไม้เนื้อแข็งปานกลางหนักและแข็งแรง แต่ไม่สามารถต้านทานการโจมตีจากด้วงและปลวกได้ ใช้สำหรับปูพื้นงานก่อสร้างหนัก (ถ้าผ่านกรรมวิธี), ส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์ไม้เช่น ประตู ตู้ ลิ้นชัก ฯลฯ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิงและทำถ่าน ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019 ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
อวบดำ/Linociera ramiflora
ชื่อวิทยาศาสตร์---Chionanthus ramiflorus Roxb.(1820) ชื่อพ้อง---Has 44 Synonyms ---Linociera ramiflora (Roxb.) Wall.(1831) ---Linociera ramiflora (Roxb.) Wall. ex G. Don.(1837) ---Mayepea ramiflora (Roxb.) F. Muell.(1883) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-367514 ชื่อสามัญ---Northern olive, Native olive. ชื่ออื่น---เกลื่อน (สุราษฎร์ธานี), ตาไชใบใหญ่, โว่โพ้ (ตรัง), ไบร้ (เขมร-สุรินทร์), อวบดำ (ชุมพร), พลู่มะลี (เขมร-สุรินทร์), ปริศนา ;[CHINESE: Zhi hua liu su shu.];[MALAYALAM: Kaattuchakkalathi, Vellaedali.];[TAMIL: Perumsithudakki.]; [KANNADA: Kunde.];[THAI: Kluean (Surat Thani); Ta chai bai yai, Wo pho (Trang); Brai, Plu ma li (Khmer-Surin); Uap dam (Chumphon); Prisana.];[VIETNAMESE: H ổ bì (in the North), Tráng lá to, lý lãm hoa cành (in the South).]. EPPO Code---CIOSS (Preferred name: Chionanthus sp.) ชื่อวงศ์---OLEACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ -ออสเตรเลีย นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Chionanthus มาจากภาษากรีก ' chioneos ' = หิมะขาวและ ' anthos ' = ดอกไม้; ชื่อสายพันธุ์ 'ramiflorus' มาจากภาษาละติน ' ramus '= สาขา, กิ่ง และ ' flos '= ดอกไม้ Chionanthus ramiflorus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363
ที่อยู่อาศัย เติบโตตามธรรมชาติในอินเดีย ,เนปาล ,ตอนใต้ของประเทศจีน (กวางสี กุ้ยโจว ไห่หนาน ไต้หวัน ยูนนาน) ไทย เวียดนาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์ ), นิวกีนี, ฟิลิปปินส์, หมู่เกาะแปซิฟิก พบทั่วไปในป่าผลัดใบและป่าดิบเขาป่าพุ่มลาดและหุบเหว ที่ระดับความสูง 0-2,000 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ที่ระดับความสูง 450-800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบสูง 5-10 (-25) เมตร ลักษณะทรงต้น กิ่งก้านเรียวเล็กลู่ลงเล็กน้อย เปลือกต้นสีเทาอ่อนถึงออกดำ เกลี้ยงหรือแตกระแหงเล็กน้อย ก้านใบยาว 1.2-3 ซม.ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปขอบขนานขนาดกว้าง 3.5-7 ซม.ยาว 9-25 ซม.แผ่นใบเรียบเกลี้ยงทั้งหลังใบและท้องใบ เนื้อใบหนาและเหนียวคล้ายแผ่นหนัง หลังใบเป็นสีเขียวเข้ม ขอบใบเรียบ บาง ดอกสีขาวหรือเหลืองอ่อนออกเป็นช่อตามซอกใบ ยาว 2.5-12 ซม.กลีบเลี้ยงและกลีบดอก 4 กลีบ ขนาดดอกประมาณ 3-7 มม.ดอกมีกลิ่นหอม ผลรูปมนรีหรือรูปไข่ขนาดกว้าง 1.2-2 ซม. ยาว 2-2.5 ซม.สีฟ้าเขียว เมื่อสุกสีม่วงดำ เนื้อผลบาง ชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง ภายในมี1เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน นำใบมาเคี้ยวกินกับหมากแทนใบพลูได้ -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณเป็นสมุนไพร* ในตำรายาไทยใช้รากต้มน้ำอมช่วยฟันทน เคี้ยวอมเพื่ออดบุหรี่ ในตำรับยาหมอพื้นบ้านแถบโรงพยาบาลกาบเชิง จ.สุรินทร์ ใช้ส่วนลำต้นผสมร่วมเนื้อไม้ต้นตะแบกป่า (มะเกลือเลือด) ต้มน้ำดื่มรักษาโรคมุตกิด โรคระดูขาว รักษาภาวะมีบุตรยากในสตรีที่มีรอบเดือนผิดปกติ * https://medthai.com/ -ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในสวนสาธารณะ บ้านพักอาศัยทั่วไป -อื่น ๆเนื้อไม้แข็งใช้ในการก่อสร้างแบบเบาและสำหรับงานปูพื้นภายใน (เนปาล) ไม้ยังเหมาะสำหรับทำฟืนและถ่าน ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง
อ้อยช้าง/Lannea coromandelica
อ้างอิง ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร ชื่อวิทยาศาสตร์---Lannea coromandelica (Houtt.) Merr.(1938) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Dialium coromandelinum Houtt.(1774) ---Odina wodier Roxb.(1832) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-1300635 ชื่อสามัญ---Indian ash tree, Jhingangummi ชื่ออื่น--- กอกกั๋น (อุบลราชธานี); กุ๊ก, อ้อยช้าง (ภาคเหนือ); ช้าเกาะ, ช้างโน้ม (ตราด); ซาเกะ (สุราษฎร์ธานี); ตะคร้ำ (กาญจนบุรี, ราชบุรี); ปีเชียง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); แม่หยู่ว้าย (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี); เส่งลู้ไค้ (กะเหรี่ง-เชียงใหม่); หวีด (เชียงใหม่) ;[ASSAMESE; Jika, Jia, Jia-poma, Kuhimala madabai.];[BANGLADESH: Bhadi, Bohar, Ghadi.];[BENGALI: Jiola.];[CHINESE: Hou pi shu.]; [GERMAN: Jhingangummi.];[KANNADA: Ajasringi, Godda, Goddana mara, Gajal, Gugul, Kuratige, Udi mara.];[MALAYALAM: Kalasan, Anakkaram, Karasu, Karayam, Karilavu, Konapadanara, Odiyamaram, Otiyan-maram, Udikalasam, Uthi.];[MARATHI: Moi, Shimati, Shinti, Shemat.];[MYANMAR: Baing.];[NEPALI: Halonre, Thulo dabdabe.];[PAKISTAN: Kembal.];[SANSKRIT: Ajashringi, Jhangri.];[TAMIL: Anaikkarai, Kalasan, Uthian, Wodier.];[TELUGU: Ajasrngi, Gumpin.];[THAI: Kuk (Northern); Kok kan (Ubon Ratchathani); Cha ko, Chang nom (Trat); Sa ke (Surat Thani); Ta khram (Kanchanaburi, Ratchaburi); Mae-yu-wai (Karen-Kanchanaburi); Pi chiang (Karen-Mae Hong Son); Seng-lu-khai (Karen-Chiang Mai); Wit (Chiang Mai); Oi chang (Northern).];[TULU: Poorli.];[VIETNAM: Cóc chuột.];[TRADE NAMES: Jhingan, Jial bhadi, Wodier.]. EPPO Code---LAKCO (Preferred name: Lannea coromandelica.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ไหหลำ หมู่เกาะอันดามัน คาบสมุทรมามาลายู และชวา Lannea coromandelica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Maarten Houttuyn หรือ Houttuijn (1720 –1798) นักธรรมชาติวิทยาชาวดัตช์ และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.2481
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--- Photo: https://indiabiodiversity.org/species/show/230190 ที่อยู่อาศัยมีการกระจายวงกว้าพบในอินเดีย พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีน หมู่เกาะอันดามัน คาบสมุทรมลายูและชวา ตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง เขาหินปูน พื้นที่ราบและป่าเขาที่ระดับความสูง 100 - 1,800 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรังผสมป่าผลัดใบ ป่าชายหาด หรือป่าดิบทั่วประเทศ ในระดับความสูงถึง 1,100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ความสูงประมาณ 6-15 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 45 ซม.เรือนยอดโปร่งมีกิ่งก้านค่อนข้างเล็กเรียว เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาหรือครีม ผิวลำต้นเรียบหรือมีรอยย่น เป็นแถบๆ เปลือกชั้นในสีชมพูเป็นเส้นใยมียางเหนียวใส ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียนสลับ ใบย่อยเรียงตรงข้าม มีใบย่อย 3-7 คู่ รูปรี รูปไข่หรือรูปหอก ยาว 4-8 ซม.ขอบใบเรียบ แผ่นใบมีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน ก้านใบย่อยยาว 1-5 มม. ช่อใบอ่อนมีขนรูปดาวปกคลุม ใบอ่อนสีน้ำตาลแดง ใบแก่ผิวเกลี้ยงบาง กิ่งก้านหนามีรอยแผลใหญ่ๆของใบที่หลุดไป ดอกช่อกระจะออกที่ปลายกิ่ง สีเหลืองอ่อนหรีอเขียวออกม่วงช่อดอกห้อยลงมาจากกิ่งที่ไม่มีใบ ช่อยาว 12-30 ซม.มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก กลีบดอกสีเหลืองอ่อน มี 4 กลีบ ทั้งดอกสมบูรณ์เพศและแยกเพศ ผลสีชมพูเมื่อสุกสีเหลืองแดงค่อนข้างแบนตามความยาวขนาด 1.5 ซม.เปลือกบาง มีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดจัด ประสบความสำเร็จในดินส่วนใหญ่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางทนต่อดินที่ไม่ดี ชอบ pH ในช่วง 5 - 6.5 แต่ทนได้ 4.5 - 8 ใช้ประโยชน์---มีการรวบรวมใบไม้จากป่าเพื่อใช้เป็นอาหารในท้องถิ่น พืชได้รับการปลูกเลี้ยงในบางพื้นที่ของเขตร้อนเป็นพืชป้องกันความเสี่ยงและปลูกเป็นต้นไม้ริมถนน -ใช้กิน ใบอ่อนและต้นอ่อน - ดิบหรือสุก กินเป็นผักในอินเดีย กินเป็น lalab (สลัดผักเสริฟกับซัมบัล) พร้อมข้าว ยางที่ได้จากลำต้นมักใช้ในลูกกวาด เปลือกผงใช้เป็นเครื่องปรุง รากสะสมน้ำไว้มาก สามารถตัดรากแล้วรองน้ำมาดื่มได้ -ใช้เป็นยา มีสรรพคุณด้านสมุนไพรหลายอย่าง นิยมนำรากไปผสมในยาตำรับต่าง ๆ เพื่อให้รสดีขึ้น เปลือกขมใช้เป็นยาช่วยให้เจริญอาหาร ใช้ในแผลและตาเจ็บ ใบใช้รักษาโรคเท้าช้าง แก้อาการบวม, เคล็ดขัดยอกและปวดเมื่อย ในเวียตนามใช้เปลือกต้นรักษาพิษจากปลา คางคก สับปะรด มันสำปะหลัง ยาต้มเปลือกไม้ บรรเทาอาการปวดฟันและใช้ล้างแผล ใบใช้ประคบช่วยลดอาการปวดบวม - ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ให้ร่มเงาในสวนและรืมถนน - อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีแดงอ่อนเมื่อถูกตัดสด ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเมื่อสัมผัส เนื้อไม้มีความแข็งปานกลางเนื้อแน่น ใช้สำหรับการแกะสลัก,กลึงและเฟอร์นิเจอร์ ลำต้นใช้ก่อสร้างทำเสากระท่อมได้ แต่เนื้อไม้ผุง่าย เปลือกไม้ให้สีย้อมสีน้ำตาล ย้อมเสื้อผ้าและหนัง ใยจากเปลือกไม้ทำเชือก มัดเบาะบนหลังช้าง เรซินที่ละลายได้ที่เรียกว่า 'Gum Jingan' นั้นได้มาจากลำต้น ใช้สำหรับการพิมพ์ผ้าดิบ ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/ผลแก่---กรกฎาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
อีแรด/Millusa horsfieldii
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาสตร์---Millusa horsfieldii (Bennett) Baill. ex Pierre.(1881) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-1602428 ---Saccopetalum horsfieldii Bennett.(1840) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปอขี้แฮด (เชียงใหม่), สะโงง (อุดรธานี), อีแรด (นครสวรรค์); [HINDI: Jungle saguan.];[THAI: Po khi had, Sa ngong, I rad.]; EPPO Code---MZASS (Preferred name: Miliusa sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เมลเซีย-ออสเตรเลีย Millusa horsfieldii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย John Joseph Bennett (1801-1876)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Henri Ernest Baillon (1827-1895) นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2424 ที่อยู่อาศัย พบใน เมลเซีย-ออสเตรเลีย ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้งทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูง 100-300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง 15-20 เมตรลำต้นเปลาตรงเปลือกแตกเป็นร่องเล็ก มีช่องอากาศเป็นจุด กิ่งอ่อนมีขนสั้นปกคลุมหนาแน่น ใบ รูปหอกแกมขอบขนานกว้าง 2.5-3.2 ซม. ยาว 8-11 ซม.โคนใบมนหรือหยักเว้าหรือเบี้ยวเล็กน้อย ปลายใบเรียวแหลม ใบบาง ใบอ่อนมีขนนุ่มทางด้านล่างใบ ก้านใบสั้นมาก ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามกิ่งแก่เหนือรอยแผลใบ 1-3 ดอกดอกสีเขียวประแดงตาม ขอบกลีบ ก้านดอกมีขนหนานุ่ม กลีบเลี้ยงและกลีบ ดอกชั้นนอกมีลักษณะและขนาดเล็กใกล้เคียงกัน ผลเป็นผลกลุ่มมี 8-12 ผล ผลกลมขนาด 2-2.5 ซม.ผลแก่สีแดง เปลือกผลมีขนนุ่ม มี 4-8 เมล็ด ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและทำเชื้อเพลิง ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายน ขยายพันธุ์---โดยเมล็ด
อูนดง/Cornus oblonga
ชื่อวิทยาศาสตร์---Cornus oblonga var. siamica Geddes.(1931) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Cornus oblonga Wall.(1820) ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-47456 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---อูนดง, อูนต้น (ทั่วไป) ; [THAI: Un dong, Un ton (General).] ชื่อวงศ์---CORNACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- พืชถิ่นเดียวประเทศไทย Cornus oblonga var. siamica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ฝาละมี (Cornaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Patrick Geddes FRSE (1854–1932) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2474 ที่อยู่อาศัย พบเฉพาะในป่าดิบเขาที่มีร่มเงา บนภูเขาหินปูนของดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ระดับความสูง 1,800 - 2,100 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 4-6 เมตร แตกกิ่งจำนวนมาก ใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรี ยาว 7-10 ซม.ปลายใบแหลม ผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ช่อดอกกลมขนาด 6-10 ซม.สีขาวออกที่ปลายยอด มีดอกย่อยจำนวนมาก กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายน้ำผึ้งตลอดวัน ดอกบาน 1-2วันแล้วโรย ช่วงที่ดอกบานจะมีฝูงผึ้งมาตอมเป็นจำนวนมาก จึงเป็นแหล่งอาหารผึ้งเป็นอย่างดี ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพรรณไม้บนพื้นที่สูง มีอากาศหนาวเย็นและชื้น โตช้า สถานภาพ--- เป็น พืชถิ่นเดียว และพืชหายาก ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/ธันวาคม -มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
เอียน/Neolitsea zeylanica
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาสตร์---Neolitsea zeylanica (Nees & T. Nees) Merr.(1906) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-17805034 ---Litsea zeylanica Nees & T. Nees.(1823) ---Tetradenia zeylanica (Nees & T. Nees) Nees.(1831) ชื่อสามัญ---Shore laurel, Grey bollywood, Smooth-barb bollygum. ชื่ออื่น--- เอียน (ภาคใต้), กระชิดผู้ (นราธิวาส), แตยอยาแต (มาเลย์-นราธิวาส) ;[CHINESE: Nányà xīn mù jiāng zi.];[THAI: Ian (Peninsular); Kachit phu (Narathiwat); Tae-yo-ya-tae (Malay-Narathiwat).];[VIETNAM: Cây Nô.]. EPPO Code---NLTZE (Preferred name: Neolitsea zeylanica.) ชื่อวงศ์---LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย Neolitsea zeylanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย (Lauraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Christian Gottfried Daniel Nees von Esenbeck (1776 –1858) นักพฤกษศาสตร์, แพทย์, นักสัตววิทยาและปรัชญาธรรมชาติชาวเยอรมัน และ Theodor Friedrich Ludwig Nees von Esenbeck (1787–1837) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันผู้เป็นน้องชาย) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปีพ.ศ.25-449 ที่อยู่อาศัยพบในประเทศจีน ที่กวางสี เกิดในป่าหรือพุ่มไม้สูงจากระดับน้ำทะเล 750-1,000 เมตร และขึ้นกระจายทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย ตามขอบป่าพรุ พื้นที่รอยต่อระหว่างป่าชายหาดกับป่าชายเลนที่ระดับความสูงถึง 1,800 เมตร ลักษณะเป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง 5-10 (20) เมตร ทรงต้นเรือนยอดกลมหรือเป็นพุ่มกว้าง กิ่งก้านเรียวเล็ก เปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องตื้น สีน้ำตาลเทาถึงสีน้ำตาลแดง เนื้อไม้มีกลิ่นหอมคล้ายเครื่องเทศ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปไข่ถึงรูปรี ขนาดกว้าง 3-6 ซม.ยาว 6-14 ซม. โคนใบสอบรูปลิ่มถึงแหลม ขอบใบเรียบปลายใบเรียวแหลม เนื้อใบบาง แต่เหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบด้านบนเกลี้ยงสีเขียวมันวาว ด้านล่างเป็นฝ้าขาว ใบอ่อนสีชมพูเรื่อ ดอกแบบช่อกระจุกสั้นๆคล้ายช่อซี่ร่ม ออกตามง่ามใบและปลายกิ่ง ดอกเล็กสีเหลืองนวล ผลแบบผลเมล็ดเดียวแข็ง รูปทรงกลมมนเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-7 มม.ก้านผลยาว 4-5 มม.อาจออกเป็นผลเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-6 ผล ผลสุกสีม่วงถึงดำ มี 1 เมล็ด ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-พฤศจิกายน/ตุลาคม-ธันวาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species:
Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/Global Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ -กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images ---Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Updatre 28/11/2019, 1/17/2020, 10/12/2021
24/6/2022
|
|
|
การกำหนดเป้าหมายช่วยให้เรามีแนวทางและเป้าหมายในชีวิต ทำให้เรามีสติในสิ่งที่ต้องทำและสร้างความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามเป้าหมายนั้น เป้าหมายที่ชัดเจนช่วยให้เรามีความสนุกสนานในการทำงานและมีสมาธิมากขึ้น เป้าหมายของผมก็คือการมีเงินเก็บก้อนโตและผมก็สามารถทำได้จริง ๆ เพราะผมเข้าไปเล่นเกม สล็อต888 เป็นเกมเดิมพันที่เล่นง่ายมาก ๆ เล่นแล้วก็ได้เงินจริงอีกด้วย และที่นี่มีเกมสล็อตออนไลน์ให้ผมเลือกเล่นมากมาย สามารถเลือกรูปแบบเกมที่ผมต้องการได้เลย อีกอย่างสามารถชวนใครมาเล่นก็ได้อีกด้วย
pgslot to เป็นเกมสล็อตที่มีผู้เล่นมากไม่น้อยเลยทีเดียว ยอดฮิตในประเทศไทย ให้บริการเข้าเล่นผ่านเว็บ หรือ บนโทรศัพท์มือถือ pgslot เข้าเล่นได้ง่าย ให้ค้นหา ท่านก็จะพบเว็บไซต์
pgslot99 สล็อตออนไลน์ แบบใหม่ปัจจุบัน บนโทรศัพท์มือถือ มั่นคงไม่มีอันตราย 100% เล่นง่าย ตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องโหลดแอปก็เล่นได้ pgslot มีบริการ ถอน ผ่านระบบอัตโนมัติบริการตลอด
รีวิวfinn88 ออนไลน์ เว็บไซต์การพนันออนไลน์ที่เปิดให้บริการในประเทศไทย มีเกมส์ที่หลากหลาย เช่น บาคาร่า สล็อต รูเล็ต และเกมส์อื่นๆใน PG SLOT โดยมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
สล็อตPG เล่นง่ายได้จริง สำหรับผู้เล่นเกมสล็อตออนไลน์ที่สนใจในเกม PGSLOT จะพบกับหลากหลายเกมส์ที่มาพร้อมกับความบันเทิงและโอกาสในการชนะรางวัลระดับสูง โดยเกม PGSLOT
Click here to avail the registration bonus online slots games in addition to a loyalty rewards program and continuous incentives for current players, they provide a sizable welcome bonus.
Click here to avail the registration bonus online slots games in addition to a loyalty rewards program and continuous incentives for current players, they provide a sizable welcome bonus.
Your blog has chock-a-block of useful information. I liked your blog's content as well as its look. In my opinion, this is a perfect blog in all aspects. escorts in Islamabad
i was just browsing along and came upon your blog. just wanted to say good blog and this article really helped me. read a course in miracles
Nice to be visiting your blog again, it has been months for me. Well this article that i’ve been waited for so long. I need this article to complete my assignment in the college, and it has same topic with your article. Thanks, great share. airpods資料救援
Outstanding article! I want people to know just how good this information is in your article. Your views are much like my own concerning this subject. I will visit daily your blog because I know. It may be very beneficial for me. ન્યુ ઝિલેન્ડ ઇટીએ
Keep sharing posts like this MEP Cost Estimators , Mechanical Estimating Services , MEP Estimators
No doubt this is an excellent post I got a lot of knowledge after reading good luck. Theme of blog is excellent there is almost everything to read, Brilliant post. file send