สมาชิก




ลืมรหัสผ่าน
สมัครสมาชิก
 

เมนู

หน้าแรก

รวมรูปภาพ

เว็บบอร์ด

สนทนาคนรักต้นไม้

 

บทความ

หิน-หินเทียม

สารพัดต้นไม้จัดสวน

ไม้ประดับเพื่อการจัดสวน

ปลูกต้นไม้มงคล

เกี่ยวกับเรา

สวนสไตล์ต่างๆ

ต้นไม้ประจำจังหวัด ภูมิสัญญลักษณ์ของเมือง

มหัศจรรย์โลกพฤกษา

ว่าด้วยเรื่อง.....ดิน....และ..ปุ๋ย

พืชจัดสวนมีพิษที่ควรระมัดระวัง

เปลี่ยนสวนเก่าให้เป็นสวนใหม่

จัดสวนพื้นที่ขนาดใหญ่

จัดสวนด้วยตัวเอง

ชื่อนั้นสำคัญไฉน

การทำบ่อเลี้ยงปลา และระบบกรองรักษาคุณภาพน้ำอย่างง่าย

มุมสวนสวยสำหรับคุณ

ในนี้มีอะไรเยอะแยะ

 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/02/2008
ปรับปรุง 29/10/2024
สถิติผู้เข้าชม 51,942,569
Page Views 58,755,849
 
« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  

ต้นไม้ในป่า5

ต้นไม้ในป่า5

ต้นไม้ในป่า 5

For information only-the plant is not for sale

1 ผักไผ่ต้น/Pittosporum nepaulense 48 มะเดื่อเกลี้ยง/Ficus racemosa var. racemosa
2 ผักหวานป่า/Melientha suavis 49 มะเดื่อสาย/Ficus semicordata
3 ผ่าเสี้ยนดอย/Vitex quinata 50 มะเดื่อหอม/Ficus hirta Vahl var. hirta
4 ผูก/Ficus variegata var. variegata 51 มะแตกต้น/Casearia flexuosa 
5 พญามะขามป้อมดง/ Cephalotaxus griffithii  52 มะนอดน้ำ/Ficus heterophylla
6 พรมคต/Heliciopsis terminalis 53 มะนาวดำ/Serverinia buxifolia
7 พรหมขาว/Mitriphora alba  54 มะนาวเทศ/Trigonostemon thyrsoideus
8 พระเจ้าร้อยท่า/ Heteropanax fragrans 55 มะนาวผี/Atalantia monophylla
9 พริกนก/Orophea enterocarpa 56 มะนาวเหลี่ยม/Merope angulata 
10 พลองกินลูก/Memecylon ovatum 57 มะเนียงน้ำ/Aesculus assamica 
11 พลองแก้มอ้น/Memecylon lilacinum 58 มะผด/Rhus chinensis
12 พลองขี้ควาย/Memecylon caeruleum 59 มะฝ่อ/ Trewia nudiflora
13 พลองเหมือด/Memecylon edule 60 มะแฝด/Monocarpia marginalis 
14 พลับเขา/Diosperos undulata var.crataricalyx 61 มะแฝดหลวง/Monocarpia marginalis 
15 พะวา/Garcinia speciosa 62 มะพร้าวนกกก/Horsfieldia glaba
16 พิกุลป่า/Adinandra integerrima 63 มะพลับพรุ/Diospyros lanciefolia 
17 พังคีต้น/Lophopetalum duperreanum 64 มะพลับยอดดำ/Diospyros collinsae
18 พันจำ/Vatica odorota 65 มะแฟน/Protium serratum 
19 พุดโกเมน/Rothmannia longiflora  66 มะม่วงกะล่อน/Magnifera caloneura
20 พุดทุ่ง/Holarrhena curtisii 67 มะม่วงขี้ไต้/Magnifera sylvatica
21 พุดนา/Gardenia hygrophilla 68 มะม่วงนก/Buchanania glaba 
22 พุดหอมไทย/Rothmannia thailandica 69 มะม่วงหัวแมงวัน/Buchanania lanzan 
23 พุทราทะเล/Ximenia americana 70 มะมุ่น/Elaeocarpus stipularis
24 โพขี้นก/Ficus rumphii 71 มะมุ่นดง/Elaeocarpus sphaericus
25 โพบาย/Balakata baccata 72 มะมุ่นพีพ่าย/Elaeocarpus lanceifolius
26 โพสามหาง/Symingtonia populnea  73 มะเม่าสาย/Antidesma sootepense
27 มณฑาดอย/Magnolia liliifera 74 มะยาง/ Sarcosperma arboreum
28 มณฑาดอย/Talauma hodgsonii 75 มะลิต้น/Diospyros brandsiana
29 มณฑาป่า/Manglietia garrettii 76 มะหนามนึ้ง/Vangueria pubescens
30 มณฑาภู/Magnolia henryi  77 มะห้อ/Spondias lakonensis
31 มณฑิรา/Manglietia insignis 78 มะห้า/Syzygium albiflorum
32 มณฑาสวรรค์/Magnolia delavayi 79 มะหากาหนัง/Eunonymus similis
33 มหาพรหมราชินี/Mitrephora sirikitiae 80 มือพระนารายณ์/Schefflera elliptica
34 มะกอกดอน/Schrebera swietenioides 81 เม่าช้าง/Antidesma bunius
35 มะกอกหนัง/Choerospondias axillaris  82 เม่าเหล็ก/Antidesma velutinosum
36 มะกัก/Spondias bipinnata 83 โมกการะเกด/Wrightia Karaketii
37 มะเกลือกา/Diospyros gracilis 84 โมกขน/Wrightia coccinea
38 มะเกิ้ม/Canarium subulatum 85 โมกเขา/Wrightia lanceolata
39 มะขม/Pittosporopsis Kerri 86 โมกเทวา/Chonemorpha griffithii
40 มะขาว/Trivalvaria pumila 87 โมกพะวอ/Wrightia tokiae
41 มะแขว่น/Zanthoxylum rhetsa 88 โมกสยาม/Wrightia siamensis
42 มะควัด/Ziziphus rugosa   89 โมกหลวง/Holarrhena pubescens
43 มะคังดง/Ostodes paniculata 90 โมกเหลือง/Wrightia viridiflora
44 มะคังแดง/ Dioecrescis erythroclada 91 โมกเหลืองใบบาง/Wrightia lecomtei
45 มะเค็ด/Catunaregam tomentosa 92 โมกเหลืองหอม/Wrightia laevis
46 มะดะหลวง/Garcinia xanthochymus 93 โมลีสยาม/Reevesia pubescens var. siamensis
47 มะดูกดำ/ Xanthophyllum virens 94 ไม้เกื้อดง/Michocarpus pentapetalus

EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที
EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int


ผักไผ่ต้น/Pittosporum nepaulense


อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Pittosporum napaulense (DC.) Rehder & E. H. Wilson.(1916)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-25100301
---Basionym: Senacia napaulensis DC.(1824)
---Pittosporum floribundum Wight & Arn.(1834)
---Pittosporum napaulense var. rawalpindiense Gowda.(1951)
---Pittosporum verticillatum Wall.(1840)
ชื่อสามัญ---Ginger tree, Cheesewood, Golden Fragrance.
ชื่ออื่น---ผักไผ่ต้น (เชียงใหม่) ;[ASSAMESE: Dieng-mulo, Shi-ing.];[CHINESE: Dian zang hai tong.];[HINDI: Raini, Tumri, Bagh-muta, Kisan.];[KANNADA: Tammatha, Ekkadi.];[MALAYALAM: Kasumaram.];[NEPALI: Khorsane.];[TAMIL: Kattu sampangi.];[TELUGU: Rakamuti.];[THAI: Phak phai ton.].  
EPPO Code---PTUNA (Preferred name: Pittosporum napaulense.)
ชื่อวงศ์---PITTOSPERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน บังคลาเทศ, ภูฏาน, อินเดีย, พม่า, เนปาล, ปากีสถาน, สิกขิม
Pittosporum napaulense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Pittosporaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Alfred Rehder(1863-1949) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและ Ernest Henry Wilson (1876–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2459


ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดใน อินเดีย ภูฏานและเนปาล ช่วงกระจายพื้นเมือง แอฟริกา; มหาสมุทรอินเดียตะวันตก: มาดากัสการ์ -ประเทศจีน [Yunnan Sheng (w.), Xizang Zizhiqu (s.)]-เอเชียเขตร้อน--อินเดีย: บังคลาเทศ ภูฏาน อินเดีย เนปาล สิกขิม ปากีสถาน พบขึ้นใน ป่าดิบทึบ ป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง  400-2000 เมตร ในประเทศไทยพบทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบสูงถึง2-10 เมตร ลักษณะลำต้นคดงอ เปลือกต้นเรียบสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาลอมเทา, ผิวเรียบมีรูอากาศสีน้ำตาลเข้มหนาแน่นเปลือกในสีน้ำตาลอ่อน ใบเดี่ยว  5-20 x 2-8  ซม.รูปไข่แกมรูปใบหอก ออกเป็นกลุ่มที่ปลายช่อก้านใบยาว1-3 ซม. ปลายใบมนรีแคบ ขอบใบเป็นคลื่น กิ่งอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม ดอกเป็นกะเทย สีเหลืองซีด มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยง 5 กลีบรูปไข่ 1-1.25 มม.กลีบดอก 5 กลีบ ยาวเป็นเส้นตรง ปลายป้านกว้างประมาณ 5-7 x 2 มม. เกสรเพศผู้ 5 อันอิสระ ผลแคปซูลรูปทรงกลม ผลอ่อนสีเหลืองหม่น ผลสุกเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม แตกได้เป็น2ซีก เนื้อในเป็นเมือกมีเมล็ดสีแดง1-5เมล็ด ขนาด 2-3 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแดดในดินที่มีการระบายน้ำดี อายุยืนยาว 50 - 150 ปี
ใช้ประโยชน์--- พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยา ปลูกเป็นไม้ประดับ ผลเป็นอาหารนกบางชนิด ปลูกเป็นไม้ประดับในรัฐแปซิฟิกของสหรัฐอเมริกา
-ใช้เป็นยา เปลือกมีกลิ่นหอม ขม ใช้เป็นยาแก้พิษ แก้ปวดเมื่อยและสารเสพติด ใช้ในการรักษางูกัดและใช้ในการรักษาโรคหลอดลมอักเสบ-น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากพืช (ไม่ได้ระบุส่วนใด แต่เป็นดอกไม้หรือยางเรซิน) เป็นยาที่ปรับเปลี่ยนเป็นสารกระตุ้นและยาชูกำลัง ถือว่าเป็นการรักษาเฉพาะสำหรับโรคผิวหนังบางชนิด และนำมาใช้ภายในเพื่อรักษาโรคผิวหนัง ซิฟิลิสทุติยภูมิ โรคไขข้อเรื้อรัง นอกจากนี้ยังใช้เฉพาะที่เพื่อรักษาสภาพต่างๆ เช่น โรคไขข้อ อาการแสดงที่หน้าอก โรคตาอักเสบ เคล็ดขัดยอก ฟกช้ำ ปวดตะโพก และโรคเรื้อน
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ เมล็ดมักจะงอกได้อย่างอิสระ

ผักหวานป่า/Melientha suavis


ชื่อวิทยาศาตร์---Melientha suavis Pierre.(1888)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2502077
---Melientha acuminata Merr.(1926)
ชื่อสามัญ---Melientha (En)
ชื่ออื่น---ผักหวาน, ผักหวานป่า (ทั่วไป) ;[CAMBODIA: Daam prec, Dhammapia.];[LAOS: Hvaan.];[MALAYSIA: Tangal (Sabah).];[PHILIPPINES: Malatado (Mindanao).];[THAI: Phak wan, Phak waan paa (General).];[VIETNAM: Rau sắng, Rau ngót rừng.].   
EPPO code---XELSU (Preferred name: Melientha suavis.)
ชื่อวงศ์---OPILIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์
Melientha suavis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ผักหวาน (Opiliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม ซาบาห์และฟิลิปปินส์ เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าผลัดใบ ไม่ค่อยพบในป่าดิบแล้ง (หุบเขาชายเขตของลำธาร) ที่ระดับความสูง 300-900 (-1500) เมตร ทั่วบริเวณนี้เกิดขึ้นกันอย่างดุเดือดและบางครั้งอยู่ในการเพาะปลูก สายพันธุ์นี้หายากในมาเลเซียและฟิลิปปินส์ ประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค ตามป่าเบญจพรรณในที่ราบหรือเชิงเขาที่มีความสูงไม่เกิน 600 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง10-12 (-15) เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาล เมื่อแก่เป็นสีเทาอมดำ ผิวลำต้นขรุขระ ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปรีถึงรูปไข่ หรือรูปไข่กลับ ขนาดใบ กว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 6-12 ซม. ปลายใบเป็นติ่งแหลม โคนใบสอบเรียว ออกเรียงสลับกันแผ่นใบสีเขียวเป็นมัน ดอกช่อแบบแยกแขนง ดอกแยกเพศอยู่ในช่อดอกเดียวกัน ออกตามลำต้นและซอกใบใกล้ปลายยอด ดอกย่อยขนาดเล็กเป็นตุ่มสีเขียวอัดกันแน่น ประกอบด้วยดอกเพศผู้ที่ไม่มีก้านดอก 3-5 ดอก ส่วนดอกเพศเมีย มีก้านดอกยาวประมาณ 3-8 มม. มักพบเป็นดอกเดี่ยว หรืออาจพบเป็นกลุ่ม 3-5 ดอก ผลสดทรงรีสีเหลืองถึงแดง ขนาด  1.5-2 ซม. ยาว 2.2-4 ซม. ติดกันเป็นพวงเหมือนผลมะไฟ แต่ละผลมีเมล็ดแข็ง 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดรําไร ขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทราย ดินดาน ดินปนหินที่ระบายน้ําได้ดี
ใช้ประโยชน์---ใชักินได้ ใบและยอดอ่อนนิยมำไปต้ม ลวกจิ้ม นำไปผัดหรือทำแกงต่างๆ เมล็ดผักหวานป่านำมาต้มให้สุกใช้กินได้ เยื่อหุ้มเมล็ด และเนื้อเมล็ดให้รสหวานมัน ในปัจจุบันพบว่ามีการนำผักหวานป่ามาพัฒนาเป็นชาสำเร็จรูป ซึ่งเป็นเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผักหวานป่าอีกหลากหลายรูปแบบ เช่น น้ำผักหวานป่า ไวน์ คุกกี้ ขนมถ้วย ข้าวเกรียบ ทองม้วน เป็นต้น
-ใช้ปลูกประดับใช้ปลูกเป็นต้นไม้ริมรั้ว เป็นแนวรั้วหรือแนวเขตแดน
-ใช้เป็นยา ใบอ่อน ยอดอ่อน ช่วยในการขับถ่าย ให้โปรตีน พลังงาน คาร์โบไฮเดรตและเส้นใยอาหาร  ป้องกันโรคเกี่ยวกับปราสาท และสมอง เช่น อัลไซเมอร์ ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน ลดความอ้วน บำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน ช่วยลดไข้ แก้น้ำดีพิการ แก้อาการเบื่อเมา บรรเทาอาการปวดมดลูก ใบ และน้ำยางจากใบนำมาเคี้ยวหรือกลั้วภายในปาก สำหรับแก้ลิ้นเป็นฟ้า  ใบ และยอดอ่อนนำมาต้มน้ำดื่ม ช่วยแก้กระหายน้ำ ป้องกันโรคปากนกกระจอก ราก และลำต้น ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้ แก้ท้องเสีย แก้พิษร้อนถอนพิษไข้ แก้น้ำดีพิการ แก่นลำต้นนำมาต้มกับต้นนมสาว ใช้เป็นยากระตุ้นน้ำนม
รู้จักอันตราย---พืชชนิดนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกันมาก ใบอ่อนและดอกที่ใช้ปรุงอาหาร ใบอ่อนคล้ายผักหวานเมา Urobotrya siamensis Hiepko ที่มีพิษอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
พิธีกรรม/ตวามเชื่อ---ชาวกะเหรี่ยงไม่นิยมปลูกผักหวานป่าในบ้านเพราะเชื่อว่าทำให้คนในบ้านป่วย
รยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มีนาคม/เมษายน-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำราก ตอนกิ่ง (ใช้วิธีเพาะเมล็ดดีที่สุด การงอกของเมล็ดจะเกิดขึ้นภายใน 3 เดือน)

ผ่าเสี้ยนดอย/Vitex quinata


อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Vitex quinata (Lour.) F.N.Williams.(1905)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Basionym: Cornutia quinata Lour.(1790)
---Vitex altmannii Moldenke.(1952)
---Vitex celebica Koorders.(1898)
---Vitex heterophylla Roxburgh.(1832)
---Vitex padangensis H.G. Hallier.(1913)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-213733
ชื่อสามัญ---Wild Vitex, Five-leaf Chaste Tree.
ชื่ออื่น---ผ่าเสี้ยนดอย, อีแปะ, แปะ (นครราชสีมา), ซาคาง (อุดรธานี), ตะพุนเฒ่า (ตราด), มะคัง (อุบลราชธานี), สะคางต้น, หมากสะคั่ง (เลย), หมากเล็กหมากน้อย (ประจวบคีรีขันธ์); [CHINESE: shan mu jing.];[JAPANESE: Ooninjinboku];[INDIA: Tirale-chiang (Naga), Khong-sman-bol, Khungsuman (Garo), Ashoi Janhama-ashoi (Mech), Bhatkur (Sylh), Arekadal (Tipp).];[KHASI: Dieng-sart-udkhar.];[TAIWAN: Shān bù jiāng, wū tián, bù jīng shù];[TELUGU: Dippamann.];[THAI: Pha sian doi (Chiang Mai), Sa khang (Udon Thani), Ta phun thao (Trat), Pae, I pae (Nakhon Ratchasima), Ma khang (Ubon Ratchathani), Sa khang ton, Mak sa khang (Loei), Mak lek mak noi (Prachuap Khiri Khan).].
EPPO Code---VIXQU (Preferred name: Vitex quinata.)
ชื่อวงศ์---LAMIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--อนุทวีปอินเดีย, จีน, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,ปาปัวนิวกินี,หมู่เกาะแคโรไลน์
Vitex quinata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Frederic Newton Williams (พ.ศ. 2405–2566) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2448


ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนและเอเชียกึ่งเขตร้อน-หมู่เกาะแคโรไลน์ พบทั่วไปในป่าผสมผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ป่าไม้บนเนินเขาที่ระดับความสูง 200 - 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง25เมตรเปลือกไม้สีน้ำตาลอมเทามีรอยแตกตื้นๆ ค่อนข้างนุ่มลักษณะ เหมือนไม้ก๊อกหนาประมาณ 1 ซม.ใบประกอบ3ใบย่อย หรือรูปนิ้วมือ กว้าง2.5-5ซม.ยาว5-22ซม.ก้านใบอ้วนมีขนยาวประมาณ 3-10 ซม.ยอดอ่อนมีขนห่างๆ ใบแก่เรียบเกลี้ยง ดอกสมบูรณ์เพศ ช่อดอกออกที่ปลายก้านหรือระหว่างซอกใบยาว(5)ถึง35ซม. ดอกสีครีมหรือเหลืองมีแต้มสีม่วงมีกลิ่นหอม ผลกลมขนสดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-1.5 ซม..ผลอ่อนสีเขียว สุกสีดำ
ใช้ประโยชน์--ใช้เป็นยา เปลือกไม้ ใช้เป็นยาดองบำรุงร่างกายและเป็นยาบำรุงกำลัง ดื่มเพื่อกระตุ้นความอยากอาหารและเจริญอาหาร ดื่มมากจะทำให้เมา
-ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้มีลักษณะเนื้อแข็ง ยืดหยุ่นทนทานต่อความชื้น ใช้สำหรับการก่อสร้างบ้าน สะพานและเรือ ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้ขนาดเล็กและไม้ที่มีขนาดค่อนข้างจำกัด ซึ่งจะจำกัดการใช้งานเฉพาะรายการส่วนใหญ่ เช่น ด้ามเครื่องมือ เสา กลึง แกะสลัก
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/ผลแก่---ตุลาคม-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

ผูก/Ficus variegata 

อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Ficus variegata blume.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Ficus variegata Blume var. variegata
ชื่อสามัญ---Common Red -Stem Fig, Red stem fig, Green fruited fig, Variegated fig.
ชื่ออื่น---ผูก (กระบี่) ;[CHINESE: Za se rong.];[FRENCH: Caoutchouc.];[INDONESIA: Gele, Gondang, Nyawai.];[JAPAN: Giran-inu-biwa.];[MALAY:Tumbuhan Libo.];[PHILIPPINES: Tangisang bayawak.];[SULAWESI: Kayu, Pahobo.];[THAI: Phuuk.];[VIETNAM: Sung trổ, Sung vè, Vả rừng.].
EPPO Code--- FIUKO (Preferred name: Ficus variegata.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จึน พม่า คาบสมุทรอินโดจีน หมู่เกาะอันดามัน มาเลเซีย หมู่เกาะโซโลมอน รัฐควีนสแลนด์
Ficus variegata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย กระจายอยู่ในพื้นที่กว้างใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอันดามัน, ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์), จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำและยูนนาน,), อินเดีย, อินโดนีเซีย (ชวา, กาลิมันตัน, เกาะซุนดาน้อย, โมลุกกะ, สุลาเวสีและสุมาตรา) ญี่ปุ่น (หมู่เกาะริวกิว), มาเลเซีย, พม่า, หมู่เกาะนิโคบาร์, ปาปัวนิวกินี, ฟิลิปปินส์, หมู่เกาะโซโลมอน, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ไทยและเวียดนามซึ่งเติบโตในป่าชื้นที่ระดับความสูงต่ำ ประเทศไทยเป็นไม้ถิ่นเหนือมักพบริมธารน้ำ
ลักษณะ เป็นไม้ ผลัดใบสูงถึง25-40เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงสุด 110 ซม.ลักษณะทรงต้น เรือนยอดกลม โคนต้นเป็นพูพอน กิ่งก้านอ้วน ใบเดี่ยวเรียงสลับชนาดของใบกว้าง4-13ซม.ยาว9-25ซม. ขอบใบมีหยักตื้นประปราย โคนใบกลมหรือรูปหัวใจ ผล แบบมะเดื่อขนาด2-3.5ซม.เกาะเป็นกลุมแน่นบนก้านแข็งสั้นๆ ตามกิ่งและลำต้น ช่อผลยาวถึง7.5ซม.เมื่อสุกสีแดงเข้ม มีจุดขาวๆมักจะมีลายเส้น ก้านผลยาวเรียว2.5-6ซม.ด้านบนมีกาบเล็กๆ
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้และขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งขายในตลาดท้องถิ่น
-ใช้กิน ใบและผลกินได้แต่ไม่อร่อยส่วนมากใช้เลี้ยงสัตว์
-ใช้เป็นยา เปลือกต้น ผลใช้เป็นยาแก้บิด น้ำยางใช้ทาในการรักษาบาดแผล รากใช้เป็นยาแก้พิษ
-อื่น ๆ ไม้มีคุณภาพต่ำใช้สำหรับการก่อสร้างชั่วคราว งานหล่อแบบคอนกรีต งานตกแต่งภายใน ลิ้นชัก ลังผลไม้ เป็นต้นไม้ใช้สำหรับเลี้ยงครั่ง ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ต้นไม้เป็นแหล่งของขี้ผึ้งที่ใช้ในงานผ้าบาติก
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
 

พญามะขามป้อมดง/ Cephalotaxus griffithii

อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์--- Cephalotaxus griffithii Hook.f.(1888)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2709748
ชื่อสามัญ---Griffith's plum yew
ชื่ออื่น---มะขามป้อมดง(เชียงราย); ดอยสะเด็น(เชียงใหม่); พญามะขามป้อม, หิ้ง(เลย); สะวาลา, เส่วาลา(กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) ;[CHINESE: San jian shan ke.];[FRENCH: Queue de vache de Griffith.];[THAI: Phaya makham pom dong, Phaya makham pom , Phaya kham pom, Makham pom dong, Doi sa-den.].
EPPO Code---CEXGR (Preferred name: Cephalotaxus griffithii.)
ชื่อวงศ์---CEPHALOTAXACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม จีน
Cephalotaxus griffithii เป็นสายพันธุ์ของพืชเมล็ดเปลือยกลุ่มเล็กศ์ครอบครัววงศ์มะขามป้อมดง(Cephalotaxaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2431

 

ที่อยู่อาศัย พืชท้องถิ่นในภาคเหนือของอินเดีย(อรุณาจัลประเทศ อัสสัม)ตะวันออกของหิมาลัย ตอนเหนือของพม่าและในประเทศจีน (เสฉวน,ยูนนาน) ขึ้นกระจัดกระจายไปยังลาว ไทย เวียดนามพบขึ้นอยู่ในป่าผสมตั้งแต่ระดับความสูง700-1900เมตร ในประเทศไทยพบในภาคเหนือ ขึ้นตามป่าดิบเขา ที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่1,000-1,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กหรือไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15-30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 40-110 ซม.ลักษณะทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งก้านลู่ลง กิ่งอ่อนมีรอยแผลระบายอากาศสีขาวประปรายทั่วไป  เปลือกต้นสีน้ำตาลแดง ผิวเรียบค่อนข้างมัน หลุดลอกเป็นชิ้นบางๆ ใบ รูปขอบขนานแคบ กว้าง 0.2-0.4 ซม.ยาว 2-5 ซม. โคนใบมนป้าน ปลายใบเรียวแหลม หลังใบเป็นมัน ด้านล่างสีซีด ดอกแยกเพศ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อตามง่ามใบ แต่ละช่อมีกาบหุ้มใบเรียงซ้อนกันจนเป็นก้อน ขนาด 0.5 ซม. ดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยวตามง่ามใบ ผลรูปรีกลม กว้าง 1-1.3 ซม.ยาว 2-2.5 ซม.ปลายหยักเป็นติ่งแหลม  มีเมล็ดเดี่ยวยาว 35 - 45 มม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา พืชอาจมีคุณสมบัติเป็นยา เมล็ดและเปลือกไม้มีสรรพคุณทางยาในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง(ในฐานะ Cephalotaxus mannii โดยมี Cephalotaxus griffithii ที่ระบุว่าเป็นคำพ้องความหมาย)
-วนเกษตรใช้ ปลูกเป็นรั้วที่ดีมากทนต่อการตัดแต่งกิ่ง ป้องกันความเสี่ยงในตำแหน่งที่ร่มรื่น
-ใช้อื่น ๆ ไม้คุณภาพสูงทนทานต่อแมลง เนื้อไม้เนียนสวยเหมาะสำหรับทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพงานฝีมือดี แต่เนื่องจากเป็นไม้หายากและไม่เป็นที่รู้จัก จึงไม่ค่อยนำมาใช้ประโยชน์ ไม้ยังใช้ทำฟืน
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามที่อยู่อาศัยมีการลดลงเนื่องจากการกวาดล้างป่าเพื่อขยายพื้นที่การเกษตร จัดอยู่ในIUCN Red List ประเภท 'ใกล้สูญพันธุ์'  
สถานะการอนุรักษ์---EN - ENDANGERED - IUCN Red List of Threatened Species.2013
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-เดือนมีนาคม/ผลแก่---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
 

พรหมขาว/Mitriphora alba

ชื่อวิทยาศาตร์---Mitrephora alba Ridl.(1915)
ชื่อพ้อง----This name is unresolved. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2365331
ชื่อสามัญ---Mitrephora
ชื่ออื่น---พรหมขาว; [THAI: Phrom khao (General).]
EPPO Code---MZTSS (Preferred name: Mitrephora sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย ไทย
Mitrephora alba เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2458
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและมาเลเซียพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของไทย ค้นพบครั้งแรกในปีพ.ศ.2458 ที่เกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันมีรายงานการค้นพบที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และพังงาที่ระดับความสูง 50-200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง 5-8เมตร ทรงต้นแตกกิ่งน้อยทรงพุ่มโปร่ง ปลายกิ่งห้อยลู่ลง เปลือกลำต้นเรียบสีดำ กิ่งอ่อนสีน้ำตาลและมีขนอ่อนปกคลุม มีช่องอากาศสีขาวเป็นจุดๆ แตกกิ่งน้อย ใบรูปรี กว้าง 4.5-6 ซม.ยาว 10-14 ซม.โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบบางเหนียวคล้ายแผ่นหนังสีเขียวเข้มเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบเห็นไม่ชัดเจน ออกดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 1-3 ดอก ออกตามกิ่งแก่ตรงข้ามใบ กลีบเลี้ยงรูปไข่สีเขียว กลีบดอกเรียงเป็น 2 ชั้น ชั้นนอกสีขาวชั้นในสีม่วงอ่อน ดอกบานอยู่ได้ 1-2 วัน มีกลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน เมื่อดอกใกล้โรยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ผลกลุ่ม มีผลย่อย 5-9 ผล ผลรูปทรงกระบอก ยาว 4-6 ซม.ผิวขรุขระเมื่อแก่สีเหลือง มี 6-8 เมล็ด สีขาวนวล กลมแบน ขนาด 5-7 มม.  
ใช้ประโยชน์--- นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกสวยงามแปลกตา กลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน
-อื่น ๆ Diterpenes ที่ออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สกัดจากกิ่งก้านมีรายงานว่ามีฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์ปานกลางในการทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอดของมนุษย์
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เสียบยอด และทาบกิ่ง (การเพาะเมล็ดใช้เวลา4-5ปีกว่าจะออกดอก การทาบกิ่งและการเสียบยอด จะออกดอกได้ภายใน 1 ปี)

พระเจ้าร้อยท่า/ Heteropanax fragrans


อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Heteropanax fragrans (Roxb. ex DC.) Seem.(1866)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List
---Basionym: Panax fragrans Roxb.(1832)
---Aralia fragrans (Roxb.) G. Don.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-98798
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พระเจ้าร้อยท่า (พิจิตร), ชะระกออาย่อ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) ; ตู๊เจ้าร้อยท่า (อุตรดิตถ์) ; พาเค (สงขลา) ; อ้อยช้าง (เชียงใหม่) ;[ASSAMESE: Keseru, Koroinga, Koronda.];[CHINESE: Huǎng sǎn fēng, Huǒ tōng mù.];[THAI: Phra chao roi thaa (Phichit); Cha-ra-ko-a-yo (Karen-Kanchanaburi); Tu chao roi thaa (Uttaradit); Pha khe (Songkhla); Oi chang (Chiang Mai).].
EPPO Code---HTNSS (Preferred name: Heteropanax sp.)
ชื่อวงศ์---ARALIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล ภูฏาน อินเดีย จีน พม่า ไทย ลาว เวียตนาม
Heteropanax fragrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Araliaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตจากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778-1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส.) ได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Berthold Carl Seemann (1825–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2409


ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายในจีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ยูนนาน) ภูฏาน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, พม่า, เนปาล, ไทย, เวียดนาม เติบโตตามธรรมชาติในป่าในภูเขาหุบเขาที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 1,000 เมตร. ประเทศไทยพบขึ้นประปรายในที่โล่งแจ้งระดับต่ำกว่า900เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นขนาดเล็กสูงประมาณ8เมตรลักษณะทรงต้น มักมีลำต้นเดี่ยวคล้ายปาล์ม ต้นอ่อนมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ก้านใบยาว 15-450 ซม.ใหญ่มาก ไม่มีหนาม ใบย่อยรูปไข่หรือขอบขนาน (3-) 5.5-13 × (1.5-) 3.5-6 ซม. ใบอ่อนมีขนรูปดาว ออกดอกขณะทิ้งใบ ผลขนาด 0.8 ซม. เป็น 2 พูแบนมีขนสีแดงรูปดาว ผลรูปไข่ขนาด 5-7 × 3-5 มม. บีบอัดด้านข้างเล็กน้อย ก้านผล0.8มม.หนา2-3มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ลำต้นและเปลือกรากใช้ทำยา ต้มน้ำดื่ม บำรุงกำลัง
-ใช้ปลูกประดับ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา
-อื่น ๆไม้ใช้ทำอุปกรณ์เครื่องดนตรี
ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

พรมคต/Heliciopsis terminalis 

อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี  
ชื่อวิทยาศาตร์---Heliciopsis terminalis (Kurz) Sleumer.(1955)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms
---Basionym: Helicia terminalis Kurz.(1877)
---Heliciopsis henryi (Diels) W.T. Wang    
---Heliciopsis lobata var. microcarpa C.Y. Wu & T.Z. Hsu      
---Helicia henryi Diels: Hand.-Mazz.
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พรมคต, เหมือดคนดง, เหมือดคนขาว, เหมือดตัวผู้ ;[CHINESE: Zhà sāi shù.];[THAI: Phrom kot.];[VIETNAM: Song quắn.].
EPPO Code---HIQTE (Preferred name: Heliciopsis terminalis.)
ชื่อวงศ์---PROTEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม จีน
Heliciopsis terminalis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เหมือดคน (Proteaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann Otto Sleumer (1906–1993) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในเยอรมัน ในปี พ.ศ.2498
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจาย ในจีน (ยูนนาน กวางตุ้ง กวางสี ไหหลำ) ภูฏาน อินเดีย ตะวันออกเฉียงเหนือพม่า ไทย กัมพูชาและเวียดนามตอนเหนือ  เกิดในป่าดิบชื้นเขตร้อนกว้างในหุบเขาหรือเนินเขาที่ระดับความสูง 50-700 (-1400) เมตร ประเทศไทยพบตามป่าดงดิบและป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 600-1,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง4-20เมตร กิ่งและใบอ่อนเป็นขนสีเทาสนิมจากนั้นค่อยหลุดร่วงไป ใบมีสองชนิดแผ่นใบบาง ก้านใบยาว 1-2.5 ซม. ใบเป็นรูปไข่หรือรูปขอบขนานยาว 15-35 ซม. กว้าง 4-10 ซม. ปลายแหลมยาวถึงเว้าสั้นโคนใบรูปลิ่มหรือเรียวด้านข้างเส้นใบที่เห็นได้ชัดทั้งสองข้างก้านใบของใบมีดยาว 4-5 ซม. โครงร่างเป็นรูปไข่เกือบยาว 25-55 ซม. กว้าง 15-50 ซม. มักจะแยก 3-5 คู่บางครั้งมี 3-7 คู่ (ใบของต้นอ่อนมีรูปร่างแตกต่างจากใบของ ต้นแก่  ใบของต้นอ่อนยาวถึง50ซม.แผ่นใบเป็นพูหยักลึก- ใบของต้นแก่ 20 x 7 ซม.ไม่มีพู ก้านใบ 1.5-4 ซม. ) ช่อดอกออกที่ซอกใบ ดอกไม้เพศเมียสมมาตรสดใส  ช่อดอกเพศผู้ยาว 10-24 ซม. มีขนยาว, ตาดอกเพศผู้เชิงเส้นมีความยาว 11-14 มม. สีขาวหรือสีเหลืองอ่อนอับเรณูยาวประมาณ 2.5 มมช่อดอกเพศเมียมีความยาว 15-22 ซม.และมีขนกระจัดกระจายก้านดอกเพศเมียยาว 8-10 มม.อับเรณูมีความยาวประมาณ 1.5 มม.ผลรูปรีอ่อนสีเขียว สุกสีเหลืองน้ำตาลแบบมีเนื้อขนาด3-4.2 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3 ซมไม่มีจุกมี 1-2 เมล็ดส่วนครึ่งบนของเมล็ดย่นออกเป็นพวง        
ใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นยา ในจีนใช้ใบ ราก ผลล้างความร้อนและล้างพิษ ในท้องถิ่น (กวางสี) ใช้ในการรักษาคางทูม ใบใช้ภายนอกเพื่อรักษาโรคผิวหนัง ในเวียตนามใช้เปลือกและใบ รักษาตับอ่อนอักเสบ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020            
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/ผลแก่---สิงหาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด


พริกนก/Orophea enterocarpa


ชื่อวิทยาศาตร์---Orophea enterocarpa Maingay ex Hook.f. & Thomson.(1872)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---จิงกล้อม (ชุมพร), พริกนก (ตรัง), กล้วยค่าง (ปราจีนบุรี), มะป่วน (ภาคกลาง), ดีปลีต้น, ปีบผล
EPPO Code---OOHSS (Preferred name: Orophea sp.)
ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ฟิจิ หมู่เกาะบิสมารค์, เกาะบอร์เนียว, ฟิจิ, แหลมมลายู, นิวกินี, ฟิลิปปินส์, เกาะโซโลมอน, เกาะสุลาเวสี, เกาะสุมาตรา, เวียดนาม
Orophea enterocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Alexander Carroll Maingay(1836 - 1869) นักพฤกษศาสตร์และแพทย์ชาวอังกฤษ จากอดีต Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2415
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเซีย แพร่กระจายใน เขตร้อนและฟิจิ หมู่เกาะบิสมารค์, เกาะบอร์เนียว, ฟิจิ, แหลมมลายู, นิวกินี, ฟิลิปปินส์, เกาะโซโลมอน, เกาะสุลาเวสี, เกาะสุมาตรา, เวียดนาม ในประเทศไทยพบกระจายพันธุ์ทางภาคใต้และทางภาคตะวันออก โดยจะพบขึ้นในป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง 4-7 เมตร ใบรูปรีกว้าง 4-7 ซม.ยาว 12-20 ซม.กลีบดอกชั้นนอกสีขาว ชั้นในประกบกัน สีขาวและมีแต้มสีม่วงแดง ไม่มีกลิ่นหหอม ขนาดดอก 1.5-2 ซม.ผลเป็นผลกลุ่ม ผลย่อยรูปทรงกระบอกปลายแหลมกว้าง1ซม.ยาว 3.5-8 ซม.เมื่อสุกสีแดงเข้มคล้ายพริก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินร่วนระบายน้ำดี ความชื้นสูงและอยู่ภายใต้ร่มเงา
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เปลือกไม้ช่วยแก้เลือดร้ายในเรือนไฟหลังสตรีคลอดบุตร
ใช้ปลูกประดับ---มีการคัดเลือกต้นที่นำมาปลูกให้เป็นไม้ประดับต้นเตี้ยและให้ออกดอกตลอดปี
ระยะออกดอก/ติดผล---ในถิ่นกำเนิดออกดอกช่วงต้นฤดูฝน
ขยายพันธุ์---ด้วยวิธีทาบกิ่ง โดยใช้พริกเหลือง (O. cuneiformis) เป็นต้นตอ


พลองกินลูก/Memecylon ovatum


อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Memecylon ovatum J.E.Smith.(1812)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Memecylon ferreum Blume.(1812)
---Memecylon laxiflorum Wall.(1831)
---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:571737-1
ชื่อสามัญ---Delek air tree, Ironwood tree.
ชื่ออื่น---พลองกินลูก, พลองใหญ่ (ประจวบคีรีขันธ์) ;[HINDI: Anjan, Kaya.];[MARATHI: Anjan.];[MALAYALAM: Kanjavu.];[ORIYA: Neymaru.];[PHILIPPINES: Kolis, Bayan, Gisian (Tag.).];[TEUGU: Mandi, Lakhone.];[THAI: Phlong kin look, Phlong Yai.].
EPPO Code---MMCSS (Preferred name: Memecylon sp.)
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
Memecylon ovatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJames Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2355
ที่อยู่อาศัย ป่าเต็งรังที่ลุ่มชายฝั่ง บนสันเขาบนยอดเขาหินปูน มักจะอยู่เป็นสังคม ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งและป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก จนถึงภาคกลางตอนล่าง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึง400เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูง 5-7 เมตร ลำต้นตรงสูง 8 -14 เมตร แตกกิ่งน้อยเรือนยอดกลมโปร่ง เปลือกสีน้ำตาลอมดำ แตกเป็นสะเก็ดบางและเป็นร่องตื้นตามยาวของลำต้น ใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้าม รูปไข่ป้อม ขนาดของใบกว้าง 4-6 ซม.ยาว 8-12 ซม. โคนใบมน ปลายใบแหลมเรียวเว้าเป็นติ่งสั้น ขอบใบเรียบ เนื้อใบหนาสีเขียวเข้มและเกลี้ยงทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบด้านบนเป็นร่องตื้นๆ ดอกมีกลิ่นหอมจางๆ ออกเป็นช่อกระจุกซ้อน ยาว3-4 ซม. ขนาดดอกประมาณ7 มม.มี 4 กลีบออกตามกิ่งเหนือรอยแผลหรือตามซอกใบ ดอกอ่อนสีชมพูขณะบานเต็มที่ มีสีม่วงอมน้ำเงิน ดอกบานพร้อมกันเกือบทั้งต้น ผลกลมมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 7-10 มม.สุกสีม่วงแดงดำมีเนื้อบางๆหุ้ม  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญได้ดีในที่ที่มีแสงแดดรำไร และค่อนข้างชื้น ขึ้นได้ในดินทุกชนิด พืชมีอลูมิเนียมในใบทำให้สามารถเติบโตในดินกรดที่อุดมด้วยอลูมิเนียมซึ่งเป็นพิษสำหรับสายพันธุ์อื่น ๆ
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้
-ใช้กิน ผลสุกเนื้อหุ้มเมล็ดรสหวานกินได้
-ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านใช้ยาต้มของราก ใช้สำหรับการผิดปกติของประจำเดือนที่มีมากเกินไป น้ำคั้นใบ ใช้เป็นยาสมานแผล และยาต้านจุลชีพ  การแช่จะใช้เป็นการล้างในการรักษา เยื่อบุตาอักเสบ ในอินเดียใช้ใบในการรักษาโรคหนองใน
-อื่น ๆเนื้อไม้เหนียวหนักแข็งแรงและยืดหยุ่นมากใช้ทำอุปกรณ์การเกษตร และใช้เป็นเชื้อเพลิง -ใบอุดมไปด้วยอลูมิเนียมและใช้เป็น mordant ก่อนทำการย้อมสี เช่น ในฟิลิปปินส์ใช้เมื่อระบายสีเส้นใยของปาล์ม
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species. 2019
ระยะออกดอก--- เมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด 

พลองขี้ควาย/Memecylon caeruleum

อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึหษา---หนังสือ คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช  เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล, อนันต์ พิริยะภัทรกิจ            
ชื่อวิทยาศาตร์---Memecylon caeruleum Jack.(1820)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-50309315
---Memecylon cyanocarpum C.Y.Wu ex C.Chen.(1979)
---Memecylon floribundum Blume.(1851)
ชื่อสามัญ---Blue strawberry flowers
ชื่ออื่น---พรม, พลองขี้ควาย, พลองแดง, พลองขี้ไต้ (ประจวบคีรีขันธ์), พลองขี้นก (ลำปาง), พลองยอดแดง (กลาง) ; [CHINESE: Tian lan gu mu.];[INDONESIA: Dalek ayer.];[THAI: Phrom, Phlong khi kwai, Phlong khi tai, Phlong khi nok, Phlong daeng, Phlong yot daeng.].
EPPO Code---MMCCE (Preferred name: Memecylon caeruleum.)
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ กัมพูชา ไทย ลาว เวีบตนาม
Memecylon caeruleum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Jack (1795–1822) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363
ที่อยู่อาศัย พบใน จีน (ไหหลำ, ทิเบต, ยูนนาน), กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ไทย, ลาว, เวียดนาม ตามป่าโปร่งไปยังป่าทึบที่ะดับความสูง 900-1200 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าดิบแล้งบริเวณที่มีต้นไม้อื่นขึ้นอยู่หนาแน่น บริเวณที่ค่อนข้างแล้งและร่ม ที่ระดับความสูง 10-400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กสูง 3-6 (-12)  เมตร  ลักษณะทรงต้น เรือนยอดกลมแตกกิ่งน้อย เปลือกนอกสีน้ำตาลอมดำ แตกเป็นสะเก็ดหรือเป็นร่องตื้นตามยาวของลำต้น เปลือกบาง ต้นที่ขึ้นอยู่ในบริเวณหนาแน่นลำต้นมักไม่ตั้งตรง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง3-4ซม.ยาว5-7ซม.ก้านใบ 5-10 มม โคนใบมนปลายใบแหลม ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน เนื้อใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้ม ดอกช่อ แบบซี่ร่มสีม่วง-น้ำเงิน มีดอกย่อยจำนวนมากกลีบดอกสีขาวกรือเขียวแกมเหลือง ผลกลมขนาด5-8มิลลิเมตร ผลสดตอนยังอ่อนสีชมพูถึงสีแดงเข้ม เมื่อสุกสีม่วงดำหรือน้ำเงินปนดำ ผลขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง1-1.5ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ราก ใช้เป็นยาแก้ผิดสำแดง แก้อาหารเป็นพิษ เป็นยาสมาน
-อื่น ๆเนื้อไม้เหนียวมาก ใช้ทำอุปกรณ์การเกษตร ผลเป็นอาหารสัตว์
ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

พลองเหมือด/Memecylon edule


อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Memecylon edule Roxb.(1795)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3866993
---Memecylon globiferum Wall.(1831)
---Memecylon pyrifolium Naudin.(1835)
---Memecylon umbellatum Blume.(1852)
ชื่อสามัญ--Kaayam Tree. Delek air.Iron-wood tree.
ชื่ออื่น---พลองเหมือด (ภาคกลาง), พลองดำ (ประจวบคีรีขันธ์), เหมียด (สุรินทร์) ;[CAMBODIA: Phlongchour(Central Khmer).];[MYANMAR: Byin-gale, Lee-ko-kee, Me-byaung, Miat, Mi-nauk.];[THAI: Phlong hmueat, Plong dam.].
EPPO Code---MMCED (Preferred name: Memecylon eduleใ)
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
Memecylon edule เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2338
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา อินโดจีนจนถึงแหลมมลายูเกาะบอร์เนียว เติบโตในป่าเต็งรังที่ยังไม่ถูกรบกวนเปิดโล่ง ป่าพรุชายฝั่ง ป่ากึ่งภูเขา มักจะอยู่ในแหล่งลุ่มน้ำใกล้กับแม่น้ำและลำธาร แต่ก็พบได้ทั่วไปในเนินเขาและสันเขามักจะอยู่ในดินทรายที่ระดับความสูงถึง 1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 5-7เมตร  เปลือกของลำต้นขรุขระเป็นร่อง มีสีน้ำตาลดำ ใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบรูปวงรีคล้ายโล่ แผ่นใบเรียบเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ม้วนขึ้นเขาหาเส้นกลางใบเล็กน้อย ปลายใบแหลม ขอบใบขนาน ความกว้างของใบประมาณ 2-3 ซม. และยาวประมาณ 3-5ซม. ดอกออกเป็นช่อกระจุกตามปลายกิ่งดอกตูมสีชมพูเมื่อบานเป็นสีม่วงแกมน้ำเงิน ผลติดอยู่ตามปลายกิ่ง ผลเป็นผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีม่วงเกือบดำ ข้างในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้และผลไม้ที่กินได้ซึ่งใช้ในท้องถิ่น และนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้กิน ผลมีรสฝาดหวาน กินเป็นผลไม้ ยอดอ่อนกินเป็นผักสด
-ใช้เป็นยา  เปลือกต้นใช้รักษาแผลฟกช้ำ ดอกไม้ใช้ในการรักษาอาการอักเสบของเยื่อบุ  รากหรือลำต้นใช้ต้มรักษาโรคกระเพาะอาหาร หรือต้มผสมกับยาอื่น รักษาโรคหืด น้ำยางจากลำต้นนำมาใช้ทาส้นเท้าเพื่อลดรอยแตกได้ พลองเหมือดมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรใช้บำรุงเลือด บำรุงน้ำนม เมื่อนำไปผสมกับเหมือดโลดใช้ปรุงเป็นยาแก้ไข้ป่า น้ำต้มต้น,ใบดื่มแก้ขัดเบา
-อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนเนื้อแข็งและแน่นใช้สำหรับเสาบ้านและสร้างเรือ -ใช้เป็นเชื้อเพลิงทำเป็นถ่านได้ดี -ใบอุดมไปด้วยอลูมิเนียมและมีการใช้แบบดั้งเดิมเป็น mordant สำหรับการแก้ไขสีของสีย้อม สีเหลืองและสีแดงเข้มสามารถสกัดได้จากใบและดอก มันสามารถใช้สำหรับการย้อมผ้าฝ้ายและสินค้าทอเช่นเสื่อ  กิ่งและลำต้นทำเป็นน้ำด่างใช้แช่ไหมและฝ้ายก่อนย้อม สามารถสกัดสีเหลืองออกมาได้- ใบเมื่อนำมาเคล้ากับพริกแล้วตากแดดช่วยให้พริกสีสด ป้องกันไม่ให้แมลงมาเจาะพริกแห้ง
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน - มิถุนายน/มิถุนายน - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง

พลองแก้มอ้น/Memecylon lilacinum

ชื่อวิทยาศาตร์---Memecylon lilacinum Zoll. & Moritzi
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-20304644
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พลองแก้มอ้น (ชุมพร); กำขำ (ภาคใต้); พลองใบเอียด (ตรัง); พลองใบใหญ่ (กลาง); [THAI: Phlong bai yai, Phlong pleauk bang.]; [VIETNAM: Sầm láng.]
EPPO Code---MMCSS (Preferred name: Memecylon sp.)
ชื่อวงศ์---MELASTOMATACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียตนาม
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Memecylon มาจากคำว่า "memaecylon '' ตามนักปรัชญากรีกโบราณDioscoridesและPliny ใช้เพื่ออธิบายผลไม้สีแดงของ Arbutus unedo (ต้นสตรอเบอร์รี่ตะวันออก) ซึ่งเป็นกลุ่มพืชอิสระที่พาดพิงถึงผลเบอร์รี่สีชมพูถึงสีแดง มักผลิต โดยMemecylon
Memecylon lilacinum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โคลงเคลง (Melastomataceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Heinrich Zollinger (1818 –1859) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและAlexandre Moritzi (1806-1850) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวิสในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพบในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียตนาม พบขึ้นทั่วไปในป่าดิบชื้นและป่าชายหาด
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-15 เมตร ลักษณะทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่ม ทรงสูงหรือค่อนข้างกลม ลำต้นเป็นร่องตื้นๆ เปลือกเรียบถึงเป็นร่องตื้นตามยาวหรือล่อนเป็นแผ่นบางสีเทาแกมน้ำตาลอ่อน เปลือกชั้นในสีน้ำตาล ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้ามเป็นระนาบเดียวกันแผ่นใบรูปไข่ถึงรูปไข่แกมรูปใบหอก ขนาด2-4x3-9ซม.ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนังดอก เป็นช่อกระจุกแน่นออกตามง่ามใบหรือข้อ ดอกย่อยขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลาง0.3-0.5ซม. สีม่วงถึงน้ำเงิน กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวยปลายแยกเป็นแฉกเล็กๆ4แฉก กลีบดอก4กลีบ รูปไข่ปลายแหลมแยกจากกัน โคนกลีบคอดเข้าหากันเป็นก้านสั้น แผ่นกลีบบางโค้งกลับ หลุดร่วงง่ายผลแบบมีเนื้อ รูปทรงค่อนข้างกลมปลายตัดมีก้านเนื้อผลบางขนาด0.8-1.2ซม. ผลแก่สีม่วงดำมีเมล็ดแข็งขนาดใหญ่1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาพื้นบ้านทางภาคอีสานจะใช้ลำต้นพลองใบใหญ่นำมาต้มกับน้ำดื่มเป็นยาขับประจำเดือนของสตรี
ระยะออกดอก---เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

พลับเขา/Diosperos undulata var.crataricalyx

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Diospyros undulata Wall. ex G.Don var. cratericalyx (Craib) Bakh
ชื่อพ้อง---This name is a synonyms of Diospyros undulata Wall. ex G. Don.(1837)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---คำดีควาย ดูกค่าง หม้าย ไหม้ (ภาคใต้); จะเพลิง(จันทบุรี); สล่าง สะลาง (ชลบุรี); สล่าง (ปราจีนบุรี) ตะโกดำ ตาโกดำ (ตราด); พลับเขา (สุราษฎร์ธานี); กระดูกค่าง; [THAI: Plub khao, Sa-lang, Dook kang.].
EPPO Code---DOSSS (Preferred name: Diospyros sp.)
ชื่อวงศ์---EBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า หมู่เกาะอันดามัน คาบสมุทรมาเลย์ ฟิลิปปินส์
Diospyros undulata var. cratericalyx อยู่ในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)
ที่อยู่อาศัย พบใน พม่า หมู่เกาะอันดามัน คาบสมุทรมาเลย์ ฟิลิปปินส์ ในประเทศไทย เป็นไม้ถิ่นเหนือ พบทั่วไปในป่าดิบหรือป่าดิบชื้น ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 30-600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 4-8 เมตร เปลือกสีดำค่อนข้างเรียบ ใบเดี่ยวขนาด 12-25 x 3-9 ซม. เรียงสลับ รูปขอบขนาน หรือรูปใบหอก ปลายทู่ หรือหยักคอดเป็นติ่งแหลม โคนสอบมน ยอดใบอ่อนมีขนประปรายสีน้ำตาลอ่อน ใบแก่หนาเรียบเกลี้ยงทั้ง2ด้าน ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น(dioecious) ดอกเพศผู้ออกรวมกันเป็นช่อสั้นๆ ตามง่ามใบ กลีบเลี้ยง และกลีบดอกมีอย่างละ 4-5 กลีบ กลีบเลี้ยงโคนติดกันเป็นรูปถ้วยปากกว้าง กลีบดอกโคนติดกันเป็นหลอด เกสรเพศผู้ 12-18 อัน รังไข่ไม่สมบูรณ์มีขนประปราย ดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดี่ยว ๆ ลักษณะคล้ายกับดอกเพศผู้แต่ขนาดใหญ่กว่า ทั้งกลีบเลี้ยง และกลีบดอกมีอย่างละ 4-5 กลีบ เกสรเพศผู้ไม่สมบูรณ์ 4-8 อัน ผลกลม ฐานมน ปลายมน หรือป้าน ผลขนาด1.5-2.6ซม.รูปไข่เกือบกลม ผลติดอยู่บนกลีบเลี้ยง รูปถ้วย กลีบเลี้ยงเมื่อยังอ่อนมีขนคล้ายเส้นไหมทั้งด้านนอก และด้านใน ขนด้านในจะติดอยู่จนกระทั้งผลแก่ ปลายกลีบเลี้ยงโค้งออก พื้นกลีบไม่จีบ และไม่มีเส้นลายกลีบ
ใช้ประโยชน์--- ไม้ใช้ทำตู้เสื้อผ้า และสิ่งก่อสร้างทั่วไป
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/ผลแก่ --หลังออกดอกประมาณ 4 เดือน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

พะวา/Garcinia speciosa


ชื่อวิทยาศาตร์--- Garcinia celebica L.(1754).
ชื่อพ้อง---Has 20 Synonyms
---Garcinia cornea Linnaeus.(1774)
---Garcinia ferrea Pierre.(1882)
---Garcinia hombroniana Pierre.(1883)
---Garcinia rumphii Pierre.(1883)
---Garcinia speciosa Wallich.(1832)
------More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2816754
ชื่อสามัญ--Seashore Mangosteen
ชื่ออื่น---มะป่อง (ภาคเหนือ), สารภีป่า (ภาคกลาง, เชียงใหม่), มะระขี้นก มะดะขี้นก (เชียงใหม่), ขวาด (เชียงราย), กวักไหม หมากกวัก (หนองคาย), ชะม่วง (พิจิตร), วาน้ำ (ตรัง), กะวา พะยา (สุราษฎร์ธานี); [THAI: Ma pong, Pha-wa, Saraphee paa.].
EPPO code---GANCE (Preferred name: Garcinia celebica.)
ชื่อวงศ์---CLUSIACEAE (GUTTIFERAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย, กัมพูชา, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, นิวกีนี, ออสเตรเลีย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุลGarcinia จากภาษาละติน ตั้งเพื่อระลึกถึง Laurent Garcin (1683-1751) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางอย่างกว้างขวางในอินเดีย
Garcinia celebica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด (Clusiaceae) หรือ (Guttiferae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2297
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาะบอร์เนียวทางตอนเหนือของออสเตรเลียขึ้นทั่วไปในป่าดงดิบและพบประปรายในป่าเบญจพรรณชื้น มักจะอยู่บนเนินเขาและสันเขา ป่าเขตร้อนชื้นและป่าดิบชื้นระดับต้นถึงระดับความสูง 1,400 เมตร
ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ และทางภาคใต้ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลปานกลางจนถึง 700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้น สูงประมาณ 8-15 เมตร ไม่ผลัดใบ ลำต้นเปลาตรง กิ่งแขนงตั้งฉากกับพื้น ปลายกิ่งห้อยลง เปลือกต้นบางมากสีน้ำตาลเข้มแตกสะเก็ดมียางสีเหลือง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามกว้าง3-7ซม. ยาว11-22ซม.สอบแคบที่ปลายทั้งสองด้าน ขอบใบเรียบ ใบแห้งสีน้ำตาลแดงมีคราบขาวใต้ท้องใบ ดอกแยกเพศออกปลายกิ่งสีเหลืองอ่อนออกเขียว ช่อละ4-5ดอก กลีบดอกแข็ง 4 กลีบ ผลกลมหรือรูปไข่ ขนาด 5 ซม.คล้ายมังคุดแต่เล็กกว่า มีกลิ่นคล้ายแอปเปิ้ล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งแสงแดดจัด ดินชื้น ดินระบายน้ำดี ดินเค็ม / สเปรย์เกลือ ดินร่วนอุดมสมบูรณ์
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้ มีการเพาะปลูกเป็นสวนไม้ผลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพืชเชิงพาณิชย์ที่มีศักยภาพผ่านการปรับปรุงโดยการคัดเลือกพันธุ์
-ใช้กิน ผลกินเป็นผลไม้ รสเฝื่อนออกเปรี้ยว กินมาก ๆ อาจท้องเสีย ผลไม้ - ดิบ ทำเป็นผลไม้ดอง
-ใช้เป็นยา เปลือกผลแก้ท้องเสีย ใบแห้งต้มน้ำกินเป็นยาระบายอ่อน ๆ ดอกแห้งรักษาลมและโลหิตพิการ ดอกต้มน้ำกินช่วยทำให้เจริญอาหาร ใช้รากและใบเพื่อบรรเทาอาการคัน
-ใช้ปลูกประดับ เหมาะสำหรับปลูกริมถนน สวนสาธารณะ สวนทั่วไป และพื้นที่ชายฝั่งทะเล/สวนสาธารณะเพื่อให้ร่มเงา
--อื่น ๆ ไม้หนัก ลายไม้ชิดกันเสี้ยนไม้ละเอียด สีน้ำตาลแดง และได้รับความนิยมสูง ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างทั่วไป ใช้ทำด้ามอุปกรณ์ต่าง ๆ -ถูกใช้เป็นต้นตอเสียบยอดมังคุด
การใช้ชาติพันธุ์วิทยา---วัฒนธรรม / ศาสนา ( ต้นไม้แห่งมรดก : ปัจจุบัน Garcinia hombroniana ระบุว่าเป็นต้นไม้มรดกในสิงคโปร์ มีอยู่ 1ต้น สามารถพบได้ในเกาะเซ็นโตซ่า หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับต้นไม้นี้ โปรดไปที่ทะเบียนต้นไม้มรดก)
สถานะการอนุรักษ์ในท้องถิ่น---ในสิงคโปร์ [ใกล้สูญพันธุ์ (EN).]
ระยะออกดอก2ครั้ง--- มกราคม- มีนาคม และ กรกฎาคม--กันยายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง

พิกุลป่า/Adinandra integerrima


ชื่อวิทยาศาตร์---Adinandra integerrima T. Anders.ex Dyer.(1874)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Adinandra dasyantha Choisy.(1855)
---Adinandra dumosa S.Vidal.(1883)
---Adinandra hullettii King.(1890)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2622812
ชื่อสามัญ---Samak, Tiup-tiup tree.
ชื่ออื่น---พิกุลป่า, ตีนต่างฟ้า, เทียนแดง, ประดงขอ, เมี่ยงมัน, เหมือด(เลย); ตีนจำดง, บ้งนา,โป้งนา (เพชรบูรณ์); บำรำ (สุราษฎร์ธานี); โปรงบก (ตราด); หลุกตอก (ตรัง); [CHINESE: Yè yáng tóng, Quán yuán yè yáng tóng.];[MALAYSIA: Kandis Burong, Samak, Tetiup, Tiup-tiup.];[THAI: Pi kun paa,Tin tang fa.];[VIETNAM: Súm nguyên, Súm lông, Ngầu nền xà.].
EPPO Code---AIYDU (Preferred name: Adinandra integerrima.)
ชื่อวงศ์---THEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, พม่า, ไทย, กัมพูชา, เวียดนามและมาเลเซีย
Adinandra integerrima เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชา (Theaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Thomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย.จากอดีต Robert Allen Dyer (1900–1987)นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวแอฟริกาใต้ในปี พ.ศ.2417
ที่อยู่อาศัย พบในจีน, พม่า, ไทย, กัมพูชา, เวียดนามและมาเลเซีย ขึ้นกระจายในป่าไม้ในหุบเขาหรือบนเนินเขาที่ระดับความสูง 700 -1,900 เมตร ในประเทศไทยพบตามป่าดิบ ที่ระดับความสูง 600-1,500 เมตร
*ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง สูงประมาณ 5-15 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปหอกแกมขอบขนาน กว้าง 2.5-4 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบสอบมน ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 3-7 มม. ดอกสีชมพู ออกเดี่ยวๆ ก้านดอกมักโค้ง ยาว 2.5-5 ซม. กลีบรองดอกรูปไข่กว้าง ปลายเป็นสามเหลี่ยม มีขนละเอียดเหมือนเส้นไหมปกคลุมอยู่หนาแน่น กลีบดอก 5 กลีบ รูปหอก ยาว 1-1.5 ซม. เกสรผู้ 30-40 อัน ผลเป็นผลสด รูปกรวยคว่ำ มีขนนุ่มคลุมทั่วไป ขนาด 1.5-2 ซม *[.http://www.qsbg.org/Database/BOTANIC--ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์]
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ซึ่งใช้เฉพาะถิ่น เนื้อไม้สีแดงใช้สำหรับทำมือจับและเกวียน
-ใช้เป็นยา ดอกแห้งนำมาบดเป็นผงมีกลิ่นหอมเข้ายาบำรุงหัวใจ ดอกนำมาต้มน้ำดื่มแก้เจ็บคอ เปลือกต้นอมกลั้วคอแก้โรคเหงือกอักเสบ เนื้อไม้ที่ราลง (ขอนดอกพิกุล) นำมาต้มน้ำดื่มใช้บำรุงตับ ปอด และบำรุงครรภ์ -ในเวียตนาม ใบใช้พอกข้อเท้าแพลง และงูกัด
-อื่น ๆ เป็นพันธุ์ไม้ป่าของไทย ที่ยังไม่ได้ศึกษาการใช้ประโยชน์อื่น ๆ
ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

พังคีต้น/Lophopetalum duperreanum

ชื่อวิทยาศาตร์---Lophopetalum duperreanum Pierre.(1895).This name is unresolved.  
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2339051
---Solenospermum duperreanum (Pierre) Tardieu.(1949).Unresolved
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พังคีต้น พังคีใหญ๋ (นครราชสีมา), ซี, พะเนียงหัด (อุบลราชธานี), สองสลึง, ยายบู่ (ชลบุรี, พิษณุโลก) , ผีเสื้อดง (เชียงใหม่); [MALAY: Mata ulat,];[THAI: Phangkhi ton, Phangkhi yai, Zee, Phsniang hat, song slueng, Yai boo, Phi suea dong.];[VIETNAM: Sang trang.]
EPPO Code---LHPDU (Preferred name: Lophopetalum duperreanum.)
ชื่อวงศ์---CELASTRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บรูไน พม่า อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย เวียดนาม
Lophopetalum duperreanum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระทงลาย (Celastraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2338
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินโดจีนโอเชียเนียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นผลัดใบสูง 8-15 เมตร ลำต้นเปลาตรงเปลือกนอกสีเทาค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ขอบใบเรียบเนื้อใบหนาเกลี้ยงทั้งสองด้าน ก้านใบอ่อนสีแดง ดอก ช่อออกแบบช่อแยกแขนง ออกตามปลายยอด ดอกย่อยขนาดเล็กสีขาว  ผลหยักตามแนวยาวเป็น 3 พู ผลแก่สีน้ำตาลแดง เมื่อแห้งแตกตามรอย
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัด ขึ้นได้ดีในดินร่วนซุยมีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนใบอ่อนกินเป็นผัก รสฝาดมัน
-อื่น ๆ ไม้ใช้สร้างเรือ, กล่องและลัง, ไม้อัดตกแต่ง, พื้นในประเทศ, ส่วนประกอบเฟอร์นิเจอร์,
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฏาคม/สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

พันจำ/Vatica odorota

ภาพประกอบการศึกษา-คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช  เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ
ชื่อวิทยาศาตร์--- Vatica odorota (Griff.) Symington.(1941)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Basionym: Sunaptea odorata Griff.(1854)
---Anisoptera odorata (Griff.) Kurz.(1872)
---Vatica grandiflora Dyer.(1874)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2459105
ชื่อสามัญ---Resak.
ชื่ออื่น---พันจำ(ทั่วไป); ยางหนู (แพร่); ซี (อุบลราชธานี); สัก (สุราษฎร์ธานี); สักเขา (ตรัง); ขี้มอด, ชัน (ปราจีนบุรี); ด่าง (น่าน); ตำเสา (ภาคใต้); หางหนู ;[CAMBODIA: Chr measa (Central Khmer).];[MALAYSIA: Resak, Resak Biabas, Resak Ranting Kesat.];[THAI: Phan cham, Yang hnu, Sak, Sak khao, Khi mot, Chan, Dang, Tam sao, Hang hnu.].
EPPO Code---VTCOD (Preferred name: Vatica odorata.)
ชื่อวงศ์---DIPTEROCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ เวียดนาม กัมพูชา ลาว ไทย พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'odorata' ในภาษาละตินหมายถึง 'กลิ่นหอม' อ้างอิงถึงกลิ่นหอมของดอกไม้
Vatica odorota เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ยางนา (Dipterocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Colin Fraser Symington(1905–1943) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2484
มีสองชนิดย่อย คือV. odorata subsp. odorataและV. odorata subsp. mindanensis


ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายจากประเทศจีนไปยังอินโดจีนไปยังมาเลเซีย ที่อยู่อาศัยเป็นป่าเต็งรังผสม  ป่าดิบและกึ่งป่าดิบชื้นบนดินทรายหรือบนดินลุ่มน้ำเก่าและในป่าเปิด จากระดับน้ำทะเลถึงระดับความสูง 300-900 (-1,900 )เมตร ในประเทศไทยสามารถพบเห็นได้ทั่วทุกภาค
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูงขนาด 5-15 (-40) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นสูงได้ถึง 60 ซม.ลักษณะคล้ายกับต้นจันทร์กะพ้อ เปลือกต้นสีเทาค่อนข้างเรียบแตกกิ่งก้านมากทรงพุ่มกลมทึบ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับตรงข้ามกัน ตามกิ่งก้านและปลายยอด ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ รูปขอบขนาน หรือรูปทรงรี โคนใบมน ปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ ค่อนข้างหนา มีสีเขียวเป็นมัน ขอบใบเรียบ มองเห็นเส้นแขนงใบได้ชัดเจน มีขนาดความกว้างของใบประมาณ 2.5-5.5 ซม. ยาวประมาณ 7-16 ซม. มีขนอ่อนนุ่มปกคลุมบริเวณก้านใบ ก้านใบมีความยาวประมาณ 1-1.5 ซม.ออกดอกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อยาว 10-20 ซม.มีดอกย่อยจำนวนมาก ทยอยบาน กลีบดอกมี 5 กลีบ สีขาวนวลกลิ่นหอมอ่อนๆช่วงเย็นและโชยไปไกล ดอกบานเต็มที่ขนาด 1-1.5 ซม. ผล มีปีก สั้นๆจำนวน 3 ปีก โคนปีกเชื่อมติดกัน ปลายผลเป็นติ่งแหลม เปลือกผลมีสีน้ำตาลเป็นนวล ขนาดผลที่โตเต็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 5-7 ซม.  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เป็นพันธุ์ไม้ที่โตช้ามาก
ใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อเป็นไม้ที่มีค่า
-ใช้เป็นยา ใช้แก่นผสมแก่นมะเดื่อปล้อง แก่นกระบก แก่นปีบ และแก่นมะพอก ต้มน้ำดื่ม แก้ไอ
-ใช้ปลูกประดับ ปลูกเป็นไม้ประดับมีกลิ่นหอม
-อื่น ๆแก่นไม้มีสีน้ำตาล กระพี้สีเทาอมขาว ไม้เนื้อแข็งและหนักทนทานต่อปลวกและแมลง ใช้ในการก่อสร้าง สร้างหมอนรถไฟ สะพานเรือข้ามฟาก เนื้อไม้-มีความแข็งแรงทนทาน สามารถใช้ทำสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้ เช่น รอด ตง เสา หรือกระดาน ชันที่ได้จากเปลือกไม้-สามารถนำมาผสมกับน้ำมันใช้ทาไม้ให้เป็นเงา และใช้ยาแนวเรือได้
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.1998
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/มีนาคม-เมษายน  
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดและทาบกิ่ง

พุดโกเมน/Rothmannia longiflora

 

ภาพประกอบอ้างอิงเพื่อการศึกษา---Photograph by: International Institute of Tropical Agriculture
ชื่อวิทยาศาตร์---Rothmannia longiflora Salisb.(1807)
ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms
---Gardenia stanleyana Hook. ex Lindl.(1845)
---Randia maculata DC.(1830)
---Randia sapinii De Wild.(1910)
---Randia spathacea De Wild.(1910)
---Randia stanleyana (Hook. ex Lindl.) Walp.(1852)
---Randia thomasii Hutch. & Dalziel.(1931)
---Solena maculata (DC.) D.Dietr.(1839)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-180053
ชื่อสามัญ---Terompet Gading
ชื่ออื่น---พุดโกเมน ;[THAI: Phood komain.].
EPPO Code---RAAMA (Preferred name: Rothmannia longiflora.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปแอฟริกา
เขตกระจายพันธุ์---แกมเบีย ซูดาน เคนย่า แทนซาเนีย แองโกล่า
Rothmannia longiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ในสกุลสะแล่งหอมไก๋ (Rothmannia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Richard Anthony Salisbury (1761–1829)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2350


ที่อยู่อาศัย จากแกมเบียทางตะวันออกถึงซูดานและเคนยาและทางใต้สู่แทนซาเนียและแองโกลา ในป่าชั้นนต้นและป่าชั้นรองจากระดับน้ำทะเลสูงถึง 1,700 เมตร
ลักษณะ พุดโกเมนเป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 10 เมตร ใบรูปรียาว 6-18 เซนติเมตร ปลายแหลมยาว โคนรูปลิ่ม ก้านใบยาว 0.3-1 ซม. เส้นแขนงใบข้างละ 4-5 เส้น ดอกออกเดี่ยว ๆ ที่ปลายกิ่งสั้นด้านข้าง ก้านดอกยาวไม่เกิน 1 ซม.ใบประดับย่อยคล้ายเกล็ด 5-9 อัน หลอดกลีบเลี้ยงยาว 1-2 ซม.ดอกรูปแตรสีม่วงอมแดง มีปื้นสีเขียวด้านนอก ด้านในสีขาวมีจุดสีม่วงกระจาย หลอดกลีบดอกยาวได้ถึง 20 ซม. กลีบรูปไข่แกมรูปขอบขนานยาว 1-4 ซม. เกสรเพศผู้ติดบนปากหลอดกลีบดอก ก้านเกสรเพศเมียยาว 12-20 ซม. ยอดเกสรจัก 2 พู รูปกระบอง ยาวได้ถึง 3 ซม. ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอกเล็กน้อย ผลรูปรีกว้างยาว 3.5-7 ซม. มีสันตื้น ๆ 10 สัน ภายในมีเมล็ดแบน เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-8 มม.สีน้ำตาลแดง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกนั้นกินได้มันฉ่ำหวานและมีกลิ่นหอม เก็บมาจากป่าและมีการซื้อขายเฉพาะในพื้นที่เท่านั้น ในตลาดมักซื้อขายผลไม้โดยเอาเปลือกออกหรือแตกเป็นชิ้นที่มีเมล็ดติด
-ใช้เป็นยา มีคุณสมบัติเป็นยาแก้หวัดและยาแก้ปวด ยาต้มจากใบ กิ่ง เปลือกและราก ใช้ทาเป็นโลชั่น ล้าง และอาบน้ำทั้งภายในและภายนอก;- ในประเทศไนจีเรียมีการใช้รากเพื่อรักษาเกี่ยวกับลำไส้ ;-ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก มีการแช่รากเพื่อรักษาอาการฝีในลำคอ ปวดฟัน และโรคเรื้อน;- ในแอฟริกาตะวันตก เยื่อใบใช้เป็นยาสวนทวารกับอาการปวดไตและท้องเสียด้วยเลือด และว่ากันว่าการดื่มน้ำใบจะช่วยได้ในระหว่างการคลอดบุตร;-ในเซียร์ราลีโอนใบใช้รักษาโรคผิวหนังที่มีอาการคันและเนื้อผลไม้ได้รับการกล่าวขานว่ามีอาการอาเจียน;- ในสาธารณรัฐคองโก เมล็ดใช้รักษาแผล
-ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับสวนที่มีดอกขนาดใหญ่รูปทรัมเป็ตสีขาวหรือสีชมพูน่าดึงดูดและควรค่าแก่การปลูกเป็นไม้ประดับ
-อื่น ๆ ในประเทศไนจีเรีย สีย้อมและสารสกัดคล้ายหมึก ('katambiri') ทำมาจากเมล็ดที่บดละเอียด เพื่อให้สีย้อมและหมึกเข้มขึ้น มักใช้เพื่อทำเครื่องหมายสีน้ำเงิน-ดำบนมือ ใบหน้า และร่างกาย บางครั้งเพื่อเลียนแบบการสัก ไม้ใช้เป็นฟืน ทำด้ามเครื่องมือและช้อน
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---ติดผลประมาณ 3 เดือนหลังจากดอกบาน
ขยายพันธุ์---ขยายพันธุ์ได้ง่ายด้วยเมล็ด

พุดทุ่ง/Holarrhena curtisii

ชื่อวิทยาศาตร์---Holarrhena curtisii King & Gamble.(1908)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Holarrhena densiflora Ridl.(1911)
---Holarrhena latifolia Ridl.(1911)
---Holarrhena pulcherrima Ridl.(1911)
---Holarrhena similis Craib.(1913)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-99601
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---พุดป่า (ลำปาง), น้ำนมเสือ (จันทบุรี), พุดนา (ราชบุรี), นมราชสีห์, นมเสือ (พิษณุโลก), โมกเกี้ย, โมกเตี้ย (สระบุรี), ถั่วหนู, พุดน้ำ, หัสคุณใหญ่ (สุราษฎร์ธานี), หัศคุณเทศ (พังงา), สรรพคุณ (สงขลา), มูกน้อย, มูกนั่ง, มูกนิ่ง, โมกน้อย (ภาคเหนือ), พุดนา (ภาคกลาง), พุดทอง, โมกเตี้ย (ภาคใต้); [THAI: Phut thung, Phut na (Central, Rathcaburi); Thua nu, Phut nam, Hatsa khun yai (Surat Thani);  Nom ratchasi, Nom suea (Phitsanulok); Nam nom suea (Chanthaburi); Phut thong, Mok tia (Peninsular); Muk noi, Muk ning, Mok noi, Mok nang (Northern);  Phut pa (Lampang).]
EPPO Code--- 1HRHG (Preferred name: Holarrhena.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย กัมพูชา ลาว เวียตนาม มาเลเซีย
Holarrhena curtisii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดีย และ James Sykes Gamble (1847–1925) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2551
ที่อยู่อาศัย มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศเวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย จนถึงมาเลเซีย พบขึ้นทั่วไปบริเวณพื้นที่ดินทราย ป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าโกงกาง ป่าโปร่ง ป่าผลัดใบ ที่โล่งแจ้งค่อนข้างชื้นแฉะ ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค ตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงประมาณ 400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 2-5 เมตร ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาว กิ่งก้านมีขนเบาบางถึงหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตั้งสลับฉาก ใบรูปรีแกมขอบขนานถึงไข่กลับ กว้าง 2.5-5 ซม.ยาว 7-12 ซม.ปลายใบมนหรือเป็นติ่งหนาม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ผิวใบมีขนนุ่มทั้งสองด้าน ด้านล่างมักมีสีนวลกว่าด้านบน ก้านใบสั้นมากหรืออาจไม่มีเลย ดอก สีขาวนวลมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือซอกใบ ใบประดับขนาดเล็กแคบ ยาว 2-5 มม. กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เล็กแคบมีขนนุ่มปกคลุมทั้งสองด้าน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น5 แฉกรูปขอบขนานแกมไข่กลับ มีขนทั้งสองด้าน ผลเป็นฝักคู่รูปยาวตั้งขึ้น กว้าง 0.5-0.6 ซม.ยาว 22-28 ซม.แห้งแล้วแตก ตะเข็บเดียว เมล็ดสีน้ำตาล มีกระจุกขนสีขาวคล้ายเส้นไหม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแสงแดดจัดและที่ร่มรำไร ดินทรายความชื้นสูง
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา
-ใช้เป็นยา ใช้เปลือกและราก รักษาโรคบิด ต้นและรากมีรสร้อน มีสรรพคุณเป็นยาขับลม ช่วยกระจายเลือดลม ใช้เป็นยาขับพยาธิ ตำรายาไทยจะใช้ต้นและรากเป็นยาขับเลือดและหนองให้ตก ขับลม กระจายเลือดลม ขับพยาธิ เปลือกและราก แก้อาการท้องร่วง
-อื่น ๆ ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์--เมล็ด ตอนกิ่ง 

พุดนา/Gardenia hygrophilla

ชื่อวิทยาศาตร์--- Kailarsenia hygrophila (Kurz) Tirveng.(1983)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-105488
---Basionym: Gardenia hygrophila Kurz.(1872)
---Rothmannia hygrophila (Kurz) Bremek.(1957)
ชื่อสามัญ---Candlestick plant
ชื่ออื่น---พุดนา พุดน้ำ; [THAI: Phut naa, Phut naam.]
EPPO Code---1RUBF (Preferred name: Rubiaceae)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม มาเลเซีย
Kailarsenia hygrophila เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกาในปี พ.ศ.2526
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในอินโดจีนและมาเลเซีย ในประเทศไทยพบทางภาคกลางและภาคตะวันออกพบตามลานหินและป่าผลัดใบ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง1.5-2.5เมตร ลำต้นมักแตกกิ่งก้านระดับต่ำ ใบเดี่ยวรูปไข่กลับแกมหอกกลับ กว้าง1.2-2ซม. ยาว2.5-5ซม. โคนใบสอบรูปลิ่ม ปลายใบกลม ดอก สีขาวออกเป็นดอกเดี่ยวตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดแคบ ตอนปลายแยกเป็น 6กลีบ เกสรตัวผู้ไม่มีก้านเกสรอับเรณูสีเหลืองอ่อนอยู่บนคอกลีบดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ติดผล
ขยายพันธุ์---ด้วยการตอนกิ่ง

พุดหอมไทย/Rothmannia thailandica

ชื่อวิทยาศาตร์---Rothmannia thailandica Tirveng.(1983.)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-180081
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--  พุดหอม, พุดหอมไทย (ทั่วไป); [THAI: Phut hom, Phut hom thai.]
EPPO Code---RTJSS (Preferred name: Rothmannia sp.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Rothmannia thailandica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)สกุลสะแล่งหอมไก๋ (Rothmannia)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกาในปี พ.ศ.2526
ที่อยู่อาศัย พืชถิ่นเดียวของไทยพบทางภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นริมลำธารในป่าดิบแล้ง ความสูงถึง 400 เมตร เป็นพรรณไม้ที่ค้นพบครั้งแรกในประเทศไทยจากอุทยานแห่งชาติผาแต้ม อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็ก สูง 1-3 เมตร ใบรูปรี กว้าง 6-8 ซม.ยาว 10-16 ซม.ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเส้นแขนงใบเป็นร่องลึก ก้านใบสั้น ออกดอกคู่ที่ปลายยอด สีขาวกลิ่นหอมแรง โคนกลีบดอกเชื่อมกันเป็นหลอดยาว 4-6 ซม.กลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกด้านในมีลายจุดสีม่วงแดง เมื่อบานขนาดดอก 5-6 ซม.ดอกบานอยู่ได้ 2-3 วันจึงโรย ผลเดี่ยวทรงรีกว้าง 2.5-3ซม.ยาว3-4ซม.ปลายผลเรียวแหลม เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียว มีเมล็ดจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดจัด ชอบความชื้นค่อนข้างสูง มีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์  
ระยะออกดอก---มีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด และการทาบกิ่งซึ่งจะใช้สะแล่งหอมไก๋และหมักม่อเป็นต้นตอ

พุทราทะเล/Ximenia americana


ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
ชื่อวิทยาศาตร์---Ximenia americana L.(1753)
ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms
---Amyris arborescens P. Browne.(1756)
---Ximenia elliptica G. Forst.(1786)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2467228
ชื่อสามัญ---Hog Monkey Plum, Tallow wood, Tallow Nut, Yellow Plum, Sea Lemon, False sandalwood, Blue sourplum.
ชื่ออื่น---พุทราทะเล;[AFRIKAANS: Mutengeninyatwa (Shona), Umswanja (Ndebele); Blousuurpruim.];[ARGENTINA: Albaria, Albaricoque, Albarillo.];[BRAZIL: Ameixa, Ameixeira-do-campo, Espinha-de-maicha.];[COLOMBIA: Caimito de monte, Espino de brujo.];[CUBA: Yana.];[FRENCH: Citronnier de mer, Prunier de mer.];[KANNADA: Nagare.];[MALAYSIA: Bedara laut, Rukam laut (Malay).];[NICARAGUA: Manzana guayaba, Tigrito.];[PORTUGUESE: Ameixeira-do-brasil, Pau-cebo.];[SPANISH: Chocomico, Pepenance.];[SWEDISH: Talgnöt.];[THAI: Phut saa thalae.].   
EPPO Code---XIMAM (Preferred name: Ximenia americana.)
ชื่อวงศ์---OLACACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ทวีปแอฟริกา อนุทวีปอินเดีย อเมริกาใต้ เอเซีย
Ximenia americana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์น้ำใจใคร่ (Olacaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของแอฟริกา, อเมริกา,  เอเชียตะวันออก - อนุทวีปอินเดีย พบขึ้นตามป่าชายหาด บนพื้นที่ดินทรายหรือโขดหิน ตามรอยต่อระหว่างชายหาดกับป่าชายเลนหรือป่าละเมาะที่ระดับความสูงถึง 2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก ทรงต้นแผ่กิ่งก้านต่ำ สูง 3-8 เมตร เปลือกเรียบสีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนมีคอร์กเป็นสันสีน้ำตาลอมแดง และมีช่องอากาศกระจายอยู่ทั่วไป ปลายกิ่งมักงันเป็นหนามแข็งตรง หรือโค้งงอตามปลายกิ่ง ยาวประมาณ 1 ซม. ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับแผ่นใบรูปไข่ถึงรูปไข่กว้าง ขนาด2-4 x5-7 ซม.โคนใบมนขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย ปลายใบเป็นติ่งหนามหรือติ่งทู่ บางครั้งเว้าตื้น ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมันหรือสีเขียวอมเหลือง ด้านล่างสีซีดกว่า เนื้อใบกรอบหนา ใบร่วง เปราะ สีน้ำตาลไหม้ ดอกแบบช่อเชิงลดมีก้าน ออกตามง่ามใบ ดอกสมบูรณ์เพศ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยสีขาวถึงเขียวอ่อน 3-9 ดอก มีกลิ่นหอม ผลแบบผลมีเมล็ดแข็งเมล็ดเดียว รูปรีถึงกลม ขนาด 0.5-3 x 2-3.5 ซม. มีติ่งแหลมอ่อนที่ปลาย เนื้อผลร่วนซุย เมื่อสุกสีส้มอมแดงเมล็ด มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1·5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงแดดจัด ในดินหลายประเภท  ค่า pH ในช่วง 5 - 7 ซึ่งทนได้ 4.5 - 7.5 ทนแล้ง
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลไม้มีรสชาติเหมือนลูกพลัมมีเนื้อฉ่ำที่มีรสหวานอมเปรี้ยว, มีกลิ่นหอม, - กินดิบหรือ ดองและหมักเป็นเบียร์ ในเอเชียใบอ่อนสุกกินเป็นผัก ใบยังมีไซยาไนด์และต้องปรุงให้สุกอย่างทั่วถึงและไม่ควรกินในปริมาณมาก กลีบดอไม้ทำซุปกิน น้ำมันจากเมล็ดในอินเดียใช้ทำเนยใส เมล็ดคั่วกินได้เหมือนอัลมอนด์
-ใช้เป็นยา ใบใช้สำหรับรักษาอาการปวดหัวโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและเป็นยาแก้พิษ รากใช้ในการรักษาปัญหาผิว, ปวดหัว, โรคเรื้อน, ริดสีดวงทวาร, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, หนอนกินี, นอนไม่หลับ, บวมและทำหน้าที่เป็นยาแก้พิษ ผิวของผลไม้เป็นยาสมานแผล เมล็ดนั้นถูกคั่วบดและนำไปใช้เป็นยาพอกรักษาแผล รักษางูกัด
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับเช่นเดียวกับการให้ร่มเงาหรือเพื่อใช้เป็นรั้วต้นไม้ป้องกันความเสี่ยง
-อื่น ๆ แก่นไม้มีสีเหลืองแดงถึงน้ำตาลส้มเนื้อละเอียดและสม่ำเสมอ ไม้นั้นหนักมากหนักและทนทาน  บางครั้งใช้แทนไม้จันทน์ ฟืนและถ่านเป็นวัสดุหลักที่ใช้ทำไม้เพราะลำต้นมักจะมีขนาดเล็กเกินไปที่จะทำประโยชน์อย่างอื่น
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/มิถุนายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


โพขี้นก/Ficus rumphii


ชื่อวิทยาศาตร์---Ficus rumphii Blume.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Ficus affinior Griff.(1854)
---Ficus conciliorum Oken.(1841)
---Ficus cordifolia Roxb.(1789)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2812142
ชื่อสามัญ---Rumphf’s fig tree, Mock peepul tree, Mock bodh tree.
ชื่ออื่น---โพขี้นก, โพตัวผู้, โพประสาท ;[ASSAMESE: Jori, Pakhori, Pakhri-bor];[BENGALI: Gaiaswat.];[CHINESE: Xin ye rong.];[HINDI: Kabaipipal.];[HONGKONG: Jiǎ pútíshù.];[INDONESIA: Ancak (Malay).];[KANNADA: Bettaarli];[MALAYSIA: Ancak (Malay).];[MYANMAR: Nyaung oyn, Nyaung-phyu.];[PORTUGUESE: Falsa-figueira-de-pagoda.];[SANSKRIT: Asvatthi.];[THAI: Pho khi nok, Pho tua phu, Pho prasat (Central).];[VIETNAM: Đa mít, Đa lâm vồ.].
EPPO Code---FIURP (Preferred name: Ficus rumphii.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Ficus rumphii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายในอินเดีย (ตลอดความสูงถึง 1,700 เมตร) จีน(ยูนนานตะวันตก) [ภูฏาน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, สิกขิม, ไทย, เวียดนาม] พบในป่ากึ่งป่าดงดิบ พื้นที่ป่าไม้ ป่าผลัดใบชุ่มชื้นที่ระดัยความสูง 600-700 เมตร ในประเทศไทยพบที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง สกลนคร ศรีสะเกษ ประจวบคีรีขันธ์ สระบุรี ชลบุรี พังงา สงขลา และปัตตานี พบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบชื้น และมักพบปลูกตามวัด
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดใหญ่พืชมักจะเริ่มต้นชีวิตเป็น epiphyte เติบโตในสาขาของต้นไม้อื่น หรือไม้รัดพันต้นไม้อื่น สูงถึง20เมตร เรือนยอดแผ่กว้าง ลำต้นขนาดใหญ่แต่สั้น โคนต้นมักเป็นพูพอน มีรากอากาศไม่มาก เปลือกเรียบสีเทาเป็นมัน มียางข้นสีขาวคล้ายนม กิ่งแก่สีเหลืองน้ำตาล กิ่งอ่อนเป็นเหลี่ยม อาจมีขนนุ่มสีขาวปกคลุมบางๆ ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปสามเหลี่ยม ขนาดกว้าง 5-8 ซม.ยาว 7-12 ซม.โคนใบตัดถึงเว้าเล็กน้อย ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่น ปลายใบเรียวแหลมยาวถึง2ซม.ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้านด้านล่างเป็นจุดขาว เนื้อใบบางคล้ายแผ่นหนัง ใบอ่อนสีชมพูเรื่อ ใบแก่สีเหลืองอมเขียวเป็นมัน หูใบรูปใบหอกสีชมพูอมแดงดอก ช่อมีลักษณะคล้ายผลไม่มีก้าน มักออกเป็นคู่ตามง่ามใบฐานหน่วยผลมีใบประดับ 3 ใบติดคงทน ต้นไม้ให้ดอกสามชนิด ดอกเพศผู้ ดอกเพศเมียแบบยาว และดอกเพศเมียแบบสั้น มักเรียกกันว่าดอกน้ำดี ดอกไม้ทั้งสามประเภทอยู่ภายในโครงสร้างที่เรามักคิดว่าเป็นผลไม้ ดอกแยกเพศขนาดเล็กมีกลีบรวม 3 กลีบ เจริญอยู่ภายในฐานรองดอกที่ขยายใหญ่เป็นกระเปาะ ผลแบบผลมะเดื่อรูปทรงกลมแกม รูปไข่กลับ มักเบี้ยว ขนาด1-1.2x1-1.5 ซม.สีเขียวอมเหลือง มีแต้มสีขาว ผลสุกสีม่วงแดง ภายในประกอบด้วยผลย่อยแบบผลเมล็ดเดียวขนาดเล็กรูปไข่กลับจำนวนมาก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ น้ำปานกลาง อัตราการเจริญเติบโตของพืช ช้า
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ผลดิบหรือสุกกินได้-ใช้เป็นยา น้ำยางข้นและผลไม้เป็นยาขับพยาธิและยาแก้ปวดและใช้รักษาอาการคัน น้ำยางที่ได้รับภายในเป็น vermifuge และเพื่อบรรเทาโรคหอบหืด ในเวียตนามใช้ผลไม้รักษาหิด
-ใช้ปลูกประดับ ต้นไม้มักได้รับการปลูก เป็นไม้ประดับให้ร่มเงาตามถนน
-อื่น ๆ เปลือกต้นทำให้สายโยงหยาบ ไม้เนื้ออ่อนเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตถ่าน
รู้จักอันตราย---น้ำยางสีขาวขุ่นเป็นพิษหากกลืนเข้าไปและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังในบางคน
ขยายพันธุ์---เมล็ด (งอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 20°c) ตอนกิ่ง ปักชำ

โพบาย/Balakata baccata


ชื่อวิทยาศาตร์---Balakata baccata (Roxb.) Esser.(1999)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Basionym: Sapium baccatum Roxb.(1832)
---Carumbium baccatum (Roxb.) Kurz.(1875)
---Excoecaria baccata (Roxb.) Müll.Arg.(1866)
---Stillingia paniculata Miq.(1861)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-19431
ชื่อสามัญ---Mousedeers Rubber tree
ชื่ออื่น---กระดาด, ข้าวเย็น (แพร่); เคลอเปาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); โพบาย (สุราษฎร์ธานี); มะดีควาย (เชียงใหม่); มะม่ะ, มะมุ่, มักหมัก, มามะ (มาเลย์-ปัตตานี, ยะลา); เมี่ยงนกค้อ (อุดรธานี); แมแมะ (มาเลย์-ปัตตานี); สลีดง, สลีนก (เชียงใหม่); เหยื่อจง (ตรัง) ;[ASSAMESE: Seleng, Lewa, Mota-seleng, Lawa.];[CHINESE: Jiāng guǒ wū jiù.];[BENGALI: Chota-mal.];[KHASI: Deing-ja-lonh-ehr.];[MALAY: Ludai.];[NEPALI: Ankhataruwa.];[THAI: Pho bai, Kradat, Khao yen, Ma di khwai, Ma mu, Mak mak, Miang nok kho, Sali dong, Sali nok.].
EPPO Code---BKXBA (Preferred name: Balakata baccata.)
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล จีนตอนใต้ ลาว กัมพูชา เวียตนาม ไทย คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา บอร์เนียว
Balakata baccata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Esser (1924- 2019) ศาสตราจารย์นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปีพ.ศ.2542
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาลอินเดีย ไปยังประเทศจีน (ยูนนาน) และ W. Malesia ขึ้นกระจายในป่าทึบทั้งป่าดงดิบปฐมภูมิที่หนาแน่น ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ตามลำธารและบนเนินเขา ที่ระดับความสูงไม่เกิน1800 เมตร ประเทศไทย พบทั่วไปค่อนข้างมากในท้องถิ่นภาคเหนือ ในป่าดิบและป่าผลัดใบที่ชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่สูง ถึง10-26 (-35) เมตร ลักษณะทรงต้นมีเรือนยอดกลม แผ่กว้าง กิ่งก้านหนาทอดขึ้นบน ปลายกิ่งลู่ลง ลำต้นอ้วนสั้น เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง200 ซม.ต้นแก่มีพูพอนเล็กน้อย เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาเข้ม มีรอยแตกตามยาวลึกๆ เปลือกชั้นในสีเหลืองอ่อน ลำต้นไม่มีน้ำยาง แต่มีน้ำยางสีขาวที่กิ่งก้าน ใบเดี่ยวรูปมนรีหรือรูปไข่ กว้าง3-8ซม.ยาว8-18ซม.ใบอ่อนสีม่วงแดง ใบแก่ด้านล่างมีนวลสีเขียวเทา มักจะมีสีแดงตามขอบใบและก้านใบ ที่ฐานใบมีต่อมนูน 2 ต่อม ดอกเล็กช่อเรียวแตกแขนง ยาว 4-22 ซม.ผลกลมยาวขนาด 0.8-1.3 ซม.สีเขียวเข้มมีผงสีเทาปกคลุม ผลอ่อนมียางสีขาว สุกสีม่วงดำ ผลไม่แตก ผลนอกบางชั้นในเหนียวคล้ายหนัง มีเมล็ดสีดำ 2-3 เมล็ด ติดกับแกนกลางเป็นระยะเวลานานหลังผลเน่าแล้ว
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกใช้กินเป็นผลไม้ ผลไม้มีรสเปรี้ยวและหวาน - บางครั้งใช้เป็นเครื่องปรุงอาหาร
-ใช้เป็นยา  รากและใบมีคุณสมบัติเป็นยา เถาและใบใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้กระษัยไตพิการ อาการบวม และช่วยดับพิษ
-ใช้ปลูกประดับ สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับและไม้ริมทาง
-วนเกษตรใช้ ปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง - ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับสายพันธุ์อื่น ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลิตร่มใบที่หนาแน่นและปราบวัชพืช ดึงดูดสัตว์ป่าที่กระจัดกระจายโดยเฉพาะนกและค้างคาว
-อื่น ๆไม้ มีคุณภาพต่ำ ใช้ในงานก่อสร้างชั่วคราว ทำฟืน เพาะเห็ด ใบมีสารแทนนิน ให้สีย้อมสีดำน้ำมันเมล็ดใช้จุดไฟ เทียน และสบู่ ผลเป็นที่ชื่นชอบของนกและสัตว์ป่าชนิดอื่นมาก
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ - มิถุนายน/สิงหาคม - พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

โพสามหาง/Symingtonia populnea 


ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---https://www.flickr.com/photos/adaduitokla/16322741506
ชื่อวิทยาศาตร์---Exbucklandia populnea (R.Br. ex Griff.) R.W.Br.(1946)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Basionym: Bucklandia populnea R.Br. ex Griff.(1836)
---Symingtonia populnea (R.Br. ex Griff.) Steenis.(1957)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2806166
ชื่อสามัญ---Malayan aspen, Pipli Tree.
ชื่ออื่น---โพสามหาง ;[CHINESE: Ma ti he.];[INDONESIA: Hapas-hapas, Sigadaungdueng, Tapatapa leman.(Sumatra).];[MALAY: Gerok, Derok, Tiga sagi.];[THAI: Pho sam hang.];[TRADE NAME: Pipli.].  
EPPO Code---EXBPO (Preferred name: Exbucklandia populnea.)
ชื่อวงศ์---HAMAMELIDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Exbucklandia populnea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Hamamelidaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย [Robert Brown (1773–1858)นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อต จากอดีต William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ.]และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Roland Wilbur Brown (1893–1961) paleobotanistและนักธรณีวิทยาชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2489
ที่อยู่อาศัย ต้นไม้ในเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนพบที่ระดับความสูงกว่าระดับความสูง 1,000 - 3,000 เมตร ในภาคใต้ของจีน พบตามที่ลาดเชิงเขาในป่าดิบชื้นที่ระดับความสูงประมาณ 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ และภาคใต้ที่บันนังสตา จังหวัดยะลาเป็นไม้เบิกนำ ขึ้นตามสันเขาที่โล่ง หรือชายป่าดิบเขา ความสูง 1400-2200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 16–20(–30)เมตร   ลักษณะ  ใบเรียงเวียน รูปไข่หรือรูปฝ่ามือ 3-5 แฉก ยาว 5-16 ซม. ปลายแหลมยาว โคนกลมหรือเว้าตื้น แผ่นใบหนา เป็นมันวาว หูใบรูปไข่กลับ ยาว 1.5-2.5 ซม.ใบร่วงเร็ว ช่อดอกแบบช่อกระจุกแน่น เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. ไม่มีกลีบเลี้ยง กลีบดอกมี 2-7 กลีบ รูปแถบ ยาว 2-3 มม. ผลแห้งแตกติดกันเป็นช่อกระจุกแน่น แข็ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 ซม. มี 7-11 ผล เมล็ดรูปรี มีปีก เมล็ดที่ฝ่อไม่มีปีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดดเติบโตได้ดีที่สุดในดินที่อุดมสมบูรณ์มีความชุ่มชื้นและระบายน้ำได้ดี
ใช้ประโยชน์ -วนเกษตรใช้ ปลูกเพื่อปรับความลาดชันและป้องกันการพังทลายของดินโดยเฉพาะในดาร์จีลิงฮิลส์ของอินเดีย ยังใช้ในโครงการปลูกป่าด้วย
-อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีน้ำตาลแดงเข้มกับสีม่วงไม่แตกต่างอย่างชัดเจนจากกระพี้สีซีด ไม้เนื้อแข็งปานกลางมีความแข็งแรงปานกลางและมีความยืดหยุ่น ง่ายต่อการไสและขัดเงา ใช้สำหรับงานก่อสร้างขนาดเบาและขนาดกลาง เช่นประตู, เฟอร์นิเจอร์ พื้นและงานตกแต่งภายใน
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด
Ref. and suggested reading:
FRIM Flora Database
www.ars-grin.gov/cgi-bin/npgs/html/taxon.pl?405201
www.plantdatabase.co.uk/Exbucklandia_populnea
www.arthurleej.com/p-o-m-Jan09.html

มณฑาดอย/Magnolia liliifera


ชื่อวิทยาศาตร์---Magnolia liliifera var. obovata (Korth.) Govaerts.(1996)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Magnolia betongensis (Craib) H.Keng.(1978).
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117684
ชื่อสามัญ---Egg magnolia
ชื่ออื่น---มณฑาทิพย์ จำปีป่า (ภาคกลาง) ตองแข็ง (เชียงใหม่) บุณฑา บุณฑาดอย บุณฑาหลวง (ภาคเหนือ)
EPPO Code---MAGSS (Preferred name: Magnolia sp.)ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ภูฏาน; จีน (ทิเบต [หรือ Xizang]); อินเดีย (อัสสัม); อินโดนีเซีย; มาเลเซีย (คาบสมุทรมาเลเซีย, ซาบาห์, ซาราวัก); เนปาล; ประเทศไทย
Magnolia liliifera var. obovata เป็นคำพ้องความหมายของ Magnolia betongensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยPieter Willem Korthals (1807–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์และได้รับชื่อในปัจจุบันโดย Rafaël Herman Anna Govaerts (1968-) นักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียม.ในปี พ.ศ.2539
ในประเทศไทยมีสถานภาพเป็นพืชหายาก พบขึ้นริมลำธาร ที่ระดับความสูง 600-1,300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง8-15เมตร  ลักษณะทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีเทาอมขาว เปลือกต้นหนา มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว มีใบเฉพาะปลายกิ่ง  ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปขอบขนานแกมไข่กลับ ยาว20-45ซม.แผ่นใบหนาแข็งกรอบ ขอบใบเป็นคลื่น  ดอกเดี่ยวออกที่ปลายกิ่ง สีขาว กลีบหนาแข็ง ฉ่ำน้ำมี 9กลีบ เมื่อบานขนาด 6-8ซม.ผล ออกรวมกันเป็นกลุ่มรูปไข่ หรือรูปรี กว้าง 3.5–5 ซม. ยาว 10–15 ซม. เปลือกผลมีช่องระบายอากาศกระจายอยู่ทั่วไป เมล็ดกลมแบนสีแดง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.2 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นไม้ประดับดอกหอมออกดอกกว่าจะบานใช้เวลาหลายวัน กลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน แต่จะหอมแรงช่วงใกล้ค่ำและช่วงเช้า
ระยะออกดอก---ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน
ขยายพันธุ์ ---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง

มณฑาดอย/Talauma hodgsonii


ชื่อวิทยาศาตร์---Talauma hodgsonii Hook.f. & Thomson.(1855)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Magnolia hodgsonii (Hook.f. & Thomson) H.Keng.(1978)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-201407
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---บุนฑา, ตองแข็ง, บุนฑาหลวง, บุนฑาดอย ;[ASSAMESE: Dat-bhola, Boromthuri, Boron-thuri, Borhomthuri, Datbhula.];[CHINESE: Gai lie mu.];[KHASI: Dieng-soh-pydem,];[THAI: Montha doi, Byntha doi, Tong khang, Buntha hloung.].
EPPO Code---MAGHO (Preferred name: Magnolia hodgsonii)
ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล ภูฎาน ตอนเหนือของอินเดีย พม่า ไทย
Talauma hodgsonii เป็นคำพ้องความหมายของ Magnolia hodgsonii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยSir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยเป็นสายพันธุ์แมกโนเลียพื้นเมืองป่าของเทือกเขาหิมาลัยและทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียที่เกิดขึ้นในประเทศภูฏาน , ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน (ทิเบต ), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียตอนเหนือของประเทศพม่า ,เนปาล , และประเทศไทย มันเติบโตที่ระดับความสูงปานกลาง 850-1,600 ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้น ตามริมธารน้ำ ที่ความสูง 600-1,300เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบต้นสูง10-15เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่กลับยาว 20-45 ซม.กว้าง 6.5-12(16) ซม.ผิวใบเรียบเกลี้ยงเป็นมัน แผ่นใบเป็นคลื่น ดอกสีม่วงแกมเหลืองอ่อน เป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ขนาด3-5 ซม.ยาว1.5-2 ซม.กลีบดอกด้านนอกสีม่วงรูปมน ด้านในสีขาวครีม แคบหนา ดอกมีกลิ่นหอม ผลเป็นผลกลุ่ม รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 3.5-5 ซม.ยาว 10-15 ซม.แต่ละช่องมีหนามแข็งเป็นจงอย สีเหลืองถึงน้ำตาล มักมีจุดประสีม่วงทั่วไป เมื่อแก่เป็นสีดำ
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นไม้ประดับดอกหอมออกดอกกว่าจะบานใช้เวลาหลายวัน กลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน แต่จะหอมแรงช่วงใกล้ค่ำและช่วงเช้า
ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง ติดตา   

มณฑาป่า/Manglietia garrettii


ชื่อวิทยาศาตร์---Magnolia garrettii (Craib) V.S.Kumar.(2006)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-344364
---Basionym: Manglietia garrettii Craib. (1922)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- ปอนาเตอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่); มณฑาดอย, มณฑาป่า, มะองนก (เชียงใหม่) ;[CHINESE: Tai guo mu lian.];[THAI: Montha pa (Chiang Mai); Po-na-toe (Karen-Chiang Mai); Montha doi, Ma ong nok (Chiang Mai); Montha daeng.].
EPPO Code---MAGSS (Preferred name: Magnolia sp.)
ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ ไทย เวียตนาม  
Magnolia garrettii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Venkatachalam Sampath Kumar (born 1966) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดียในปี พ.ศ.2549


ที่อยู่อาศัยเป็นพรรณไม้ที่ขึ้นในที่สูงและขึ้นกระจายอยู่ในภาคเหนือและภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ ของไทย ชอบอากาศเย็น พบทั่วไปบบนดอยสุเทพและดอยอินทนนท์ เคยเข้าใจว่าพบเฉพาะในประเทศไทยแต่ปัจจุบันพบที่เวียตนามและ ยูนนานตอนใต้ ในประเทศไทยพบที่แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย น่าน พิษณุโลก ตาก ขึ้นตามป่าดิบเขา ความสูง 1000-1850 เมตร ในจีนตอนใต้(ยูนนาน)และเวียตนามหบในป่าไม่ผลัดใบที่ระดับความสูง 1300-1900 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดใหญ่ สูง 10-20 เมตร เปลือกต้นหนาสีเทา เรียบ ใบเดี่ยวขนาดกว้าง8-12ซม.ยาว18-30ซม.ใบแก่สีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวออกเทา เกลี้ยงไม่มีขน หนาคล้ายแผ่นหนังโคนใบมนปลายใบแหลม ก้านใบยาวมีขนสีน้ำตาลแน่น.ดอกเส้นผ่านศูนย์กลางถึง18 ซม.สีชมพูแดงแกมม่วง ผลกลุ่มขนาดยาว 4-12 ซม ผลย่อยแตกด้านล่าง ยาว 0.5-1.5 ซม. ห้อยลง มีจะงอยสั้น ๆ เมล็ดสีแดงรูปรี แบน ยาวประมาณ 1 ซม.
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ มณฑาแดงเป็นพรรณไม้ที่สวยงาม มีกลิ่นหอม ตอนดอกตูมใช้เวลาหลายวันกว่าจะบาน แต่บานแล้วจะอยู่ได้ 2-3 วัน แล้วโรย
ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ จัดอยู่ในIUCN Red List ประเภท "พื้นฐานข้อมูลไม่เพียงพอ"
สถานะการอนุรักษ์---DD -Data Deficient-IUCN Red List of Threatened Species.2014
ระยะออกดอก---มีนาคม - พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

มณฑาภู/Magnolia henryi

ชื่อวิทยาศาตร์---Magnolia henryi Dunn.(1903)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117634
---Lirianthe henryi (Dunn) N.H. Xia & C.Y. Wu.(2008)
---Manglietia wangii Hu.(1937)
---Talauma kerrii Craib.(1922)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มณฑาภู ; [CHINESE: Dà yè yùlán, Sīmáo yùlán];[THAI: Montha phoo.].
EPPO Code---MAGSS (Preferred name: Magnolia sp.)
ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย
Magnolia henryi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Stephen Troyte Dunn (1868–1938, Dunn ) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษผู้มีส่วนสำคัญในการจัดอนุกรมวิธานของพืชจีนในปี พ.ศ.2446
ที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ในประเทศไทย , พม่าและมณฑลยูนนานของจีนแผ่นดินใหญ่มักพบในการเพาะปลูก เติบโตที่ระดับความสูง 540 - 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 5-10 เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาล มีกลิ่นฉุน แตกกิ่งน้อย ใบ เดี่ยวรูปไข่หรือรูปรี ยาว35-45 ซม.แผ่นใบหนาแข็งกรอบ ผิวใบด้านบนสีเขียวเข้มเห็นร่องเส้นใบชัด ดอกเดี่ยวคว่ำลง สีครีมหรือชมพูขนาดดอก6-5ซม.ผลรูปกระบอกเรียวยาว
ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการ เพาะเมล็ด ทาบกิ่ง ติดตา

มณฑิรา/Manglietia insignis

ชื่อวิทยาศาตร์--- Magnolia insignis Wall.(1829)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Manglietia insignis (Wall.) Blume.(1829)
---Magnolia shangpaensis Hu.(1951)
---Manglietia maguanica Hung, Chang & Chen.(1988)
---Manglietia yunnanensis Hu.(1951)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117652
ชื่อสามัญ---Red Lotus Tree, Safflower Magnolia, Padang Magnolia, Burmese Magnolia.
ชื่ออื่น---มณฑิรา ;[ASSAMESE: Pansopa, Pan-sopa, Phul-sopa.];[CHINESE: Hóng shǎi mù lián.];[KHASI: Dieng-rhi-balih, Dieng-rhi-basaw.];[THAI: Mon thi ra.].
EPPO Code---MGTIN (Preferred name: Magnolia insignis.)
ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เนปาล พม่า ไทย เวียตนาม
Manglietia insignis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2372
ที่อยู่อาศัยพบในเนปาลอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและพม่าตอนเหนือ จีน (มณฑลหูหนานตะวันตกเฉียงใต้, กวางสี, มณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้, กุ้ยโจว และทิเบตตะวันออกเฉียงใต้)ไทย เวียตนาม ในป่าดิบแล้ง ป่าใบกว้าง ที่ระดับความสูง 900-1,650 เมตร ในประเทศไทยพบตามป่าดิบเขาในภาคเหนือที่สูงกว่า 700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง 20-25 เมตร ลักษณะเปลือกต้นหนาสีน้ำตาลเข้ม มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว ทรงพุ่มกลมทึบ ใบเดี่ยวรูปขอบขนานยาว 15-25 ซม.แผ่นใบหนา เหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวสีขาวอมชมพู ออกที่ปลายยอด มี 9 กลีบ กลีบหนาแข็งฉ่ำน้ำ เมื่อบานมีขนาด 6-8 ซม. ผลรูปไข่ยาว 8-12 ซม. ดอกทยอยบานอยู่ได้นาน 1 เดือน ดอกบาน 2-3 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตลอดวัน และแรงในช่วงใกล้ค่ำและช่วงเช้า
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในที่มีแสงแดดเต็มที่และมีความชื้นสูง มีอากาศหนาวเย็น
ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2014
ระยะออกดอก--เดือนเมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

มณฑาสวรรค์/Magnolia delavayi

ชื่อวิทยาศาตร์---Magnolia delavayi Franch.(1889)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117536
---Lirianthe delavayi (Franch.) N.H.Xia & C.Y.Wu.(2008)    
---Magnolia carpunii Romanov & A.V.Bobrov.(2003)
ชื่อสามัญ--- Delavay's magnolia, Chinese evergreen magnolia, Chinese Magnolia, Evergreen Chinese Magnolia.
ชื่ออื่น---มณฑาสวรรค์ ;[CHINESE: Shān yù lán, shān bō luó.];[FRENCH: Magnolia de Chine, Magnolia de Delavay.];[GERMAN: Delavays Magnolie.];[ITALIAN: Magnolia di Delavay.];[THAI: Mon tha sawaan.].
EPPO Code---MAGDE (Preferred name: Magnolia delavayi.)
ชื่อวงศ์--- MAGNOLIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
Magnolia delavayi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Adrien Rene Franchet (1834-1900) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2432
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดทางตอนใต้ของประเทศจีน (กุ้ยโจว, เสฉวนและยูนนาน) ในถิ่นกำเนิดเติบโตบนทางลาดเปียกบนพื้นที่หินปูน ที่ระดับความสูง1,500-2,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 12เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาล มีกลิ่นฉุน มีช่องหายใจช่วงปลายกิ่ง ทรงพุ่มกลมทึบ ใบเดี่ยวรูปไข่หรือรูปรี ยาว10-20ซม.แผ่นใบหนา เหนียวคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวสีขาวนวลออกที่ปลายยอด มี 9 กลีบ กลีบหนาแข็งฉ่ำน้ำ เมื่อบานขนาดดอก 5-7 ซม. ผลรูปไข่ยาว 5-8 ซม.มีเมล็ดจำนวนมากสีแดงออก ทยอยออกดอกได้นาน 1 เดือน ดอกบานได้2-3วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน แม้กลีบดอกที่ร่วงโคนต้นก็ยังส่งกลิ่นหอมไปได้ไกล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในที่มีแสงแดดเต็มที่ต้องการดินที่ชื้นสม่ำเสมอ มีอากาศหนาวเย็นและมีความชื้นสูง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับสามารถปรับตัวให้เจริญเติบโตได้ทั้งในพื้นที่ระดับสูงที่มีอากาศหนาวเย็นเช่นดอย อ่างขาง และในภาคกลาง เช่นกรุงเทพฯ แตกกิ่งเป็นพุ่มกลม สูงเพียง2-3เมตร ออกดอกได้ง่าย ต้องการความชื้นค่อนข้างสูงควรรดน้ำบ่อยๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน ไม่เหมาะกับการปลูกในกระถาง  
ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2014
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนเมษายน-มิถุนายน/สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด ทาบกิ่ง ติดตา

มหาพรหมราชินี/Mitrephora sirikitiae

 

ชื่อวิทยาศาตร์---Mitrephora sirikitiae Weerasooriya, Chalermglin & R.M.K. Saunders.(2006)
ชื่อพ้อง--No synonyms are record for this name
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มหาพรหมราชินี ; [THAI: Mahaphrom Rachini.]
EPPO Code--- MZTSS (Preferred name: Mitrephora sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---คำระบุชนิด 'sirikitiae' เป็นพระนามาภิไธยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
Mitrephora sirikitiae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Aruna Weerasooriya (born 1962)นักพฤกษศาสตร์ศรีลังกา, Dr.Piya Chalermglin (fl. 2000) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย และ Richard M. K. Saunders (born 1964) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2549
ที่อยู่อาศัย ต้น “มหาพรหมราชินี”เป็น พรรณไม้ชนิดใหม่ของโลกอยู่ในสกุลมหาพรหม (Mitrephora) พรรณไม้ที่ค้นพบใหม่ เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียว (endemic) พบเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ต้นพบโดย ดร ปิยะ เฉลิมกลิ่น ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำรวจพบ พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ.2546 จากอุทยานแห่งชาติแม่สุรินทร์ บ้านห้วยฮี้ ต.ห้วยปูลิง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน บนเขาหินปูนที่ระดับสูง1,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง3-5เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลเข้มมีกลิ่นฉุน กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ  รูปใบหอก กว้าง 4-9 ซม. ยาว 11-19 ซม. ผิวใบเรียบ เนื้อใบค่อนข้างหนา  เป็นมันทั้งสองด้าน ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 0.5-1 ซม. ดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 1-3 ดอก ออกตรงข้ามใบ กลีบดอกชั้นนอกรูปไข่กลับสีขาว กลีบชั้นในประกบกันเป็นรูปกระเช้าสีม่วงแดง เมื่อบานกว้าง8-10ซม ออกดอกเดือนเมษายน-เดือนพฤษภาคม ส่งกลิ่นหอมอ่อนตลอดวัน ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย10-15ผล รูปทรงกระบอกยาว5-6ซม.มีเมล็ด 13-21 เมล็ด ลักษณะเมล็ด รูปคล้ายไข่หรือทรงกลม สีน้ำตาล ขนาด 5-8 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นที่ขึ้นอยู่บนเขาหินปูน จะทิ้งใบหมด เหลือเฉพาะแต่กิ่งก้านและออกดอกได้เต็มต้น เมื่อนำมาปลูกในพื้นที่ราบที่มีอากาศร้อน สามารถปรับตัวเจริญได้ดีและมีช่วงออกดอกเกือบตลอดปี เป็นพรรณไม้หายาก เนื่องจากมีจำนวนต้นในสภาพถิ่นกำเนิดน้อยมากและมีการกระจายพันธุ์ต่ำ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งระเทศไทย(วว.)ประสบความสำเร็จจากงาน วิจัยในการขยายพันธุ์โดยวิธีทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา โดยใช้มะป่วนหรือนางแดงเป็นต้นตอจึงสามารถขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว เป็นพืชที่ปลูกแล้วออกดอกได้แล้วหลายแห่งในประเทศ จนพ้นสถานภาพใกล้สูญพันธุ์แล้ว
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม - พฤษภาคม/ตุลาคม - พฤศจิกายน
การขยายพันธุ์--ทาบกิ่ง เสียบยอด และติดตา


มะกอกดอน/Schrebera swietenioides

 

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี
ชื่อวิทยาศาตร์---Schrebera swietenioides Roxb.(1799)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Nathusia swietenioides (Roxb.) Kuntze.(1891)
---Schrebera pubescens Kurz.(1872)
ชื่อสามัญ---Weaver's Beam Tree
ชื่ออื่น---มะกอกโคก, มะกอกเผือก (ภาคเหนือ); โยนีปีศาจ, หีผี (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ); มะกักป่า (ราชบุรี); กอกดอก, มะกอกดอน; [AYURAVEDA: Mushka, Mokshakaka, Ghunti, Shikhari.];[HINDI: Mokhdi, Moka,Banpalas, Mokha, Banpalas.];[KANNADA: Bula, Gante, Mogalingamara.];[MALAYALAM: Maggamaram, Malamblasu, Malamplasu, Mala Plasu, Manimaram, Mushkakavriksham, Muskkakavrksam.];[MARATHI: Mokadi, Nakti, Mokha.];[SANSKRIT: Golidha, Ghantapatali, Kastapatola.];[TAMIL: Mogalingam, Pasari, Mogalinga, Makalinkam.];[TELUGU: Bullakaya, Magalinga, Tondamukkudi.];[THAI: Kok don (Northern), Ma kok khok (Northern), Ma kok don (Northern), Ma kok phueak (Northern), Ma kak pa (Ratchaburi), Hi phi (Northeastern).].
EPPO Code---ZHRSS (Preferred name: Schrebera sp.)
ชื่อวงศ์---OLEACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย กัมพูชา ลาว
Schrebera swietenioides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์วงศ์มะลิ (Oleaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2342
ที่อยู่อาศัยพบในประเทศอินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชาและลาว พบขึ้นตามป่าเต็งรัง บนเขาหินปูนที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 250-800 เมตร  ในประเทศไทย เป็นพืชถิ่นเดียว(endemic) พบที่ภาคเหนือ(แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำปาง) ภาคตะวันออก(นครราชสีมา) และภาคตะวันตกเฉียงใต้(กาญจนบุรี) พบตามภูเขาไฟเก่า เช่นแถบเขากระโดง เขาอังคาร เขาพนมรุ้งซึ่งเคยเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทนานแล้ว
ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงถึง 15 เมตร เปลือกสีเทาดำหนา0.5ซม.ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ใบย่อยเรียงตรงข้ามประมาณ 3คู่ 7-9 ใบ รูปไข่หรือรูปรีแผ่นใบ 6.5-14 x 3.5-6.5 ซม. ก้านใบ 3-30 มม ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่งหรือซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ยาวประมาณ 10 ซม.ก้านช่อดอกยาว 1-2 ซม.กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นหลอดสั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3 มม. ยาวประมาณ 2.5 มม. ปลายหยักเป็น 2-3 พู ลึกประมาณ 1 มม. พูมน สีเขียวอ่อน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด โคนมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-2.5 มม. ปลาย 2.5-3 มม. สีขาวอมเขียวอ่อน ปลายแยกเป็น (5-) 6 กลีบ รูปกึ่งสามเหลี่ยมกลับ กว้าง ยาว 6-7 มม. ด้านในสีขาว มีเกล็ดสีน้ำตาลเข้มปกคลุมประปราย ด้านนอกเกลี้ยง กลีบดอกมักม้วนกลับตามยาว ทำให้กลีบดูแคบลง เกสรเพศผู้ 2 อัน ติดบนปลายหลอดกลีบดอก รูปรีกว้าง รังไข่เหนือวงกลีบ รูปกึ่งทรงกลมแบนด้านข้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 มม. ก้านชูอับเรณูยาว 6.5 มม ยอดเกสรเพศเมียกว้างประมาณ 1 มม.สีน้ำตาลเข้ม ผลแคปซูลขนาด 5 x 2.5 ซม.แข็งคล้ายเนื้อไม้รูปไข่กลับ แห้งแล้วแตกเป็นสองซีก เมล็ดมีปีกยาว 3-4 ซม.หากนำไปกดบนดินทราย จะยิ่งดูแปลกคล้ายอวัยวะเพศหญิงมาก
ใช้ประโยชน์---พืชมีมูลค่าสูงสำหรับไม้ซึ่งใช้ในท้องถิ่นมาก แต่ไม่ค่อยมีการซื้อขาย มันยังเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและบางครั้งก็มีการปลูกเป็นไม้ประดับในสวน
-ใช้กินได้ ใบ - ปรุง ต้มและกินกับเกลือและพริก อาหารความอดอยาก กินในยามที่ต้องการเมื่อมีอาหารน้อยน้อย
-ใช้เป็นยา ในอายุรเวทใช้ ราก, เปลือกและใบมีรสขม, ฉุน, ย่อยอาหาร, กระเพาะอาหาร, ท้องผูก, ยาสมานแผลปัสสาวะและยาแก้พยาธิ มีรายงานว่าผลไม้ มีประโยชน์ในการรักษา hydrocele (เป็นอาการบวมในถุงอัณฑะของเด็ก) มีประโยชน์ในการรักษาสภาพต่าง ๆ รวมถึงอาหารไม่ย่อย โรคผิวหนัง โรคเรื้อน โรคโลหิตจาง โรคฝีและแผลไหม้และความผิดปกติของทวารหนัก เปลือกไม้นั้นใช้สำหรับรักษาโรคของลำคอ, โรคโลหิตจาง, โรคโลหิตจางและโรคเบาหวาน รากนำมาใช้ในการรักษาโรคเรื้อน การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระต้านการอักเสบและลดไข้ของรากและฤทธิ์ต้านเบาหวานและสารต้านอนุมูลอิสระของผลไม้ จากการศึกษาพบว่าเปลือกของรากมีฤทธิ์ต้านโลหิตจางจำนวนมากซึ่งบ่งบอกถึงการใช้พืชชนิดนี้เพื่อรักษาโรคโลหิตจาง
-อื่น ๆ แก่นไม้มีสีเทาน้ำตาล หนัก, แข็งและทนทาน การแตกหรือบิดงอน้อยกว่าไม้อื่น ๆ ถูกใช้โดยช่างทอผ้าในการทำเครื่องทอผ้า เช่น คาน แกนหมุนและอีกหลายส่วน
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ตุลาคม/กันยายน-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด 

มะกอกหนัง/Choerospondias axillaris


ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์---Choerospondias axillaris (Roxb.) B.L.Burtt & A.W.Hill.(1937)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms
---Basionym: Spondias axillaris Roxb.(1832)
---Poupartia axillaris (Roxb.) King & Prain.(1901)
ชื่อสามัญ--- Candy Tree, Lapsi, Lapsi Tree, Nepali hog plum.
ชื่ออื่น---มะมือ(เชียงใหม่); มะกอกหนัง(ชัยภูมิ); มะหนัง(ตาก); สาลีปู(กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร); สีเสียดเทศ(นครราชสีมา); [ASSAMESE: Lepchipoma, Delam-asing, Hamoitenga, Khamlikhali, Khamlimola.];[BENGALI: Amrda.];[CHINESE: Nan suan zao.];[JAPANESE: Chanchin-modoki.];[KANNADA: Dieng-salait.];[NEPALI: Lapsi.];[THAI: Ma mue, Ma kok nang, Ma nang, Sa li pu, Si siat thet.];[VIETNAM: Lát xoan, Xuyên cóc.].
EPPO Code---KSQAX (Preferred name: Choerospondias axillaris.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล ภูฏาน จีน ญี่ปุ่น ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา
Choerospondias axillaris เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวมะม่วงหิมพานต์ (Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Brian Laurence "Bill" Burtt (1913 – 2008)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และ Sir Arthur William Hill (1875–1941) นักพฤกษศาสตร์และอนุกรมวิธานชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2480

ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายจากอินเดีย ภูฏาน เนปาล ไปยังประเทศจีน (รวมถึงไต้หวัน) ญี่ปุ่น และอินโดจีน ในป่าดิบเขา ที่ราบลุ่มเนินเขาและป่าเขาที่ระดับความสูง 300 - 2,000 เมตรในภาคใต้ของจีน ; มักพบในป่าทุติยภูมิ ในเวียดนามพบที่ระดับความสูงต่ำกว่า 600 เมตร ; ในประเทศไทยพบที่ระดับความสูง1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบระยะสั้น สูงถึง 8-20 (-30) เมตร เส้นผ่าน ศูนย์กลางประมาณ 30 - 40 ซมลักษณะเปลือกต้นสีเทาเข้ม หรือแดงน้ำตาล แตกกิ่งเป็นสีน้ำตาลอมม่วงเข้มมีขนสั้น ๆ ใบประกอบแบบขนนกยาว 25-40 ซม.มีใบย่อย 13 คู่ ก้านใบพองที่โคนใบย่อยคู่บนใหญ่สุด ดอกสีแดงเข้ม สมบูรณ์เพศ ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 2-3 ดอก ขนาด0.4-0.5 ซม. กลีบเลี้ยงมี5พูสีแดงอมม่วง ผิวในมีต่อมขน กลีบดอกซ้อนกัน5กลีบ ผลสีเขียวหรือเหลืองรูปไข่ ขนาด2-3 ซม. มีร่อง 5 ร่องที่ปลายชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง ข้างบนมี5รูเท่ากับจำนวนเมล็ด
การใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้ได้รับการปลูกมานานในประเทศเนปาลเพื่อให้ได้ผล ผลไม้มีคุณค่าทางโภชนาการและมีราคาใกล้เคียงกับส้มแมนดารินในตลาดเนปาล ไม้ที่ใช้ในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ  
-ใช้กิน ผลไม้ - ดิบหรือทำเป็นน้ำผลไม้ไอศครีมขนมเยลลี่และผักดอง ทาร์ตผลไม้และลูกอมรสเผ็ดเปรี้ยวในเนปาล
-ใช้เป็นยา ผล  แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้กระหายน้ำ ผล ใบ เปลือกลำต้น แก้ร้อนใน ช่วยให้ชุ่มคอแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้หอบ บำรุงธาตุและแก้บิด  เปลือกลำต้น รสฝาดเย็นเปรี้ยว ช่วยสมานแผล มีกลิ่นหอม ใบ เคี้ยวกินแก้ท้องเสีย
-วนเกษตร ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าในภาคเหนือของประเทศไทย
-อื่น ๆ ไม้สีขาวเทาเนื้ออ่อน ใช้เป็นไม้ก่อสร้างเบาสำหรับทำหีบชาและเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป เปลือกที่เป็นเส้นใยสามารถนำมาใช้ทำเชือกแบบดั้งเดิมได้ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง  เปลือกเมล็ดถูกใช้เป็นเชื้อเพลิงในเตาเผาอิฐ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะกัก/Spondias bipinnata

ชื่อวิทยาศาตร์---Spondias bipinnata Airy Shaw & Forman.(1967)
ชื่อพ้อง---This name is unresolved.See The Plant Listhttp://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2480511
ชื่อสามัญ---Hog Plum, Spanish plums
ชื่ออื่น---กอกกัก (นครสวรรค์); กอกกุก (เชียงราย); มะกอกป่า (กาญจนบุรี, นครราชสีมา); มะกัก, หมักกัก (ราชบุรี, สระบุรี); มะกอกดง กร้าไพ้ย (กระเหรี่ยง-กาญจนบุรี); [THAI: Má kak, Mak kak, Ma kok pa, Kok kak.]
EPPO Code: SPXSS (Preferred name: Spondias sp.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล“spodias” มาจากภาษากรีก ที่ใช้เรียกพืชพวกมะกอกป่า
Spondias bipinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวมะม่วงหิมพานต์ (Anacardiaceae)สกุลมะกอกป่า (Spondias) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Airy Shaw และ Formanในปี พ.ศ.2510
ที่อยู่อาศัยเป็นพืชถิ่นเดียว (endemic) ของประเทศไทย พบขึ้นตามภูเขาหินปูนที่แห้งแล้งในป่าเบญจพรรณหรือป่าละเมาะผลัดใบทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ระดับความสูง 50-300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง 10-25เมตร กิ่งอ่อนมีขนสั้นนุ่ม เปลือกสีเทามีช่องอากาศทั่วไป ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เรียงเวียนสลับเป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ใบประกอบย่อยมี 3-5 คู่ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปใบหอก ยาว 2-8.5 ซม.โคนใบเบี้ยว แผ่นใบด้านล่างมีขนนุ่ม ช่อดอกออกตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ดอกเล็กสีขาวกลิ่นหอมอ่อน ใบประดับรูปแถบขนาดเล็ก ก้านดอกยาว 4-6 มม. กลีบเลี้ยง 4 กลีบ รูปไข่ ยาวประมาณ 1 มม. มีขนประปราย กลีบดอก 4 กลีบ เรียงจรดกัน รูปรี ยาวประมาณ 4 มม.เกสรเพศผู้ 10 อัน โคนก้านชูอับเรณูกว้าง จานฐานดอกจักเป็นพูตื้น ๆ 10 พู รังไข่มี 5 ช่อง ก้านเกสรเพศเมีย 5 อัน ผลสดผนังชั้นในแข็งรูปกลมรียาว 4-4.5 ซม.สีเหลืองอมเขียวมีเมล็ดแข็ง1เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา ; ราก แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และขับปัสสาวะ ; เปลือกต้น ดับพิษกาฬ แก้ร้อนใน แก้ท้องเสีย; ผล แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ธาตุพิการ แก้บิด ทำให้ชุ่มคอและแก้กระหายน้ำ; เมล็ด รสเย็น สุ่มไฟแช่เอาน้ำดื่มแก้ร้อนใน แก้หอบ และแก้สะอึก; ใบ คั้นเอาน้ำหยอดหู แก้ปวดหู แก้หูอักเสบ
ระยะออกดอก/ติดผล--- เมษายน - พฤษภาคม/พฤษภาคม - กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะเกลือกา/Diospyros gracilis


ชื่อวิทยาศาตร์---Diospyros gracilis H. R. Fletcher.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List.http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2769854
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---กาจะ, น้ำจ้อน, มะหวีด ;[THAI: Ka cha, Nam chon, Ma weed.].
EPPO Code---DOSSS (Preferred name: Diospyros sp.)
ชื่อวงศ์--- EBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- ประเทศไทย
Diospyros gracilis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยHarold Roy Fletcher (1907-1978) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัยพืชถิ่นเดียวของประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบแล้งบริเวณเขาหินปูน
ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูงถึง10เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 50 ซม  ลักษณะทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง1.6-1.9ซม.ยาว5.5-7ซม.รูปใบหอกถึงรูปขอบขนาน ปลายใบทู่ โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ ดอกเป็นช่อกระจะสั้นสีขาวครีม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ดอกเพศผู้จะออกเป็นช่อขนาดเล็กตามซอกใบ มีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงอย่างละ 4 กลีบ มีเกสรเพศผู้อยู่กลางดอกประมาณ 14-18 อัน ส่วนดอกเพศเมียจะออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามซอกใบ ลักษณะคล้ายดอกเพศผู้ แต่มีขนาดใหญ่กว่า ผลมีเนื้อหลายเมล็ด รูปทรงกลมแกมรูปรีเส้นผ่านศูนย์กลางผลประมาณ 2-2.5 ซม มีกลีบเลี้ยงติดทน ผลอ่อนมีขน ผลแก่เกือบเกลี้ยง
ใช้ประโยชน์---ผลใช้ทำสีย้อมผ้า
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/มีนาคม- สิงหาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง

มะเกิ้ม/Canarium subulatum


ชื่อวิทยาศาตร์---Canarium subulatum Guillaumin.(1909)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2696093
ชื่อสามัญ---Ma Lueam tree.
ชื่ออื่น---มะเลื่อม (พิษณุโลก, จันทบุรี), มักเหลี่ยม (จันทบุรี), โมกเลื่อม (ปราจีนบุรี), มะกอกเกลื้อน (ราชบุรี), มะเหลี่ยมหิน (มหาสารคาม), มะเกิ้ม (ภาคเหนือ), กอกกัน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ), มะกอกเลื่อม (ภาคกลาง), มะกอกเลือด (ภาคใต้), มะกอกกั๋น (คนเมือง), มะเกิ้ม (ไทลื้อ), เกิ้มดง เพะมาง สะบาง ไม้เกิ้ม (ขมุ), ซาลัก (เขมร) ; [CHINESE: Máo yè lǎn.];[THAI: Ma Lueam, Mok Lueam.];[VIETNAM: Trám kên, Trám lá đỏ, Cà na mũi nhọn.]
EPPO Code---CNBSS (Preferred name: Canarium sp.)
ชื่อวงศ์---BURSERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
Canarium subulatum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะแฟน (Burseraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Andre Guillaumin (1885–1974) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2452


ที่อยู่อาศัยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค มักพบขึ้นตามบริเวณป่าไม้ผสมผลัดใบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าละเมาะ ป่าดิบแล้ง และตามบริเวณป่าหญ้าหรือทุ่งหญ้าทั่วไป ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,200 เมตร มักพบเสมอในป่ากึ่งโล่งที่มีไผ่
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูงถึง20เมตร ลักษณะลำต้นตั้งตรงเรือนยอดกลม เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาถึงเทาแก่ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อนมีขีดเส้นขาวๆ และให้น้ำยางใส ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีออกดำ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมส้มหนาแน่น ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก 2-5คู่  ใบ ยาว20-45ซม.ขอบใบหยักแบบซี่เลื่อยตื้นๆ ใบแก่เกลี้ยง สีแดงเข้ม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น ออกเป็นช่อตามง่ามใบ ช่อดอกเพศผู้ยาว 7-11 มม. มีขนทั่วไป กลีบรองกลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ยาว 2.5-3.5 มม.ขอบหยัก เกสรผู้ 6 อัน เกลี้ยง ในดอกเพศเมีย เกสรผู้มีขนาดเล็ก  ผล เป็นช่อ ช่อหนึ่ง ๆ มักมีเพียง 1-4 ผล ผลขนาด2.8-3.5ซม. ช่อยาว2.5-8ซม.สีเขียวเหลือง รูปไข่ปลายแหลม มีกลีบรองกลีบดอกรูปถ้วยเล็ก ๆ เชื่อมติดอยู่กับก้านช่อดอก มีเมล็ดเดียวชั้นหุ้มเมล็ดแข็งมาก
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารสีย้อมและแหล่งที่มาของไม้
-ใช้กิน ผลกินได้ทั้งสดและดอง ดยดองในน้ำเกลือหรือน้ำเชื่อม
-ใช้เป็นยา ตำรายาไทยจะใช้ผลนำมารับประทานเป็นยาแก้ไอ หรือใช้ผลสดหรือผลแห้งนำมาต้มเอาน้ำกิน ส่วนอีกวิธีให้ใช้ผลแห้งนำมาตำให้ละเอียด แล้วนำมาชงกับน้ำกินเป็นยาแก้ไอ- ยางใช้ทาแก้คัน
-วนเกษตรใช้ เป็นไม้เบิกนำในการปลูกป่า เนื่องจากเป็นไม้เนื้ออ่อน กิ่งหักง่าย และก่อให้เกิดโพรงเมื่อฝนตกลงมา ทำให้น้ำฝนมาขังอยู่ในโพรงตลอดปี ชาวอีสานจะเรียกโพรงนี้ว่า "สร้างนก" ซึ่งหมายถึงแอ่งน้ำสำหรับนก ที่ทำให้นกมีน้ำกินตลอดทั้งปี หมอยาบางท่านจะใช้"สร้างนก"เป็นน้ำกระสายยาอีกด้วย
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อน ใช้ทำเครื่องเฟอร์นิเจอร์คุณภาพต่ำ เก้งชอบกินผลหล่น สีดำของผลใช้ทำหมึก ยางสดใช้เป็นเครื่องหอม
สำคัญ---นักโบราณคดีพบ Canariumในชั้นหินโบราณบริเวณภาคใต้ของประเทศไทย อายุประมาณ 40,000 ปี แสดงว่า เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดที่ได้ถูกบันทึกในประเทศไทย
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/พฤษภาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะขม/Pittosporopsis Kerrii


ชื่อวิทยาศาตร์--- Pittosporopsis Kerrii Craib.(1911)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2530181
---Pittosporopsis nervosa Gagnep.(1947)
---Pittosporum nervosum (Gagnep.) Gowda.(1951)
---Stemonurus yunnanensis Hu.(1940)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- มะขม (กลาง) บะขม (เหนือ), มักยัง (ขมุ) ;[CHINESE: jia hai tong.];[THAI: Ma kom, Ba kom.].
EPPO Code: 1ICAF (Preferred name: Icacinaceae)
ชื่อวงศ์---ICACINACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว เวียตนาม ยูนนาน
Pittosporopsis Kerrii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Icacinaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2454
ที่อยู่อาศัย กระจายในป่าดิบทึบ ใน จีนตอนใต้ (ยูนนาน) ลาว, พม่า, ตอนเหนือของไทยและเวียตนาม ที่ระดับความสูง 300-1600 เมตร ในประเทศไทยพบทั่วไปตามสวนรอบบ้าน ป่าธรรมชาติ และสวนเมี่ยง
ลักษณะ เป็นต้นไม้ขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูงถึง 4- 8(-17)เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลแก่ เปลือกบางมาก มีรูอากาศใหญ่กระจายทั่วไป ใบเดี่ยวรูปขอบขนานแคบขนาดของใบกว้าง4-7ซม.ยาว10-21ซม. ผิวใบเรียบเกลี้ยงด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างใบสีอ่อน ก้านใบยาว 1.5-2.5 ซม.ดอกสีขาวหรือเขียวอ่อน ผลขนาด2-2.5ซม.สีเขียวสดแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผิวเรียบ
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน เมล็ดกินได้ รสขม ลวก ต้ม กินเป็นผัก
-ใช้เป็นยา เมล็ดนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ มักใช้เป็นสมุนไพรรักษาอาการบวมของแขนและขา
ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-พฤษภาคมของปีถัดไป/ตั้งแต่กุมภาพันธ์-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด  ปักชำกิ่ง

มะขาว/Trivalvaria pumila

ชื่อวิทยาศาตร์---Trivalvaria pumila (King) J.Sinclair.(1953)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Trivalvaria costata (Hook.f. & Thomson) I.M.Turner.(2009)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2435806
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะขาว; [CHINESE: Hai dao mu.];[THAI: Ma khao (General).].
EPPO Code:---TVVCO (Preferred name: Trivalvaria costata.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย (หมู่เกาะอันดามัน), ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ไทย, เวียดนาม
Trivalvaria pumila เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Sinclair (1913–1968)นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ในปี พ.ศ.2496
ที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นตามธรรมชาติใน ไทย เวียดนาม, อินเดีย (หมู่เกาะอันดามัน)และตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน (กวางตุ้ง,ไหหลำ )ลาว, มาเลเซีย, พม่า ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับความสูง 400เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นหรือ ไม้พุ่มขนาดเล็ก สูงประมาณ 2-5 เมตร ลักษณะ แตกกิ่งมาก ทรงพุ่มกลม เปลือกสีน้ำตาลดำมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เหนียวมาก ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับกว้าง 5-6.5 ซม. ยาว 15-18 ซม.ใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ใบด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีอ่อนกว่า ก้านใบ 2-10 มม. มีขนหนาแน่นถึงเกลี้ยง ดอกออก 1-2 ที่นอกซอกใบ ดอกสีขาว ดอกบานมีขนาด 2-2.5 ซม.ผลเป็นผลกลุ่มมีผลย่อย 7-10 ผล ผลรูปรีปลายแหลมกว้าง 8-10 มม.ยาว 2.2 ซม.ก้านผลยาว 10-10 มม ผลอ่อนสีเขียวเป็นมันเรียบ มีช่องอากาศเป็นจุดประขาว ผลแก่สีแดงส้ม                            
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฎาคม/ผลแก่---กรกฎาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะแขว่น/Zanthoxylum rhetsa


ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
ชื่อวิทยาศาตร์--- Zanthoxylum rhetsa (Roxb.) DC.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.
---Basionym: Fagara rhetsa Roxb.(1820)
---Zanthoxylum limonella (Dennst.) Alston.(1931)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2468986
ชื่อสามัญ---Indian Prickly Ash, Indian Ivy- rue, Cape Yellowwood.
ชื่ออื่น---กำจัดต้น, พริกหอม, หมากมาศ (กรุงเทพฯ); มะข่วง, มะแขว่น, มะแข่น, หมากแคว่น (เหนือ); ลูกระมาศ, ละมาด, พริกหอม, พริกม้า(กลาง); หมักข่วง (แม่ฮ่องสอน); แคนโข่ง (กาฬสินธุ์); มะนาวป่า, ผักมาด (สกลนคร);[ASSAMESE: Bajar mali, Bojramoni-goch, Basar-nali, Bozarmoni.];[BENGALI: Bazinali.];[CHINESE: Lai ta hua jiao, Hi jiao mu.];[HINDI: Badrang, Mullilam];[KANNADA: Jummina, Kadumenasu, Arempala.];[LAOS: Ma khaen.];[MALAYALAM: Kothumurikku, Mullilam, Mullilavu.];[MALAYSIA: Hantu duri, Kayu lemah (Java).];[MYANMAR: Chyinbawng, Kathit pyu, Ma yanin kyetsu.];[NEPALI: Rukhboke Timur, Gaai Simal.];[PHILIPPINES: Kayetana, Kayutana (Tag.).];[SANSKRIT: Ashvaghra.];[SINHALESE: Katu kina.];[THAI: Kamchat, Kamchat ton, Luk rat mat, Ma khuang, Ma khwaen, Phrik hom.];[VIETNAMESE: Cóc hôi, Hoàng mộc hôi, Sẻn hôi, Vàng me.].
EPPO Code---ZANRH (Preferred name: Zanthoxylum rhetsa.)
ชื่อวงศ์---RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ ชวา ฟิลิปปินส์ สุลาวาสี หมู่เกาะซุนดาน้อย ปาปัวนิวกินีตอนใต้
Zanthoxylum rhetsa  เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2367


ที่อยู่อาศัย พบมากในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบในศรีลังกา อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ ชวา ฟิลิปปินส์ สุลาวาสี หมู่เกาะซุนดาน้อย ปาปัวนิวกินีตอนใต้ขึ้นกระจายในป่าดิบชื้นที่ระดับความสูงระหว่าง 500- 1,500 เมตร.ในประเทศไทยพบได้ทั้งภาคกลาง ใต้ และภาคเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ไม่ผลัดใบสูงประมาณ 10-20 (-35) เมตร แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่งเรียวสูงชะลูด ลำต้นยาวและตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลมีหนามอ้วนแข็ง ใบประกอบแบบขนนกชั้นเดียวปลายคี่หรือคู่เรียงสลับ ใบย่อย 5-14 คู่ ขนาดใบย่อยกว้าง 2.5-6 ซม.ยาว7-18 ซม.ใบย่อยที่ปลายใหญ่ที่สุด ฐานใบไม่สมมาตร ขอบใบเรียบ ใบแก่เกลี้ยง มักจะมีแต้มสีแดงตามขอบใบและก้านใบ ด้านล่างใบมีต่อมเล็กๆหนาแน่นเมื่อขยี้จะมีกลิ่น มีดอกเพศผู้และดอกเพศเมียแยกกันคนละต้น (Dioecious) ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง ออกที่ปลายยอดหรือซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อดอกยาว 8-20 ซม.มีดอกย่อยสีขาวอมเขียวจำนวนมาก ขนาดของดอกย่อย 0.2 ซม.กลีบเลี้ยงและกลีบดอกจำนวนอย่างละ 4 กลีบ เกสรเพศผู้ 4 อัน ผลเป็นช่อกว้างมีถึง100 ผล ผลค่อนข้างกลม ขนาดของผล 0.6-0.9 ซม.ผลอ่อนสีเขียวผิวขรุขระ มีต่อมสีเข้ม เมื่อสุกสีชมพูหรือแดงมีเนื้อบางมีกลิ่นคล้ายมะนาว แห้งแล้วแตกได้ 1-4 ส่วนแต่ละส่วนมีเมล็ดสีดำ1เมล็ด ขนาดเมล็ดประมาณ 25-35 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม--ชอบดินร่วนซุยระบายน้ำได้ดีในที่แดดจัดหรือกึ่งร่มเงา
ใช้ประโยชน์---พืชที่ปลูกเป็นครั้งคราว ในศรีลังกาผลิตเมล็ดและส่งออกไปยังประเทศจีนและอิหร่านเพื่อใช้เป็นเครื่องเทศ
-ใช้กิน ใช้เป็นเครื่องเทศ ชาวเหนือประเทศไทยนิยมนำผล และเมล็ดแห้งมาประกอบอาหาร เนื่องจากผลแห้งมีกลิ่นหอมแรง และมีรสเผ็ดร้อน ทำให้ช่วยดับกลิ่นคาว และเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยมากขึ้น
-ใช้เป็นยาใช้ทำเป็นยาสมุนไพร ผล เมล็ดแห้ง เปลือ ราก ใบมีสรรพคุณ บำรุงหัวใจ บำรุงเลือด บำรุงธาตุ ลดความดันเลือด เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ขับลมในลำไส้ ขับระดู สมานแผล สูดดม แก้อาการวิงเวียน แก้ลำคออักเสบ ขับเสมหะ แก้พิษร้อนใน ลดอาการฟกช้ำ แก้อาการปวดท้องกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ รักษาโรคหนองใน น้ำมันที่ได้จากการกลั่นด้วยไอน้ำใช้เป็นยาดั้งเดิมสำหรับอหิวาตกโรค ถูกนำไปใช้ต่อไปเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อและยาฆ่าเชื้อ เป็นยาชาเฉพาะที่ เปลือกไม้ทุบและผสมกับน้ำมันใช้ภายนอกเป็นยาแก้ปวดท้อง - ยาต้มเปลือกใช้ภายในสำหรับอาการปวดหน้าอก ในอินเดียใช้แบบดั้งเดิมในโรคเบาหวานและการอักเสบ
-อื่น ๆ ไม้สีเทาอมเหลืองมีความแข็งปานกลางเนื้อแน่น ผลแห้งนำมาสกัดน้ำมันใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอางหรือใช้พ่นป้องกันยุงลาย
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มกราคม/มกราคมมีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ ขำราก แยกต้นอ่อน เสียบยอด

มะควัด/Ziziphus rugosa  


ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Ziziphus rugosa Lam.(1789)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-27500023
ชื่อสามัญ---Zunna berry, Wrinkled jujube, Wild jujube.
ชื่ออื่น---มะควัด (ภาคเหนือ); กุยฉ่องซู,หน่อควะ (กระเหรี่ยง แม่ฮ่องสอน); หมากคอก (เงี้ยว แม่ฮ่องสอน); อ้อยช้าง (กาญจนบุรี);[ASSAMESE: Bhidhao-bogori, Bon-bogori, Dindao Bogori.];[CHINESE: Zhou zao.];[HINDI: Suran.];[INDIA: Chunna, Churna.];[MALAYALAM: Malamthudali, Kottamullu, Thodali, Cheruthudali, Juli.];[MARATHI: Churan, Toran, Turan.];[MYANMAR: Mak-kok , Myauk-zi , Sammankaw, Taw-zi, Zi-ganauk, Zi-talaing.];[NEPALIi: Gamaraai.];[TAMIL: Kattilandai, Kattuilindhai, Suduthoratti.];[THAI: Ma kwad, Mak kok, Oey chang.];[VIETNAM: Táo nhám, Táo rừng.].
EPPO Code---ZIPRU (Preferred name: Ziziphus rugosa.)
ชื่อวงศ์---RHAMNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, บังคลาเทศ,  อินเดีย , ลาว , พม่า , ศรีลังกา , ไทยและเวียดนาม
Ziziphus rugosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พุทรา (Rhamnaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean-Baptiste Lamarck (1744–1829) นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2332
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน (ไหหลำ ยูนนาน) บังคลาเทศ,ตะวันออกหิมาลัย, ไหหลำ, อินเดีย, ลาว, พม่า, นิโคบาร์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม เติบโตบนริมฝั่งแม่น้ำ ป่าชอเรีย; ที่ระดับความสูงถึง 1,200 เมตร ในป่าโปร่งและพุ่มไม้หนาทึบบนเนินเขา สถานที่ที่มีแสงแดดส่องถึงบนภูเขา ที่ระดับความสูงถึง 1,400 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงถึง 6 เมตร อยู่ในวงศ์พุทรา แตกกิ่งระเกะระกะมีหนามโค้ง ใบเดี่ยวรูปไข่อยู่ในระนาบขนาดใบกว้าง 3-7.5 ซม.ยาว 5-15 ซม. ขอบใบมักเป็นซี่หยัก กิ่งก้านอ่อนและใต้ใบมีขนสีน้ำตาลปกคลุมหนาแน่น ดอกขนาด 0.6 ซม.สีเหลืองอ่อนออกเขียว ดอกเป็นช่อแตกแขนงมีก้านร่วมชัดเจนผลขนาด 0.8-1.5 ซม.สีเหลืองหรือส้มอ่อนมีขนสีน้ำตาลอ่อนปกคลุมหนาแน่น มีเนื้อหุ้มเมล็ดบางๆ เมล็ดแข็ง 1-2 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยา
-ใช้กิน ประชากรเผ่า Ghats ตะวันตกในอินเดียเก็บผลไม้ (ผลเบอร์รี่) เพื่อการบริโภคและขายเอง ผลเบอร์รี่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า 'Toran'ในภาษามาราธี และมีชื่อท้องถิ่นอื่นในอินเดียเช่น Chunna และ Churna
-ใช้เป็นยา เปลือกไม้ใช้เป็นยาพอกเหงือกที่บวมและปวดฟัน -; ดอกไม้รวมกับก้านใบพลูในปริมาณที่เท่ากันและมะนาวครึ่งหนึ่งใช้ทำยารักษาโรคประจำเดือน-; ในประเทศลาว เปลือกและไม้ใช้สำหรับรักษาโรคบิด
-อื่น ๆสปีชีส์นี้เป็นที่อยู่ที่สำคัญของแมลงกาฝาก Laccifer lacca (แมลงครั่ง)-; กิ่งใช้สำหรับทำรั้ว ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด -ใช้เวลาในการงอก 2 - 3 สัปดาห์โดยมีการงอกขั้นต่ำ 75%


มะคังดง/Ostodes paniculata

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Ostodes paniculata Blume.(1826)
ชื่อพ้อง---Has 6 Synonyms
---Ostodes corniculata Baill.(1858)
---Ostodes kerrii Craib.(1911)
---Ostodes prainii Gand.(1920)
---Ostodes thyrsantha Pax.(1911)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-144600
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะคังดง, มะคังดงขน ;[CHNESE: Ye lun mu.];[THAI: Ma khang dong (Northern), Ma khang dong khon.].
EPPO Code---OSDPA (Preferred name: Ostodes paniculata.)
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย เนปาล บังคลาเทศ พม่า ไทย เวีบตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Ostodes paniculata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Euphorbiaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2369


ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายในจีน (ไหหลำ, ยูนนาน) ภูฏาน, กัมพูชา, อินเดีย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย (คาบสมุทร), พม่า, เนปาล, เวียดนาม เติบโตในป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 400-1400 เมตร. ในประเทศไทย พบทั่วไปในร่มเงาที่ชุ่มชื้นทางภาคเหนือ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กสูงถึง10-15 เมตร เรือนยอดไม่สม่ำเสมอ แผ่กว้าง ลำต้นบิดงอ เปลือกต้นสีเทาอ่อนผิวเรียบ เปลือกชั้นในมักมียางสีเหลืองหรือแดง ใบเดี่ยวขนาดกว้าง7-9 ซม.ยาว15-24 ซม.ขอบใบหยักเป็นซี่เล็กๆมีต่อม 2 ต่อมเชื่อมกันที่ปลายของแต่ละหยัก ก้านใบยาว 4-12 ซม มีต่อม 2 ต่อมด้านบน หูใบหลุดร่วงง่าย ช่อดอกแคบยาวแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกสีขาวบางครั้งมีประสีชมพู ดอกเพศผู้รูปกลม กลีบเลี้ยง 5 กลีบ(กว้าง 3, แคบกว่า 2 อัน), 3-3.5 มม กลีบดอก 5 กลีบ รูปไข่สีขาว เกสรเพศผู้ 20-35 ดอกเพศเมีย ขนาดดอก 1.2 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกเหมือนในเพศผู้ ผล มักเป็น 3 พูขนาด 2.5-3 ซม.เมื่ออ่อนสีเขียว สุกสีน้ำตาล ผิวนอกเหนียวคล้ายหนัง ชั้นในแข็ง แตกได้เป็น 3 ส่วน เมล็ดกลมมี 2 สันขนาด1-1.2 ซม.สีน้ำตาลหรือดำมีจุดลาย
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ที่ปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าในประเทศไทย
-ใช้ในวนเกษตร ใช้ปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับพันธุ์อื่น ๆมีความสามารถในการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผลิตครอบฟันที่หนาแน่นและปราบปรามวัชพืช และดึงดูดสัตว์ป่าที่กระจายเมล็ดโดยเฉพาะนกและค้างคาว
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อน สีซีด เหมาะสำหรับ ใช้ทำฟืนและกระดาษเท่านั้น
ภัยคุกคาม--เนื่องจาก ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม/ติดผลเดือนมิถุนายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด 

มะคังแดง/ Dioecrescis erythroclada


ชื่อวิทยาศาตร์---Dioecrescis erythroclada (Kurz) Tirveng.(1983)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-62103
---Basionym: Gardenia erythroclada Kurz.(1872)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---จงก่าขาว, มะคังแดง, มะคังป่า, มะคัง, จิ้งก่าขาว, ชันยอด, ตุมกาแดง, มุยแดง, ลุมปุกแดง ;[THAI: Chong ka khao (Kanchanaburi), Ching ka khao (Ratchaburi), Chan yot (Ratchaburi), Tumka daeng, Ma khang pa (Central), Ma khang (Chiang Mai), Ma khang daeng (Central, Northern), Mui daeng, Lum puk daeng (Nakhon Ratchasima).];[VIETNAM: Nanh heo, Đàn dành lóng đỏ, Mùi đeng, Da hươu.].
EPPO Code---1RUBF (Preferred name: Rubiaceae.)
ชื่อวงศ์--- RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ, กัมพูชา, อินเดีย, ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม
Dioecrescis erythroclada เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกา ในปี พ.ศ.2526
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียถึงอินโดจีน พบตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ และชายป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นผลัดใบขนาดกลางสูง 6-12 เมตร ลักษณะลำต้น กิ่งก้านสีน้ำตาลแดงเข้ม โคนมีหนาม ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม รูปวงรีหรือไข่กลับ กว้าง8-15ซม.ยาว15-22ซม.ผิวใบมีขน หูใบรูปสามเหลี่ยม หลุดร่วงง่าย  ดอก สีเขียวอ่อนแกมเหลือง ที่ซอกใบใกล้ปลายกิ่ง  กลีบดอกมี 5 กลีบ ดอกเพศผู้ไม่มีก้านดอก ดอกเพศเมียออกเป็นช่อสั้นใกล้ปลายยอด ผลเป็นผลสดรูปไข่รีมีสันปลายผล5-6 สันมีกลีบเลี้ยงติดอยู่
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา-ยาพื้นบ้านไทยใช้ ต้น ต้มน้ำดื่ม แก้เลือดลมเดินไม่สะดวก ผสมกับหัวยาข้าวเย็น ต้มน้ำดื่ม แก้ไตพิการ(โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง มักมีอาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้) แก้ปวดท้อง เปลือกต้น ตำพอกแผลสด ห้ามเลือด- ในเวียตนามใช้รากรักษาโรคหัด
-อื่น ๆ เนื้อไม้ใช้ทำหน้าไม้ เครื่องมือทางการเกษตร
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


มะเค็ด/Catunaregam tomentos


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Catunaregam tomentosa (Blume ex DC.) Tirveng.(1978 publ. 1979)
ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-36208
---Basionym: Gardenia tomentosa Blume ex DC.(1830)
---Gardenia dasycarpa Kurz.(1872)
---Randia dasycarpa (Kurz) Bakh.f.(1956)
---Randia tomentosa (Blume ex DC.) Hook.f.(1880)
---Xeromphis tomentosa (Blume ex DC.) T.Yamaz.(1970)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะเค็ด, ระเวียงใหญ่, หนามแท่ง, กะแทง, เดล็ด, เดล็ดทุ่ง ;[KHMER: lvieng (central).];[THAI: khet (Northeastern), ra wiang yai (Northeastern), nam thaeng (Northeastern).];[VIETNAM: Hoa Găng Trắng.].                                       EPPO Code---KTUSS (Preferred name: Catunaregam sp.)
ชื่ออื่น---มะเค็ด ระเวียงใหญ่ หนามแท่ง
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม ลาว กัมพูชา มาลายา ชวา
Catunaregam tomentosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ จากอดีต Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Deva D. Tirvengadum (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวศรีลังกา ในปี พ.ศ.2522


ที่อยู่อาศัย ขึ้นกระจายจากอินเดียจนถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบใน อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม ลาว กัมพูชา มาลายา ชวา ในป่าดิบ ป่าแล้ง ป่าละเมาะ ที่รกร้าง ป่าชายหาด หรือทุ่งหญ้า พื้นที่โล่ง ที่ระดับความสูง 200-500 เมตร ในประเทศไทยพบในป่าเต็งรัง ป่าผสมผลัดใบ ในป่ารกร้างตามทุ่งหญ้าในเขตแห้งแล้งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง พบที่ความสูงตั้งแต่ใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงที่ระดับความสูง 300 เมตร
ลักษณะ ต้นมะเค็ดหรือระเวียงใหญ่ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ความสูง 2-8 เมตร กิ่งก้านมีหนามแหลมยาวมีหนามแข็งเป็นคู่ แตกกิ่งขนาดเล็กจำนวนมากแน่นเป็นพุ่ม เปลือกนอกสีน้ำตาลผิวหยาบ เปลือกแตกเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามรูปรี ปลายและโคนแหลม มีขนทั้งสองด้าน มีหูใบ 1คู่ รูปสามเหลี่ยม ใบอ่อนมีขน ต้นอ่อนมีหนาม1คู่ที่ซอกใบ หนามแหลมและแข็งยาว2-3ซม. ดอกเดี่ยวออกที่ซอกใบเมื่อเริ่มแย้มมีสีขาว ต่อมาเปลี่ยนเป็นเหลืองอ่อน กลีบเลี้ยง 5 กลีบ แฉกลึก หลอดกลีบดอกสั้นกว่ากลีบดอก มี 8–9 กลีบ บิดเวียน รูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ ยาว 1.5–2 ซม. เกสรเพศผู้เท่าจำนวนกลีบดอก ติดใต้ปากหลอดกลีบดอก ก้านชูอับเรณูสั้น อับเรณูรูปแถบ ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก รังไข่ใต้วงกลีบ ยอดเกสรเพศเมียรูปกระบอง ยื่นพ้นปากหลอดกลีบดอก มีกลิ่นหอมอ่อน ผลกลมรีหรือรูปไข่ เส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5–5.5 ซม. มีขนสีน้ำตาลแกมเขียวหนาแน่น มีเมล็ดจำนวนมากสีดำ
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ตำรายาไทย  ใช้  ทั้งต้น รสเฝื่อนเล็กน้อย ปรุงยารักษาโรคเบาหวาน แก้โรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งในกระดูก แก้วัณโรค ประเทศแถบอินโดจีน  ใช้  ใบ แก้ไข้ ขับปัสสาวะ
-อื่น ๆ ชาวบ้านใช้ ผลแก่ ตีกับน้ำ เป็นยาสระผม -ต้นปลูกเป็นรั้วกั้นแนว หรือแปลงปศุสัตว์
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-เมษายน/ระหว่าง เดือน เมษายน-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะดะหลวง/Garcinia xanthochymus

ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Garcinia xanthochymus Hook. f. ex T. Anders.(1874)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Basionym: Xanthochymus pictorius Roxb.(1805)
---Garcinia pictoria (Roxb.) Engl.(1925)
---Garcinia tinctoria (DC.) W. Wight.(1909)
---Xanthochymus tinctorius DC.(1824)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2817262
ชื่อสามัญ---Mysore gamboge, Egg tree, False mangosteen,Gamboge, Yellow mangosteen, Sour mangosteen, Himalayan garcinia.
ชื่ออื่น---มะดะหลวง, มะดะ, มังคุดป่า, จะค้าส่า ;[ASSAMESE: Tepol-tenga,Tepor,Tepor tenga.];[BENGALI: Chalata, Dampel, Tamal.];[BRAZIL: Gamboge, Mangostao-amarelo, Falso-mangostin.];[CHINESE: Dà yè téng huáng.];[HINDI: Dampel, Tamal,];[INDIA: Cochin Goraka.];[KANNADA: Gansargi, Devagarige.];[MALAYALAM: Anavaya, Andoor mavu, Bhaviyam, Monthanpuli, Pinar, Thamalam, Vayirapuli.];[MYANMAR: Daungyan, Dawyan-ban, Hmandaw, Madaw.];[ORIYA: Cheoro, Sitambu.];[PORTUGUESE: Gamboge.];[SANSKRIT: Bhavishya, Kalakhanda, Bhavana, Bhavya, Avika.];[TAMIL: Kulavi, Malaippachai.];[THAI: Ma da luang (Chiang Mai), Ma da (Northern), Cha-kha-sa (Karen-Mae Hong Son).];[VIETNAM: Bứa mủ vàng.].
EPPO Code---GANTI (Preferred name: Garcinia xanthochymus.)
ชื่อวงศ์---CLUSIACEAE (GUTTIFERAE)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อนุทวีปอินเดีย พม่า อินโดจีน ศรีลังกา มาเลเซีย (มาลายา) ออสเตรเลีย (ควีนส์แลนด์)
Garcinia xanthochymus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มังคุด (Clusiaceae) หรือ (Guttiferae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษจากอดีตThomas Anderson (1832–1870) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตที่ทำงานในเมืองกัลกัตตาประเทศอินเดีย ในปี พ.ศ.2413
ที่อยู่อาศัย ถิ่นกำเนิดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในอินเดียและพม่า เกิดขึ้นในป่าภูเขาทางตอนใต้ของอินเดียและสามารถพบได้อย่างแพร่หลายในป่าเขาทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยและด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า 'Himalayan garcinia'กระจายไปยัง บังคลาเทศ ภูฏาน กัมพูชา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ลาว พม่า เนปาล ไต้หวัน ไทย เวียดนาม มีการกระจายกว้างขวางพบทั่วไปในป่าดิบชื้นกึ่งป่าดิบเขาและป่าผลัดใบชื้นมักพบใกล้ธารน้ำ ที่ระดับความสูงถึง 600-1,400 เมตร ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือบริเวณที่ชื้นหรือริมลำธาร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 10-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 15-45ซม. ลักษณะเปลือกต้นบางสีน้ำตาลเข้ม กิ่งก้านหนาเป็นเหลี่ยม มียางสีเหลือง ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ขนาดของใบกว้าง10ซม.ยาว40ซม. ฐานใบกลมหรือป้าน ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกสีขาวขนาด1.5-2.5ซม. ออกตามซอกใบ เป็นกลุ่มช่อสั้นๆบนกิ่ง ดอกเพศผู้สีชมพูถึงแดง เส้นผ่านศูนย์ประมาณ 1ซม. กลีบดอกหนา 5 กลีบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก ผลสดขนาด 4.5-9 ซม.รูปกลมเมื่อสุกสีเหลืองเข้มมีกลีบเลี้ยงถาวรติดอยู่ เมล็ดใหญ่ 3-5 เมล็ด เมล็ดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 3 ซม. ส่วนที่เหลือมักไม่ได้รับการพัฒนา ฝังอยู่ในเนื้อผลสีส้ม
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่มีแดดแต่ทนต่อร่มเงา ดินที่ระบายน้ำได้ดี รวมถึงดินที่ไม่ดีและดินที่มีค่า pHสูง ต้องการค่า pH ในช่วง 6 - 7.5 ซึ่งทนได้ 5.5 - 8
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าและได้รับการเพาะปลูก เพื่อใช้เป็นผลไม้และสีย้อม เป็นที่มาของ 'gamboge' ซึ่งเป็นยางเรซิ่นที่มีการใช้งานหลากหลายที่มักจะเก็บเกี่ยวได้จากหลายสายพันธุ์ในพืชสกุลนี้และมีการซื้อขายในระดับสากล
-ใช้กิน ผลสดกินได้แต่มีรสเปรี้ยว ทำเครื่องดื่มได้ ใช้ในเชอร์เบท แยม แกงกะหรี่แทนน้ำส้มสายชู หรือมะขามหรือเป็นเครื่องปรุงในอาหารอื่น ๆ
-อื่น ๆ ไม้ค่อนข้างหนักและแข็ง เปลือกให้สีคล้ายสีน้ำมันมะกอกใช้ย้อมเสื้อผ้า ผ้าฝ้ายและผ้าไหม- Gamboge ยางเรซิ่นที่ได้จากพืชใช้เป็นสีย้อมสีเหลืองเป็นสีสว่างและเคลือบเงาสีน้ำ สีย้อมมักจะใช้สำหรับการย้อมจีวรของพระสงฆ์
ระยะออกดอก/คิดผล---มีนาคม - พฤษภาคม/สิงหาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง

 

มะดูกดำ/ Xanthophyllum virens

ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Xanthophyllum virens Roxb.(1820)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2467467
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น--- มะดูกดำ, ขางขาว, มะดูก; [THAI: Khang khao (Chiang Mai), Ma duk (Chiang Rai).].
EPPO Code---XAPSS (Preferred name: Xanthophyllum sp.)
ชื่อวงศ์---POLYGALACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ พม่า คาบสมุทรมาเลย์
Xanthophyllum virens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Polygalaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2363


ที่อยู่อาศัย พบในบังคลาเทศ พม่า คาบสมุทรมาเลย์ ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือและภาคกลางตามป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดงดิบ ที่ระดับสูงไม่เกิน 800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูง 20-35 เมตร ทรงต้น เรือนยอดแคบและแน่น เปลือกต้นสีครีมอ่อนค่อนข้างหนาเป็นเนื้อ (cork)และผิวแตกระแหงเล็กๆ เปลือกชั้นในสากสีครีมอ่อนหรือส้มใบเดี่ยวขนาดกว้าง2.5-7.5ซม.ยาว10-23ซม.เรียงเวียนรอบกิ่ง แบบสลับ รูปมนรีแคบหรือรูปหอกสอบเข้าที่ปลายทั้งสองด้าน ขอบเป็นคลื่นด้านบนเป็นมันสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีเขียวแกมเทา-ดอกขนาด0.8-1.4ซม.สีขาวแกมเหลือง ดอกคล้ายดอกถั่ว ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง5กลีบขนาดไม่เท่ากัน -ผลกลมขนาดบวกลบ3ซม.สีเหลืองเข้มแกมเขียวคล้ายหนัง มีรอยเหี่ยวย่นเมื่อสุก มีเมล็ดขนาดใหญ่ 1 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้กินผลสุกกินได้รสหวานหอม
-ใช้เป็นยา  รากมีรสมันเมา ใช้กินเป็นยาบำรุงกระดูก ดับพิษในกระดูก แก้พิษฝีภายใน ฝีในตับ ฝีในปอด ฝีในกระดูก แก้อาการปวดแสบปวดร้อน แก้เส้นเอ็นพิการ แก้อาการปวดกระดูกและข้อ
-ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับบ้างบางครั้ง -เนื้อไม้ใช้สร้างบ้าน
-อื่น ๆ พบเสมอในป่าที่ไม่ถูกไฟไหม้ สังเกตได้ง่ายในป่าดิบเพราะมีน้อยชนิดที่มีเปลือกต้นเป็นรอยแตกลึกและใบแห้งสีเขียว
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-มิถุนายน/กรกฎาคม-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะเดื่อเกลี้ยง/Ficus racemosa var. racemosa


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Ficus racemosa var. racemosa
ชื่อพ้อง--- This name is a synonym of Ficus racemosa L. .
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-50132147
ชื่อสามัญ---Cluster tree
ชื่ออื่น---มะเดื่อเกลี้ยง ;[CAMBODIA: Lovië.];[CHINESE: Ju guo rong (Yuan bian zhong).];[INDIA: Atti, Gular, Trimbal, Umar, Umbar, Umbri, Umra.];[INDONESIA: Arah, Elo, Loa.];[LAOS: Düa kiengz.];[MYANMAR: Atti, Thapan, Umbar, Ye tappan.];[NEPALI: Dumri, Gullar.];[SINGAPORE: Atteeka.];[THAI: MA Deua kliang.];[VIETNAM: Sung.].
EPPO Code---FIURM (Preferred name: Ficus racemosa.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันตก (ปากีสถาน), เทือกเขาหิมาลัย, อินเดีย, ศรีลังกา, อินโดจีน, มาเลเซีย, จีน, นิวกินี, ออสเตรเลีย (ตะวันตก, เหนือ, ควีนส์แลนด์)
Ficus racemosa var. racemosa เป็นชื่อพ้องความหมายของ Ficus racemosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)
ที่อยู่อาศัยพบในปากีสถาน  ศรีลังกา อินเดีย กัมพูชา ไทย พม่า ยูนนาน ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา หมู่เกาะซุนดาน้อย นิวกินี ออสเตรเลีย
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง 24เมตร เรือนยอดโปร่ง กิ่งแผ่ขยายกว้าง ลำต้นที่อายุมากจะเป็นร่องหรือพูพอน เปลือกต้นสีเทาอมชมพูหรือน้ำตาลอ่อน ผิวสากและมีเกล็ดหยาบ เปลือกชั้นในสีชมพูมีน้ำยางสีน้ำตาลออกครีม ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับ กว้าง4-8ซม.ยาว8-15(20)ซม.ขอบใบเรียบหรือใกล้ปลายใบมีหยักกลมตื้น ใบแก่เกลี้ยงด้านล่างมีขนละเอียดสีขาว ผลแบบมะเดื่อ ออกตามปุ่มบนลำต้นหรือกิ่งใหญ่ๆ รูปคล้ายลูกข่างสีเขียวอมเหลือง สุกสีน้ำตาลอมแดงเข้ม
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีสรรพคุณทางเป็นสมุนไพร
-อื่นๆ ไม้ค่อนข้างทน ใช้ทำอุปกรณ์ราคาถูก
ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กรกฏาคม  
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะเดื่อสาย/Ficus semicordata

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 3-;ไม้ต้นในสวน Tree in the Garden
ชื่อวิทยาศาตร์--- Ficus semicordata Buch.-Ham. ex Sm.(1810)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Covellia cunia (Buch.-Ham. ex Roxb.) Miq.(1848)
---Ficus cunia Buch.-Ham. ex Roxb.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2812266
ชื่อสามัญ---Drooping fig.
ชื่ออื่น---มะเดื่อสาย, มะน้อดกว๊าย, นอด, เดื่อปล้องหิน, มะค่าขน, มะเดื่อขน, แม่นอน ;[ASSAMESE: Tokuk asing.];[AYURAVEDA: Bhumi udumbara.];[CHINESE: Jī sù zi guǒ, Ji su zi rong.];[HINDI: Bhuin gular, Doomar, Khunia.];[KHASI: Dieng-duit-lasas.];[NEPALESE: Khanyu.];[SANSKRIT: Khara patra.];[TAMIL: Taragadi.];[TELUGU: Bommachettu.];[THAI: Ma deua sai, Ma nod gwai, Nod, Deua plong hin, Ma kha khon, Ma deua khon, Mae non.];[VIETNAMESE: Cọ nọt, Ða lá lệch.].
EPPO Code--- FIUSS (Preferred name: Ficus sp.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เอเซียตะวันออกเฉียงใต้
Ficus semicordata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francis Buchanan-Hamilton(1762-1829) แพทย์ชาวสก็อตที่มีส่วนร่วมสำคัญในฐานะนักภูมิศาสตร์นักสัตววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ในขณะที่อาศัยอยู่ในอินเดียและJames Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2391


ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายในจีน (กวางสี กุ้ยโจว, ทิเบต, ยูนนาน) [ภูฏาน, อินเดีย, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, สิกขิม, ไทย, เวียดนาม] พบตามขอบป่าและภูเขาที่ระดับความสูง 600-1900 เมตร ในประเทศไทยพบ เป็นพรรณไม้ที่พบตามริมน้ำในป่าเบญจพรรณและป่าดิบ ที่ระดับความสูง 450-700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูงถึง 10-15 เมตร เปลือกขรุขระสีเทาเข้ม ไม่มีรากอากาศ ทุกส่วนมีน้ำยางขาว กิ่งอ่อนเป็นข้อปล้อง มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ปลายยอดมีหูใบรูปรียาว 1.5ซม. หลุดร่วงง่าย ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับรูปรีแกมขอบขนาน มีขนสากคายทั้งสองด้าน ขนาดกว้าง 5-10 ซม.ยาว 15-30 ซม. โคนใบเว้าด้านหนึ่งคล้ายติ่งหู ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเล็กน้อย ดอกแยกเพศแยกต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อเป็นสายยาวจากโคนต้น มีรูปร่างคล้ายผล ส่วนฐานของดอกเจริญเป็นกระเปาะกลม สีเขียวอมน้ำตาล ผิวมีรอยแผลระบายอากาศกระจายทั่วไป ภายในผลเป็นดอกแยกเพศและดอกไม่สมบูรณ์เพศอยู่อัดกันแน่น ผลกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2.5 ซม. ผิวสีน้ำตาล มีตุ่มขรุขระเมื่อสุกสีแดง  
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นมะเดื่อมีรูปแบบการปฏิสนธิเฉพาะ แต่ละสปีชีส์อาศัยตัวต่อชนิดเดียวที่มีความเชี่ยวชาญสูงซึ่งขึ้นอยู่กับสายพันธุ์มะเดื่อนั้น ทั้งหมดเพื่อผสมพันธุ์ ต้นไม้ให้ดอกสามชนิด ตัวผู้ ตัวเมียแบบยาว และตัวเมียแบบสั้น มักเรียกกันว่าดอกน้ำดี ดอกไม้ทั้งสามประเภทอยู่ภายในโครงสร้างที่เรามักคิดว่าเป็นผลไม้
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อหาผลไม้ เส้นใย และสรรพคุณทางยาที่กินได้
-ใช้กินผลแก่กินได้มีรสหวานอมเปรี้ยว
-ใช้เป็นยา น้ำผลไม้จากรากใช้รักษาอาการปวดหัว สำหรับไข้และประจำเดือนผิดปกติ-; เปลือกไม้รวมกับ Schima wallichii และ Syzygium cumini ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร-; ผลอ่อนใช้รักษาอาการท้องผูก-; น้ำยางใช้รักษาเด็กที่มีไข้
-ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ประดับริมถนน
-อื่น ๆเปลือกผลเป็นเส้นใยที่ใช้ทำเชือก
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ เมล็ด งอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 20°c

มะเดื่อหอม/Ficus hirta

ชื่อวิทยาศาตร์---Ficus hirta Vahl.(1805)
ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms
---Ficus simplicissima var. hirta (Vahl) Migo.(1944)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2810737
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---เดื่อขน (เหนือ);หาด (เชียงใหม่); นอดน้ำ (ลำปาง); มะเดื่อขน (นครราชสีมา); นมหมา (นครพนม);นอดหอม มะเดื่อเตี้ย (จันทบุรี); เดื่อหอมเล็ก เดื่อหอมใหญ่ (ตราด); พุงหมู (อุบลราชธานี); [CHINESE: Cu ye rong, Jí jiǎn róng.];[ASSAMESE: Dieng-soh-rompian, Khongal dimoru, Khongal-dimoru, Dieng-soh-lapong.];[MYANMAR: Aak-tay, Bainamchyubawng, Khwe-ka-dut, Kyasha-tha-phan, Nawi-hawng.];[PORTUGUESE: Figueira-brava.];[THAI: Duea hom (Northern), Ma duea hom (Chon Buri, Trang), Ma duea khon (Nakhon Ratchasima), Duea hom lek, Duea hom yai (Trat), Nom ma (Nakhon Phanom), Nod nam (Lampang), Ma duea khon, Ma duea tia, Nod hom (Chanthaburi), Yuea-thong (Yao-Chiang Rai), Hat (Central, Chiang Mai).].
EPPO Code--- FIUHT (Preferred name: Ficus hirta.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล สิกขิม อัสสัม  ไทย พม่า จีน คาบสมุทรอินโดจีน มาลายา สุมาตรา ชวา
Ficus hirta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยMartin Vahl (1749–1804)นักพฤกษศาสตร์และนักสัตววิทยาชาวเดนมาร์ค-นอร์เวย์ในปี พ.ศ.2348
ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายใน จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, กุ้ยโจว, ไหหลำ, หูหนาน, เจียงซี, ยูนนาน, เจ้อเจียง) [ภูฏาน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, พม่า, เนปาล, สิกขิม, ไทย, เวียดนาม] ป่าไม้และชายป่าที่ระดับความสูงต่ำ ในป่าทุรกันดารข้างทาง และตามขอบของป่าจากระดับที่สูงขึ้นไปถึง 2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือไม้พุ่ม สูง 10เมตร  ไม่ค่อยแตกกิ่ง ลำต้นและกิ่งก้านมีขนแข็งและสากคาย มีสีน้ำตาลแกมสีเหลืองอ่อน เมื่อแก่ลำต้นจะกลวง ที่ตาดอกและใบอ่อนมีขนขึ้นหนาแน่น มีรากเก็บสะสมอาหารเป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีกลิ่นหอม  ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ใบรูปขอบขนาน แผ่นใบมักเป็นพูลึก 3-5 พู ที่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะในต้นอ่อน หรือเป็นขอบเรียบ ปลายใบแหลมเป็นติ่ง โคนใบเบี้ยว ส่วนขอบใบจักเป็นเลื่อย ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-12 เซนติเมตรและยาวประมาณ 12-25 ซม.แผ่นใบมีขนขึ้นทั้งสองด้าน ด้านบนเป็นขนหยาบสีน้ำตาลอมเหลืองขึ้นอยู่ประปราย ขนมีลักษณะยาวและหยาบบนเส้นใบ ส่วนด้านล่างขนจะมีลักษณะอ่อนนุ่มกว่า ใบแก่มีลักษณะบาง ก้านใบยาว 11ซม.มีหูใบแหลม 0.8-2ซม. กิ่งก้านมักจะกลวง และที่ข้อพองออกในต้นอ่อน -ดอกช่อเกิดภายในโครงสร้างกลวงออกตามซอกใบ ประกอบไปด้วยดอกขนาดเล็กจำนวนมากเบียดกันแน่นบนฐานรองดอก ซึ่งเจริญหุ้มดอก มีช่องเปิดด้านบน ซึ่งมีใบประดับซ้อนทับกันหลายชั้นปิดอยู่ทำให้ดูคล้ายผล รูปไข่ค่อนข้างกลมอยู่บริเวณกิ่งที่มีใบติดอยู่ ดอกจะเป็นแบบแยกเพศแต่อยู่ในช่อดอกเดียวกัน ดอกเพศผู้จะมีจำนวนน้อย โดยจะอยู่ในบริเวณรูเปิดของช่อดอก มีกลีบดอก 3-4 กลีบ มีเกสรเพศเมียประมาณ 1-2 ก้าน ส่วนดอกเพศเมียจะมีรังไข่เหนือวงกลีบ-ผลเป็นผลสด ลักษณะของผลกลมรี มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.1-2.5ซม. ออกเดี่ยว ๆ หรือออกคู่ ผลเป็นสีเหลือง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงอมส้ม ผลมีขนหยาบสีทองหนาแน่น มียางสีขาว ไม่มีก้านผล
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นมะเดื่อมีรูปแบบเฉพาะของการปฏิสนธิแต่ละสายพันธุ์อาศัยสายพันธุ์เดี่ยวที่มีความเชี่ยวชาญสูง ตัวต่อ ที่ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเดื่อนั้นเพื่อที่จะผสมพันธุ์ ต้นไม้สร้างดอกไม้สามประเภท ตัวผู้เป็นเพศหญิงที่มีสไตล์ยาวและดอกไม้เพศเมียที่มักเรียกกันว่าดอกน้ำดี ดอกไม้ทั้งสามชนิดมีอยู่ในโครงสร้างที่เรามักจะคิดว่าเป็นผลไม้
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ผลสีเหลืองสุกสีแดงอมส้ม กินได้ ยอดหน่ออ่อนมาก - กินดิบๆกับข้าว
-ใช้เป็นยา หลายส่วนของพืชเป็นสมุนไพร ยาต้มของเปลือกต้นใช้ในการรักษาไข้ น้ำยางสีขาวของพืชถูกนำไปใช้กับบาดแผล รากและผลไม้นำมาแปะที่แผลแก้พิษงู แก้พิษอักเสบ รากใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ผิดสำแดง ผลมีรสฝาดเย็น เป็นยาแก้พิษฝี รากใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาขับลมในลำไส้และเป็นยาระบาย รากใช้ฝนกับน้ำดื่มช่วยบำรุงน้ำนมของสตรี รากมีรสฝาดเย็นหอม ช่วยบำรุงกำลัง ชูกำลัง ลำต้นหรือรากนำมาต้มกับน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงหัวใจ
ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---ตอนกิ่ง ปักชำ เมล็ด งอกได้ดีที่สุดที่อุณหภูมิประมาณ 20°c

มะแตกต้น/Casearia flexuosa

ชื่อวิทยาศาตร์---Casearia flexuosa Craib.(1911.)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-4702112
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะแตกต้น (ลำปาง), หมากผ่าสาม (อุบลราชธานี), ผ่าสามน้อย (ยโสธร), ผ่าสามเตี้ย ;[CHINESE: Yun nan jiao gu cui.];[THAI: Ma taek ton(Lampang), Makphasam, Phasamnoi, Phasamtia.];[VIETNAM: Nuốt dịu.].
EPPO Code---CWSSS (Preferred name: Casearia sp.)
ชื่อวงศ์---SALICACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย ลาว เวียตนาม
Casearia flexuosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์สนุ่น (Salicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2454


ที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นตามธรรมชาติในประเทศจีน (กวางสี, ยูนนาน)  [ลาว, ไทย, เวียดนาม] ตามป่าดิบทึบที่ระดับความสูง 100-700 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กหรือ ไม้พุ่มสูง1-4เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดใบ 3.5-15 × 1-5 ซม. โคนใบรูปลิ่มปลายใบแหลมขอบใบจัก มีขนสีเหลืองทั้งสอวด้าน ก้านใบ 3-10 มม.มีขนสั้นกระจาย ดอกช่อแบบช่อกระจะ ออกที่ซอกใบ ใบประดับรูปไข่ กลีบเลี้ยง 4-5 กลีบ เป็นขนครุย ผลสดทรงรีแตกเป็น 3 แฉกสีเหลือง เมล็ดรูปไข่สีขาวเนื้อหุ้มเมล็ดสีแดงมี 3-8 เมล็ด เมล็ดรูปไข่ขนาด 6-7 มม.
ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ยาพื้นบ้านอิสานใช้ รากต้มน้ำดื่ม ขับปัสสาวะ ต้มน้ำอม แก้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ทั้งต้น ใช้เดี่ยวหรือผสมลำต้นพลับเขา ผลพริกไทย และหัวกระเทียม ต้มน้ำดื่ม บำรุงโลหิตหลังคลอด ไม่ระบุส่วนที่ใช้ เป็นยาบำรุงกำลัง-; ในเวียตนามใช้รากรักษาอีสุกอีใส
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนเมษายน/เดือนเมษายน-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะนอดน้ำ/Ficus heterophylla


ชื่อวิทยาศาตร์---Ficus heterophylla L.f.(1781)
ชื่อพ้อง---Has 17 Synonyms
---Ficus aquatica K.D.Koenig ex Willd.(1806)
---Ficus biglandula Blume.(1825)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2810720
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะนอดน้ำ, หมักหลอด สลอดน้ำ ;[ASSAMESE: Bolowa, Konoi-dimoru.];[BENGALI: Bellam-dumar, Gaori-sheora, Ghoti-sheora.];[CHINESE: Yáng rǔ zi (hǎinán), Shan rong, Huálì róng.];[MALAYALAM: Vallitherakam.];[THAI: Ma nod nam (Chiang Rai); Mak hlot; Salot nam (Central).].
EPPO Code---FIUSS (Preferred name: Ficus sp.)
ชื่อวงศ์---MORACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า จีน คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาลายู ชวา บอร์เนียว
Ficus heterophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carolus Linnaeus the Younger (1741–1783) นักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดนลูกชายของCarolus Linnaeusและ Sara Elisabeth Moraeaในปี พ.ศ.2324
ที่อยู่อาศัย พบขึ้นกระจายจากศรีลังกาอินเดียและพม่าไปจนถึงจีน (กวางตุ้ง ไหหลำ ยูนนาน) อินโดจีน ไทยและมาเลเซีย ใน Malesia:คาบสมุทรมลายู, ชวา, บอร์เนียว (ทางใต้และตะวันออก) เติบโตในหุบเขาชื้นตามลำธารในที่โล่งโดยเฉพาะแม่น้ำที่ท่วมถึงที่ระดับความสูง 400-800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูงถึง 8 เมตร ลำต้นเลื้อยทอดคลานมักพบขึ้นบนไม้อื่นแต่ไม่ใหญ่พอจะรัดพัน  เปลือกสีน้ำตาลอมเทา กิ่งก้านสีน้ำตาลอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดของใบกว้าง3-7ซม.ยาว5-18ซม.ใบอ่อนหรือยอดอ่อนมีขนหยาบขึ้นหนาแน่น เนื้อใบบางมีขนหยาบประปรายหลังใบสีเขียวท้องใบสีเงินขาว ดอก ออกเป็นช่อเล็กๆตามซอกใบหรือตามกิ่ง ผลแบบมะเดื่อรูปลูกแพร์ ออกเดี่ยวๆสีส้มอมเหลืองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 - 20 มม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้นมะเดื่อมีรูปแบบการปฏิสนธิเฉพาะ แต่ละสปีชีส์อาศัยตัวต่อชนิดเดียวที่มีความเชี่ยวชาญสูงซึ่งขึ้นอยู่กับสายพันธุ์มะเดื่อนั้นทั้งหมดเพื่อผสมพันธุ์ ต้นไม้ให้ดอกสามชนิด ตัวผู้ ตัวเมียแบบยาว และตัวเมียแบบสั้น มักเรียกกันว่าดอกน้ำดี ดอกไม้ทั้งสามประเภทอยู่ภายในโครงสร้างที่เรามักคิดว่าเป็นผลไม้
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ผลสุกกินเป็นผลไม้ได้มีรสเปรี้ยว
-ใช้เป็นยา ใบ เป็นยาพอกบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากโรคไขข้อหรือการติดเชื้อที่หู
ระยะออกดอก/ติดผล---กรกฎาคม-พฤศจิกายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะนาวดำ/Atalantia buxifolia


ชื่อวิทยาศาตร์---Atalantia buxifolia (Poir.) Oliv. ex Benth.(1861)
ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms
---Basionym: Citrus buxifolia Poir.(1797)
---Atalantia bilocularis Wall.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2664422
ชื่อสามัญ---Chinese Box-Orange, Box orange, Boxthorn.
ชื่ออื่น---มะนาวดำ ;[CHINESE: Jiu bing le, Wu gan zi, Dong feng jie.];[JAPANESE: Seberenia  bakushiforia.];[PHILIPPINES: Calamansito (Tagalog).];[PORTUGUESE: Atalantia, Limoeiro-do-mato.];[THAI: Ma nao dam (Central).];[VIETNAM: Quýt gai, Cúc keo, Quýt hôi, Gai tầm xoọng, Độc lực.].  
EPPO Code---SEVBU (Preferred name: Atalantia buxifolia.)
ชื่อวงศ์---RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนใต้ เวียตนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
Atalantia buxifolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Louis Marie Poiret (1755–1834)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Daniel Oliver (1830–1916)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษจากอดีต George Bentham (1800-1884) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ.ในปี พ.ศ.2404
ที่อยู่อาศัยพบขึ้นกระจายใน จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง,  กวางสี, ไหหลำ, ไต้หวัน, ยูนนาน) เกิดในป่าไม้หรือดงไม้ใกล้มหาสมุทร ต่ำกว่า 300 เมตรในภาคใต้ของจีน กระจายไปยัง [มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม]
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มเตี้ย ไม่ผลัดใบ สูงได้ถึง 1-2.5  เมตร กิ่งก้านแผ่สีน้ำตาลอมเทา ยอดมีขนประปรายเมื่อยังอ่อน มีหนามที่ตาข้าง ก้านใบสั้นมาก 1-7 มม.ใบประกอบแบบมีใบย่อยใบเดียว ขนาด  2-6 (-10) × 1-5 ซม.,เรียงสลับ รูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ปลายใบมนหรือกลม โคนใบแหลม เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนังและแข็ง มีต่อมน้ำมันมาก -ดอก สีขาว ออกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกที่ซอกใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกอย่างละ 5 กลีบ กลีบดอกสีขาวขนาด 3-4 มม. มีต่อมน้ำมันโคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูประฆังกว้าง ปลายแยกออกเป็น5แฉก รูปกลมสั้น กลีบดอกรูปขอบขนาน-ผลรูปทรงกลมแป้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2 ซม. ผิวเรียบ สีม่วงดำ เป็นมัน เมล็ดมี 1 เมล็ด รูปไข่ขนาดใหญ่
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชสามารถใช้เป็นต้นตอของพันธุ์ Citrus spp. มีความสัมพันธ์กันอย่างห่างไกลพอที่จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคส้มหลายชนิด และสามารถเติบโตได้ในดินที่มีน้ำเกลือและโบรอนสูง ซึ่งมักไม่เหมาะกับพืชตระกูลส้ม
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน นิยมใช้ใบในประเทศจีนสำหรับใช้ประกอบในการเตรียมเค้กยีสต์ บางครั้งปลูกพืชเพื่อการนี้ในประเทศจีน
-ใช้ปลูกประดับ ใช้ปลูกเป็นไม้ดัดกระถาง  บอนไซ ในต่างประเทศใช้เป็นไม้รั้ว (Hedge Plant)
-ใช้เป็นยา ใช้ในการแพทย์ตะวันออก รสขมอุ่นเล็กน้อยเย็นหอม มักใช้รักษา:ไข้หวัด ปวดศีรษะ ไอ หลอดลมอักเสบ มาลาเรีย  อาการปวดท้อง, โรคไขข้อเนื่องจากไขข้ออักเสบ, อาการปวดหลัง ปวดเข่า รากจะใช้แช่ในแอลกอฮอล์เพื่อรักษาโรคไขข้อ แก้อักเสบจากงูกัด ในกวางสี (จีน) มีการใช้รากเพื่อรักษกระดูกหัก  ในเวียตนามใช้ ใบ ซึ่งดีเยี่ยมสำหรับรักษาระบบทางเดินหายใจ, ไอ, ไข้, โรคไขข้อ, งูกัด
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน - สิงหาคม/กันยายน - ธันวาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด

มะนาวเทศ/Trigonostemon thyrsoideus


ภาพประกอบการศึกษา;หนังสือต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,    พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Trigonostemon thyrsoideus Stapf.(1909)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-208919
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะนาวเทศ, โลดทะนงเหลือง ;[CHINESE: Chang geng san bao mu, Pǔ róu shù, Pǔ shǔ shù, Sānbǎo mù shǔ.];[THAI: Ma nao thet, Lot thanong lueang (General).];[VIETNAMESE: Tam thụ hùng roi.].
EPPO Code--- 1EUPF (Preferred name: Euphorbiaceae.)
ชื่อวงศ์--- EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อินโดจีน
Trigonostemon thyrsoideus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Otto Stapf (1857-1933)นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานที่เกิดในออสเตรียในปี พ.ศ.2452


ที่อยู่อาศัยกระจายอยู่ในประเทศเวียดนามตอนเหนือและจีนแผ่นดินใหญ่ (ยูนนาน , กุ้ยโจว , กวางสี) พม่า ไทย ลาว ที่ระดับความสูง 300-1,900 เมตร ในบริเวณป่าดิบทึบที่ระดับความสูง 300-1900 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ขึ้นตามป่าดิบแล้งริมลำธารหรือป่าสนเขา ความสูง 350-1500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มไม่ผลัดใบสูงถึง5-8 เมตร เปลือกสีน้ำตาลออกส้มถึงน้ำตาลเข้ม ผิวเรียบ เปลือกในมีน้ำยางใสหรือออกแดง ก้านใบ 4-12 ซม ใบรูปไข่ - รูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดใบ [10.5-] 16-32 × 3.5-12 ซม ช่อดอกแคบแตกแขนง รูปปิรามิด ยาว 20 ซม แกนช่อเป็นเหลี่ยม มีขนสีน้ำตาล ดอกแยกเพศในช่อเดียวกัน ดอกสีเหลืองสด ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอก 1.5 ซม. ผลมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.7 ซม.เป็น 3 พูผิวเป็นหนามนุ่มเล็กน้อยแตกได้  เมล็ดกลมเล็กน้อย เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-7 มม.
ใช้ประโยชน์---
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน/พฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะนาวผี/Atalantia monophylla

ชื่อวิทยาศาตร์---Atalantia monophylla DC.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Trichilia spinosa Willd.(1799.)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2664457
ชื่อสามัญ---Wild Lime, Indian Atalantia.
ชื่ออื่น---มะนาวผี (เชียงใหม่, ราชบุรี); กรูดเปรย (เขมร-จันทบุรี); กรูดผี (สุราษฎร์ธานี); กะนาวพลี (ใต้); ขี้ติ้ว, จ๊าลิว (เหนือ); นางกาน (ขอนแก่น); มะลิว (เชียงใหม่); [MALAYALAM: Katunarenga.];[MYANMAR: Taw-shauk.];[TAMIL: lKattu Elumeachi, Kattunaarangam.];[THAI: Manao phi, Kroot prei, Kanao pli, Khi tew, Cha lew, Nang kan, Ma lew.];[VIETNAM: Tiểu quật một lá, Dược liệu Cam rừng.]
EPPO Code---AYAMO (Preferred name: Atalantia monophylla.)
ชื่อวงศ์---RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อนุทวีปอินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย
Atalantia monophylla เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิส ในปี พ.ศ.2367

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า อินโดจีนถึงคาบสมุทรมาเลเซีย พบได้ทั่วไปในที่ราบจากชายฝั่งในป่าที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,000เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 5-8 เมตรเรือนยอดรูปไข่ โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกบางสีเทาปนน้ำตาล มีหนามแหลมอ่อนๆยาว 2 ซม. ติดอยู่ตามต้นและกิ่ง เปลือกชั้นในสีครีม ใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดกว้าง 2.5-6 ซม.ยาว 9-19 ซม. โคนใบสอบปลายมน แผ่นใบหนาและเหนียว มีต่อมน้ำมันใสกระจายทั่วแผ่นใบ ขยี้แล้วมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ดอกช่อแบบช่อกระจะออกตามง่ามใบ ช่อดอกยาว 2.5-5 ซม. ประกอบด้วยดอกย่อยหลายดอก ดอกย่อยขนาด 1.2 ซม.กลีบดอก 4-5 กลีบสีขาว กลิ่นหอม ผลเป็นผลสด รูปทรงกลมขนาด 1.5-2.5 ซม. เปลือก ผิวขรุขระ มีต่อมน้ำมัน ผลมีเนื้อ หลายเมล็ดเนื้อผลเป็นกลีบคล้ายผลส้ม เมื่อแก่สีเขียวอมเหลืองหรือเขียวหม่น มี 4-8 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชประสบความสำเร็จในภูมิอากาศกึ่งเขตร้อนที่อบอุ่นถึงเขตร้อน สปีชีส์นี้สามารถต่อกิ่งบนสปีชีส์ส้ม
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวมาจากป่า มักใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาโรค
-ใช้กิน ผลดิบใช้ดอง
-ใช้เป็นยา น้ำมันจากใบและผล - ต้านเชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา- ในอินเดียคนใช้น้ำมันหอมระเหยจากผลไม้ในการรักษาโรคไขข้อเรื้อรังและโรคโปลิโอ ใบใช้สำหรับรักษางูกัด รากยังถือว่ามีคุณสมบัติเป็นยาปฏิชีวนะและยากระตุ้น
-วนเกษตรใช้ เป็นไม้ป้องกันความเสี่ยง และใช้ปลูกประดับในภูมิอากาศเขตร้อนกึ่งอบอุ่น เนื่องจากมีใบเขียวชอุ่มหนาแน่น ให้ดอกดกและมีกลิ่นหอม ผลมีสีเหลืองขนาดเล็กจำนวนมาก
-อื่น ๆ เนื้อไม้สีเหลืองนั้นมีความ หนักและแข็งมาก ขัดเงาได้ดี ใช้สำหรับงานแกะสลัก
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-ธันวาคม/ธันวาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะนาวเหลี่ยม/Merope angulata


ชื่อวิทยาศาตร์---Merope angulata (Willd.) Swingle.(1915)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Basionym: Citrus angulata Willd.(1801)
---Atalantia angulata (Willd.) Engl.(1931)    
---Atalantia longispina Kurz.(1872)    
---Atalantia spinosa (Blume) Hook. ex Koord.(1912)      
---Glycosmis spinosa (Blume) D.Dietr.(1840)    
---Gonocitrus angulatus (Willd.) Kurz.(1873)
---More.See all http://www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:774354-1
ชื่อสามัญ--- Lime mangrove.
ชื่ออื่น---มะนาวเหลี่ยม; [JAPANESE: Merō pe.];[INDONESIA: Limau lelang, Jeruk lelang.];[MALAY: Lelang.];[ORIYA: Banalembu.];[THAI: Manao liam (Narathiwat).].
EPPO Code---1RUTF (Preferred name: Rutaceae.)
ชื่อวงศ์---RUTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อ่าวเบงกอล พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Merope angulata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ส้ม (Rutaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig Willdenow ( 1765–1812 ) นักพฤกษศาสตร์และเภสัชกรชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Walter Tennyson Swingle (1871 –1952) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการจำแนกและอนุกรมวิธานของส้มในปี พ.ศ.2458
ที่อยู่อาศัยพบในแถบอ่าวเบงกอล พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย ขึ้นค่อนข้างจำกัดในพื้นที่ป่าชายเลนด้านในริมฝั่งแม่น้ำที่เป็นเลนแข็งหรือในป่าพรุ พบบ่อยในหนองน้ำโกงกางในภาคใต้ของแหลมมลายู ในประเทศไทยพบเฉพาะชายฝั่งทะเลอันดามัน
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้พุ่มรอเลื้อย สูง 1-3 เมตร ทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลม มีหนามแข็ง 1 คู่ออกข้างง่ามใบหรือแขนงกิ่ง ยาว 1-3 ซม.เปลือกเรียบถึงแตกเป็นร่องตื้นตามยาว ใบเป็นใบประกอบแบบใบย่อย1ใบ แต่ลดรูปคล้ายใบเดี่ยวเรียงสลับ แผ่นใบรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 2- 5 ซม.ยาว 7-12 ซม. ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน มีต่อมน้ำมันใสเล็กๆกระจายทั่ว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เนื้อใบหนาด้านบนสีเขียวคล้ำด้านล่างสีซีดกว่า ดอก เดี่ยวหรือออกเป็นคู่ตามง่ามใบ สีขาวมีกลิ่นหอม เป็นดอกกะเทย, ปกติ, สมบูรณ์ กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 5กลีบ กลีบดอก 5กลีบ เกสรเพศผู้ 10อัน ไม่มีเส้นใย อับเรณูเป็นเส้นตรงเป็นรูปขอบขนาน รังไข่ที่เหนือกว่า ก้าน รูปไข่ 3 เซลล์ แต่ละอันมี 4 ออวุล ดอกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางดอก 0.5-0.8 ซม. ผลแบบมีเนื้อหลายเมล็ดแบบผลส้ม รูปทรงรีหรือรูปไข่ปลายทื่อมีด้านแบน 3 ด้าน เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าตัด ขนาด กว้าง 2-3 ซม.ยาว 3-6 ซม.สีเขียวคล้ำ ผลแก่สีเหลืองแกมเขียว ภายในเป็นเมือกลื่น แต่ละลอนมี 1-4 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---พืชมีคุณค่าโดยชาวมาเลย์สำหรับการใช้เป็นยา รากใช้ในการรักษาอาการปวดท้องและในการคลอดบุตร ยางของมันถูกใช้ในการรักษาซิฟิลิส
ภัยคุกคาม---จัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท"ไม่ได้รับการประเมิน"
สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated - IUCN Red List of Threatened Species    
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-มิถุนายน/กุมภาพันธ์-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะเนียงน้ำ/Aesculus assamica

ชื่อวิทยาศาตร์---Aesculus assamica Griff.(1854)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Aesculus punduana Wall.(1829)
---Aesculus khassyana C.R.Das & Majumdar.(1962)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2624475
ชื่อสามัญ---East Himalayan Horse Chestnut
ชื่ออื่น---มะเนียงน้ำ, มะเกียน้ำ, หมากขล่ำปอง, ขล่ำปอง (ภาคเหนือ); จอบือ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร); จอหว่อปื่อ (ละว้า-เชียงใหม่); ปวกน้ำ (ลำปาง); โปตานา (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี);[ASSAMESE: Poma-bih, Ikuhia, Raman-bih, Romon-bih, Sarlok-Asing.];[BULGARIAN: Gorkostan Assamese.];[CHINESE: Cháng bǐng qī yè shù.];[KHASI: Ngraurau, Sangkenrop.];[THAI: Ma niang nam, Ma kia nam, Mak khlam pong Khlam pong (Northern), Cho-bue (Karen-Kamphaeng Phet), Cho-wo-pue (Lawa-Chiang Mai), Puak nam (Lampang), Po-ta-na (Karen-Kanchanaburi).];[VIETNAM: Kẹn.].   
EPPO Code---AECAS (Preferred name: Aesculus assamica.)
ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ภูฏาน บังกลาเทศ พม่า จีนตอนใต้ ไทย ลาว เวียดนาม
Aesculus assamica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ soapberry (Sapindaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2397

 

ที่อยู่อาศัย แพร่หลายในเขตมรสุมเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนจาก ตะวันออกเฉียงเหนือของ อินเดีย (สิกขิม,อัสสัม) ภูฏาน บังคลาเทศ ไปยัง จีนตอนใต้ (กวางสี,กุ้ยโจว, ซีเซียง, ยูนนาน) ผ่านพม่า ไทย ลาวถึงตอนเหนือของเวียตนาม ขึ้นตามป่าเขตร้อนชื้นและผลัดใบ ป่าภูเขากึ่งเขตร้อน ป่าชายแดนระหว่างป่าดิบและป่าผลัดใบ ที่ระดับความสูง 100-2000 เมตร ในไทยพบทางภาคเหนือที่เชียงราย เชียงใหม่ ตาก กำแพงเพชร และภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี ขึ้นตามริมลำธารในป่าดิบแล้ง หรือที่ลาดชันในป่าดิบเขา ความสูง 100-1300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 15-20(-32) เมตร เปลือกต้นเรียบ มีช่องอากาศขนาดใหญ่ ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือ ออกตรงข้ามมี ใบย่อย6-7ใบขนาดไม่เท่ากัน ก้านใบยาว 10-25 ซม. ใบย่อยรูปใบหอกกลับ ใบกลางใหญ่กว่าใบข้าง ยาว 12-35 ซม. โคนใบสอบปลายใบมนมีติ่งแหลม ขอบจักซี่เลื่อย เส้นแขนงใบจำนวนมาก ก้านใบย่อยสั้นหรือยาวได้ถึง 2 ซม. ช่อดอกแบบช่อกระจุกแยกแขนง ยาวถึง 80 ซม.ก้าน ช่อกระจุกยาว 1.5-8 ซม. ก้านดอกยาว 3-7 มม.ดอกสีขาว ตรงกลางสีแกมเหลือง  โคนสีส้มหรือแดง กลีบขนาดไม่เท่ากัน รูปใบหอกกลับ ยาว 2-2.5 ซม. ด้านนอกมีขนละเอียด ผลรูปรีหรือรูปไข่ไม่สมมาตรขนาด2.5-3.5ซม.สีน้ำตาล เหนียว คล้ายหนังเปลือกขรุขระเล็กน้อย แตกออกได้ 3 เสี้ยวเมล็ดใหญ่ 1-3 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ ใบคั้นหยอดตาแก้อักเสบ ในเวียตนามใช้ รักษาโรคบิด, ปวดหัว, ปวดท้อง, กระตุ้นการย่อยอาหาร
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธุ์-เมษายน/ผลแก่--- กรกฏาคม - สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะผด/Rhus chinensis


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Rhus chinensis Mill.(1768)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Rhus javanica var. chinensis (Miller) T. Yamaz.(1993)
---Rhus semialata Murray.(1784)
---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2422836
ชื่อสามัญ--- Chinese Gall, Chinese sumac, Nutgall, Nutgall tree.
ชื่ออื่น---มะเหลี่ยมหิน, (เชียงใหม่), ซุง (เชียงใหม่), ตะซาย (ละว้า-เชียงใหม่), มะผด, มะพอด, ส้มผด (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: Wǔ bèi zǐ, Yán fū mù.];[GERMAN: Gallensumach, Gallen-Sumach.];[JAPANESE: Fushinoki, Kachinoki (Katsunoki), Nuruse.];[KOREAN: Bulk na mu.];[PORTUGUESE: Arvore-do-sal, Falsa-aroeira, Sumagre-da-China.];[THAI: Ma liam hin, Sung (Chiang Mai), Ta-sai (Lawa-Chiang Mai), Ma phot, Som phot (Northern).].
EPPO Code---RHUCH (Preferred name: Rhus chinensis.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ลาว กัมพูชา เวียตนาม จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย (สุมาตรา)
Rhus chinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวมะม่วงหิมพานต์ (Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Philip Miller (1691 - 1771) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษเชื้อสายสก็อตแลนด์ในปี พ.ศ.1811

 

ที่อยู่อาศัยมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวางในเอเชียตลอดเทือกเขาหิมาลัย (จาก Hazara ทางตะวันตกไปยังภูฏานทางตะวันออก), อัสสัม, พม่าตอนบน, อินโดจีน, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น (ฮอกไกโด)และฟอร์โมซา อินโดนีเซีย(สุมาตรา)ในที่ลุ่มเนินเขา ป่าดงดิบ ป่าภูเขา มักพบขึ้นตามริมธารน้ำและที่ชื้นทั่วไป ที่ระดับความสูง 100 - 2,800 เมตร ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มักขึ้นตามป่าเต็งรังผสมป่าสน และป่าดิบเขา ที่ระดับความสูง 900-1300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มผลัดใบหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 6-12 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้น 6-18 ซม.เปลือกต้นสีครีม น้ำตาล ผิวเรียบ มักมีรูอากาศขนาดใหญ่สีน้ำตาลแดงเรียงเป็นแถวตามยาว เปลือกในสีครีมอ่อน มียางขาวหรือยางสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย  พืชมีระบบรากที่กว้างขวางและแพร่กระจายโดยการแตกจากรากมักจะขึ้นเป็นกลุ่มหนา ใบประกอบปลายคี่ เรียงเวียนยาว 25-40 ซม. ก้านใบประกอบยาว 5-15 ซม. ใบย่อย3-6 คู่ รูปรี รูปขอบขนาน หรือแกมรูปไข่ ยาว 3.5-12 ซม. ฐานใบย่อยไม่สมมาตร ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลอ่อนหนาแน่น ใบแก่สีเขียวเข้ม ผิวสากมีขนสั้นๆสีน้ำตาลบนเส้นใบด้านบน ด้านล่างมีขนหนาแน่น ใบใกล้ร่วงสีแดงเข้ม ดอก เล็กสีเขียวครีมออกเป็นช่อดอกขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่งยาว 30-80 ซม.ดอกย่อย ขนาด 0.2-0.4 ซม.ผลขนาด 0.4-0.5 ซม.สีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นชมพูมีเหลือบสีเทาอ่อน ผิวมียางเหนียว รูปคล้ายมะม่วง มีกลีบเลี้ยงรองรับ ผลแก่สีแดง ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งมีเมล็ดเดียว
ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ผลรสเปรี้ยวเนื้อน้อย
-ใช้เป็นยา ลำต้น ราก ใบ นำไปต้ม ใช้ทำความสะอาดแขน ขา -ลำต้นและเมล็ดใช้รักษาแผล อาการเจ็บคอและเป็นหวัด  แก้แพ้ เมล็ดและผลกินแก้ปวดท้อง ท้องร่วง-ใช้ในการแพทย์แผนจีนสำหรับอาการไอ , ท้องร่วง , เหงื่อออกตอนกลางคืน, โรคบิดและมีเลือดออกในลำไส้และมดลูก -ใบและรากเป็นยาบำรุงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด-เปลือกของลำต้นเป็นยาสมานแผลและยาแก้คัน ผลใช้ในการรักษาอาการจุกเสียด เมล็ดใช้ในการรักษาอาการไอ บิด บิดไข้ ดีซ่าน มาลาเรียและโรคไขข้อ มีงานวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่าสารเคมีที่พบในส้มผด ในหลอดทดลองต้านไวรัสต้านเชื้อแบคทีเรียต้านมะเร็งตับ, ต้านอาการท้องร่วงและกิจกรรมการต้านอนุมูลอิสระ
-วนเกษตรใช้ พบว่ามีการเติบโตในพื้นที่ในประเทศจีนซึ่งปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก มีศักยภาพที่จะใช้ในโครงการ phytoremediation (การรักษาสารมลพิษหรือของเสียโดยใช้พืชสีเขียวเพื่อลดหรือกำจัดสารปนเปื้อนจากดินและน้ำตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นวิธีการล็อค (เช่นโลหะที่เป็นพิษ)ช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนสีขาว ใช้แกะสลัก-; Galls ผลิตบนใบและก้านใบเป็นผลมาจากกิจกรรมของเพลี้ยที่ทิ้งน้ำดีไว้บนใบ ซึ่งอุดมไปด้วยแทนนินซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับเป็นสีย้อมหมึก การย้อมผม และสำหรับการฟอกวัสดุต่าง ๆ แทนนินมีมากถึง 77% น้ำมันสกัดจากเมล็ด ใช้ในการทำเทียน การเผาไหม้ยอดเยี่ยมแต่ปล่อยควันที่ฉุน สารสกัดจากพืชถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมเครื่องสำอางเชิงพาณิชย์เป็นครีมบำรุงผิว สารสกัดจากใบและลำต้นใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมเครื่องสำอางเพื่อการค้าในฐานะตัวแทน antifoaming, ยาต้านจุลชีพ, สมานแผล, ทำให้ผิวนวลและครีมนวดผม สารสกัดจากรากถูกใช้เป็นส่วนผสมในการเตรียมเครื่องสำอางเพื่อการค้าในฐานะที่ทำให้ผิวนวล
รู้จักอันตราย---สกุล Rhus มีบางสายพันธุ์ที่มีพิษสูงและมีฤทธิ์ระคายเคืองสามารถทำให้เกิดผื่นผิวหนังในคนที่อ่อนแอ ถึงแม้ว่าทั้งสองจำพวกจะคล้ายกันมาก แต่ก็ค่อนข้างง่ายที่จะแยกแยะ สายพันธุ์ที่เป็นพิษ มีซอกใบช่อดอกและผลไม้ที่ราบรื่น ในขณะที่สายพันธุ์ Rhus ที่ไม่เป็นพิษ ช่อดอกและผลไม้ปกคลุมด้วยขนสีแดงเข้ม ในขณะที่สกุล Rhusในที่นี้ (Rhus chinensis)โดยทั่วไปจะเห็นว่าไม่เป็นพิษ  
ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-กันยายน/ผลแก่---ธันวาคม-มกราคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ชำราก

มะฝ่อ/ Mallotus nudiflorus


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Mallotus nudiflorus (L.) Kulju & Welzen.(2007)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Basionym: Trevia nudiflora L.(1753)
---Mallotus cardiophyllus Merr.(1913)
---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-347304
ชื่อสามัญ---False White Teak.
ชื่ออื่น---ม่อแน่ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); มะปอบ (ภาคเหนือ); มะฝ่อ (ทั่วไป); เส่โทคลึ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); หม่าทิ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี);[ASSAMESE: Bhelkol, Bhelkora, Kenlo, Pitha-kuma-kendlow, Bhel-kol.];[BENGALI: Pitali.];[HINDI: Pindalu, Pindar.];[KANNADA: Kaadugumbala, Kaadukamchi.];[KHASI: Dieng Soh Lyndot.];[MALAYALAM: Niirkkatamp, Pamparakkumpil.];[MARATHI: Petari.];[NEPALI: Gurel.];[SANSKRIT: Pindarah.];[TAMIL: Arruppuvarachu.];[THAI: Mo nae, Ma pob, Ma phor, Sae to cli, Ma ti.].
EPPO Code---TWRNU (Preferred name: Mallotus nudiflorus.)
ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย พม่า เวียตนาม จีนตอนใต้ ฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว
Mallotus nudiflorus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ Euphorbiaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Kristo K.M. Kulju (เขามีบทบาทมากที่สุดในปี 2005)นักพฤกษศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์และ Peter C. van Welzen (born 1958)นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2550

 

ที่อยู่อาศัยพืชในเขตร้อนชื้นพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน1200 เมตร พบที่อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า จีนตอนใต้ ภูมิภาคอินโดจีนและมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ พบทั่วไปตามแนวฝั่งแม่น้ำ จะไม่พบไกลจากริมน้ำในประเทศไทยพบทุกภาค
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบช่วงสั้นๆสูง 15-30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 - 80 ซม กิ่งก้านใหญ่และแผ่กว้าง ลำต้นอ้วนสั้น เปลือกต้นสีน้ำตาลออกเทา ผิวเรียบหรือหลุดออกเป็นแผ่นบางๆ ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ใบรูปไข่หรือแกมรูปขอบขนานขนาดของใบ กว้าง 5-16 ซม.ยาว 8-22 ซม. ใบอ่อนมีขนรูปดาวหนาแน่น ใบแก่บาง สีเขียวออกหลือง ดอกสีเขียว ดอกบานขณะต้นทิ้งใบหรือระยะมีใบอ่อน ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกไม่แตกแขนง ไม่มีกลีบดอก ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อห้อยลงตามง่ามใบ เกสรเพศผู้จำนวนมาก ดอกเพศเมียขนาดใหญ่กว่า ออกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อ ร่วงง่าย ผลกลม ขนาด1.6-3.4 ซม. สีเขียวอ่อน สุกสีเหลือง ออกน้ำตาล ผลกลมแข็งไม่แตก ชั้นนอกเหนียว เนื้อในสีครีมอ่อนคล้ายมันฝรั่ง เมล็ดรูปไข่ ยาว 0.8-1.2 ซม.มีเมล็ด2-5เมล็ด สีดำเปลือกเมล็ดแข็ง  
ใช้ประโยชน์-ใช้เป็นยา เปลือกนำมาย่างไฟต้มเอาน้ำดื่ม รักษาอาการบวม บรรเทาอาการปวดจากโรคเกาต์และโรคข้อ-ยาพื้นบ้านล้านนาใช้เปลือกต้นย่างไฟ ต้มน้ำดื่มต่างน้ำชา ลดอาการบวมทั้งตัว เปลือกต้น ราก เข้ายาแก้พิษต่อผิวหนังที่มีอาการคัน
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนใช้งานไม่ทน ใช้ทำกลอง แผ่นกระดานแบบหยาบ ใบเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ น้ำมันเมล็ดเป็นยาฆ่าแมลง
ภัยคุกคาม---เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะแฝด/Monocarpia marginalis


ชื่อวิทยาศาตร์---Cyathocalyx maingayi Hook.f. & Thomson.(1855)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2749076
---Cyathocalyx marginalis Scheff.(1885)
---Monocarpia marginalis (Scheff.) J.Sinclair.(1955)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะแฝด; ปูแนมูดอ, พิเนมูดอ, เมดังตันยง(มลายู ปัตตานี) ;[MALAY: Mempisang, Cepakok, Karai, Phi-ne mu-do, Medang tanyong, Medang Payong, Banitan hit, Pu-nae mu-do.];[THAI: Ma faed, Poo nae moo dor, Phi ne moo dor, Medang tan yong.].
EPPO Code---KXYSS (Preferred name: Cyathocalyx sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์
สกุลCyathocalyx เป็น monotypic genus มีเพียงหนึ่งสายพันธุ์ คือ Cyathocalyx maingayi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ และ Thomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398
ที่อยู่อาศัย พบในไทย คาบสมุทรมาเลเซียและสิงคโปร์ ในที่ราบลุ่มในป่าเขา ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 760 เมตร ในประเทศไทย พบอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉ๊ยงใต้
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางสูง 15-20 เมตร กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลปนเหลือง กิ่งแก่เรียบ เปลือกสีน้ำตาลอมดำ แตกกิ่งจำนวนมาก กิ่งขนานกับพื้นดิน เนื้อไม้เปราะ ใบรูปรีแกมขอบขนานมีขนสีเหลืองอ่อน ขนาด 12-25 x 4-10 ซม.ใบด้านบนมีเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบเป็นร่อง ใบด้านล่างนูนเด่น ดอก เดี่ยวหรือ2-3ดอก ออกตามกิ่งแก่ในซอกใบ ดอกสีเหลืองอมเขียวมีจุดสีเหลืองอมแดงที่โคนกลีบดอกด้านใน มีกลิ่นเหมือนฝรั่งสุก ก้านดอกช่อแข็ง มีใบประดับอยู่ที่ก้านดอก2ใบ กลีบเลี้ยงกางแผ่ กลีบดอกรูปรีโคนกลีบกว้าง เมื่อดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-5 ซม.ผลกลุ่มมี1-3 ผล ผลค่อนข้างกลม และกว้าง 4-7 ซม. ซึ่งแต่ละz]มีเมล็ดประมาณ10 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำหน่งแสงแดดเต็มถึงร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ชื้นสม่ำเสมอ มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ยืนต้นที่เหมาะกับสวนทั่วไปและสวนสาธารณะ
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนตุลาคม/ผลแก่หลังจากดอกบาน 7 เดือน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

มะแฝดหลวง/Monocarpia sp.


ชื่อวิทยาศาตร์---Monocarpia sp.
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะแฝดหลวง ;[THAI: Ma faed Louang.].
EPPO Code---MQKSS (Preferred name: Monocarpia sp.)
ชื่อวงศ์---ANNONACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย
Monocarpia sp.เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงาหรือวงศ์น้อยหน่า (Annonaceae)
ที่อยู่อาศัย ในประเทศไทย พบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลางสูง10-15 เมตร เปลือกต้นหนาสีน้ำตาลมีกลิ่นฉุน มีรอยบุ๋มกลมตามลำต้น แตกกิ่งจำนวนมากในระดับสูง กิ่งขนานกับพื้นดิน ทรงพุ่มกลมโปร่งเนื้อไม้เปราะ ใบรูปรีแกมขอบขนานมีขนประปราย ขอบใบเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบค่อนข้างหนา ดอกออกเป็นช่อ2-4ดอก ดอกอ่อนสีเขียวนวล เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอม
ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและเป็นเชื้อเพลิง
ระยะออกดอก---พฤษภาคม-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


มะพร้าวนกกก/Horsfieldia amygdalina


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร    
ชื่อวิทยาศาตร์---Horsfieldia amygdalina (Wall.) Warb.(1897)  
ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.
---Horsfieldia thorelii Lecomte.(1909)
---Horsfieldia tonkinensis Lecomte.(1909)
---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2853460
ชื่อสามัญ---Horsefields barren.
ชื่ออื่น---มะพร้าวนกกก (เชียงใหม่), หมากนก (ตราด), หันเถื่อน (นครศรีธรรมราช);[CHINESE: Fēng chuī nán, Kòu kē fēng chuī.];[INDONESIA: Ki bonem.];[THAI: Maphr̂āw nok kok, Mak nok, H̄ạn t̄heụ̄̀an.];  
EPPO Code---HOSAM (Preferred name: Horsfieldia amygdalina.)
ชื่อวงศ์--- MYRSTICACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังกลาเทศ พม่า หมู่เกาะอันดามัน ยูนนาน คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว
Horsfieldia amygdalina เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์จันทน์เทศ (Myristicaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Otto Warburg (1859–1938) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2440

ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย บังกลาเทศ พม่า หมู่เกาะอันดามัน ยูนนาน คาบสมุทรอินโดจีน คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ในประเทศไทย พบตามป่าดิบแล้งทุกภาคของประเทศ
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ สูง 20-25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20-40ซม.เปลือกต้นสีขาวอมเทาแตกเป็นร่องยาว  เปลือกนอกแข็งและเปราะ กิ่งก้านแผ่กระจาย น้อยมาก กิ่งสีน้ำตาลเกือบเกลี้ยง มีลายและรูอากาศมากมาย ใบจัดเรียงสลับกันเป็นสองแถวแนวตั้งตรงข้าม 3-5 แถว ก้านใบ 1-2 ซม ใบรูปไข่หรือรูปใบหอก กว้าง 3.5-8 ซม.ยาว 13-20 ซม.ใบแก่เหนียวเกลี้ยงด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใต้ใบสีเขียวอ่อนแต่ไม่ใช่ออกเทา ดอกสีเหลืองออกเป็นช่อแตกแขนง ยาว 6-19 ซม.ผล 2-3.5 ซม.สีเหลืองเนื้อแน่น  เมล็ดรูปขอบขนานขนาด1.6-2.5 ซม.มีเนื้อเยื่อบางสีส้มห่อหุ้มเมล็ด
ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ เมล็ดกินได้มีรสชาติมัน
-อื่น ๆ เป็นไม้เนื้ออ่อนลายไม้ตรง มักใช้ในงานก่อสร้างและงานเฟอร์นิเจอร์ เมล็ดมีไขมัน 29% -33% ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรม
ระยะออกดอก/ติดผล--- สิงหาคม-กันยายน/ผลแก่---มีนาคม-พฤษภาคม ปีถัดไป
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

มะพลับพรุ/Diospyros lanciefolia


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
ชื่อวิทยาศาตร์---Diospyros lanciefolia Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms
---Diospyros amoena Wall. ex G.Don.(1837)
---Diospyros clavigera var. pachyphylla (C.B.Clarke) Ridl.(1923)
---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2770008
ชื่อสามัญ---Malayan Ebony, Malay Pati Ebony.
ชื่ออื่น---ขมิ้นต้น, ขมิ้น,พลับหัวแข็ง ;[THAI: Khamin ton, Khamin, Plub hou khang.].
EPPO Code---DOSLA (Preferred name: Diospyros lanceifolia.)
ชื่อวงศ์---EBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล ,อินเดีย ,ไทย ,สุมาตรา ,คาบสมุทรมาเลเซีย ,บอร์เนียวและฟิลิปปินส์
Diospyros lanciefolia เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาลถึงฟิลิปปินส์ที่อยู่อาศัยเป็นป่าที่ลุ่มป่าดงดิบและภูเขาที่ระดับความสูงไม่เกิน 700 เมตร ประเทศไทยพบทางภาคใต้
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูงได้ถึง 20 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 70 ซม.เรือนยอดรูปกรวยคว่ำ แตกกอ่งชั้นเดียว บางครั้งพบมีรากค้ำยัน เปลือกต้นสีเทาดำ ค่อนข้างเรียบ เปลือกชั้นในสีเหลืองเข้มคล้ายสีของชมิ้น กิ่งอ่อนมีสีน้ำตาลแดงเมื่อแก่ขึ้นมีสีดำหรือน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยวเรียงสลับ กว้าง 2-8 ซม.ยาว 6-22 ซม. รูปขอบขนานหรือรูปใบหอก ดอก เป็นช่อกระจุก สีเขียวอ่อนออกตามซอกใบ ดอกย่อย 2-5 ดอก ขนาด 1.5-2 ซม.ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกัน กลีบดอก 5 กลีบ ผลมีเนื้อหลายเมล็ด รูปกลมหรือกลมรี ขนาด 2.5-3 ซม.มีขนประปรายฝาหรือกลีบเลี้ยงปิดขั้วผล รูปถ้วยค่อนข้างเรียบและม้วนกลับเล็กน้อย สีม่วงคล้ำถึงดำ
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้กินผลไม้ซึ่งใช้ในพื้นที่ ต้นไม้ยังเป็นแหล่งของไม้คุณภาพดี
-ใช้กิน ผลไม้ - ดิบ อุดมไปด้วยแทนนินและฝาดมาก ผลสุกเต็มที่รสหวาน
-อื่น ๆ เนื้อไม้ แข็งและทนทาน ใช้ในงานก่อสร้างบ้าน และเครื่องมือการเกษตร
ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนตุลาคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด

มะพลับยอดดำ/Diospyros collinsae

ชื่อวิทยาศาตร์---Diospyros collinsiae Craib.(1920)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2769551
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะพลับยอดดำ, พลับยอดดำ;[THAI: Ma plub yod dam, Plub yod dam.].
EPPO Code---DOSSS (Preferred name: Diospyros sp.)
ชื่อวงศ์---EBENACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย
Diospyros collinsae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2463
ที่อยู่อาศัย กระจายพันธุ์ในภาคตะวันออกและภาคใต้ พบครั้งแรกที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดย D.J. Collins ชาวอังกฤษ ชื่อสปีชีส์ตั้งให้เป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบ
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 5-10 เมตรไม่ผลัดใบ เรือนยอดทึบ ใบหนาแน่นพุ่มใบห้อยลง เปลือกนอกเรียบสีดำปนน้ำตาล เปลือกในสีขาว ยอดอ่อนสีแดงสวยมาก ใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว รูปขอบขนานหรือรูปหอกกลับ กว้าง 4-6 ซม.ยาว15-23 ซม.ปลายใบทู่ถึงเรียวแหลม แผ่ใบหนาและกลี้ยง ปลายยอดอ่อนมีขนสีดำ
ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกเพศเมียออกเป็นดอกเดียวตามกิ่ง กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีอย่างละ 4 กลีบ ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายกิ่งผลสดแบบมีเนื้อหลายเมล็ดกว้าง 3-4 ซม.ยาว 5-6 ซม. มีขนสั้นสีน้ำตาล กลีบขั้วจุกผลจีบพับกลับช่วงปลาย
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้แต่มีรสฝาด
-ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กที่ให้ร่มเงาได้ดี ยอดอ่อนสีแดงสวย ใบแก่เขียวทึบแทบไม่ต้องตัดแต่งทรงพุ่มเลย ใช้เป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นแถวหรือเป็นแนวแบบพิกุลก็ได้
ระยะออกดอก---สิงหาคม-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง

มะแฟน/Protium serratum

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์ , พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Protium serratum (Wall. ex Colebr.) Engl.(1883)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3993153
---Bursera serrata Wall. ex Colebr.(1827)
ชื่อสามัญ---Indian red-pear, Murtenga
ชื่ออื่น--แฟนส้ม (เลย), ส้มแป้น (นครราชสีมา), ค้อลิง (ชัยภูมิ), มะแทน (ราชบุรี), กะโปกหมา กะตีบ (ประจวบคีรีขันธ์), ปี (ภาคเหนือ), มะแฟน (ภาคกลาง);[CHINESE: Mǎ tí guǒ'];[BENGALI: Saleya, Salhe.];[ORIYA: Dongsoradi];[KHASI: Dieng sohmir];[MYANMAR: Sdee, Thadi.];[TAMIL: Kungiliam];[TELUGU: Busi, Chitreka, Chitrika.];[THAI: Ma fan, Fan som, Pi, Ka teeb, Ko ling, Som pan.].
EPPO Code---PRDSE (Preferred name: Protium serratum.)
ชื่อวงศ์---BURSERACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้, อินเดีย, บังคลาเทศ, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม
Protium serratum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะแฟน (Burseraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Henry Thomas Colebrooke (1765 –1837)เป็นนักคณิตศาสตร์ตะวันออกชาวอังกฤษ เขาได้รับการอธิบายว่าเป็น " ปราชญ์ภาษาสันสกฤตผู้ยิ่งใหญ่คนแรกในยุโรป")และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยHeinrich Gustav Adolf Engler (1844–1930) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2426

ที่อยู่อาศัยเป็นต้นไม้เฉพาะถิ่นของอินเดียเกิดขึ้นเฉพาะในภูมิประเทศที่เป็นภูเขาแห้งและบนดินที่เป็นกรวด ขึ้นกระจาย ในบังคลาเทศจีนตอนใต้ (ยูนนาน) พม่า ภาคเหนือของไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนาม พบตามป่าดิบเขา ป่าโปร่งหรือป่าทึบตามแนวลำธารที่ระดับความสูง 600 - 1,000 เมตร ในประเทศไทย พบตามป่าดิบชื้นและป่าผลัดใบ  
ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบระยะสั้นๆ สูงถึง 8-10 เมตร ลำต้นสั้น แผ่กิ่งขยายออก เปลือกต้นสีเทาอ่อนเมื่ออายุมากจะเปลี้ยนเป็นสีน้ำตาลแดงมักมีร่องลึกแตกตาม ยาวของลำต้น เปลือกชั้นในมีน้ำยางสีชมพูส้ม ใบประกอบแบบขนนกใบย่อย 2-5 คู่ ยาว 20-40 ซม. ใบย่อยรูปขอบขนานแกมรูปใบหอกกว้าง 2.5–4.5 ซม ยาว 7-10 ซม. โคนใบโค้งมนเป็นรูปลิ่มวงกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบจักฟันเลื่อย ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ช่อดอกออกที่โคนใบ ยาว 10-15 ซม.ดอกสีเหลืองแกมเขียวขนาดเล็ก กลีบเลี้ยงและกลีบดอก 5 กลีบ ดอกกว้างประมาณ 8 มม.ผลกลมมีเส้นผ่านศูนย์กลาง6-20 มม.สีเขียวเหลืองเมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีแดง แก่แล้วเป็นสีดำ ภายในฉ่ำน้ำ มีเมล็ด 1 - 3 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะค่อนข้างกลมแข็ง
ใช้ประโยชน์---บางครั้งต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารยาและแหล่งที่มาของไม้
-ใช้กิน  ผลกินได้มีรสเปรี้ยว
-ใช้เป็นยา ผลใช้ในการรักษาแผลในปาก รากใช้แก้อาการร้อนในกระหายน้ำ รากสดหรือรากแห้งนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้พิษซาง พิษตานซาง ถอนพิษผิดสำแดง และเป็นยาถอนพิษต่าง ๆ ถอนพิษไข้กลับไข้ซ้ำ กระทุ้งพิษไข้หัว ไข้เหนือ
-อื่น ๆ เราไม่มีข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับสายพันธุ์นี้ แต่สมาชิกหลายประเภทนี้มีค่า สำหรับเรซินสีขาวและมีกลิ่นหอม แก่นไม้เป็นสีแดง กระพี้เป็นสีน้ำตาลอ่อน เนื้อไม้มีลักษณะใกล้เคียงกัน เหมาะสำหรับ ใช้ทำเสาบ้าน แผ่นกระดาน เครื่องเฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้ใช้สำหรับเลี้ยงครั่งได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/มีนาคม-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะม่วงกะล่อน/Magnifera caloneura  

ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,      พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Magnifera caloneura Kurz.(1873).This name is unresolved.  
ชื่อพ้อง--No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2362818
ชื่อสามัญ---Mango tree (Mangifera caloneura Kurz)
ชื่ออื่น---มะม่วงป่า(ทั่วไป),จ๋องบั้วกู่ (ม้ง),แผละเส้ดโย (ลั้วะ),มะโมงเดี๋ยง (เมี่ยน),หมากม่วงป่า(อีสาน),มะม่วงเทพรส (ราชบุรี),มะม่วงละว้า,มะม่วงละโว้,มะม่วงขี้ใต(ใต้)มะม่วงกะล่อน,ม่วงเทียน (ประจวบคีรีขันธ์),มะม่วงราวา, ราวอ (นราธิวาส); [CHINESE: Yě shēng máng guǒ.];[MYANMAR: Saraatsee taw.];[THAI: Mamuang pa, Mamuang kalon, Muang thian, Mamuang khitai, Mamuang theppharot.];[VIETNAMESE: Xoài hoang dã.].
EPPO Code---MNGCL (Preferred name: Mangifera caloneura.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า จีนตอนใต้ ไทย ลาว กัมพูชา
Magnifera caloneura เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์(Anacardiaceae) สกุลมะม่วง (Magnifera)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย  Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2416

 

ที่อยู่อาศัย พบได้ในพม่า จีนตอนใต้ ไทย ลาว กัมพูชา ขึ้นกระจายตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้นหรือป่าพรุ ในประเทศไทยพบขึ้นอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ พบมากในป่าผลัดใบที่ชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบ สูง 15-30 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทา แตกเป็นร่องตามแนวยาว ลักษณะคล้ายมะม่วงขี้ไต้แต่ใบเล็กกว่าใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปใบหอก โคนใบมน ปลายใบแหลม ขนาดใบ 3.5-5x4.5-20 ซม.แผ่นใบเหนียว มีสีเขียวเข้ม และเป็นมัน ขอบใบเรียบมีเส้นใบย่อยสานกันนูนที่ผิวใบทั้ง2ด้าน ก้านใบ ยาวประมาณ 3-5ซม.  ยอดอ่อนหรือใบอ่อนมีสีม่วงอมแดง -ดอกออกเป็นช่อแขนงที่ปลายกิ่ง แต่ละช่อดอกประกอบด้วยช่อดอกย่อยมีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก ดอกย่อยมีลักษณะกลม สีเหลืองอ่อนหรือสีครีม กลีบเลี้ยง  5 กลีบ กลีบดอก 5 กลีบ เกสร ผู้ 5 อัน ดอกบานมีกลิ่นหอม ผลรูปกลมขนาด3-5ซม.ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียว เปลือกผลบางมีเนื้อในคล้ายกากมีเมล็ด1เมล็ดขนาดใหญ่ รูปกลมค่อนข้างแบนเปลือกเมล็ดแข็ง
ใช้ประโยชน์---เป็นมะม่วงป่าทั่วไปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการใช้ประโยชน์ในท้องถิ่นสำหรับผลไม้ที่กินได้
-ใช้กิน ผลดิบรสเปรี้ยวมียางมากใช้กินเป็นผักหรือดอง ผลสุกรสหวานมีกลิ่นหอมกินเป็นผลไม้ หรือใช้แปรรูปเป็นไวน์ น้ำผลไม้ หรือไอศครีมฯ ดอกอ่อนกินเป็นผักสดจิ้มน้ำพริก
-ใช้เป็นยา ผล มีสรรพคุณต้านโรคมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ เสริมภูมิต้านทาน เปลือกต้น (ต้มดื่ม) แก้ ท้องเสีย ขับปัสสาวะ
-อื่น ๆ เปลือกใช้ต้มย้อมผ้าไห้สีน้ำตาลอ่อน  หรือ สีเหลืองอ่อน เมล็ดแข็ง นำมาเพาะเป็นต้นกล้าสำหรับทาบกิ่งมะม่วงพันธุ์ดี ขนาดของต้นใหญ่พบมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง2เมตร มักเป็นไม้ขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในป่าที่มีการทำไม้ เพราะเนื้อไม้ไม่มีค่ามากนัก และมีความเชื่อในโชคลางที่จะไม่ตัด
ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-กุมภาพันธ์/ผลแก่---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง

มะม่วงขี้ไต้/Magnifera sylvatica

ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,   พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร  
ชื่อวิทยาศาตร์---Magnifera sylvatica Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ---Himalayan mango, Pickling mango, Nepal mango
ชื่ออื่น---มะม่วงขี้ไต้ (ทั่วไป), มะม่วงช้างเหยียบ, มะม่วงแป๊บ (เหนือ), ส้มม่วงกล้วย (ใต้),โค๊ะแมงซา (กะเหรี่ยงลำปาง); [ASSAMESE: Bon-aam, Lakshmi am, Ban-am, Bon Am.];[CHINESE: Lin sheng mang guo.];[THAI: Mamuang khitai.].
EPPO Code---MNGSS (Preferred name: Mangifera sp.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---เนปาล อัสสัม พม่า ไทย หมู่เกาะอันดามัน                  
Magnifera sylvatica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์(Anacardiaceae) สกุลมะม่วง (Magnifera)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375

 

ที่อยู่อาศัยพบในบังคลาเทศ ,กัมพูชา ,จีน (ยูนนาน ),อินเดีย (อัสสัม ดาร์จีลิ่ง สิกขิม),พม่า ,เนปาล ,ภูฏานและประเทศไทย พบในป่าดงดิบที่มีความหนาแน่นสูงและยังอยู่ในสภาพทุติยภูมิที่เปิดกว้าง บนเนินเขา ที่ระดับความสูงถึง 1,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง15-20 (- 27)เมตร ลำต้นยาวตรง เรือนยอดรูปไข่แน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทามีรอยแตก ที่ไม่สม่ำเสมอ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอ่อน มีน้ำยางใส ใบเดี่ยวรูปใบหอก ขนาด 9-23 x 4-6.5 ซม.เรียงวนรอบ ผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมันก้านใบยาว1-2ซม. ดอกสีขาวหรือเหลืองมีเส้นสีชมพูหรือจุดประด้านใน ดอกมีกลิ่นหอม ช่อดอกตั้งขึ้น ออกเป็นกลุ่มที่ปลายกิ่ง ผลขนาด 5-7.5 ซม.สีเหลืองรูปไข่ปลายแหลมมีขนาดเล็กกว่ามะม่วงทั่วไป มีเมล็ดเดี่ยวขนาดใหญ่ มีชั้นหุ้มเมล็ดแข็งที่ข้างนอกเป็นเส้นใย
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและเป็นแหล่งของไม้ - ไม้มีการซื้อขาย
-ใช้กิน ผลไม้เล็ก ๆ ที่กินได้มีรสหวานและเปรี้ยวเนื้อค่อนข้างบางใช้สำหรับทำทาร์ต ผักดองและเยลลี่
-ใช้เป็นยา ผลไม้แห้งใช้เป็นยา
-อื่น ๆ แก่นไม้ใช้สำหรับการผลิตแผ่นไม้อัดตกแต่ง เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดทางพันธุกรรมมากที่สุดกับ Magnifera indica (มะม่วงบ้าน)
ระยะออกดอก/ติดผล (อินเดีย)---กันยายน-ตุลาคม/ผลแก่---มกราคม-มีนาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ทาบกิ่ง

มะม่วงนก/Buchanania glaba


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Buchanania glabra Wall. ex Engl.(1883)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2684784
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะม่วงนก (เหนือ); [CHINESE: Shān shē zi shǔ.];[LAOS: Mouang meng van.];[THAI: Mamaung nok.].
EPPO Code---BUHSS (Preferred name: Buchanania sp.)
ชื่อวงศ์--- ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียตนาม
Buchanania glabra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์(Anacardiaceae) สกุลมะม่วง (Magnifera)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ ในปี พ.ศ.2426
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียถึงอินโดจีน กระจายพันธุ์จากอินเดียจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยพบขึ้นตามป่าผลัดใบ ตั้งแต่ความสูงใกล้ระดับน้ำทะเลจนถึงระดับ 300 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 12 เมตร มียางสีดำ ใบเป็นใบเดี่ยว รูปรี กว้าง 5-7.5 ซม. ยาว 10-15 ซม. โคนและปลายใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเกลี้ยง เหนียว และเป็นคลื่นเล็กน้อย เส้นใบไม่นูน ดอกสีเขียวแกมเหลือง ออกเป็นช่อสั้นบริเวณปลายยอด มีขนสีน้ำตาลแดงปกคลุม ดอกย่อยขนาดผ่าศูนย์กลาง 3.5 มม. เกสรผู้ 10 อันกลีบเลี้ยงเกลี้ยง ผลสีเขียวอมเทาแล้วเปลี่ยนเป็นสีดำ ผิวเรียบเกลี้ยงปลายติ่งผลไม่อยู่ตรงกลาง ผลขนาด1-2 ซม.
การใช้ประโยชน์---เป็นพันธุ์ไม้ป่าของไทย
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะม่วงหัวแมงวัน/Buchanania lanzan

 

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์ , พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Buchanania cochinchinensis (Lour.) M.R.Almeida.(1996)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms.
---Buchanania lanzan Spreng. (1800)
---Buchanania latifolia Roxb.(1824)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2684767
ชื่อสามัญ---Narrow-leaved buchanania, Buchanan's Mango, Cheraunji nut tree, Chirauli nut tree, Cuddapa almond, Cuddapah almond.
ชื่ออื่น---  มะม่วงหัวแมงวัน, มะม่วงแมงวัน ;[AYURAVEDIC: Priyaala, Piyaala, Kharskandha, Bahulvalkala, Taapaseshtha, Sannakadru Dhanushpat, Chaar.];[BENGALI: Chironji (seeds).];[CHINESE: Dòu fu guǒ.];[FRENCH : Almondette (Canada).];[HINDI: Achaar, Baruda, Char(fruit), Chironji, Priyala.];[KANNADA: Charpoppu.];[MALAYALAM: Mungapper.];[NEPALESE: Acar, Ciraaunji.];[ORIYA: Charu.];[PORTUGUESE: Char, Glicósmis.];[SANSKRIT: Char, Priyalam, Rajadana.];[SIDDHA: Mudaima, Morala (Tamil).];[TELUGU: Morichettu, Saara chettu.];[THAI: Mamuang hua maeng wan, Mamuang maeng wan.];[UNANI: Saaraapparuppu.].
EPPO Code---BUHLA (Preferred name: Buchanania cochinchensis.)
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ลาว ไทย เวียตนาม จีน (ยูนนาน)
Buchanania cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์(Anacardiaceae) สกุลมะม่วง (Magnifera)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dr. Marselein Rusario Almeida (1939-2017) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดียในปี พ.ศ.2539
ที่อยู่อาศัย ในอินเดียพบได้ทั่วไปในพื้นที่ส่วนใหญ่ในป่าดิบแล้งถึงป่าเบญจพรรณที่ระดับความสูงสูงถึง 1200 เมตร  ป่าที่ลุ่มในภาคใต้ของจีนที่ระดับความสูง 100 - 900 เมตรในประเทศไทย พบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ ที่ความสูง 50-300 เมตร พืชส่วนใหญ่เป็นพืชในพื้นที่แห้งแล้งในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนซึ่งพบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 1,200 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดเล็กสูง10-12(-18) เมตร เส้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบลำต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีเทาเข้ม มีรอยแตกระแหงแคบๆ ลึก มีน้ำยางใสมีพิษทำให้ผิวหนังพุพอง ใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนานแกมใบหอก ขนาดกว้าง  5-12 ซม.ยาวประมาณ 10-23.5 ซม.ก้านใบยาว 1.2-2.2 ซม.เนื้อใบหนาเหนียว ใบอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมแดงหนาแน่น ดอกสีขาวเป็นช่อออกที่ปลายกิ่ง ก้านดอกร่วมอ้วนมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ดอกมีขนาดเล็กสีขาวกว้าง 2-3มม.ยาวประมาณ 3-5 มม.มีกลีบเลี้ยง5กลีบ กลีบดอก5กลีบ-ผลกลมป้อมขนาด10-13 x 8 มม.ผลอ่อนเป็นสีเขียวปนม่วง หรือเขียวปนม่วงแดง เมื่อแก่สีม่วงปนดำ มีก้านเกสรตัวเมียติดอยู่ที่ปลายและกลีบเลี้ยงคงอยู่ที่ฐาน มีเนื้อบางๆห่อหุ้มชั้นในที่แข็ง เมล็ดสีดำ1เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในที่ทีมีแสงแดดเต็มที่ แต่ยังสามารถทนต่อร่มเงาได้เป็นอย่างดี ขึ้นได้ดีในดินที่แห้งน้ำไม่ท่วมขัง การระบายน้ำดี ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6 ทนได้ 4.9 - 7.2
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวอย่างกว้างขวางจากป่าและยังปลูกเพื่อเมล็ดกินได้โดยเฉพาะในอินเดีย มีขายทั่วไปในตลาดท้องถิ่นและมีการส่งออกเป็นครั้งคราว
-ใช้กิน ผลกินได้รสหวาน เมล็ดเป็นที่รู้จักกันในชื่อ charoli หรือ chironji-ดิบหรือสุก รสชาติที่ยอดเยี่ยมค่อนข้างชวนให้นึกถึงอัลมอนด์หรือถั่วพิสตาชิโอ ใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหารเป็นหลักในอินเดีย ในบางส่วนของประเทศอินเดียผลไม้แห้งและเมล็ดพืชถูกอบเข้าด้วยกันเพื่อทำขนมปัง น้ำมันที่ได้จากเมล็ด สีเหลืองอ่อนมีรสหวานและกลิ่นหอม สามารถใช้แทนน้ำมันอัลมอนด์หรือน้ำมันมะกอก -;ในอินเดียเด็กที่กำลังหย่านมแม่จะได้รับยาลูกกลอนหวาน ซึ่งเตรียม Priya (เมล็ด) , madhuka, น้ำผึ้ง ข้าวเปลือกแห้ง บดผสมปั้นเป็นลูกอม ทำให้อิ่มและบำรุงกำลัง
-ใช้เป็นยา  ใช้ในอายุรเวท, ทิเบต, Unani,Sidhaและพื้นบ้านของอินเดีย-หลายส่วนของต้นเป็นยา ใช้รักษาไข้ กามโรค โรคผิวหนัง งูและแมลงป่องกัด ป้องกันแบคทีเรีย-ยางจากต้นไม้ใช้เพื่อต่อต้านโรคเรื้อนในยาแผนโบราณ ราก ฝาด, เย็นใช้รักษาโรคท้องร่วง ใบใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง ผลไม้ใช้ในการรักษาอาการไอและโรคหอบหืด
-อื่น ๆ เปลือกไม้ถูกนำมาใช้ในการฟอก ต้นไม้ให้ยางจำนวนมากชิ้นใหญ่ผิดปกติซึ่งละลายได้เพียงบางส่วนในน้ำ (ไม่ละลายประมาณ 10%) แต่ให้เมือกที่ดีและมีประโยชน์ ในกระบวนการผลิตราคาถูก มีคุณสมบัติเป็นกาว -ไม้สีน้ำตาลเทามีแก่นไม้สีเข้มขนาดเล็ก มีคุณภาพไม่ดีใช้เป็นฟืนและทำถ่านเท่านั้น
ระยะออกดอก---มกราคม-เมษายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง


มะมุ่น/Elaeocarpus stipularis


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Elaeocarpus stipularis Blume.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2786030
---Elaeocarpus fissistipulus Miq.(1859)
---Elaeocarpus helferi Kurz ex Mast.(1874)
---Elaeocarpus tomentosus Blume.(1825)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะมุ่น (ภาคเหนือ), สมัด (สงขลา), แดง (นราธิวาส), ตอนลอด, ท้อนลอก, เม่าเหล็ก (ตรัง) ;[BRUNEI: Sengkurat, Suragam.];[CAMBODIA: Sa:ng nha:ng (Central Khmer).];[INDONESIA: Darumun pelandok; Balunijok ( Karo , Sumatra).];[MALAYSIA: Kungkurad (Sabah), Mendung, Sengkurat (Malay), Mendong (Temuan).];[MYANMAR: Sein-se-ba-lu (southern Shan State); Thitpwe.];[PHILIPPINES: Kalomala.];[THAI: Ma-mun, Sa-mad, Daeng, Tonlok.];[VIETNAM: Côm be, Côm lá kèm, Com lá bẹ.].
EPPO Code---EAEST (Preferred name: Elaeocarpus stipularis.)
ชื่อวงศ์---ELAEOCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า กัมพูชา ฟิลิปปินส์ คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว
Elaeocarpus stipularis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะกอกน้ำ (Elaeocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัย มีการกระจายพันธุ์อย่างกว้างขวางทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และขยายไปทางใต้สู่ Central Malesia พืชชนิดนี้เติบโตในที่อยู่อาศัยที่หลากหลายกระจัดกระจายในป่าดิบทั้งในป่าทุติยภูมิและป่าขั้นต้นรวมถึงแม่น้ำป่าพรุและบึงน้ำจืด ที่น้ำท่วมขังต่ำและพบได้บ่อยในพื้นที่ที่ถูกรบกวน นอกคาบสมุทรมาเลเซียชนิดนี้เกิดขึ้นในป่า kerangas (ป่าเขตร้อน) ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,200 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ -; ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรของประเทศไทยเป็นส่วนประกอบของป่ากึ่งป่าดิบชื้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูงถึง 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของลำถึง 55 ซม.ต้น ลักษณะเปลือกต้นเกลี้ยงหรือมีร่องยาวเล็กๆ เปลือกชั้นในสีครีมหรือสีน้ำตาลออกแดง ใบแคบหรือมนรี ขนาดกว้าง3-9 ซม.ยาว7-25 ซม.ขอบใบครึ่งบนเป็นซี่ตื้นๆสลับกับหนามเล็กๆสี น้ำตาลเข้ม ใบอ่อนคล้ายกำมะหยี่ ใบแก่เกลี้ยงด้านบนแต่มีขนตรงเส้นกลางใบ ด้านล่างคล้ายกำมะกยี่ มักจะมีแผงขนระหว่างซอกของเส้นใบ หูใบรูปสามเหลี่ยมปลายแยกเป็น2-3แฉก ดอกสีขาว ขนาด1.2-1.5ซม. ออกเป็นช่ออยู่หลังใบ ช่อยาว7-13ซม. กลีบดอก5กลีบปลายเป็นฝอยลึก1/3ของความยาว ฐานแคบและมีขนด้านใน เกสรเพศผู้ 30-40 อัน รังไข่ป้อม มีขนสั้นคลุมแน่น ก้านเกสรเพศเมียสั้น มีขนยาว ก้านผลยาว 2-6 ซม.ผลกลมหรือมนรีมีเมล็ดเดียวแข็ง ขนาด1.5-4ซม.สีเขียวออกน้ำเงิน เนื้อมีน้ำมัน ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งย่น
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง ถึงปานกลาง ดินร่วนปนทรายถึงดินเหนียวที่อุดมสมบูรณ์ ชุ่มชื้น แต่มีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้ถูกเก็บมาจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ในการแลกเปลี่ยน สายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งในแหล่งที่มาหลักของไม้ซุง 'sengkurat' ในมาเลเซีย
-ใช้กิน ผลกินได้แม้จะมีรสฝาดและขมในบางครั้ง
-ใช้เป็นยา ในเวียตนามใช้บำรุงโลหิตสตรีหลังคลอด
-อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีขาวเหลืองอ่อนถึงน้ำตาลอมชมพู ไม้ค่อนข้างเบา พื้นผิวมีความละเอียดปานกลางและสม่ำเสมอ ไม่คงทนมาก ใช้เป็นไม้เอนกประสงค์เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปเช่นปูเป็นพื้นกระดาน กล่อง ลัง พาเลท ไม้วีเนียร์และไม้อัด
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด, ปักชำ เมล็ดของสปีชีส์ส่วนใหญ่ในสกุลนี้ถูกปกคลุมด้วยเปลือกแข็งเป็นไม้ และอาจงอกได้ช้ามากและเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งใช้เวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น

มะมุ่นดง/Elaeocarpus sphaericus


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Elaeocarpus sphaericus (Gaertn.) K. Schum.(1895)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Elaeocarpus serratus L.(1753)
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2786019
ชื่อสามัญ---Woodenbegar, Indian bead tree, Rudraksha Tree, Utrasum-bead tree
ชื่ออื่น---มะมุ่นดง, ทอนรอก, ทะรอก, ลูกกระรอกบ้านด่าน, สมอพัน; [BENGALI: Rudrakshya.];[HINDI: Rudrakshya.];[MALAYALAM: Rudraksham];[NEPALI: Rudraksha.];[SANSKRIT: Rudrākṣa.];[THAI: Mamun dong, Thonlok, Talok, Look karok ban dan, Samophan.].
EPPO Code---EAESP (Preferred name: Elaeocarpus sphaericus.)
ชื่อวงศ์--- ELAEOCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล พม่า กัมพูชา คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย
Elaeocarpus sphaericus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะกอกน้ำ (Elaeocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Joseph Gaertner (1732- 1791) นักพฤกษศาสตร์และนักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Karl Moritz Schumann (1851–1904) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2438
ที่อยู่อาศัย ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล พม่า กัมพูชา คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย พบตามป่าพรุและป่าดิบชื้น ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 800 เมตร.
ลักษณะ เป็นไม้ต้น ไม่ผลัดใบหรือกึ่งผลัดใบ สูงถึง25-30เมตร เปลือกต้นบางสีน้ำตาลหรือเทา หลุดล่อนเป็นชิ้น ต้นไม้โตเต็มที่จะมีรากค้ำยันแคบ ๆ ใกล้กับลำต้นและแผ่ออกไปตามพื้นดินใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ขนาด 8-17x2.5-5ซม. รูปขอบขนานแกมรูปใบหอก โคนใบแหลม ปลายใบแหลม ก้านใบยาว 1-1.5 ซม. ขอบใบมีซี่ละเอียดใบแก่เรียบเกลี้ยงมีขนประปราย ด้านล่างมักมีจุดลึกบนผิวใบ ดอกเป็นกลุ่มส่วนมากออกหลังใบ ช่อยาว4-10ซม.ผลกลมหรือแบนเล็กน้อยทั้งสองด้าน ชั้นหุ้มเมล็ดแข็งเป็นสันมี2-5เมล็ดขนาด3ซม.สีเขียวน้ำเงินเนื้อสีเขียวสด
ใช้ประโยชน์--ใช้เป็นยา เป็นยาในอายุรเวทใช้เป็นยารักษาโรคในช่องปาก รักษาแผล, ขี้กลาก, สิว, ฝี  เป็นยาที่ดีสำหรับโรคผิวหนัง และโรคเรื้อน ผลไม้ใช้ควบคุมอาการลมบ้าหมู
-อื่น ๆ ผล เป็นอาหารสัตว์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างภายในอาคาร
ความเชื่อ/พิธีกรรม---Rudraksha เป็นต้นไม้ทีมีเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมที่ใช้สำหรับลูกปัดอธิษฐานในศาสนาฮินดู เป็นสายพันธุ์หลักที่ใช้ในการสร้างห่วงโซ่ลูกปัดหรือ Mala Rudraksha ในอินเดียนิยมใช้เมล็ดแข็งแห้ง ทำสร้อย เครื่องลางและลูกประคำ
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม - ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะมุ่นพีพ่าย/Elaeocarpus lanceifolius

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์--- Elaeocarpus lanceifolius Roxb.(1832)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2785685
---Elaeocarpus serrulatus Benth.(1851)
ชื่อสามัญ---Indian bead tree, Ceylon olive, wild olive.
ชื่ออื่น---พีพ่าย, พี่หน่าย (ประจวบคีรีขันธ์), มุ่น, ยาขบงู (ภาคเหนือ), กระบกหิน (นครราชสีมา), ดอกสร้อย ;[ASSAMESE: Saklong.];[BENGALI: Jalpai.];[CHINESE: Pi zhen ye du ying.];[KANNADA: Dieng-soh-khyllam.];[NEPALI: Badrass, Bhadrase.];[THAI: Phi phai, Phi nai (Prachuap Khiri Khan); Kra bok hin (Nakhon Ratchasima); Dok soi (Northeastern); Ma mun, Mun, Ya khop ngu (Northern).];[VIETNAMESE: Côm lá thon, Com bong, Côm lá đào.].
EPPO Code---EAESE (Preferred name: Elaeocarpus serratus.)
ชื่อวงศ์---ELAEOCARPACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อนุทวีปอินเดีย เมียนมาร์ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Elaeocarpus lanceifolius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะกอกน้ำ (Elaeocarpaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375


ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายอยู่ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่อินเดียถึงอินโดนีเซีย-ในอินเดียในเทือกเขาหิมาลัย พบที่ระดับความสูงถึง 2,400 เมตร ในประเทศเนปาล พบตามพื้นที่เปิดที่ระดับความสูง 1,000 - 1,800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ไม่ผลัดใบสูงถึง20เมตร เปลือกต้นสีเทา ใบมนรีแคบหรือรูปหอก ขนาดกว้าง3.5-8ซม.ยาว8-20ซม. ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบมีซี่หยักตื้นๆ ยอดอ่อนมีขนนุ่ม ใบแก่สีเขียวหม่น ด้านล่างเกลี้ยงหรือมีแผงขน ดอกออกเป็นกลุ่มมักจะออกหลังใบ ช่อยาว5-17ซม. ปลายกลีบดอกแตกเป็นฝอย ผลรูปไข่หรือขอบขนานมีความยาว 2 - 4 ซม ปลายทั้งคู่ป้าน มีขนเมื่ออ่อน และเรียบเกลี้ยงเมื่อแก่ สีเขียวแล้วเปลี่ยนเป็นแดงคล้ำ มี 1 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ประสบความสำเร็จในแสงแดดส่องถึงบางส่วน ชอบดินร่วนซุยอุดมสมบูรณ์
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและใช้ไม้
-ใช้กิน ผลสุกเต็มที่กินได้
-ใช้เป็นยา ลำต้น ต้มน้ำดื่มแก้พิษ แก้ผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ ทำให้โรคกำเริบ มีอาการท้องเสีย)-; ในเวียตนามใช้บำรุงเลือดสตรีหลังคลอดบุตร
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อน แก่นไม้เป็นสีเหลืองอ่อนขาว - ชมพู - น้ำตาล ไม่คงทน ใช้ทำ ลัง กล่อง พาเลทและไม้อัด
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-สิงหาคม/กรกฎาคม-ธ้นวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด,ปักชำ เมล็ดของสปีชีส์ ส่วนใหญ่ในสกุลนี้ถูกปกคลุมด้วยเปลือกแข็งเป็นไม้ และอาจงอกได้ช้ามากและเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งใช้เวลา 2 ปีหรือมากกว่านั้น

Antidesma เป็นสกุลพืชเขตร้อน ในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ในประเทศไทยที่พบมากมีอยู่ด้วยกัน 5 สายพันธุ์ คือ มะเม่าสร้อย มะเม่าไข่ปลา มะเม่าควาย มะเม่าดง และมะเม่าหลวง ลักษณะของช่อผลจะยาวหรือสั้น ผลดก ลูกเล็กหรือลูกใหญ่ ผลมีรสหวาน รสฝาด หรือเปรี้ยว ขึ้นอยู่กับลักษณะของสายพันธุ์ต้นหมากเม่าของแต่ละต้น การติดผลติดปีเว้นปี ผลเมื่อสุกแก่เต็มที่เมล็ดสีน้ําตาล
Antidesma bunius (L.) Spreng-มะเม่าดง-เม่าช้าง
Antidesma sootepense Craib-มะเม่าสาย-มะเม่าสร้อย
Antidesma ghaesembilla Gaertn.-มะเม่าไข่ปลา
Antidesma velutinosum Bl-มะเม่าควาย-เม่าเหล็ก
Antidesma puncticulatum Miq. [(Syn)Antidesma thwaitesianum Mull. Arg.] -มะเม่าหลวง

มะเม่าดง, เม่าช้าง/Antidesma bunius


อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์--- Antidesma bunius (L.) Spreng.(1824)
ชื่อพ้อง---Has 16 Synonyms
---Basionym: Stilago bunius L.(1767)
---Antidesma andamanicum Hook.f.(1887)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-11964
ชื่อสามัญ---Bignay, Chinese-laurel, Herbert River-cherry, Queensland-cherry, Salamander-tree, Wild cherry, Currant tree.
ชื่ออื่น---บ่าเม่าฤาษี, มะเม่าหลวง, มะเม่าดง, เม่าช้าง, แมงเม่าควาย; [BURMESE: Kywe-pyisin];[CHINESE: Wu cao shu, Wu yue cha..];[DUTCH: Salamanderboom.];[FRENCH: Antidesma.];[GERMAN: Lorbeerblättriger Flachsbaum, Salamanderbaum.];[HINDI: Amati.];[JAPANESE: Buni no ki, Nanyou gomishi, Saramando no ki.];[LAOS: Kho lien tu.];[MALAYALAM: Airyaporiyan, Cerutali, Nulittali.];[MALAYSIA-INDONESIA: Berunai, Buneh (Java, Sulawesi, Sumatra), Boni (Java, Sulawesi, Sumatra), Buni (Java,Sulawesi, Sumatra), Huni (Java), Wuni (Java).];[NEPALESE: Himalcheri.];[PHILIPPINES: Bignai, Bignay-kalabaw, Bignay (Tag).];[PORTUGUESE: Caardoeira, Arvore-salamandra.];[SPANISH: Bignai.];[SUNDANESE: Barunei.];[TAMIL: Nolaidali.];[THAI: Ba mao ruesi, Mamao luang, Mamao dong (Chiang Mai), Mao chang, Maeng mao khwai (Chanthaburi).];[VIETNAMESE: Choi moi.].
EPPO Code---ATDBU (Preferred name: Antidesma bunius.)
ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย คาบสมุทรอินโดจีน จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย ออสเตรเลียตอนเหนือ
Antidesma bunius เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Kurt Sprengel (1766–1833) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2367 

     

ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงภาคเหนือของออสเตรเลีย พบที่อินเดียรวมหมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ ศรีลังกา จีนตอนใต้ พม่า ภูมิภาคอินโดจีน บอร์เนียว ชวา ฟิลิปปินส์ นิวกินี หมู่เกาะแปซิฟิก และฮาวาย พบทั่วไปในป่าดิบระดับ 700-1,500 เมตรบางครั้งเป็นไม้ปลูก ในประเทศไทยพบแทบทุกภาคยกเว้นภาคใต้ ที่ระดับความสูง 640 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 4-5เมตร ลักษณะทรงต้น เรือนยอดแน่น ลำต้นอ้วนสั้นเป็นตะปุ่มตะป่ำ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาเข้มแตกเป็นร่องยาว และลอกหลุดเล็กน้อยเปลือกชั้นในสีออกแดง ใบขนาดกว้าง 3-8 ซม.ยาว 8-22 ซม.ตาใบมีขนสีน้ำตาล ใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน เรียบเกลี้ยงไม่มีขนทั้งสองด้าน กิ่งก้านอ่อนมีรูอากาศสีน้ำตาลออกครีม ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อห้อยที่ปลายกิ่งหรือซอกใบบนๆ ช่อยาว 5-15 ซม.ช่อผลยาว 5-10 ซม.ผลกลมขนาด 0.6-1.2 ซม.มีเมล็ดรูปไข่เมล็ดเดียว ผลไม้แต่ละพวงสุกไม่สม่ำเสมอดังนั้นผลไม้ในพวงจะมีสีแตกต่างกัน
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในที่ที่มีแสงแดดส่องถึงหรือในที่ร่มแสงในดินที่อุดมสมบูรณ์และกักเก็บความชื้น พืชสามารถประสบความสำเร็จในสภาพดินที่หลากหลาย ชอบ pH ในช่วง 6 - 7 ทนได้ 5.5 - 8 ต้นไม้สามารถเริ่มให้ผลได้ภายใน 5 - 6 ปีจากเมล็ด หรือเพียง 2 - 3 ปีจากการต่อกิ่ง
ใช้ประโยชน์--ผลไม้ที่รับประทานได้นั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในหลายพื้นที่ของเอเชีย ซึ่งทั้งเก็บเกี่ยวจากป่าและมักปลูกในหมู่บ้านและสวนผลไม้ในบ้าน ผลไม้บางครั้งขายในตลาดท้องถิ่น ต้นไม้บางครั้งปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้กิน ใบอ่อนกินได้เป็นเครื่องปรุงมีรสเปรี้ยว กินสดเป็นผัก ผลสดรับประทานได้ มีสีติดมือและปาก สุกไม่พร้อมกัน ผลอ่อนรสเปรี้ยวอมฝาด ผลสุกรสหวานใช้ทำแยมและไวน์ ในอินโดนีเซียใช้ผลิตน้ำปลาที่มีรสเปรี้ยว เป็นแหล่งแคลเซียมและแหล่งธาตุเหล็กที่ดี
-ใช้เป็นยา มีสรรพคุณ ต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ยาแก้พิษ ส่วนที่ใช้ ราก ใบ ผล-ใช้ยาต้มของวัสดุแห้งสำหรับลิ้นเป็นฝ้าไม่อยากอาหาร, อาหารไม่ย่อย เคล็ดขัดยอก  ใบใช้แก้พิษงูกัด ใบและผลใช้สำหรับโรคโลหิตจางและความดันโลหิตสูง น้ำผลไม้ ใช้สำหรับโรคหัวใจ ในเวียดนามใช้สำหรับโรคซิฟิลิส
-วนเกษตรใช้ เป็นสายพันธุ์บุกเบิกทางธรรมชาติ มักพบได้ทั่วไปในระยะแรกของการสืบต่อของป่าทุติยภูมิ ต้นไม้ถูกนำมาใช้เป็นครั้งคราวในโครงการปลูกป่า สายพันธุ์นี้ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมในฐานะผู้บุกเบิกในการสร้างป่าไม้ ควรใช้ภายในพื้นที่ดั้งเดิมเนื่องจากมีแนวโน้มที่จะบุกรุกแหล่งที่อยู่อาศัย
-อื่น ๆไม้มีสีแดงและแข็ง ถ้าแช่น้ำจะหนักและแข็งใช้ก่อสร้างอาคารทั่วไป แต่มีค่าน้อยและยังถูกโจมตีจากปลวกได้อีกด้วย
รู้จักอันตราย--- เปลือกมีสารอัลคาลอยด์ที่เป็นพิษ แต่มีสรรพคุณแก้แผลฟกช้ำ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ( 2019)
ระยะออกดอก/ติดผล---ผลสุก---พฤษภาคม - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะเม่าควาย, เม่าเหล็ก/Antidesma velutinosum

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาสตร์ --- Antidesma velutinosum Blume.(1825)
ชื่อพ้อง---Has 7 Synonyms
---Antidesma attenuatum Wall. ex Tul.(1851)
---Antidesma molle Wall. ex Müll.Arg.(1865)
---Antidesma roxburghii Wall. ex Tul.(1851)
---Stilago tomentosa Roxb.(1832)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-12361
ชื่ออื่น---มะเม่าควาย (พิษณุโลก); เม่าเขา (ตรัง, นราธิวาส); เม่าหิน (สุราษฎร์ธานี); เม่าเหล็ก (นครสีธรรมราช); ส้มเม่าขน (ตรัง); [INDONESIA: Huni munding, Ki sukur.];[MALAYSIA: Gunciak gajah.(Malay).];[THAI: Mao lek, Mao hin, Mao khao, Mmao khwai, Som mao khon, Makmao.].
EPPO Code ---ATDSS (Preferred name: Antidesma sp.)
ชื่อวงศ์ --- PHYLLANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า คาบสมุทรอินโดจีน มาเลเซีย อินโดนีเซีย
Antidesma velutinosum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2368
ที่อยู่อาศัยพบขึ้นกระจายทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในป่าทุติยภูมิ ป่าดิบแล้ง ป่าเต็งรังหรือป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูงถึง 600 เมตร ในประเทศไทย พบแพร่กระจายอยู่ ทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เช่น สกลนคร อุดรธานี กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร และหนองคาย
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดเล็กสูง 3-15 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 35 ซม.มีขนสีเหลืองปกคลุมทั้งต้น ใบเดี่ยวรูปรีเรียงสลับ ขอบใบเรียบ ขนาดใบกว้าง 3-8ซม.ยาว 10-25 ซม.ยอดอ่อนมีขนหนาแน่น ใบแก่บางมีขนคล้ายกำมะหยี่สีเหลืองทั้งสองด้าน ดอกแยกเพศอยู่คนละต้น (Dioecious) ดอกออกเป็นช่อยาว8-10ซม มีประมาณ 8-10 ช่อ ช่อผลยาว 7.5-15 ซม. ผลขนาด 0.5-0.6 x 0.3 ซม. มีขนละเอียดและผิวเป็นตุ่ม ในช่อผลสุกไม่พร้อมกัน ผลจะมีสีแตกต่างกัน เขียวอ่อน ขาว- แดง-ดำ
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ความชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำดี
ศัตรูพืช/โรคพืช---หนอนเจาะลำต้นและกิ่ง/โรคใบจุด ราดํา อาการเปลือกแตกยางไหล เกิดจากเชื้อรา Lasiodiplodia theobromae-; อาการต้นโทรม ใบเหลือง แยกเชื้อจากเปลือกต้นมะเม่า เกิดจากเชื้อราโคโลนีสีแดง จําแนกชนิดเป็นรา Fusarium
ใช้ประโยชน์---บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและอาจเป็นยา
-ใช้กิน ผลดิบสุกสดกินได้ ผลดิบมีรสเปรี้ยว ผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยวและฝาด นำมาแปรรูปเป็นไวน์ แยม น้ำผลไม้ -; ยอดอ่อนใบอ่อนกินดิบ-สุกเป็นผัก-;น้ำคั้นที่มาจากผลมะเม่าสุกสามารถนำไปทำสีผสมอาหารได้ โดยจะให้สีม่วงเข้ม
-ใช้ปลูกประดับ ได้รับความนิยมสำหรับนักจัดสวนเนื่องด้วยลีลาของต้นไม่ทิ้งฟอร์ม ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงาและผลสวยงามที่กินได้ ไม่ผลัดใบหรือทิ้งใบจำนวนมาก
-ใช้เป็นยา ผลไม้ออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ บำรุงผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง ป้องกันโรคมะเร็ง ป้องกันโรค HIV บำรุงสายตา เป็นยาระบาย ราก เปลือก ไม้ มีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ แก้มดลูกอักเสบ ตกขาว แก้ปวดเมื่อย ใบและยอดอ่อน ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นระบบการย่อยอาหาร ป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ บำรุงสายตา ใบสดนำมาตำใช้พอกรักษาแผลฝีหนองได้
-อื่น ๆ เนื้อไม้ใช้ในงานก่อสร้างภายใน เป็นเครื่องเรือน เฟอร์นิเจอร์ และใช้ทำรั้ว ทำฟืน
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-พฤษภาคม/ผลสุก---สิงหาคม-กันยายน
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด ทาบกิ่ง เสียบยอด

มะเม่าสาย/Antidesma sootepense

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Antidesma sootepense Craib.(1911)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-12317
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะเม่าสร้อย, มะเม่าสาย, มะเม่าดูก, เม่าสาย, มูกกอง, ตะไคร้น้ำ, บ่าเม่า ;[CHINESE: Tai bei wu yue cha.];[THAI: Mamao sai (Chiang Mai), Mamao duk, Mao sai, Muk kong (Lampang), Takhrai nam (Saraburi), Ba mao.].
EPPO Code---ATDSS (Preferred name: Antidesma sp.)
ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน ลาว พม่า ไทย
Antidesma sootepense เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2453
ที่อยู่อาศัยพบขึ้นกระจายใน จีน(มณฑลยูนนาน) ลาว, พม่า, ไทย พบทั่วไปในป่าภูเขา ป่าผลัดใบ ป่าดิบและป่าเบญจพรรณ ที่ระดับความสูง 800-1200 เมตร.ในประเทศไทยพบตามป่าเต็งรัง ที่โล่งลุ่มต่ำ ป่าละเมาะ เรือกสวนทั่วไป และป่าพรุ
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูงถึง 6-9 เมตร กิ่งก้านสีน้ำตาลแดง ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวรูปขอบขนานหรือรูปหอก ขนาดกว้าง1-3.5ซม.ยาว3-12ซม.ก้านใบ 2-4 (-11) มม.  ดอกมีขนาดเล็กมีสีขาวอมเหลือง ออกที่ซอกใบและที่ปลายกิ่ง เป็นดอกแยกเพศอยู่คนละต้น ช่อดอกเพศผู้ยาว 4-11 ซม. ถึง 4 กิ่ง, ช่อดอกเพศเมีย 3-8 ซม.ถึง2กิ่ง ผลกลมขนาดผล 0.3-0.5 ซม ดอกเพศผู้: รูปถ้วย ก้านดอกยาว 0-1 มม. กลีบเลี้ยง 0.3-0.5 มม.กลีบดอก4กลีบ  เกสรเพศผู้ จำนวน 4 อัน ล้อมรอบฐานรองดอก รังไข่ที่เป็น หมัน รูปทรงกระบอก ดอกเพศเมีย: ก้านดอก ยาว1 มม.มีใบประดับที่ฐาน กลีบเลี้ยง 0.8 มม. กลีบดอก4กลีบรูปไข่ยาว0.75 มม. ผลขนาดเล็ก3-5 × 2-3.5 มม.ก้านผลยาว 0.4 มม.ออกเป็นพวง แต่ละผลมีเมล็ด 1เมล็ด เปลือกเมล็ดแข็ง
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการแสงแดดเต็มที่ถึงร่มเงาบางส่วน ดินร่วนอุดมสมบูรณ์ ความชื้นสม่ำเสมอมีการระบายน้ำดี
ใช้ประโยชน์--บางครั้งพืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและอาจเป็นยา
-ใช้กิน ผลสุกกินได้มีรสหวานอมเปรี้ยวและฝาด เมล็ดกรุบกรับ เปลือกต้น ต้มดื่มแทนชา ปัจจุบันเป็นผลไม้ป่าที่ได้รับความสนใจในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตไวน์ผลไม้
-ใช้เป็นยา ใบ ต้มอาบแก้ผิดเดือนเข้ายาตำรับ ผลมีสารต้านอนุมูลอิสระและ แอนโทไซยานิน  ป้องกัน โรคเส้นเลือดอุดตันในสมองและโรคหัวใจ
-อื่น ๆไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนยาวเมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดถึง4คนโอบเป็นไม้เนื้อแข็งใช้ในงานก่อสร้างและด้ามเครื่องมือเครื่องใช้ทั่วไป
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/พฤษภาคม-กรกฎาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะยาง/ Sarcosperma arboreum

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Sarcosperma arboreum Hook.f.(1876)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-185354
---Sideroxylon arboreum Buch.-Ham. ex C.B.Clarke (1882).[Invalid]
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะยาง, เหมือดหอม(เชียงใหม่); [CHINESE: Dà ròu shí shù, Ròu shí shù.];[THAI: Ma yang.].
EPPO Code---SKDSS (Preferred name: Sarcosperma sp.)
ชื่อวงศ์---SAPOTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- จีนตอนใต้ สิกขิม อัสสัม อินเดีย ตอนเหนือของพม่า ไทย
Sarcosperma arboreum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิกุล (Sapotaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2419
แต่เดิมจัดเป็นวงศ์แยกคือ Sarcospermataceae ซึ่งทั่วโลกมีสมาชิกเพียง 12 ชนิด มี 1 ชนิดในประเทศไทย

 

ที่อยู่อาศัยพบในจีน (กวางสี กุ้ยโจว ยูนนาน) สิกขิม กระจายอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียพม่าและไทย พบทั่วไปในป่าดิบที่มีการรบกวนน้อย ที่ระดับความสูง 500-2,500 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ พบตามป่าดิบเขา ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง สูง 20-30 เมตร ลำต้นเปลาตรง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 40-50 ซม.เปลือกต้นสีน้ำตาลแดงหรือน้ำตาลเทา หรือน้ำตาลออกครีม มีรอยแตกตามยาวตื้นๆ เปลือกชั้นในหนาสีครีมอ่อน เปลือกไม้กิ่งเล็ก ๆ ปกคลุมไปด้วยขนปุยสนิม ข้อต่อย่อยยาว 3-4 มม. ร่วงเร็ว ก้านใบยาว 1-2 (3) ซม. ใบเดี่ยวรูปไข่ออกตรงข้ามหรือใกล้เคียงกัน ขนาดกว้าง 5-8 ซม.ยาว16-26ซม.ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ใบแก่เหนียวสีเขียวเข้ม ไม่มีขน ช่อดอกยาว 5-20 ซม. ดอกสีเหลืองอ่อนหรือเขียว มีกลิ่นหอมเล็กน้อย  ผลมนรีปลายป้านหรือรูปขอบขนาน ยาว 1.5-2.5 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.7-1.5 ซม. ผลสีม่วงเข้มมีเหลือบสีเทาอ่อนเป็นมัน เนื้อผลแข็งมีเมล็ด1เมล็ด สีน้ำตาลเข้ม
ใช้ประโยชน์---ไม้สามารถนำมาใช้สำหรับเฟอร์นิเจอร์, อุปกรณ์ฟาร์ม, เครื่องใช้ ฯลฯ
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2019
ระยะออกดอก/ติดผล---กันยายน-เมษายน/มีนาคม-มิถุนายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะลิต้น/Diospyros brandisiana

ชื่อวิทยาศาตร์---Diospyros brandisiana Kurz.(1871)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ดำ (ระนอง,นครศรีธรรมราช), พริก (ยะลา), มะลิต้น,ไม้ดำ; [CHINESE: Zhǎng zhù shì.];[THAI: Dam, Mai dam, Phrik, Mali ton.];[VIETNAM: Đo an.].
EPPO Code---DOSSS (Preferred name: Diospyros sp.)
ชื่อวงศ์---EBANACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย ลาว
Diospyros brandisiana เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะพลับ (Ebenaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2414
ที่อยู่อาศัย พบใน พม่า ไทย ลาว ในประเทศไทยพบในธรรมชาติขึ้นอยู่ตามริมลำธารในป่าดิบเขาและในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ที่ระดับความสูงถึง 400 เมตร  
ลักษณะ มะลิต้นเป็นไม้ต้นสูง 4-6 เมตร เปลือกสีดำตามลำต้นเป็นปุ่มปม แตกตามยาวตื้น ใบเดี่ยวยวรูปรีหรือรูปไข่ ขนาด 14-20 x 3.5-6 ซม. ปลายใบแหลม ผิวใบหนาเกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอกออกตามปุ่มตามลำต้นและกิ่งเป็นช่อกระจุก แต่ละกระจุกมี 1-3 ช่อดอก แต่ละช่อมี 4-7 ดอก มีขนสีน้ำตาล ดอกคล้ายมะลิ ก้านดอกยาว 2-5 มม. กลีบเลี้ยงที่โคน สูง 2-4 มม. สีเขียวอ่อน-สีน้ำตาลมีขน กลีบดอกสีขาวไม่มีขน รูปท่อ สูง 1.5-2.5 ซม. ดอกเพศผู้มีเกสรผู้ 16-18 อัน; ดอกเพศเมียมีเกสรเพศผู้ 4-5 อันมีขน ดอกเมื่อเริ่มแย้มสีขาวเริ่มส่งกลิ่นหอม ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีฟางข้าว บาน 2 วันแล้วโรย ส่งกลิ่นหอมแรงตลอดวัน ผลรูปไข่ปลายมนมีติ่งแหลมมีขนนุ่มปกคลุมมี1-2 เมล็ด
ใช้ประโยชน์---เนื้อไม้แข็ง สีดํา ใช้ทําเครื่องเรือน
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ -มีนาคม/เมษายน -พฤษภาคม   
ขยายพันธุ์---เมล็ด -; เมล็ดงอกง่าย การปลูกควรปลูกด้วยการเพาะเมล็ดการขุดล้อมต้นใหญ่มาปลูกจะตายง่าย

มะหนามนึ้ง/Vangueria pubescens

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Meyna pubescens (Kurz) Robyns.(1928)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-126648
---Vangueria pubescens Kurz.(1872)
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะหนามนึ้ง (เหนือ); [THAI: Ma hnam nung,].
EPPO Code--- 1RUBF (Preferred name: Rubiaceae.)
ชื่อวงศ์---RUBIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า อินโดจีน
Meyna pubescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เข็ม (Rubiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Frans Hubert Edouard Arthur Walter Robyns (1901-1986) หรือที่รู้จักในชื่อWalter Robynsเป็นนักพฤกษศาสตร์ชาวเบลเยียมในปี พ.ศ.2471

 

ที่อยู่อาศัย พืชในเขตร้อนของเอเซีย พบในป่าผลัดใบ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า  ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มผลัดใบ สูงได้ถึง8เมตร กิ่งก้านไม่เป็นระเบียบ  มีหนามยาวตรงเป็นคู่ๆ ใบ บางมีขนหยาบด้านบน ด้านล่างมีขนหนานุ่มอยู่หนาแน่น ดอกเล็กสีเขียว ผลออกเป็นกลุ่มตามกิ่ง รูปทรงค่อนข้างกลม เส้นผ่านศูนย์กลาง 2 ซม ผลมีเนื้อก้านผลสั้น.ผลอ่อนสีเขียวแกมเหลือง เมื่อสุกสีเหลือง เมล็ดแข็งสีน้ำตาล มี 4 - 5 เมล็ดเรียงกันคล้ายรูปดาว
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ผลไม้ - ดิบหรือสุกกินได้
-ใช้เป็นยา ผลไม้ทำให้เย็นช่วยเสริมกำลัง ขับเสมหะและน้ำดี ผงใบถือว่าเป็นประโยชน์ในการรักษาโรคคอตีบ รากและต้นใช้ทำยา รักษาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-มิถุนายน ---ผลสุกช่วงฤดูหนาว
ขยายพันธุ์---เมล็ด
ที่คล้ายกัน
Meyna spinosa Roxb:ใบไม่มีขน ด้านล่างมีแผงขนเล็กๆระหว่างซอกเส้นใบ ดอกไม่มีขน ก้านผลยาว ผลขนาด 4 ซม.กินได้ เป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของอินเดีย ใช้ในการรักษาโรคผิวหนัง, ปวดหัว, เบาหวาน, โรคตับ, โรคบิด, อาหารไม่ย่อย, หนอนลำไส้และปัสสาวะขัด

มะห้อ/Spondias lakonensis

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Spondias lakonensis Pierre.(1898)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms
---Allospondias lakonensis (Pierre) Stapf.(1900)
---Spondias chinensis (Merr.) FP Metcalf.(1931)
---Spondias lakonensis var. lakonensis
ชื่อสามัญ--- Cantonese mombin.
ชื่ออื่น---มะห้อ ;[CHINESE: Jia suan zao, ling nan suan zao.];[FRENCH: Mombin de Canton.];[THAI: Ma ho (Chiang Mai).];[VIETNAMESE: Dâu Gia Xoan, Giâu Gia Xoan, Giâu Gia Nhà, Xoan nhừ.].
EPPO Code--- SPXSS (Preferred name: Spondias sp.)
ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์--- เอเซียตะวันออกเฉียงใต้-จีนตอนใต้ เวียดนาม ลาว ไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Spondias มาจากภาษากรีก “spodias” ที่ใช้เรียกพืชพวกมะกอกป่า
Spondias lakonensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะม่วงหิมพานต์ หรือวงศ์มะม่วง(Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2441


ที่อยู่อาศัยขึ้นกระจายใน จีน (ฝูเจี้ยน, กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, SและSE ยูนนาน) ลาว เวียตนาม ไทย พบตาม ป่ากึ่งผลัดใบหนาแน่นหรือป่าเปลี่ยนผ่านระหว่างป่าดิบและป่าเต็งรัง บางครั้งพบตามลำธารที่ระดับความสูง 200-900 เมตร ในประเทศไทยพบมีอยู่ประมาณ 5 ชนิดพบทางภาคเหนือตามที่ลาดชันในป่าดิบ หรือริมห้วย ที่ระดับความสูง 200-500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบสูงถึง 8-15 (-30) เมตร เรือนยอดแบบร่ม กิ่งก้านแผ่กว้าง เปลือกต้นสีเทาเข้ม มีรอยแตกตื้นๆ เปลือกชั้นในสีส้มน้ำตาลหรือออกชมพู มีน้ำยางใส มีขนอ่อนนุ่มสีน้ำตาลปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่นที่บริเวณกิ่งอ่อน ใบอ่อน และช่อดอก ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (imparipinnate) ออกเป็นกลุ่มใกล้ปลายกิ่งขนาด25-67 ซม.ใบย่อย  9-12 คู่ ออกตรงข้ามสลับ ขนาดของใบย่อย กว้าง1.5-4 ซม.ยาว 6-13 ซม.รูปขอบขนานปลายสอบ ฐานใบไม่สมมาตร ขอบใบเรียบ ยอดอ่อนมีขนหนาแน่น ใบแก่มีขนเล็กน้อย ช่อดอกเป็นกลุ่มออกในซอกใบ ช่อยาว 2-14 ซม.ดอกสีขาว ขนาด 0.8 ซม. มีกลีบเลี้ยงรูปสามเหลี่ยม 5 กลีบ กลีบดอกรูปไข่ 5 กลีบ มีเกสรเพศผู้อยู่กลางดอกประมาณ 8-10 อัน แต่ละก้านดอกเรียวเล็กมีข้อต่อและมีขนเล็กๆสีส้มอ่อน ผลรูปไข่สีเขียวยาว 8-12 มม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 6-7 มม.เมื่อสุกสีชมพูส้มมีเนื้อสีเหลืองเปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง แกนกลางแข็งเป็นรูปดาว ภายในมีเมล็ด 4-5 เมล็ด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สามารถปลูกได้ในดินทุกสภาพ เป็นพืชที่ต้องการความชื้น ชอบแสงแดดแบบปานกลาง
ใช้ประโยชน์---ผลไม้ที่กินได้จะถูกรวบรวมจากป่าเพื่อการบริโภคในท้องถิ่น ต้นไม้ได้รับการปลูกเป็นบางครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งทางตอนเหนือของเวียดนาม
-ใช้กิน  ผลดิบมีรสเปรี้ยวฝาด ใช้ทำเป็นอาหารประเภทส้มตำได้ ผลสุกมีกลิ่นของแอลกอฮอล์หอมมีรสหวานอมเปรี้ยวกินได้
-อื่น ๆไม้ใช้ทำอุปกรณ์เล็กๆภายในบ้าน และกระดาน ใช้งานง่าย แต่ไม่ทน ผุง่าย แมลงทำลาย -เมล็ดมีน้ำมันมากถึง 34% ที่สามารถใช้เป็นสบู่ได้ ใช้ในงานอุตสาหกรรม -เปลือกต้นใช้ทำสีย้อมผ้า
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม - สิงหาคม/สิงหาคม - กันยายน
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะห้า/Syzygium albiflorum

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Syzygium albiflorum (Duthie ex Kurz) Bahadur & R.C. Gaur.(1978)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-199183
---Basionym: Eugenia albiflora Duthie ex Kurz.(1877)
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---มะห้า (ทั่วไป), หว้าขาว (ตรัง) หว้าแก้ว; [THAI: Maha (Chiang Mai), Wa khao, Wa kaew (Trang).]
EPPO Code---SYZSS (Preferred name: Syzygium sp.)
ชื่อวงศ์---MYRTACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พม่า ไทย
Syzygium albiflorum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชมพู่ (Myrtaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (John Firminger Duthie (1845–1922) เป็นนักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวอังกฤษ จากอดีต Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน )และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Bir Bahadurศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ชาวอินเดียและ RC Gaur (เกิด 1933-) นักพฤกษศาสตร์ในปี พ.ศ.2521
ที่อยู่อาศัย ในประเทศไทยพบเติบโตในป่าเต็งรังและป่าทึบ
ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นสูง 3-4 เมตรเปลือกต้นสีน้ำตาลแดง แตกลึก ใบรูปไข่แคบหรือรูปหอก ขนาดของใบกว้าง 3.5-6 ซม.ยาว 9-14 ซม.ฐานเรียว ปลายเรียวแหลมหรือแหลม ขอบเรียบ ผิวใบทั้งสองด้านเกลี้ยง ดอกช่อ แบบช่อกระจุก ออกที่ปลายกิ่งหรือซอกใบบนๆ ออกกลุ่มละ 3 ดอก ช่อดอกยาว 3-6 ซม.ดอกสีขาวหรือครีม กลีบเลี้ยง มี 4 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยก กลีบดอก มี 4 กลีบ รูปกลมมีต่อมที่ผิว เกสรเพศผู้ จำนวนมาก ติดกับอับเรณูด้านหลัง เกสรเพศเมีย มีรังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มี 2 ช่อง ดอกกลางมักไม่มีก้านดอก ผลกลมรีสีเขียวอ่อนถึงม่วงดำ ขนาดผล (0.5)1.2-3.5 ซม.ผลแห้งสีน้ำตาล
ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ยอดอ่อนรสฝาด กินเป็นผัก
-อื่น ๆ ไม้ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ผลเป็นอาหารนก
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มะหากาหนัง/Eunonymus similis

อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Euonymus cochinchinensis Pierre.(1894)
ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms
---Eunonymus similis Craib.(1912)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2803245
ชื่อสามัญ---Indochina Euonymus.
ชื่ออื่น---กระจับนก, ตานขี้ม้า, ตาสีไสว, มะหากาหนัง (ภาคเหนือ), มะดะ (เชียงราย), กระจับนก (เชียงใหม่), นางใย, อึ่งเปาะ (อุบลราชธานี), กระดูกไก่ ชะแมง (ภาคใต้), คอแห้ง ;[CHINESE: Jiāo zhǐ wèi máo.];[LAOS: Ton ka chab nok.];[THAI: Maha ka nang (Northern), Krachap nok (Northern), Tan khi ma (Northern), Ta si sawai (Northern), Ma da (Northern).];[VIETNAM: Chân danh nam.].
EPPO Code---EUOSS (Preferred name: Euonymus sp.)
ชื่อวงศ์---CELASTRACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---หมู่เกาะอันดามัน อินเดีย พม่า จีน  ไต้หวัน  อินโดจีน มาเลเซีย ปาปัวนิวกินี
นิรุกติศาสตร์---ชื่อเฉพาะสายพันธุ์ 'cochinchinensis' หมายถึงสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในอินโดจีน
Euonymus cochinchinensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระทงลาย (Celastraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2437


ที่อยู่อาศัย พืชในเอเชียเขตร้อน  เติบโตตามธรรมชาติในการกระจายแบบเต็ม จาก ทางตะวันตกของอินเดีย (หมู่เกาะอันดามัน) จีน (ไหหลำ) ,ไต้หวัน  พม่า (หงสาวดี, Taninthayi)ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม คาบสมุทรมาเลเซีย (เประ, ปาหัน), ฟิลิปปินส์  สุมาตรา, บอร์เนียว, สุลาเวสี หมู่เกาะโมลุกกะ ซุนดาน้อย ปาปัว นิวกินี พบขึ้นตามบริเวณริมห้วยหรือป่าดิบชื้นที่ระดับความสูง 300-800 เมตร ในประเทศไทยพบได้ทุกภาค โดยมักพบขึ้นตามลำธาร ตามป่าดิบแล้งในระดับต่ำจนถึงความสูงจาก ระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 6-10 (-14) เมตร เปลือกต้นบางสีน้ำตาลออกครีม มีร่องแคบๆแตกตามยาว กิ่งก้านเป็นมันสีน้ำตาลเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามเป็นคู่ กว้าง 2.5-7 ซม. ยาว 1.6-4.5 ซม.มนรีรูปไข่ปลายใบสอบแคบขอบใบที่ปลายใบมีซี่หยัก ห่างๆผิวบนใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ก้านใบยาว 3-8 มม. ดอกขนาด1.5-2.5 ซม.สีขาวออกเขียว หรือเขียวอมชมพู ดอกสมมาตร ช่อดอกแตกเป็นง่ามในซอกใบบนๆ ช่อยาวถึง 3-10.5 (-13) ซม. ผลขนาด1.5-2 ซม.ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่จะเป็นสีชมพูหรือสีแดงเข้ม รูปกระบอง 5 เหลี่ยมเมื่อแก่จัดแตกเป็น 5 เสี้ยว แต่ละเสี้ยวมี 1 เมล็ดรูปรี ปลายและโคนมน ขนาด 5-6 มม.สีดำเป็นมัน มีเนื้อบางๆสีส้มปกคลุมที่ขั้ว
ใช้ประโยชน์--ใช้เป็นยา เปลือกดองหรือแช่ในเหล้าโรง ดื่มก่อนมื้ออาหารเพื่อกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ทำให้อยากอาหารช่วยเจริญอาหาร  รากแช่กับน้ำหรือฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้ผิดสำแดง (กินอาหารแสลงไข้ ทำให้โรคกำเริบ และอาจมีอาการท้องเสีย) รากใช้ฝนกับน้ำกินเป็นยาแก้เมาเห็ด -; ยาพื้นบ้านอีสานจะใช้ลำต้น เข้ายาบำรุงเลือด โดยนำมาต้มกับน้ำดื่ม -; ในประเทศกัมพูชาผู้คนจะดื่มไวน์ เพื่อทำเหล้าเรียกน้ำย่อยและยาบำรุงกระเพาะอาหาร -; ในลาว รากใช้ฝนกับน้ำเป็นยารักษาเชื้อรา
-ใช้ปลูกประดับ ในประเทศจีนใช้ปลูกประดับเป็นไม้ต้นในสวน
-อื่น ๆ ใช้เป็นอาหารสัตว์ ไม้เนื้อแข็งใช้ในงานตกแต่งแกะสลักและทำเครื่องมือเช่น ด้ามจับขวานหรือใช้ทำพายเรือแจว
สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated ( ไม่ได้รับการประเมิน ) -  IUCN Red List of Threatened Species 1998
ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม-กรกฎาคม/พฤศจิกายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

มือพระนารายณ์/Schefflera elliptica

อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา--หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์---Schefflera elliptica (Blume) Harms.(1894)
ชื่อพ้อง----Has 28 Synonyms
---Basionym: Sciodaphyllum ellipticum Blume.(1826)
---Heptapleurum ellipticum (Blume) Seem.(1865)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-187198
ชื่อสามัญ---Climbing Umbrella Plant, Climbing Umbrella Tree.
ชื่ออื่น---มือพระนารายณ์, นิ้วมือพระนารายณ์ ,เล็บมือนาง, อ้อยช้าง ;[CHINESE: Mi mai e zhang chai.];[INDONESIA: Tanaman Cenama Gajah, Bunga Kuku Langsuir];[THAI: Mue phra narai (Trat), Nio mue phra narai (Peninsular), Lep mue nang (Central), Oey chang (Uttaradit).];[VIETNAM: Nga chưởng sài, Chân chim lá bóng.].
EPPO Code---SCHSS (Preferred name: Schefflera sp.)
ชื่อวงศ์---ARALIACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---ไต้หวัน, อันดามันและนิโคบาร์, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ถึงนิวกินี, ออสเตรเลีย
Schefflera elliptica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์เล็บครุฑ (Araliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยCarl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hermann August Theodor Harms (1870 –1942) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2437

 

ที่อยู่อาศัยการกระจายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่พอสมควรขยายจากบังคลาเทศและอินเดียตะวันออกไปทางใต้ของจีน (กวางสี, กุ้ยโจว, Hunan, Xizang,ยูนนาน) [อินเดีย อันดามันและนิโคบาร์ ไทย, เวียดนาม] นอกจากนี้ยังพบในส่วนอื่น ๆ ของมาเลเซีย อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ นิวกินี ไมโครนีเซีย หมู่เกาะโซโลมอนและออสเตรเลียตะวันออกเฉียงเหนือ พบทั่วไปในป่าดิบแล้งในหุบเขา ในป่าชั้นต้น ป่าดิบทึบตามแม่น้ำ ตามชายฝั่งและในป่าชายเลนที่ระดับความสูงถึง 2,500 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาค ตามป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา และป่าดิบชื้นใกล้ชายฝั่งทะเล ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1,100 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบ สูง 10-12 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 9 ซม ต้นแตกกิ่งก้านสาขามาก มักจะเกาะขึ้นบนต้นไม้อื่น ( epiphytic)ลักษณะเปลือกสีเทาอ่อนไม่มีหนาม ก้านใบยาวประมาณ 4-6 ซม.มีใบประกอบแบบนิ้วมือใบย่อยออกเรียงสลับมี 5-7 ใบ ก้านใบร่วมยาว 4-18 ซม.ใบย่อยรูปรีหรือรูปขอบขนาน  ขนาด 9-15 x 6.5-7.5 ซม..ก้านใบย่อยยาว 1.5-7 ซม. แกนช่อดอกหลักยาว (2-) 4-20 (-30) ซม ช่อแยกแขนงยาวถึง 5-18 ซม.  ช่อซี่ร่มมี 5-13 ช่อ มี 7-16 ดอก ดอกย่อยขนาด 0.5-1.5 ซม. ก้านดอก 2-3 มม.ก้านดอกไม่มีข้อต่อ กลีบดอก5กลีบ กลีบดอกยาวประมาณ 2 มม.ดอกสีขาวหรือ เขียว หรือ ม่วง ผลกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 มม.สีม่วงดำหรือแดงส้ม เมล็ดแบนรูปไข่ประมาณ 3-4 x 2-2.5 มม.มีชั้นหุ้มเมล็ดแข็ง
ใช้ประโยชน์---พืชนี้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้เป็นยาในท้องถิ่น ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
-ใช้เป็นยา เปลือกไม้ใช้รักษาอาการไอ- ไม้ถูกเคี้ยวเพื่อบรรเทาอาการปวดฟัน- ต้นและเปลือกรากเคี้ยวแก้อาการท้องไส้ปั่นป่วน- เปลือก ราก กิ่ง ใบ และผล บดประคบแก้บวม ปวดข้อ และกระดูกร้าว -ราก ผสมกับข้าว กินเพื่อรักษาโรคท้องมาน แก้อาการง่วงนอน- เป็นแหล่งของแลคตินราคาไม่แพงที่สกัดได้จากใบ มีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผล- ในเวียตนามใช้รากและเปลือกไม้ทำยา ช่วยย่อย รักษาโรคไขข้ออักเสบ ปวดเมื่อยตามกระดูกและแก้ปวด-มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันในใบ (รู้จักอันตราย-สตรีมีครรภ์และให้นมบุตรไม่ควรกินพืชชนิดนี้)
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ - กรกฎาคม/กรกฎาคม-,ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักขำ

โมกการะเกตุ/Wrightia Karaketii

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia karaketii D.J. Middleton.(2010)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name  
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-461984
ชื่อสามัญ--None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกการะเกตุ ; [THAI: Mok karaket (General).].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสายพันธุ์ 'karaketii' เป็นเกียรติแก่ นายปรีชา การะเกตุ หนึ่งในคณะสำรวจพรรณไม้ที่ค้นพบพรรณไม้ชนิดนี้
Wrightia Karaketii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David John Middleton(1963-)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ2553
ที่อยู่อาศัย เป็นพรรณไม้ที่พบครั้งแรกในประเทศไทยและพบเพียงแห่งเดียวทางภาคเหนือใกล้แนวชายแดนไทย-พม่า ที่ บ้านอรุโณทัย กิ่วผาวอก อำเภอเชียงดาว จ. เชียงใหม่ โดย ดร. ราชันย์ ภู่มาและคณะ คำระบุชนิด "karaketii" ตั้งเป็นเกียรติแก่ นายปรีชา การะเกตุ หนึ่งในคณะสำรวจพรรณไม้ ผู้ร่วมเก็บตัวอย่างพรรณไม้ต้นแบบ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ค้นพบพรรณไม้ชนิดนี้ มีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง ซึ่งพบได้เฉพาะในถิ่นกำเนิดเดิมเท่านั้น
ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 4-8 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นประมาณ 15 ซม เปลือกสีน้ำตาลเข้ม ตามกิ่งมีช่องอากาศเป็นจุดนูนสีขาว ใบหนาออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 5-12 ซม. ยาว 9-21 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบรูปลิ่ม แผ่นใบมีขนละเอียดทั้งสองด้าน เส้นแขนงใบข้างละ 15-19 เส้น ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม.ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นกระจุก 1-3 ดอก ออกที่ปลายกิ่งสีแดงเข้ม ก้านช่อดอกยาว 2 ซม.ก้านดอกยาวประมาณ 5 มม.  กลีบเลี้ยง 5 กลีบมีขนเล็กน้อย กลีบดอก 5 กลีบ ตอนกลางดอกมีกระจังล้อมรอบและแนบอยู่ในวงกลีบดอก ดอกขนาด3-4ซม. ผลเป็นฝักคู่กางออก กว้าง 0.7-1 ซม.ยาว 29.5-40 ซม.ผิวฝักเกลี้ยง มีช่องอากาศหนาแน่น เมล็ดรูปแถบ ยาวประมาณ 1.7 ซม. ที่โคนมีขนกระจุก ยาวประมาณ 3 ซม.ผลแก่แล้วแตก เมล็ดมีปุยลอยตามลมได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โมกการะเกดชอบแสงแดดจัด ความชื้นต่ำ ไม่ชอบดินแฉะหรือน้ำขัง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/พฤษภาคม-กันยายน
การขยายพันธุ์---ด้วยวิธีเพาะเมล็ด ซึ่งจะช้ากว่าการเสียบยอดและทาบกิ่ง ซึ่งใช้โมกมันหรือโมกบ้านเป็นต้นตอ


โมกขน/Wrightia coccinea

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia coccinea (Roxb. ex Hornem.) Sims.(1826)
ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-214896
---Basionym: Nerium coccineum Roxb. ex Hornem.(1819)
---Nerium coccineum Lodd.(1824)
ชื่อสามัญ-- Scarlet Wrightia
ชื่ออื่น---โมกขน มูกขน ;[CHINESE: Yúnnán dào diào huā, Yúnnán dào diào bǐ.]; [SANSKRIT: Strikutaja.];[THAI: Mok khon, Mook khon (Northern).].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน  อินเดีย ปากีสถาน พม่า ไทย เวียตนาม
Wrightia coccinea เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต Jens Wilken Hornemann (1770 – 1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย John Sims (1749 –1831) แพทย์ นักพฤกษศาสตร์และนักอนุกรมวิธานชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2369
ที่อยู่อาศัยพบขี้นกระจายใน จีนตะวันตกเฉียงใต้, ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย, ปากีสถาน, พม่า, ไทย, เวียดนาม ขึ้นตามป่าไม้และพุ่มไม้หนาทึบบนเนินเขา ที่ระดับความสูง 300 - 1,800 เมตร ในประเทศไทยพบ เฉพาะในจังหวัด จันทบุรี ตามริมลำธารบนเขาหินปูน
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กสูง 8-15 เมตร เปลือกต้นสีเทาซีดถึงน้ำตาลตามกิ่งและใบมีขน ก้านใบประมาณ. 5 มมใบบางรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 4-8 ซม.ยาว 7-18 ซม.มีขนหรือมีขนสั้นตามแนวเส้นใบตามแนวแกน ฐานป้านถึงแหลม ปลายใบแหลม เส้นแขนงใบด้านข้าง 8-14 คู่ ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ดอกขนาด 2-3.5 ซม สีแดงอมส้ม กลีบเลี้ยงรูปไข่กว้าง 5-9 มม.5 กลีบมีขนค่อนข้างมาก โคนกลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก ตอนกลางดอกมีกระจังล้อมรอบ ขนาดดอก 3.5-4.5 ซม. ผลเป็นฝักคู่ยาว 30 ซม.เมื่อแก่แล้วแตก เมล็ดมีปุยลอยไปตามลมได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โมกขนเป็นพรรณไม้ที่ชอบร่มเงาและความชื้นสูง ปัจจุบันต้นกล้าขนาดเล็กมีชีวิตรอดอยู่ใกล้ต้นแม่พันธุ์น้อยมาก มีปัญหาในการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ เนื่องจากขึ้นอยู่ในซอกบนลานหิน เมล็ดแก่จึงมีโอกาสงอกได้น้อยมาก มีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ใช้ประโยชน์---ต้นไม้บางครั้งถูกเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ในท้องถิ่น บางครั้งก็ปลูกเป็นไม้ประดับ
-อื่น ๆไม้สีขาวมีเนื้อแน่น ใช้สำหรับกลึง  
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม
ขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด เสียบยอดบนต้นตอโมกมัน หรือโมกบ้าน


โมกเขา/Wrightia lanceolata

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia lanceolata Kerr.(1937).
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214919
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกเขา ; [THAI: Mok khao (Northern, Prachuap Khiri Khan)
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย
Wrightia lanceolata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Arthur Francis George Kerr (1877–1942)แพทย์ชาวไอริช เขาเป็นที่รู้จักสำหรับการทำงานพฤกษศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาของพืชของประเทศไทยในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัย สำรวจพบครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2469 โดยหมอคาร์ นักพฤกษศาสตร์ชาวไอริช ที่อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และมีรายงานการตั้งชื่อในปี 2480 เป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวของไทย สถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์ แหล่งที่พบ บนเขาหินปูนเฉพาะที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ระดับความสูง50-300เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง2-3เมตร ทุกส่วนของลำต้นมีน้ำยางสีขาว ตามกิ่งอ่อนจะมีขนละเอียด เปลือกลำต้นมีช่องอากาศเป็นขีดนูนสีขาวกระจายไปทั่ว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม ด้านบนใบเรียนด้านล่างมีขนเล็กน้อย ดอกช่อออกที่ปลายยอด2-4ดอก ดอกชูตั้งขึ้นกลีบดอกสีชมพูเข้มสดใส เมื่อบานขนาด 4 ซม. กลิ่นหอมอมเปรี้ยว ผลแยกกัน มีขนละเอียดกระจาย ไม่มีช่องอากาศ ยาว 10-15 ซม. เมล็ดยาวประมาณ 1 ซม. กระจุกขนยาวประมาณ 2 ซม.
ลักษณะเด่น-ดอกจะบานหงายตั้งขึ้นไม่คว่ำหน้าลงแบบดอกโมกอื่น ดอกสีส้มหรือสีส้มอมชมพู ดอกรูปกงล้อ มีกลีบดอก 5 กลีบ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื่องจากมีแหล่งที่อยู่อาศัยตามเขาหินปูนคล้ายกับต้นโมกราชินี มีรูปร่างลักษณะลำต้นและใบคล้ายกัน แต่มีดอกสีส้ม บางคนจึงเรียกว่า "โมกราชินีดอกส้ม"
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการตำแหน่งที่แสงแดดรุนแรงจัด  ทนแล้ง  และได้รับความชื้นและไอเกลือจากทะเล
ไม่มีการกระจายพันธุ์ไปยังบริเวณอื่น เนื่องจากมีความจำเพาะเจาะจงในการเจริญเติบโตบนเขาหินปูนริมทะเล การกระจายพันธุ์ไปในที่อื่น ๆ ใช้วิธีการ เสียบยอด โดยใช้พืชในสกุลเดียวกัน คือโมกบ้านและโมกมันเป็นต้นตอ หรือใช้พืชต่างสกุลคือพุดฝรั่งเป็นต้นตอก็ได้ สามารถเจริญเติบโตได้เร็วกว่าการปลูกจากการเพาะเมล็ดหรือการปลูกลงดินโดยตรง
ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับในกระถางได้ดี
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เสียบยอด

โมกเทวา/Chonemorpha griffithii

ภาพประกอบเพื่อการศึกษา : https://efloraofindia.com/2019/10/20/chonemorpha-griffithii/
ชื่อวิทยาศาตร์---Chonemorpha griffithii  Hook.f.(1882)
ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Chonemorpha fragrans (Moon) Alston.(1929)
---Basionym: Echites fragrans Moon.(1824)
---See all The Plant Listhttp://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-39740
ชื่อสามัญ---Hairy leaf Chonemorpha
ชื่ออื่น---โมกดอย, พอกะสะคือ, โมกหอม, ระฆังเงิน ;[CHINESE: Yang bi lu jiao teng.];[THAI: Pho-ka-sa-khue (Karen-Chiang Mai), Mok hom (Central), Ra khang ngoen (Chiang Mai)];  
EPPO Code--- CXMMP (Preferred name: Chonemorpha fragrans.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน เนปาล พม่า ไทย
Chonemorpha griffithii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์ นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพบขึ้น การกระจายใน จีน (E Xizang, S Yunnan) อินเดีย, พม่า, เนปาล, ไทย ป่าดิบชื้นหนาแน่นหุบเขาชื้น ที่ระดับความสูง 900-1600 เมตร.ในประเทศไทยพบที่ เชียงใหม่และน่าน พบขึ้นบนพื้นที่โล่งตามชายป่าดิบเขา ระดับความสูง 1,100-1,600 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีเนื้อไม้ ไปได้ไกลถึง 20 เมตร ลักษณะ ทุกส่วนมียางสีขาว กิ่งอ่อนเเป็นสี่เหลี่ยม กิ่งแก่มีช่องอากาศทั่วไป ก้านใบ 1.5-5 ซม.ใบเดี่ยว  12-33 X 7-20 ซม ออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีกว้าง หรือรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนใบมนหรือเว้าเล็กน้อย ดอก ออกเป็นช่อสั้นตามปลายกิ่ง มีขนทั่วไป กลีบเลี้ยงติดกันที่ฐาน ส่วนบนแยกเป็นแฉกเว้าลึก กลีบดอกสีขาว ติดกันเป็นรูปแจกัน ปลายแยกเป็น 5 กลีบใหญ่ เกยกันคล้ายกังหัน ผลเป็นฝักคู่ รูปทรงกระบอกแคบ ปลายแหลม
ใช้ประโยชน์-ใช้เป็นยา ลำต้นใช้ในมณฑลยูนนานเพื่อใช้เป็นยารักษาอาการกระดูกหักและโรคไขข้อ
ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด

โมกพะวอ/Wrightia tokiae

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia tokiae D.J. Middleton.(2010)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-461985
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกพะวอ, โมกต๊อก ; [THAI: Mok Phawo (General), Mok Tok.].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อระบุชนิด "tokiae" ตั้งเป็นเกียรติแก่นางสาวนันทน์ภัส ภัทรหิรัญไตรสิน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ"ต๊อก" หนึ่งในคณะสำรวจพรรณไม้ ผู้ร่วมเก็บตัวอย่างพรรณไม้ต้นแบบ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ค้นพบพรรณไม้ชนิดนี้ บางคนจึงเรียกโมกชนิดนี้ว่า "โมกต๊อก"
Wrightia tokiae เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David John Middleton(1963-) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2553
ที่อยู่อาศัย เป็นพรรณไม้ที่พบครั้งแรกในประเทศไทยโดย ดร.ราชันย์ ภู่มาและคณะ เมื่อพ.ศ.2551จากเขาหินปูนใกล้ศาลพระวอ อ.แม่สอด จ.ตาก คาดว่าน่าจะมีการกระจายพันธุ์ในประเทศพม่าบนภูเขาหินปูนซึ่งอยู่บริเวณติดต่อกัน ซึ่งจะพบได้เฉพาะถิ่นกำเนิดเดิมเท่านั้น
ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กสูง 8-15เมตร ตามกิ่งมีช่องหายใจเป็นจุดนูนสีขาว ใบหนาออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 5-10 ซม.ยาว 9-20 ซม. ดอกเป็นช่อกระจุก10-30ดอก กลีบเลี้ยง5กลีบมีขนหนาแน่น สีขาวนวล กลางดอกมีกระจังสีชมพูตั้งขึ้นล้อมรอบแยกตัวจากวงกลีบดอก ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางดอกเมื่อบานเต็มที่2-3ซม. ผลเป็นฝักคู่ยาว20-25ซม.แก่แล้วแตก เมล็ดปลิวลอยไปตามลมได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดจัดและความชื้นต่ำโมกพระวอก็เหมือนกับโมกชนิดอื่นๆที่มีถิ่นกำเนิดบนเขาหินปูน คือไม่สามารถปลูกบนดินโดยตรงได้ จำเป็นต้องอาศัยระบบรากของต้นตอที่สามารถเติบโตได้บนดินปกติได้คือโมกมัน โดยการนำกิ่งยอดโมกพระวอมาเสียบบนต้นตอโมกมัน สำหรับโมกบ้านสามารถนำมาเป็นต้นตอได้ในระยะแรก แต่ในระยะยาวแล้วไม่เหมาะสม เนื่องจากโมกบ้านมีขนาดเล็กกว่าโมกพระวอมาก จึงเป็นข้อจำกัดไม่ให้โมกพระวอเจริญเติบโตได้ตามปกติ เนื่องจากการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติต่ำ จึงมีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง
ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/พฤษภาคม-สิงหาคม
ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ด เสียบยอด

โมกสยาม/Wrightia siamensis

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia siamensis D.J.Middleton.(2007)
ชื่อพ้อง--No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-374489
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกสยาม ; [THAI: mok sayam (General).].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พืชถิ่นเดียวของประเทศไทย
นิรุกติศาสตร์---ชื่อสปีชีส์ 'siamensis' ตั้งเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย
Wrightia siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย David John Middleton(1963-) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2550
ที่อยู่อาศัยเป็นพรรณไม้ถิ่นเดียวหายากที่ขึ้นอยู่บนเขาหินปูนเฉพาะใน จังหวัดพังงา ที่ระดับความสูง50-100เมตร พบครั้งแรกโดย ไซม่อน การ์ดเนอร์ ชาวอังกฤษ ร่วมกับพินดา สิทธิสุนทร เมื่อพ.ศ.2549 มีรายงานการตั้งชื่อเมื่อพ.ศ.2551 สถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์ซึ่งพบได้เฉพาะถิ่นกำเนิดเดิมเท่านั้น
ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มสูง1-3 เมตรลักษณะคล้ายโมกเขา ตามกิ่งมีช่องอากาศหายใจเป็นจุดนูนสีขาว ใบบางรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 2-4 ซม.ยาว 6-10 ซม.ก้านใบยาว 2.5-6 มม. ดอกเดี่ยวหรือออกเป็นช่อกระจุก ช่อดอกยาว2-2.5ซม.ออกที่ปลายยอดมี3-5ดอก ก้านดอกยาว 3-7 มม. กลีบเลี้ยงรูปไข่ ยาวประมาณ 3 มม. กลีบดอกสีแดงอมส้มชมพู รูปขอบขนาน กะบัง 3 ชั้น ระหว่างกะบังมีกะบังย่อยขนาดเล็กข้างละ 1 อัน กลีบเลี้ยง5กลีบขนาดเล็ก โคนกลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น5แฉก เมื่อบานขนาด3.5-4ซม. มีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว ผลเป็นฝักคู่ยาว13-15 ซม.ผลแยกกัน มีช่องอากาศและขนละเอียด
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม่มีการกะจายพันธุ์ไปยังบริเวณอื่นๆ เนื่องจากมีความจำเพาะเจาะจงในการเจริญเติบโตบนเขาหินปูน ต้องการตำแหน่งร่มรำไร และได้รับความชื้น เฉพาะช่วงฤดูฝนเท่านั้น การปลูกโมกสยามไม่เหมาะสมที่จะปลูกลงดินโดยตรง  เนื่องจากมีความจำเพาะเจาะจงกับเขาหินปูน จึงต้องปลูกโดยใช้ต้นตอชนิดอื่นเข้ามาช่วยสามารถใช้โมกบ้าน และโมกมันเป็นต้น ตอ หรือพุดฝรั่ง (Tabernaemontana pandacaqui Poir.)เป็นต้นตอ สำหรับเสียบยอด
ระยะออกดอก---มกราคม – มีนาคม
ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่งหรือ เสียบยอด

โมกหลวง/Holarrhena pubescens

ชื่อวิทยาศาตร์---Holarrhena pubescens Wall.ex G.Don.(1837)
ชื่อพ้อง--- Has 24 Synonyms
---Echites pubescens Buch.-Ham.(1822)
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-99622
ชื่อสามัญ---Ester tree, Ivory tree, Sentery Rose Bay, Bitter Oleander, Tellicherry tree, Conessi bark, Fever pod.
ชื่ออื่น---ซอท๊, พอแก, พุด, พุทธรักษา, มูกมันน้อย, มูกมันหลวง, มูกหลวง,โมกเขา,โมกทุ่ง,โมกหลวง, โมกใหญ่, ยางพูด, ส่าตึ, หนามเนื้อ ;[AFRIKAANS: Koorspeulboom.];[ASSAMESE: Dudkhuri, Dudh-kori.];[BENGALI: Kurchi, Kutaja, Tita-indrajau.];[CHINESE: Zhǐ xiè mù.];[HINDI: Karva Indrajau, Kutaja.];[MALAYALAM: Kudagapala, Kadalapala.];[SANSKRIT: Sakraparyaaya, Indrayava.];[TAMIL: Kirimllikai, Kutaca-p-palai.];
[THAI: So-thue (Karen-Mae Hong Son), Pho-kae (Karen-Mae Hong Son), Phut (Kanchanaburi), Phuttha raksa (Phetchaburi), Muk man noi (Northern), Muk man luang (Northern), Muk luang (Northern), Mok khao (Northern), Mok thung (Northern), Mok luang (Northern), Mok yai (Central), Yang phut (Loei), Sa-tue (Karen-Mae Hong Son), Nam-nuea (Shan-Northern).];[VIETNAM: Cây Mức Hoa Trắng.].
EPPO Code---HRHPU (Preferred name: Holarrhena pubescens.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---แอฟริกา อินเดีย เนปาล บังกลาเทศ พม่า ไทย จีน ลาว กัมพูชา เวียตนาม
Holarrhena pubescens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก จากอดีต George Don (1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2380
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ แอฟริกาตะวันออก (เคนย่า) ถึงแอฟริกาใต้ อนุทวีปอินเดีย จีน (กวางตุ้ง, กวางสี, ไหหลำ, ไต้หวัน) ผ่านพม่าไปยัง อินโดจีน พบทั่วไปในป่าภูเขา ป่ากึ่งโล่งแจ้ง ป่าดิบแล้งไปจนถึงป่าผลัดใบป่า ละเมาะ ทุ่งหญ้าสะวันนา อยู่ใกล้ทางน้ำที่ระดับความสูง500- 1,500 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็กสูงได้ถึง 0.6-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 12-25 ซม.เปลือกต้นสีเทาอ่อนถึงน้ำตาล หลุดล่อนเป็นแผ่น ทุกส่วนมียางสีขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามขนาดของใบกว้าง4-12ซม.ยาว10-27ซม.ออกตรงข้ามในระนาบ ใบแก่บาง ดอกขนาด2.5-3.5ซม.สีขาวหรือเหลืองอ่อน บางครั้งมีแต้มสีชมพู กลิ่นหอม ดอกออกเป็นช่อ ห้อยลง ก้านช่อดอก 0 ·9–1·7 ซม.กลีบเลี้ยง 5กลีบ ขนาดเล็ก มีขนทั้งสองด้าน กลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5กลีบ ซ้อนทับไปทางขวา ผลรูปกระบอกแคบ ยาว 18-43 ซม.กว้าง 0.3-0.8 ซม. ห้อยเป็นคู่โค้ง ผลแห้งแตกด้านเดียว เมล็ดขนาดยาว 9–16 มม.เมล็ดเกลี้ยงแต่มีแผงขนชี้ไปทางยอดของผล *ดอกจำนวนมากจะเปลี่ยนรูปเป็นโครงสร้างมนรี ขนาดกว้าง 2 ซม.ยาว 5 ซม.(gall) ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นผล*
ใช้ประโยชน์---เป็นพืชสมุนไพรที่สำคัญในเขตร้อนจะถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้เป็นยารักษาโรคและอื่น ๆ บางครั้งพืชได้รับการปลูกเพื่อจุดประสงค์ในการใช้รากเปลือกเพื่อขายในตลาดท้องถิ่น ในอินเดียปลูกเพื่อใช้เป็นไม้ประดับและพืชสมุนไพร
-ใช้เป็นยา เปลือกลำต้นและเปลือกต้นมีประวัติอันยาวนานของการใช้แบบดั้งเดิมในการรักษาโรคบิดอะมีบาตลอดพื้นที่การกระจายของพืช เปลือกลำต้นมีชื่ออยู่ในตำรับยาของอินเดีย - เปลือกต้นมีรสขมฝาด มีสารแอลคาลอยด์ที่สำคัญคือ คอเนสซีน (conessine)ซึ่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย แก้ท้องร่วงและโรคบิด เปลือกไม้นั้นใช้เป็นสารกันบูด, ยาสมานแผล, ยาแก้ไข้, ยาแก้ปวดท้องและยาบำรุง ยาต้มเปลือกลำต้นแสดงฤทธิ์ต้านแผลในรูปแบบต่าง ๆ ของแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ยาต้มร้อนของเปลือกลำต้นใช้เป็นน้ำยาบ้วนปากในการรักษาอาการปวดฟัน เปลือกและใบถูกนำไปใช้ภายนอกเพื่อรักษาหิด ฝีแผลและริดสีดวงทวาร รากและใบที่บดเป็นผง ใช้เพื่อหยุดอาการตกเลือดหลังจากการคลอดบุตรและเลือดกำเดา รากแช่น้ำรักษาอาการท้องผูก, หอบหืด, ปวดท้องและภาวะมีบุตรยาก รากเมื่อต้มในนมจะใช้กับงูกัดและใช้ในการรักษาโรคกามโรค ยางสีขาวใช้เป็นยาใช้รักษาแผลเรื้อรังเน่าเปื่อย
-ใช้อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนสีขาว เป็นที่นิยมสำหรับการกลึงและการแกะสลักมันถูกใช้เพื่อทำสิ่งของเล็ก ๆ เช่น หวี กรอบรูป กล่องแกะสลัก มีด ไม้เท้าและลูกปัด บางครั้งสำหรับเฟอร์นิเจอร์-สีย้อมคล้ายกับเฮนน่าสกัดจากใบไม้ ขี้เถ้าไม้ใช้เป็น mordant ใยจากเมล็ดใช้สำหรับบรรจุหมอน ในประเทศไทยชาวบ้านนิยมนำดอกไม้ไปถวายพระ
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-กรกฎาคม/มิถุนายน-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่งหรือ เสียบยอด

โมกเหลือง/Wrightia viridiflora 

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia viridiflora Kerr.(1937)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214960
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกเหลือง ; [THAI: mok lueang (Saraburi).].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---พรรณไม้ถิ่นเดียวประเทศไทย
Wrightia viridiflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยArthur Francis George Kerr (1877–1942)แพทย์ชาวไอริชเขาเป็นที่รู้จักสำหรับการทำงานพฤกษศาสตร์ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการศึกษาของพืชของประเทศไทยในปี พ.ศ.2480
ที่อยู่อาศัยพืชถิ่นเดียวของไทย พบทางภาคเหนือที่ตาก นครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จ.เลย ภาคกลางที่ ราชบุรี สระบุรี และภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่กาญจนบุรี ขึ้นตามหุบเขาหินปูนที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ความสูง 100-800 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มสูง 5 เมตร เปลือก ลำต้นมีช่องอากาศเป็นขีดนูนสีขาวกระจายไปทั่ว ใบเดี่ยวรูปรี ยาว 3-15 ซม.เรียงตรงข้ามแผ่นใบด้านบนเรียบด้านล่างมีขนเล็กน้อยก้านใบยาว 2-6 มม. ช่อดอกออกที่ปลายยอด ยาว 1-4 ซม. ก้านดอกยาว 0.5-1.5 ซม. กลีบเลี้ยงรูปไข่ขนาดเล็ก กลีบดอกสีเขียวอ่อนหรือเขียวอมเหลืองรูปรีหรือรูปขอบขนาน ยาว 4-8 มม. มีกะบัง 3 ชั้น ยาวไม่เท่ากัน ปลายจักชายครุย เมื่อบานดอกขนาด1.5 ซม ผลเป็นฝักคู่กางออก ยาว 16-20 ซม. เกลี้ยง มีช่องอากาศประปราย เมล็ดยาวประมาณ 2.5 ซม. กระจุกขนยาวประมาณ 2 ซม.ผล แห้งแล้วแตกเมล็ดมีปุยปลิวไปตามลมได้
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ออกดอกเดือนมิถุนายน-เดือนตุลาคม แต่หากตัดแต่งให้น้ำให้ปุ๋ยดีจะแตกยอดอ่อนและออกดอกได้ จึงสามารถควบคุมการออกดอกได้ตลอดปี
ใช้ประโยชน์--- ใช้เป็นไม้ประดับ เป็นพรรณไม้ที่สามารถพัฒนาเป็นไม้แคระหรือบอนไซได้เพราะ มีรากเกาะหินได้ดี โตช้า เนื้อไม้แกร่ง มีลำต้นที่โชว์ลีลาสวยงาม และสามารถใช้โมกเหลืองเป็นต้นตอกับพืชอื่นๆที่อยู่ในสกุลเดียวกัน หรือนำโมกเหลืองมาเสียบบนต้นตอพืชอื่นที่อยู่ในสกุลเดียวกันได้     
ระยะออกดอก/ติดผล---มิถุนายน-ตุลาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด  

โมกเหลืองใบบาง/Wrightia lecomtei

ชื่อวิทยาศาตร์---Wrightia lecomtei Pit.(1933)
ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name.
---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214921
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมกใบบาง โมกแก้มแหม่ม โมกเหลืองใบบาง ; [THAI: mok bai bang (General).].
EPPO Code---WRISS (Preferred name: Wrightia sp.)
ชื่อวงศ์---APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---กัมพูชาและ ไทย
Wrightia lecomtei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Charles-Joseph Marie Pitard-Briau (1873–1927) เภสัชกรและนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2476
ที่อยู่อาศัย พืชชนิดนี้พบมากในกัมพูชา ในประเทศไทย พบขึ้นในป่าดิบชื้นระดับต่ำในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและภาคใต้ มีรายงานว่าพบที่นครสวรรค์ จันทบุรีและพัทลุง
ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 2-3 เมตร ตามกิ่งมีช่องหายใจเป็นจุดนูนขาว ใบบางรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง1.5-3.4 ซม.ยาว 2.7-8 ซม.ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก สีชมพูอ่อน มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยง5กลีบขนาดเล็ก โคนกลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น5กลีบปลายกลีบม้วนออก กลางกลีบมีกะบังชั้นเดียว ติดระหว่างกลีบดอก ปลายเป็นติ่ง ยาวประมาณ 1 มม. อับเรณูมีขนสั้นนุ่ม เกสรเพศผู้ติดที่ปากหลอดกลีบดอก อับเรณูยาวประมาณ 6 มม. มีขนสั้นนุ่ม รังไข่เกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมียยาวประมาณ 8.5 มม. รวมยอดเกสรขนาดดอก 2-2.5 ซม.
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โมกเหลืองใบบางมักไม่พบฝักแก่ในถิ่นกำเนิด มีปัญหาในการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ จึงมีสถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง เป็นพรรณไม้ที่ เมื่อนำมาเสียบยอด หรือทาบกิ่งแล้ว รอยแผลเชื่อมติดได้ง่าย กิ่งยอดเจริญเติบโตดี แตกเป็นพุ่มและออกดอกดกหมุนเวียนได้ตลอดปี สวยงามและมีกลิ่นหอม เหมาะนำมาปลูกเป็นไม้กระถางและลงแปลงในที่ร่มรำไร และนับเป็นกระบวนการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนนอกถิ่นกำเนิดที่ได้ผลดี
ภัยคุกคาม---เนื่องจากถูกคุกคามจากกิจกรรมการตัดไม้และการเพิ่มการตั้งถิ่นฐานและการเกษตร ทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่างต่อเนื่อง ถูกจัดวางไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์โดยผิดธรรมชาติ' (เกิดจากมนุษย์)
สถานะการอนุรักษ์---VU- VULNERABLE - IUCN. Red List of Threatened Species.1998
ขยายพันธุ์---โดยการ เสียบยอด และทาบกิ่งโดยใช้โมกมัน โมกบ้าน และโมกเหลือง เป็นต้นตอ

โมกเหลืองหอม/Wrightia laevis

ชื่อวิทยาศาตร์--- Wrightia laevis Hook.f.(1882)
ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms
---Wrightia balansae Pit.(1933)
---Wrightia hainanensis Merr.(1922)
---Wrightia macrocarpa Pit.(1933 )
---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-214915
ชื่อสามัญ---Millgar; White Cheesewood
ชื่ออื่น---โมกมัน,โมกเหลืองหอม ;[CHINESE: Lan shu.];[THAI: Mok man (Nakhon Si Thammarat), Mok lueang hom (Peninsular).];[VIETNAM: Cây Thung Muc, Cây Thung Muc, Lang Mile, Lòng mực lông, Lòng mức trái to.].
EPPO Code---WRILA (Preferred name: Wrightia laevis.)
ชื่อวงศ์--- APOCYNACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน อินโดจีน ถึงตอนเหนือของออสเตรเลีย
Wrightia laevis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตีนเป็ด (Apocynaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.
ที่อยู่อาศัยพบในรัฐควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย ),กัมพูชา ,จีน ,อินโดนีเซีย ,ลาว ,มาเลเซีย ,พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์,ไทย, เวียดนาม, ปาปัวนิวกินี ในป่าดิบชื้น ป่าทุติยภูมิและป่าทึบที่ระดับความสูง 200 - 1,000 เมตร-; ในประเทศจีน พบบนชายหาดโดยทั่วไปจะอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง-; ในประเทศไทยพบทางภาคใต้ ที่ จ.สุราษฏร์ธานี และนครศรีธรรมราช ขึ้นตามป่าดิบชื้นระดับต่ำจนถึงระดับความสูง 500 เมตร สถานภาพหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด
ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ สูงถึง 35-40 เมตร ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางได้สูงสุด 60 ซม. พร้อมที่ค้ำที่ฐาน ตามกิ่งมีช่องหายใจเป็นจุดนูนขาว ใบบางรูปรีแกมรูปไข่กลับ ขนาด 7-18 x 3-8 ซม. มีก้านใบยาวประมาณ 0.5-1 ซม..ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก1-8ดอก ขนาดดอกบาน 1.5-2ซม.สีเหลือง มีกลิ่นหอม กลีบเลี้ยง5กลีบขนาดเล็ก โคนกลีบดอกเป็นหลอดปลายแยกเป็น5กลีบปลายกลีบม้วนออก กลางกลีบมีกระจังล้อมรอบขนาดดอก2.5-3ซม. ผลเป็นฝักคู่ยาว 20-35 ซม.เปลือกมีช่องอากาศ เมล็ดยาวประมาณ 20 มม. มีขนปุยสีขาวยาวประมาณ 40 มม. ที่ปลายด้านหนึ่ง
ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา สีย้อมและแหล่งที่มาของไม้
-ใช้เป็นยา รากและใบ ใช้ รักษาอาการบาดเจ็บและบาดแผล ผลใช้ในการรักษาวัณโรคปอด
-อื่น ๆ ไม้เนื้ออ่อนบางเบาและละเอียดอ่อนเหมาะสำหรับการแกะสลัก ใบไม้ให้สีย้อม สีน้ำเงิน
ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้)
สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020
ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-สิงหาคม/กรกฎาคม-ธันวาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


โมลีสยาม/Reevesia pubescens var. siamensis


ชื่อวิทยาศาตร์---Reevesia pubescens var. siamensis (W. G. Craib) J. Anthony.(1926)
ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms
---Reevesia siamensis W. G. Craib.(1924)   
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---โมลีสยาม, โมลี ;[CHINESE: Tai suo luo.];[THAI: Moli sayam (General), Moli (Eastern).].
EPPO Code---REEPU (Preferred name: Reevesia pubescens.)
ชื่อวงศ์---MALVACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย
Reevesia pubescens var. siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยJohn Anthony (1891–1972)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2469
เป็นพรรณไม้ที่มีขึ้นอยู่เพียงชนิดเดียวในสกุลนี้และมีแตกต่างกัน เป็น2พันธุ์ คือ พันธุ์โมลีสยามที่ขึ้นอยู่บนพื้นที่ระดับสูง (Reevesia pubescens Mast. var. siamensis) และพันธุ์โมลีขน (Reevesia pubescens.) ที่ขึ้นอยู่ในระดับต่ำของภาคใต้
ที่อยู่อาศัยพบที่จีนตอนใต้ และพม่า ในไทยพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา ความสูงถึง1300 เมตร
สำรวจพบครั้งแรก โดย หมอคาร์ ชาวไอริช เมื่อพ.ศ.2465 ที่ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ที่ระดับ1,300เมตร กระจายพันธุ์เฉพาะที่ในจังหวัด เลย นครนายก กาญจนบุรี เพชรบุรี ขึ้นอยู่ในพื้นที่ระดับสูง 800-1,500 เมตร
ลักษณะ โมลีสยามเป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง8-12เมตร ทรงพุ่มแน่นทึบ เปลือกโคนต้นมักเป็นปุ่มเล็กๆ  กิ่งมีช่องอากาศ กิ่งอ่อนมีขนรูปดาวสั้นนุ่มประปราย ใบเดี่ยวเรียงเวียนสลับรูปรีหรือรูปไข่กลับ กว้าง3-8ซม.ยาว7-20ซม.ก้านใบยาว 5-6.5 ซม. โคนและปลายก้านบวม ช่อดอกกลมขนาด8-10ซม ใบประดับขนาดเล็ก ร่วงเร็ว ก้านดอกยาว 8-10 ซม. กลีบเลี้ยงรูปถ้วย มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกสีขาวอมชมพู มี 5 กลีบ รูปใบพาย ยาว 1-2.5 ซม.มีกลิ่นหอม ผลแห้งแตก รูปไข่กลับ เปลือกแข็ง ยาว 2.5-5 ซม. มีห้าเหลี่ยม มีขนรูปดาวสั้นนุ่ม เมล็ดยาวประมาณ 2.5 ซม. รวมปีก
ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---โมลี สยามมีช่อดอกใหญ่มีกลิ่นหอม แต่เจริญเติบโตช้า พบว่าสามารถขยายพันธุ์โมลีสยามได้ทั้งการเพาะเมล็ดและการตอนกิ่ง ต้นกล้าสามารถปรับตัวเจริญเติบโตได้ในสภาพพื้นราบที่มีอากาศร้อน แต่ต้องมีความชื้นสูง สามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่ หรือปลูกลงแปลงกลางแจ้ง ควรมีการตัดแต่งกิ่งให้มีทรงพุ่มโปร่งสวยงาม ไม่แน่นทึบจนเกินไป เป็นพรรณไม้ดอกหอมหายากและใกล้สูญพันธุ์ในถิ่นกำเนิด
ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กุมภาพันธ์/ผลแก่---มิถุนายน-กรกฏาคม
ขยายพันธุ์---เมล็ด


ไม้เกื้อดง/Mischocarpus pentapetalus

อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร
ชื่อวิทยาศาตร์--- Mischocarpus pentapetalus (Roxb.) Radlk.(1879)
ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/tro-28601608
---Mischocarpus fuscescens Blume.(1847)
---Mischocarpus productus H.L. Li.(1944)
---Schleichera pentapetala Roxb.(1832)  
ชื่อสามัญ---None (Not recorded)
ชื่ออื่น---ไม้เกื้อดง ;[BORNEO: Buah sia, Taongau.];[CHINESE: Hè yè bǐng guǒ mù.];[THAI: Mị̂ keụ̄̂a dong.].
EPPO code--- MZCSS (Preferred name: Mischocarpus sp.)
ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE
ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย
เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์
Mischocarpus pentapetalusเป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์พิกุล (Sapindaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ludwig Adolph Timotheus Radlkofer (1829–1927),นักอนุกรมวิธานและนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2422
ที่อยู่อาศัยพบทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย บังคลาเทศ พม่า ตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และตั้งแต่เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ถึงสุมาตรา ชวา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ พบตามป่าดิบเขา เนินสันเขา  แต่ยังอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำและตามแม่น้ำและลำธาร บนดินทราย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 2,000 เมตร
ลักษณะ เป็นไม้ ยืนต้นไม่ผลัดใบสูงถึง 15(-31) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 43 ซม เปลือกต้นสีน้ำตาลแก่ หรือครีมออกน้ำตาล ผิวบางค่อนข้างเรียบ ใบประกอบแบบขนนกปลายคู่ ใบย่อย2-4คู่มนรีแคบ ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างใบสีเขียวอมเทา ดอกสีขาวอมเขียว ผลแคปซูลขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 - 20 (-30) มม.สีเขียวเข้มแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมม่วง เหนียวมี3พูแตกได้ แต่ละพูมี1เมล็ด สีน้ำตาลอมแดงเป็นมันมีเยื่อหุ้มสีส้มหรือชมพูหุ้ม
ใช้ประโยชน์---พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นอาหารและยารักษาโรค
-ใช้กิน ผลกินได้ เนื้อไม้ใช้เป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตร
ระยะออกดอก/ผล---ตลอดปี
ขยายพันธุ์---เมล็ด


อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :

---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 .                                                                          ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548
---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549
---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี                                                                 
---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ                      ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ                                                      
---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554
---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532
---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์  BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/
---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย  เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช http://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx
---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/
---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species  http://www.theplantlist.org/
---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical.                       
---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/                    
---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org
---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/
REFERENCES ---General Bibliography
REFERENCES ---Specific & complementary

Check for more information on the species:

Plants Database  ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/Global                                                                                                                                          Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ -กรมอุทยานแห่งชาติ    www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html
Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections    Tropicos - Home    www.tropicos.org/
GBIF    ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data  https://www.gbif.org/
IPNI ---International Plant Names Index    The International Plant Names Index - home page    http://www.ipni.org/
EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature    Global access to knowledge about life on Earth    Encyclopedia of Life eol.org/
PROTA ---Uses    The Plant Resources of Tropical Africa    https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040
Prelude  ---Medicinal uses    Prelude Medicinal Plants Database    http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude
Google Images    ---Images                    
คำปฏิเสธความรับผิดชอบ--ข้อมูลในเว็บไซต์นี้รวบรวมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น งานอ้างอิงเกี่ยวกับพืชสมุนไพร ไม่ได้ใช้แทนคำแนะนำทางการแพทย์หรือการรักษา และไม่ได้อ้างว่าจะให้คำแนะนำทางการแพทย์ใดๆ ผู้อ่านควรปรึกษาแพทย์ของตนก่อนใช้หรือบริโภคพืชเพื่อการรักษาโรค
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V
บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด
สวนเทวา  เชียงใหม่
www.suansavarose.com
www.suan-theva.com

Updatre 28/11/2019

24/6/2022










































































































































































































ความคิดเห็น

  1. 1
    Mabel Elle
    Mabel Elle lelle50@gmail.com 30/10/2023 20:37

    การเตรียมตัวก่อนการเดินทางเป็นขั้นตอนสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการเช็คเอกสารที่จำเป็น เช่น หนังสือพาสปอร์ต วีซ่า และบัตรประจำตัว แน่ใจว่าคุณมีทุนพินัยกรรมที่จำเป็นเช่น บัตรเครดิตหรือเงินสดในกระเป๋า รวมถึงยาฉีดพิษหรือยาที่คุณต้องการสำหรับการเดินทาง การเตรียมตัวอย่างดีจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจและพร้อมที่จะเริ่มการเดินทางของคุณ แต่ก่อนที่ผมจะออกเดินทางนั้นผมก็จะนำรถของผมไปตรวจเช็คสภาพก่อนเสมอ ระหว่างที่นั่งรอผมก็จะเล่นเกมเพลิน ๆ กับ สล็อต888 ซึ่งเป็นเกมออนไลน์ที่เล่นง่ายมาก ๆ และเล่นฟรีด้วย จะเล่นตอนไหนก็ได้แค่กดที่ Auto click เท่านี้ผมก็สามารถเล่นเกมออนไลน์ได้เลยทันที 

  2. 2
    nameeman555
    nameeman555 namepy7824@gmail.com 21/07/2023 06:53

    สล็อตแตกง่าย แตกบ่อย สร้างกำไรได้จริง 


    และถอนเงินออกมาได้จริง ๆ แบบไม่มีการโกง


    PG Slot


    สล็อต PG


    สล็อต


    สล็อตออนไลน์


    สล็อต เว็บตรง


     

  3. 3
    21/07/2023 06:52

    สล็อตแตกง่าย แตกบ่อย สร้างกำไรได้จริง 


    และถอนเงินออกมาได้จริง ๆ แบบไม่มีการโกง


    PG Slot


    สล็อต PG


    สล็อต


    สล็อตออนไลน์


    สล็อต เว็บตรง


     

  4. 4
    stephen
    stephen sameerseowork458@gmail.com 03/03/2022 19:16







  5. 5
    stephen
    stephen sameerseowork458@gmail.com 27/02/2022 20:25







  6. 6
    security company phnom penh
    security company phnom penh sameerseowork458@gmail.com 26/02/2022 19:04







  7. 7
    stephen
    stephen sameerseowork458@gmail.com 23/02/2022 20:57



    Nice post! This is a very nice blog that I will definitively come back to more times this year! Thanks for informative post. acim free audio
  8. 8
    houfmanaiden
    houfmanaiden houfmanaiden@gmail.com 14/02/2022 15:10

    This post is very simple to read and appreciate without leaving any details out. Great work! OLE777

  9. 9
    acim videos
    acim videos rultifepse@vusra.com 09/02/2022 18:50
    I really like your writing style,  great   information,  thankyou  for posting. <a href="https://tourofayrshire.com/the-miracle-and-the-mind-idols/">acim videos</a>

  10. 10
    robert cat
    robert cat 30/01/2022 04:30

    I wanted to thank you for this excellent read!! I definitely loved every little bit of it. I have you bookmarked your site to check out the new stuff you post. un curso de milagros

  11. 11
    Andi
    Andi kahtripeter555@gmail.com 25/01/2022 03:23

    Interesting and amazing how your post is! It Is Useful and helpful for me That I like it very much, and I am looking forward to Hearing from your next.. restaurant baden baden

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

  Copyright 2005-2009 suansavarose All rights reserved.
view