เปิดเว็บไซต์ |
15/02/2008 |
ปรับปรุง |
08/11/2024 |
สถิติผู้เข้าชม |
55,529,348 |
Page Views |
62,359,130 |
|
«
| November 2024 | »
|
---|
S | M | T | W | T | F | S |
---|
| | | | | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
15/04/2024
View: 10,072
ต้นไม้ในป่า 4
For information only-the plant is not for sale
1 |
ทองเดือนห้า/Erythrina suberosa |
25 |
ประยงค์ป่า/Aglaia lawii |
2 |
ทองหลางน้ำ/Erythrina fusca |
26 |
ประสักขาว/ Bruguiera sexangula |
3 |
ทองหลางใบมน/Erythrina stricta Roxb. |
27 |
ประสักแดง/Bruguiera gymnorrhizo |
4 |
ทองหลางป่า/Erythrina subumbrans |
28 |
ปอกระด้าง/Pterocymbium macranthum |
5 |
ทะโล้/Schima wallichi |
29 |
ปอกระสา/Broussonetia papyrifera |
6 |
ทังเก/ Magnolia elegans |
30 |
ปอขนุน/Sterculia balanghas |
7 |
ทังใบช่อ/Nothaphoebe umbelliflora |
31 |
ปอขาว/Sterculia pexa |
8 |
เทพธาโร/Cinnamomom porrectum |
32 |
ปอแดง/Sterculia guttata |
9 |
ธนนไชย/ Buchanania siamensis |
33 |
ปอต๊อก/Sterculia urens Roxb |
10 |
นกนอน/Cleistanthus polyphyllus |
34 |
ปอตูบหูช้าง/ Sterculia villosa |
11 |
นน/Vitex pinnata |
35 |
ปอฝ้าย/Firmiana colorata |
12 |
นมน้อย/Polyalthia evecta |
36 |
ปอมืน/Colona floribunda |
13 |
นมแมวป่า/Ellipeiopsis cherrevensis |
37 |
ปอลาย/Grewia eriocarpa |
14 |
นวลเขา/Polyalthia rumphii |
38 |
ปอเลียงฝ้าย/Eriolaena candollei |
15 |
นวลเสี้ยน/Aporosa dioica |
39 |
ปอหู/Hibicus macrophyllus |
16 |
นากบุด/Mesua nervosa |
40 |
ปันแถ/Albizia lucidior |
17 |
นางแดง/Mitrephora maingayi |
41 |
ป่าน/Boehmeria clidemioides var.
|
18 |
นางเลว/Cyathocalyx martabanicus var.
|
42 |
ปาหนันช้าง/Goniothalamas giganteus |
19 |
เนียน/Popowia pisocarpa |
43 |
ปาหนันพรุ/Goniothalamus malayanus |
20 |
บานชุม/ Disepalum pulchrum |
44 |
ปาหนันยักษ์/Goniothalamus sp |
21 |
บุหงาหยิก/Goniothalamus sawtehii |
45 |
ปิ่นสินชัย/Leucosceptrum canum |
22 |
ใบเบี้ยว/Miliusa amplexicaulis |
46 |
โปรงขาว/Ceriops decandra |
23 |
ปรก/Altingia siamensis |
47 |
โปรงแดง/Ceriopos tagal |
24 |
ประดู่ส้ม/Bischofia javanica |
|
|
|
EPPO code---รหัส EPPO คือรหัสคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับพืช แมลงศัตรูพืช (รวมถึงเชื้อโรค) ซึ่งมีความสำคัญในการเกษตรและการปกป้องพืช รหัสEPPOเป็นระบบการเข้ารหัสที่กลมกลืนกันซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการชื่อพืชและศัตรูพืชในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบไอที EPPO (2021) EPPO Global Database (พร้อมใช้งานออนไลน์) https://gd.eppo.int
|
ทองหลางใบมน/Erythrina suberosa
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Erythrina suberosa Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 12 Synonyms ---Erythrina alba Roxb. ex Wight & Arn..(1834) ---Erythrina sublobata Roxb.(1832) ---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:494600-1 ชื่อสามัญ---Corky Coral Tree, Indian Coral Tree, Pangaro ชื่ออื่น---เช่า, ทองกี, ทองแค, ทองเดือนห้า, ทองบก, ทองหนาม, ทองหลางป่า, ทองเหลือง ;[Hindi: Pangra.];[Malayalam: Mullumurukku.];[Tamil: Mullumurungu.];[THAI: Chao (Karen-Kanchanaburi), Thong ki (Northern), Thong khae (Northern), Thong duean ha (Northern), Thong bok (Northern), Thong nam (Loei), Thong lang pa (Chiang Mai), Thong lueang (Northern).]. EPPO Code---ERZSS (Preferred name: Erythrina sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่าไทยและเวียดนาม Erythrina suberosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว(Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย เนปาล ภูฏาน พม่าไทยและเวียดนามตามป่าดิบแล้ง ป่าผลัดใบ ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง เป็นครั้งคราวบนเนินเขาบนทางลาดชื้น ที่ระดับความสูง 400-800เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบขนาดกลาง สูงประมาณ 4-20 เมตรลักษณะ ลำต้นมีหนามเปลือกไม้ค็อร์กสีเทาแตกเป็นร่องลึก ใบประกอบแบบใบย่อย3ใบ (trifoliate) เรียงสลับ ยาว 7.5-12.5 ซม. ก้านใบยาวไม่เกิน 10 มม.ดอกแบบดอกถั่วสีแดงเข้มขนาดประมาณ 3.5 ซม.ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาวถึง 15 ซม.มีเมล็ด2-5เมล็ดสีน้ำตาลแดงเข้ม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---สปีชีส์ทั้งหมดในสกุลนี้เชื่อกันว่าสามารถเข้ากันได้กับตัวเอง ดอกไม้ได้รับการปรับให้เข้ากับการผสมเกสรโดยนก แม้ว่าแมลงหลายชนิดก็สามารถทำให้เกิดการปฏิสนธิได้ สายพันธุ์ต่าง ๆของ Erythrina ทั้งหมดเท่าที่เป็นที่รู้จักสามารถถูกintercrossed ในการผลิตลูกผสมที่อุดมสมบูรณ์ สปีชี่ส์เหล่านั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันและกันมากพอสมควร แต่แม้กระทั่งสปีชี่ที่อยู่ห่างไกลก็สามารถผสมกันได้ สายพันธุ์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับดินแบคทีเรียบางแบคทีเรียเหล่านี้ในรูปแบบปมก้อนบนรากและแก้ไขไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนนี้ถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้โดยพืชอื่น ๆ ใช้ประโยชน์-- พืชถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นเครื่องดื่มยาและแหล่งวัสดุ บางครั้งมันจะปลูกเป็นรั้วและมักจะปลูกเป็นไม้ประดับและต้นไม้ริมถนน -ใช้กินได้ สารสกัดดอกของต้นไม้นี้และของ Hibiscus rosa sinensis ถูกใช้เป็นเครื่องดื่ม สดชื่นในช่วงฤดูร้อน -ใช้เป็นยา สารสกัดด้วยน้ำของดอกไม้ของต้นไม้นี้รวมกับของ Hibiscus rosa sinensis ใช้เพื่อสงบและผ่อนคลาย -วนเกษตรใช้ มีหนามค่อนข้างมากและสามารถเป็นอุปสรรคในการป้องกันการบุกรุกที่ไม่พึงประสงค์ ถูกนำมาใช้เป็นรั้วมีชีวิตเพื่อทำเป็นขอบเขตและป้องกันความเสี่ยงปศุสัตว์ -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้สีเทาสีเหลืองอ่อนนุ่มเบาและทนทาน ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่นการทำกล่องบรรจุราคาถูก-เปลือกผงที่ใช้ในการผลิตก๊อกและฉนวนกันความร้อน ใบใช้เป็นปุ๋ยพืชสด สารสกัดน้ำของดอกไม้เมื่อรวมกับ mordants ที่แตกต่างกันให้ช่วงของสีอ่อนที่มีความคงทนของสีที่ยอดเยี่ยม รู้จักอันตราย--- สปีชีส์ Erythrina ทุกชนิดมีอัลคาลอยด์พิษจำนวนมากขึ้นหรือน้อยลง - สามารถพบได้ในทุกส่วนของพืช แต่มักจะมีความเข้มข้นมากที่สุดในเมล็ด ความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามชนิดในบางชนิดมันต่ำพอที่พืชจะใช้เป็นอาหารได้อย่างปลอดภัย ในหลาย ๆ อัลคาลอยด์ถูกนำมาใช้เพื่อผลทางยา เราไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับความเข้มข้นของอัลคาลอยด์ในสปีชีส์นี้ แต่ควรใช้ความระมัดระวังในการใช้งานของพืชที่เกี่ยวข้องกับการกลืนกิน อัลคาลอยด์เหล่านี้มีลักษณะคล้าย Curare (ที่ได้จาก Strychnos) และอาจทำให้เกิดอัมพาตและเสียชีวิตจากการหายใจล้มเหลว ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธุ์-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
ทองหลางน้ำ/Erythrina fusca
ชื่อวิทยาศาตร์--- Erythrina fusca Lour.(1790) ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms ---Erythrina glauca Willdenow.(1801) ---Erythrina ovalifolia Roxburgh.(1832) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-2694 ชื่อสามัญ---Coral Tree, Purple coral tree, Cape Kaffirboom, Swamp immortelle (Jamaica - West Indies), Swamp Erythrina, Cape Kaffirboom. ชื่ออื่น---ทองหลางน้ำ, ทองหลางบ้าน, ทองหลางใบมน, ทองโหลง ;[BOLIVIA: Palo santo.];[COSTA RICA: Palo santo, Poro.];[FRENCH: Bois immortel.];[NIGERIA: Anauco, Bucare.];[PORTUGUESE: Coralina-púrpura; Eritrina-da-baixa (Bahia), Eritrina-do-alto (Bahia).];[SINHALESE: Yak errabadoogas, Yak erabadu.];[SPANISH: Bucayo, Gallito, Gallito de pantano, Giliqueme (Central America).];[THAI: Thong lang bai mon, Thong lang ban (Bangkok), Thong lang nam, Thong long (Central Thailand).];[VENEZUELA: Ahuijote, Amapola, Bucago, Bucaré anauco.]. EPPO Code---ERZGL (Preferred name: Erythrina fusca) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปอเมริกา เขตกระจายพันธุ์---อเมริกาใต้-บราซิล โบลิเวีย เปรู อเมริกากลาง กัวเตมาลา คาริเบียน Erythrina fusca เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJoao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสในปี พ.ศ.2333 ที่อยู่อาศัยเป็นชนิดเดียวที่พบในทั้งโลกใหม่และโลกเก่า มีถิ่นกำเนิดในแทนซาเนีย (Pemba) ไปจนถึง W. Pacific, เขตร้อนของอเมริกา ขึ้นอยู่บนชายฝั่ง และตามแม่น้ำในเขตร้อนเอเชีย ,โอเชียเนีย หมู่เกาะ Mascarene , มาดากัสการ์ , แอฟริกาและNeotropics ที่ระดับความสูงตั้งแต่ 5-1560 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง 10–15 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 60 ซม.ทรงต้นเรือนยอดเป็นพุ่มกลม โคนต้นเป็นพูพอน เปลือกต้นสีน้ำตาลอมเทาและแตกเป็นร่องตามยาว กิ่งก้านมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบแบบมีใบย่อย 3 ใบ (trifoliolate) ใบย่อยรูปไข่หรือรูปขอบขนาน กว้าง 5 – 8 ซม.ยาว10 – 15 ซม.ปลายใบแหลม โคนใบสอบ แผ่นใบหนาและเหนียว ดอกสีแดงออกเป็นช่อกระจะออกที่ปลายกิ่ง รูปดอกถั่ว ขนาดดอกบานกว้าง 8–10 ซม.ผลเป็นฝักรูปทรงกระบอกยาว 20 ซม.มีรอยคอดระหว่างเมล็ด สีน้ำตาลอ่อน เมื่อแก่แตกออก ภายในมีเมล็ดสีน้ำตาลรูปไต ใช้ประโยชน์--- ใบและดอกไม้ที่กินได้รวบรวมจากพืชป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่น ใช้เป็นไม้ประดับและให้ร่มเงาร่มเงา เป็นพืชอเนกประสงค์ในวนเกษตร -ใช้กินได้ ในประเทศไทยหน่อใหม่และใบจะกินเป็นผักสด ใบไม้ใช้กินในเมี่ยงคำ ใบอ่อน - ดิบในสลัดหรือปรุงสุกและใช้เป็นผัก ดอกไม้ - ปรุงและกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา การแช่เปลือกจะใช้ในการรักษาโรคตับและทำให้หลับ ยาต้มของเปลือกไม้ถูกนำมาใช้ในการรักษาไข้ไม่ต่อเนื่อง เปลือกด้านใน ขูดใช้เป็นยาพอกแผล เปลือกลำต้นและเปลือกราก ผสมกับเปลือกลำต้นของ Parkia pendula เพื่อทำยาพอกเพื่อรักษา อาการปวดหัวอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ยาต้มดอกใช้เพื่อบรรเทาอาการไอ เปลือกหรือรากใช้ในการรักษาโรคเหน็บชา -ใช้อื่น ๆ แก่นไม้มีสีเหลืองอ่อนถึงสีน้ำตาลอมเหลือง มีน้ำหนักเบาเนื้ออ่อนไม่ทนทาน ใช้สำหรับทำเรือแคนูและแกะสลัก - ถึงแม้ ไม้จะไม่ค่อยไหม้และให้ขี้เถ้าเยอะ แต่เนื่องจากมีความต้องการมากและหาง่าย เกษตรกรมักนำมาใช้ทำฟืน ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---เดือนมกราคม–กุมภาพันธ์/เดือนมีนาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
ทองเดือนห้า/Erythrina stricta Roxb.
ชื่อวิทยาศาตร์---Erythrina stricta Roxb.(1832) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms ---Corallodendron strictum (Roxb.) Kuntze.(1891) ---Micropteryx stricta (Roxb.) Walp.(1850) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-31144 ชื่อสามัญ---Indian Coral tree ชื่ออื่น---ทองเดือนห้า, ทองหลางใบมน, ทองเหลือง, ทองหนาม, ทองหลางป่า ;[ASSAMESE: Madar, Madar beng, Mandar beng.];[BENGALI: Madar, Mandara.];[CHINESE: Jin zhi ci tong.];[FRENCH: Érythrine de l'Inde.];[HINDI: Dhol dak, Mandara.];[MALAYALAM: Mullumurukku, Murikku, Murukku, Muruku, Venmurukku.];[NEPALESE: Phalidha, Phalita.];[SANSKRIT: Mura, Paribhadra, Paribhadrah.];[TAMIL: Murukkai, Murukku.];[THAI: Thong duean haa, Thong lang bai mon, Thong lueang (Northern),Thong nam (Loei), Thong lang pa (Chiang Mai).]. EPPO Code---ERZST (Preferred name: Erythrina stricta.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE -PAPILIONACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม Erythrina stricta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2375 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดใน อินเดียถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ พบได้ทั้งในป่าดิบแล้งและป่าชื้น ป่าไม้ริมแม่น้ำลาดเชิงเขา ที่ระดับความสูงประมาณ 1,400 เมตร ในประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูง400-800เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบสูง ถึง 35 เมตร ลำต้นมีเปลือกหนานุ่มคล้ายไม้ก๊อก กิ่งมีหนามแหลมสั้นๆ เปลือกต้นสีครีมอ่อน ใบประกอบแบบใบย่อย3ใบรูปสามเหลี่ยม ขนาดกว้าง 7-12 ซม.ยาว 5-8 ซม.ดอกออกเป็นช่อตามกิ่งสีแดงเลือดนก ดอกย่อยรูปดอกถั่วจำนวนมากเรียงอยู่ในระนาบเดียว ยาว4.5 ซม. เป็นช่อที่มีดอกออกด้านเดียว ดอกล่างสุดจะบานก่อนกลีบเลี้ยงสีม่วงแก่ กลีบเชื่อมติดกันที่ฐานปลายกลีบแหลมยาวออกไปด้านหนึ่งเกสรผู้เป็นมัด10อัน ดอกมีน้ำหวานเป็นอาหารนกหลายชนิด ผลเป็นฝักแบนปลายสองด้านแหลมยาวโค้งเล็กน้อย สีน้ำตาล กว้าง0.6-1ซม.ยาว7-10ซม. มีเมล็ด1-3เมล็ด ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยา ปลูกในอินเดียในฐานะพืชป้องกันความเสี่ยง ใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่าในประเทศไทยและเป็นต้นไม้ที่มีความสำคัญทางศาสนาในอินเดีย -ใช้เป็นยา เปลือกลำต้นถูกบดในน้ำและใช้เฉพาะกับร่างกายเพื่อทำลายเหา -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้สีเทา เบาแต่แข็งพื้นผิวที่เป็นรูพรุนและไม่คงทน ใช้ทำเครื่องใช้ในครัวเรือน ทำเฟรม กระดานโต้คลื่น เรือแคนู เรือกรรเชียงลอยตัว กล่องและงานแกะสลักศิลปะขนาดเล็ก ดอกไม้สีแดงสดให้สีที่ใช้ในสีย้อม ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง
ทองหลางป่า/Erythrina subumbrans
ชื่อวิทยาศาตร์---Erythrina subumbrans (Hassk.) Merr.(1910) ชื่อพ้อง---Has 10 Synonyms ---Basionym: Hypaphorus subumbrans Hassk.(1858) ---Erythrina sumatrana Miq.(1861) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/ild-31147 ชื่อสามัญ---December tree, Dadap. ชื่ออื่น---ทองหลางป่า, ทองหลาง, ทองมีดขูด ;[CHINESE: Chi guo ci tong.];[INDONESIA: Dadap.];[MAORI (COOK ISLAND): Ngatae, Taetapu.];[MALAYSIA: Dadap, Dedap, Dedap batik, Dedap serap (Malay).];[SAMOAN: Gatae pālagi.];[SINHALESE: Dadap Of The Malays, Eramudu.];[TAMIL: Muruinja (Sri Lanka).];[THAI: Thong laang (Central Thailand), Thong laang paa , Thong meet khuut (Northern Thailand).]. EPPO Code---ERZSU (Preferred name: Erythrina subumbrans.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE-PAPILIONACEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, พม่า, ไทย, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ Erythrina subumbrans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Justus Carl Hasskarl (1811-1894)นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียเขตร้อนไปยังประเทศจีน (ยูนนาน) และ SW แปซิฟิก. ขึ้นตามป่าดิบบริเวณชุ่มชื้น และริมห้วยในป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูง100-900 (-1500) เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบช่วงระยะสั้นๆ ขนาดกลางสูง10-20 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 60 ซม.ตามลำต้นและกิ่งอ่อนจะมีหนามแหลมและแข็ง มีกิ่งก้านมาก เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ ใบประกอบแบบมีใบย่อย3ใบรูปหัวใจ โคนใบตัดหรือมน โดยเฉลี่ยแล้วใบย่อยมีขนาดกว้าง 5-10 ซม.ยาว 8-14 ซม.หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจะจางกว่าโคนก้านของใบย่อยมีต่อม1คู่ก้านช่อใบยาว 8-10 ซม.โคนก้านอวบบวม ดอกออกเป็นช่อเดี่ยว ตามปลายกิ่ง ดอก แบบดอกถั่วสีแดงส้ม ดอกล่างจะบานก่อน กลีบรองดอกเป็นหลอด กลีบดอก5กลีบ กลีบบนแผ่โค้งรูปเรือ เกสรผู้10อันอยู่ด้านล่าง ผลเป็นฝักแบนแก่แล้วแตกอ้าออกตามทางยาว ใช้ประโยชน์ ---ใช้กิน ใบอ่อนนึ่งกินในสลัด-ใช้เป็นยา ใช้ยาต้มใบเป็นยารักษาอาการไอ ใบอ่อนทุบใช้เป็นยาพอกสำหรับผู้หญิงหลังคลอด ใช้รักษาอาการปวดหัว น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาล้างตา -ชาวกะเหรี่ยงนำเนื้อไม้ด้านในเปลือกต้นเอาไปฝนทำแป้งทาหน้า ทำให้ผิวขาว ไม่มีสิว -วนเกษตรใช้ เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง - ปลูกในป่าเสื่อมโทรมและพื้นที่เปิดโล่งผสมกับสายพันธุ์อื่น ๆ -อื่น ๆ เนื้อไม้สีขาวค่อนข้างอ่อนและหยาบ ใช้ทำของเล่นเด็ก ดอกให้สีแดงใช้ย้อมผ้า ระยะออกดอก---มกราคม-มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ
|
ทะโล้/Schima wallichii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Schima wallichii (DC.) Korth.(1842) ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms ---Basionym: Gordonia wallichii DC.(1824) ---Schima bancana Miq.(1869) ---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:60457200-2 ชื่อสามัญ---Needlewood Tree, Chinese guger tree ชื่ออื่น---ทะโล้, มังตาน, คายโซ่, สารภีป่า ;[ASSAMESE: Mukria sal.];[BENGALI: Makrishal.];[BRUNEI DARUSSALAM: Kelinchi padi, Puspa.];[CHINESE: Hong mu he.];[INDONESIA: Medang gatal, Seru (Java); Madang gatal (Kalimantan); Seru (Sumatra); Puspa.];[LAOS: Boun nak.];[MALAYSIA: Medang gatal, Samak (Malay); Gegatal.];[MYANMAR: Laukya.];[NEPALI: Chilauni.];[PAPUA NEW GUINEA: Schima.];[SIKKIM: Chilauni.];[THAI: Thalo, Mang tan, Kaiso, Saraphi paa.];[TRADE NAME: Mang tan, Simartolu.] EPPO Code---SHMWA (Preferred name: Schima wallichii) ชื่อวงศ์---THEACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ อินเดีย ภูฎาน เนปาล จีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา ฟิลิปปินส์ บอร์เนียว Schima wallichii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชา (Theaceae) สกุล Schima เป็น monotypic genus มีเพียง 1 สายพันธุ์คือ Schima wallichii ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Pieter Willem Korthals (1807–1892) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ ในปี พ.ศ.2385
ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นจากอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือผ่านอินโดจีน จีนตอนใต้ หมู่เกาะริวกิวและหมู่เกาะโบนินถึงประเทศไทย คาบสมุทรมาเลเซีย สุมาตรา ชวาบอร์เนียวและฟิลิปปินส์ (ปาลาวัน) มักจะเกิดขึ้นเป็นกลุ่มในที่ราบลุ่มหลักไปยังป่าดิบเขาระดับความสูงถึง 2,400 (-3900) เมตร มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยเป็นไม้ถิ่นเหนือ เป็นองค์ประกอบที่บอกว่าเป็นป่าดิบเขา แต่ก็พบกระจัดกระจายในป่าแบบอื่นๆ ลักษณะ มังตานเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 35 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางสูงถึง 125 (-250) ซม.ลักษณะทรงต้น ลำต้นเปลาตรงสูงชะลูด เรือนยอดยาวแน่นทึบ ลำต้นไม่มีพูพอน เปลือกต้นสีเทาเข้มปนน้ำตาล มีรอยแตกเป็นชิ้นเหลี่ยม เปลือกชั้นในสีชมพูหรือแดงเข้ม ถ้าตัดเปลือกจะเป็นเสี้ยนใสแวววาว เสี้ยนถ้าถูกผิวหนังอาจเป็นผื่นพองหรือถ้าเข้าตาอาจทำให้ตาบอดใบเป็นใบเดี่ยวกว้าง2-8 ซม.ยาว 4.5-18 ซม.ลักษณะรูปไข่กว้าง มนรี จนถึงรูปหอก มักสอบเข้าทันทีที่ปลาย โคนฐานใบแคบหรือกลม ขอบใบมักเรียบ บางครั้งมีซี่ตื้นๆใกล้ปลาย หลังใบสีเขียวเข้ม ท้องใบมักมีคราบขาวและจางกว่าหลังใบ ดอกขนาด 2-5ซม.ออกเดี่ยวๆหรือเป็นกระจุกตามง่ามใบและปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลขนาด1.5-3ซม.กลมแข็งเหมือนไม้แยกได้เป็น5ส่วน มีเมล็ดรูปไตมากมาย มีปีกแคบรอบเมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีในดินที่หลากหลาย ชอบดินที่มีการระบายน้ำดี แต่มีการพบในหนองน้ำและตามแม่น้ำและไม่เลือกเนื้อดินหรือความอุดมสมบูรณ์ สามารถปลูกได้ในที่ร่ม ค่า pH ในช่วง 5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 7 -ใช้ประโยชน์ ต้นไม้มีค่าสำหรับไม้ซึ่งเก็บมาจากป่าและแลกเปลี่ยน ต้นไม้ยังใช้เป็นยาและเป็นแหล่งของแทนนินและน้ำมัน บางครั้งได้รับการปลูก เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาและใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกในโครงการปลูกป่า -ใช้เป็นยา ใช้สมานแผล ใช้ในการรักษาความผิดปกติของมดลูกและฮิสทีเรีย ยาดิบในอินโดนีเซียเรียกว่า 'buah cangkok' และในคาบสมุทรมาเลเซียเรียก 'changkoh'- เปลือกใช้เป็นยาฆ่าเชื้อโรคสำหรับแผล ยางจากก้านใช้ในการรักษาโรคหู -อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลแดงคุณภาพดี แต่มักทำให้ผิวหนังระคายเคือง ดังนั้นจึงไม่นิยมใช้งาน ใช้ได้ในบางฤดูเท่านั้น ใช้สำหรับสร้างสิ่งก่อสร้างในร่ม สร้างเรือ -เปลือกไม้เป็นแหล่งของแทนนินและใช้สำหรับย้อม ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด |
ทังเก/ Magnolia elegans
ชื่อวิทยาศาตร์--- Magnolia elegans (Blume) H.Keng.(1978) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Aromadendron elegans Blume. (1825 ---Manglietia oortii Korth.(1851) ---Talauma elegans (Blume) Miq.(1868) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-117554 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---จำปาป่า (นครศรีธรรมราช), ทังเก ;[MALAYSIA: Cempaka Hutan, Chempaka, Chempaka Hutan, Medang Tanah (Malay); Medang Tandok (Sabah); Bibit cempaka.];[THAI: Thang ke, Champa paa]. EPPO Code---MAGEL (Preferred name: Magnolia elegans.) ชื่อวงศ์---MAGNOLIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ชวา มาเลเซีย สุมาตรา ไทย Magnolia elegans เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์แมกโนเลีย (Magnoliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Hsüan Keng (1923-2009) นักพฤกษศาสตร์ชาวจีน ในปี พ.ศ.2521 ที่อยู่อาศัยมีการกระจายในสุมาตรา, ภาคใต้ของประเทศไทยผ่านมาเลเซีย, สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซียและบรูไนถึงปาปัวนิวกินี ที่ระดับความสูง 400-700 เมตร ลักษณะทังเก เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูงได้ประมาณ 30-40 (-53) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 80 (-115) ซม.ลำต้นเปลาตรงแตกกิ่งเป็นพุ่มที่ยอด ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาล หนา ฉ่ำน้ำ และมีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว กิ่งก้านมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากใบ ใบเดี่ยวรูปวงรีแคบถึงรูปไข่ ยาว 7.5-22 (-27) กว้าง 3-6 (-8) ซม.เรียงเวียนสลับ แผ่นใบหนาและเหนียวเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวออกที่ปลายยอดสีขาวกลีบหนาฉ่ำน้ำ ดอกบานวันเดียวแล้วโรยส่งกลิ่นหอมตลอดวัน ผลรูปรีค่อนข้างกลมขนาดยาวความยาว 5-7 ซม.เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3-5 ซม. ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นไม้ประดับใช้จัดสวนทั่วไป -อื่น ๆ ในสุลาเวสีเป็นไม้เศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง เนื้อไม้ใข้ในการก่อสร้าง ใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ เป็นวัตถุดิบหลักในการก่อสร้างบ้าน Minahasa stage house หรือที่รู้จักกันดีในนาม "Woloan House" ภัยคุกคาม---เนื่องจาก ข้อมูลที่มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยงของการสูญพันธุ์ จัดอยู่ในIUCN Red List ประเภท "พื้นฐานข้อมูลไม่เพียงพอ" สถานะการอนุรักษ์---DD -Data Deficient-IUCN Red List of Threatened Species.2014 สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น ---พื้นเมืองของสิงคโปร์ (ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง) (CR) ; พืชพื้นเมืองของไทยที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบันเหลือต้นแม่พันธุ์ขนาดใหญ่ไม่กี่ต้นในภาคใต้ ระยะออกดอก---เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ทังใบช่อ/Nothaphoebe umbelliflora
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Nothaphoebe umbelliflora (Blume) Blume.(1851) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-17801018 ---Basionym: Ocotea umbelliflora Blume.(1825) ---Phoebe umbelliflora (Blume) Nees.(1836) ชื่อสามัญ---Bong tree ชื่ออื่น---ทังใบช่อ ;[INDONESIA: Marsihung tanduk, Medang (Borneo).];[MALAY: Medang lendir.];[THAI: Yang bong tree, Gemor, Tang bai chor.]. EPPO Code---NHHUM (Preferred name: Nothaphoebe umbelliflora.) ชื่อวงศ์--- LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Nothaphoebe umbelliflora เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย Lauraceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCarl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ.2394 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดใน ชวา, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ลาว, สุมาตรา, เกาะบางก้า, เกาะบอร์เนียว, ฟิลิปปินส์, ปาลาวันและเวียดนาม เติบโตในป่าเต็งรังผสมและป่าพรุที่ไม่ถูกรบกวนในป่าทุติยภูมิมักจะปรากฏเป็นต้นไม้ที่ถูกรบกวนก่อนที่ความสูงไม่เกิน 900 เมตร ในประเทศไทยพบที่จังหวัดพังงา กระบี่ นครศรีธรรมราช สตูล นราธิวาส ที่ระดับความสูงถึง1200เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ สูง 30 (-47) เมตร เปลือกเรียบหรือมีเกล็ดสีน้ำตาลอมเทามี รูอากาศมากมาย กิ่งอ่อนมีขนละเอียด ใบเดี่ยวกว้าง3.7ซม.ยาว9-18ซม.รูปรีแคบถึงขอบขนานหรือรูปไข่กลับ ออกเรียงสลับกึ่งตรงข้าม ปลายทู่หรือแหลมสั้น โคนใบแคบค่อนข้างเบี้ยว ก้านใบยาว1.2 ซม. ใบแก่เหนียวเรียบเกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อในซอกใบบนและใกล้ปลายกิ่ง ออกเป็นช่อแตกแขนงยาว8-19 ซม.ออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ3-5 ดอกแต่ละดอกมีก้านดอกยาว3-5 มม.มีขนละเอียดสีน้ำตาล กลีบรวมและก้านชูอับเรณูมีขน ผลรูปขอบขนานหรือรูปไข่กลับขนาด กว้าง1-1.7ซม.ยาว3-5ซม.สีเขียวเป็นมันเมื่อสุกสีแดงเข้มแล้วเปลี่ยนเป็นดำ ก้านผลสีชมพูหรือสีแดง ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ทั้งต้นจะถูกตัดลงแล้วจึงลอกเปลือกไม้ออกโดยนำเปลือก และไม้มาใช้มาใช้เปลือกไม้จากต้นบงประกอบด้วยยางเหนียวเป็นสารยึดเกาะที่มีประโยชน์และน้ำมันหอมระเหย ใช้ทำธูปสำหรับวัดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนผสมของยาจุดกันยุงและกาวสำหรับกล่องกระดาษและไม้อัด เมื่อผสมกับดินกับเปลือกไม้จะถูกหล่อเป็นรูปปั้นและของใช้ในครัวเรือน เนื้อไม้ใช้ในท้องถิ่นสำหรับสร้างบ้าน ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2020 สถานะการอนุรักษ์ท้องถิ่น---ตอนนี้อยู่ในรายการใกล้สูญพันธุ์ในประเทศลาว เนื่องจากถูกคุกคามที่อยู่อาศัยโดยการเผาเพื่อล้างป่าผลิตข้าว ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถพบต้นไม้ที่โตเต็มที่ได้อีกต่อไป ในปี 2551 โครงการการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการผลิตที่ยั่งยืนได้รับทุนจาก IFAD (กองทุนระหว่างประเทศเพื่อการพัฒนาการเกษตร) เริ่มโครงการสร้างเรือนเพาะชำต้นบงเชิงพาณิชย์ในเขต Samouay และ Taoye ปลูกต้นบงหนึ่งเฮกตาร์ และสนับสนุนการวางแผนการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน การเพาะปลูกได้สร้างแหล่งรายได้เพิ่มเติมให้กับเกษตรกรและลดการปล่อยคาร์บอนจากการเผาที่ดินน้อยที่สุด โครงการดังกล่าวช่วยให้เกษตรกรมีความปลอดภัยที่ดีขึ้นผ่านใบรับรองที่ดินถาวรและปลูกพืชผลที่หลากหลายที่จะขายเช่นเดียวกับที่อยู่อาศัยถาวรและไม่ได้พึ่งพาการทำการเกษตรแบบยังชีพเพียงอย่างเดียว การปลูกต้นบงเมื่อเกษตรกรทำการเก็บเกี่ยวเปลือกอย่างเหมาะสมสามารถให้ผลผลิตได้นานถึง 50 ปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
เทพธาโร/Cinnamomom porrectum
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Cinnamomom porrectum ( Roxb.) Kosterm.(1952) ชื่อพ้อง---Has 22 Synonyms. ---Camphora parthenoxylon (Jack) Nees.(1831) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2721550 ชื่อสามัญ---Selasian wood, Saffrol Laurel, Martaban camphor wood, Citronella laurel, True laurel. ชื่ออื่น--- จวง จวงหอม (ภาคใต้) จะไค้ต้น จะไค้หอม (ภาคเหนือ) ตะไคร้ต้น (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) เทพทาโร (ออกเสียง [เทบ-พะ-ทา-โร] (ภาคกลาง จันทบุรี สุราษฎร์ธานี) พลูต้นขาว (เชียงใหม่) มือแดกะมางิง (มาเลเซีย ปัตตานี); [CHINESE: Huáng zhāng.];[INDONESIA: Medang lesah (General), Ki sereh (Sundanese), Selasihan (Javanese), Rawali (Kalimantan), Selasihan, Telasihan, Huru pedes, Ki pedes, Melana, Laso.];[MALAYSIA: Medang kemangi (Peninsular); Keplah wangi (Sarawak); Bunsod (Sabah); Kayu gadis, Medang gatal, Kayu gading, Medang serai, Medang benar, Medang losoh, Medang liang, Medang lilin, Medang lawas, Medang besuk, Medang kemangi, Cinta mula hitam, Medang selasoh.];[MYANMAR: Karawa.];[THAI: Thep-tharo (Central).];[VIETNAM: Re huong.] EPPO Code---CINPA (Preferred name: Cinnamomum porrectum.) ชื่อวงศ์---LAURACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ มาเลเซีย Cinnamomom porrectum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์อบเชย (Lauraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Dr. André Joseph Guillaume Henri 'Dok' Kostermans (1906 –1994) นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซียที่มีบรรพบุรุษเป็นชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2495
ที่อยู่อาศัย พบได้ในอินเดีย พม่าผ่านอินโดจีนไทยและจีนตอนใต้สู่คาบสมุทรมาเลเซีย สิงคโปร์ สุมาตรา ชวาและบอร์เนียว มีการกระจายอย่างกว้างขวางและร่วมกันในลุ่มป่าภูเขา ป่าเต็งรังผสมและป่าดิบเขา มักจะอยู่บนเนินเขาและสันเขาที่ระดับความสูงถึง 2000 (-3000) เมตร ในประเทศไทยพบขึ้นอยู่บนเขาในป่าดงดิบ พบมากที่สุดทางภาคใต้ ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบระยะสั้นขนาดใหญ่ สูงถึง 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางถึง 105 ซม. เรือนยอดโปร่งลำต้นยาวตรง เปลือกต้นสีน้ำตาลหรือเทาแก่ มีร่องแตกลึกตามยาว เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอมแดงมีกลิ่นหอมแรง ใบเรียงแบบวนรอบ ขนาดใบกว้าง 2.5-6 ซม.ยาว5-15 ซม.ใบด้านล่างมีนวลสีเขียวอมเทา ดอกออกเป็นช่อที่ดูเหมือนปลายกิ่ง (pseudoterminal) ช่อดอกยาว 8-15 ซม.ดอกเล็กสีเหลืองอ่อนมีกลิ่นหอมหวาน ผลขนาด 0.8 ซม.รูปกลมเกลี้ยง ก้านผลเรียว ยาวประมาณ 3 - 5 ซม.ผลแก่สีม่วงเข้ม ชั้นกลีบเลี้ยงยังคงอยู่ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มรำไร (แสงแดดประมาณ 50%) ในสภาพธรรมชาติเป็นพันธุ์ไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ทางภาคใต้ของประเทศไทยที่มีระดับความชื้นสูง อุณหภูมิของอากาศไม่แตกต่างกันมากนัก การปลูกพันธุ์ไม้ใดๆ ก็ตามหากปลูกในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับสภาพถิ่นกำเนิด จะทำให้ประสพความสำเร็จในการปลูกและลดความยุ่งยากในการดูแลรักษา ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ใบมีกลิ่นหอม ใช้เป็นเครื่องเทศ ใช้ใบเทพทาโรแทนใบกระวาน สำหรับใส่เครื่องแกงสะระหมั่น ส่วนใบกระวานจริง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนใบข่า จะไม่นิยมใช้กัน -ใช้เป็นยา ใช้ทำยาหลายขนาน ไม้มี safrol น้ำมันหอมระเหยซึ่งใช้เป็นยา ใช้ปรุงเป็นยาหอมแก้ลม จุกเสียดแน่น แน่นเฟ้อ แก้อาการปวดท้อง ขับผายลมได้ดี ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร เป็นยาบำรุงธาตุ-เปลือกเป็นยาบำรุงธาตุอย่างดี โดยเฉพาะสำหรับหญิงสาวรุ่น แก้ปัญหาการมีประจำเดือน-เมล็ดให้น้ำมัน ใช้เป็นยาทาถูนวด แก้ปวด รูมาติซึ่ม รากใช้ในการรักษาไข้ใช้เป็นยาบำรุงหลังคลอด-ไม้ของสายพันธุ์นี้เป็นหนึ่งในสามส่วนผสมของยาชูกำลังไทยที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักในนาม 'TriSuraPhon' อีกสองส่วนผสมคือไม้ของ Aquilaria crassna และเปลือกของ Cinnamomum bejolghota ยาชูกำลังนั้นกล่าวว่ามีผลประโยชน์ที่หลากหลายต่อสุขภาพโดยทั่วไปส่วนประกอบแต่ละชิ้นได้รับการยกย่องว่ามีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์มากมายรวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระ, ต่อต้านการขาดเลือด, ยาต้านจุลชีพ, ต้านมะเร็ง, ภาวะน้ำตาลในเลือด -อื่น ๆ เนื้อไม้สีเทาแกมน้ำตาล มีกลิ่นหอมฉุนเหมือนกลิ่นการบูร มีริ้วสีเขียวแกมเหลือง เนื้อไม้เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง หรือเป็นคลื่นบ้างเล็กน้อย เหนียว แข็งพอประมาณ เลื่อย ไสกบ ตบแต่งง่าย นำมาใช้ในงานแกะสลัก ทำเตียงนอน ทำตู้และหีบใส่เสื้อผ้ากันมอด เครื่องเรือนและไม้บุผนังที่สวยงาม-อาจกลั่นเอาน้ำมันระเหยออกจากเนื้อไม้ และอาจดัดแปลงทางเคมีให้เป็นการบูรได้-เปลือกให้สีส้มมีน้ำมันหอมระเหยใช้เป็นกลิ่นสำหรับทำสบู่หอม-สารสำคัญในเนื้อไม้ จะพบ d - camphor ที่ใช้แทน sassafras ได้ดีให้น้ำมันที่มีสารหอม คือ safrol และ cinnamic aldehyde และยังพบ safrol ในเปลือกต้นและใบ สำคัญ---เป็นพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดพังงา -เทพทาโรเป็นไม้พื้นเมืองเก่าแก่ของไทย พบหลักฐานการอ้างถึงครั้งแรกในสมัยสุโขทัย ดังปรากฏในไตรภูมิพระร่วง เมื่อ พ.ศ.1888 กล่าวถึงพรรณพืชหอมในอุตตรกุรุทวีป จะประกอบด้วย จวง จันทน์ กฤษณา คันธา เป็นต้น ระยะออกดอก---พฤศจิกายน-ธันวาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ดและการปักชำ
|
ธนนไชย/ Buchanania siamensis
ชื่อวิทยาศาตร์--- Buchanania siamensis Miq.(1869) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2684836 ---Buchanania pallida Pierre.(1898) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ธนนไชย, ศรีธนนไชย (นครราชสีมา); พังพวยนก, พังพวยป่า, ลันไชย (ราชบุรี,คาบสมุทร); รวงไซ, รางไซ, รางไทย (อุบลราชธานี); ลังไซ (ปราจีนบุรี) ;[THAI: Thanon chai, Si thanon chai (Nakhon Ratchasima); Phang phuai nok, Phang phuai pa, Lan chai (Ratchaburi, Peninsular); Ruang sai, Rang sai, Rang thai (Ubon Ratchathani) ; Lang sai (Prachin Buri).];[VIETNAM: Cây Chây Xiêm.]. EPPO Code---BUHSS (Preferred name: Buchanania sp.) ชื่อวงศ์---ANACARDIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม Buchanania siamensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัวมะม่วงหิมพานต์ (Anacardiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ.2412 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอินโดจีน มักจะพบในป่าทุติยภูมิจากชายฝั่งถึงระดับความสูง 1,000 เมตรในเวียตนาม ส่วนในประเทศไทยพบที่จังหวัดนครราชสีมา อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ราชบุรี และประจวบคีรีขันธ์ พบทั่วไปตามป่าผลัดใบ และที่ราบลุ่มแม่น้ำ ที่ระดับความสูง 50-200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ สูงประมาณ5-10 เมตร เปลือกหนาสีเทาแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบเดี่ยวออก.เรียงสลับออกเป็นกระจุกใกล้ปลายกิ่ง ใบยาว 2-5 ซม. กว้าง 0.7-2.5 มม รูปไข่กลับถึงรูปขอบขนานแกมไข่กลับ ปลายใบมน ฐานใบสอบเรียวหรือหยักเว้า ผิวใบด้านบนเรียบท้องใบมีขนละเอียด ก้านใบ ยาว 3-5 มม. ดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามซอกใบ ดอกย่อยจำนวนมากสีขาวแกมเหลืองอ่อน ดอกสมบูรณ์เพศ ยาว 5-10 ซม กลีบรองดอกมี 5 กลีบรูปลิ่ม มีขน ปลายแหลม กลีบดอกแต่ละกลีบยาว 2-3 มม.เกสรเพศผู้ 10 อัน ยาวไม่เท่ากัน ก้านชูเกสร ยาว 1-2 มม. อับเรณู สีเหลือง รูปรี ยาว 0.8-1 มม. รังไข่ อยู่เหนือวงกลีบ กลม ก้านชูเกสรเพสเมีย มน ผลเดี่ยวรูปค่อนข้างกลมเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.8-1.2 ซม.แบนด้านข้าง ผลอ่อนสีเขียวผลแก่สีชมพู ผลสุกสีม่วงดำ มีเมล็ดแข็งเมล็ดเดียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัดขึ้นได้ดีในดินร่วนซุย ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ผลสุกกินได้รสหวานอมเปรี้ยว ใบอ่อนยอดอ่อนรสเปรี้ยวมันกินเป็นผัก ในประเทศกัมพูชาคนใช้ใบอ่อนกินกับซอสแพรฮก ระยะออกดอก---เดือนตุลาคม-เดือนมีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
นกนอน/Cleistanthus polyphyllus
ชื่อวิทยาศาตร์---Cleistanthus polyphyllus F.N.Williams.(1904) ชื่อพ้อง--- Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-42175 ---Cleistanthus trichocarpa Ridl.(1911) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ไม้นกนอน, นกนอนใบเล็ก, ยายถีบหลาน ; [THAI: Mai nok non (Chumphon), nok non bai lek (Pattani, Surat Thani, Krabi), yai thip lan (Satun).] EPPO Code---KWZSS (Preferred name: Cleistanthus sp.) ชื่อวงศ์---PHYLLANTHACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Cleistanthus polyphyllus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะขามป้อม (Phyllanthaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Frederic Newton Williams (พ.ศ. 2405–2566) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2447 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยจนถึงคาบสมุทรมาเลเซีย ในประเทศไทย พบในป่าผสมผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคใต้ ที่ระดับความสูง 50-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูง 4-8 เมตร ลักษณะทรงต้น แตกกิ่งมาก พุ่มแน่นทึบ เปลือกต้นสีน้ำตาลแตกเป็นร่องตื้นตามยาวของลำต้น สีเทาอมน้ำตาล กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองปกคลุมหนาแน่นหรือมีขนประปราย มักมีหูใบหรือใบประดับติดอยู่ ใบเดี่ยวเรียงสลับระนาบเดียว แผ่นใบรูปรีหรือรูปไข่กลับ ขนาดกว้าง 2-4 ซม.ยาว 4-6 ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบเรียวแหลม และมีติ่งขอบใบเป็นคลื่น ดอกออกเป็นช่อกระจุกเล็กๆเหนือรอยแผลตามกิ่ง ดอกแบบช่อเชิงลด ออกตามง่ามใบ กระจุกละ 3-10 ดอก ดอกแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน ดอกเล็กสีขาวอมเขียว ไม่ม๊ก้าน ดอก ผลแบบผลแห้งแยกแล้วแตก รูปทรงกลมแป้นขนาด 0.6-1 ซม.มีพู 3 พู มีเมล็ดพูละ 1 เมล็ด ไม่มีก้านผล ผนังผลแข็ง มีขนปกคลุมหนาแน่น ปลายผลมียอดเกสรเมียติดอยู่ ผลแก่สีน้ำตาล ใช้ประโยชน์--- นำมาปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ทรงพุ่ม -อื่น ๆเนื้อไม้ใช้ทำเชื้อเพลิง ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
นน/Vitex pinnata
อ้างอิงภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ชื่อวิทยาศาตร์---Vitex pinnata L.(1753) ชื่อพ้อง---Has 24 Synonyms ---Vitex arborea Roxburgh.(1832) ---Vitex buddingii Moldenke.(1952) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-213709 ชื่อสามัญ---Malayan Teak, Keleban ชื่ออื่น--- สมอป่า สมอหิน สวองหิน (นครราชสีมา), ตะพุน ตะพุนทอง ตะพุ่ม (ตราด), เน่า (ลพบุรี), สมอตีนนก (ราชบุรี), ไข่เน่า (นครราชสีมา, ลพบุรี), กะพุน ตะพรุน (จันทบุรี), กานน สมอกานน (ราชบุรี, ประจวบคีรีขันธ์), นนเด็น (ปัตตานี), กาสามปีก (ภาคเหนือ), ตีนนก สมอบ่วง (ภาคกลาง), โคนสมอ (ภาคตะวันออก), นน สมอตีนเป็ด (ภาคใต้), ลือแม (มาเลย์-นราธิวาส), ไม้ตีนนก (ไทลื้อ) ;[ASSAMESE: Ahoi];[INDONESIA: Laban (General), Kalapapa (Kalimantan), Gulimpapa (Sulawesi).];[MALAYALAM: Kattumayilellu, Kattumayila, Aattumayila];[MALAYSIA: Leban tandok (Peninsular), Leban buas (Sarawak), Kulim papa (Sabah).];[MYANMAR: Kyetyoh.];[PHILIPPINES: Hairy-leafed molave.];[THAI: Tinnok (Central, Northern),Samo-tinpet (Peninsular),Samo hin, Non, Ka non, Nonden,Samaw buang,Tin nok din];[VIETNAM: Bình linh.] EPPO Code---VIXPI (Preferred name: Vitex pinnata.) ชื่อวงศ์---LAMIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเซียใต้เอเซียเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Vitex pinnata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ -ขึ้นกระจายใน มาเลเซียครอบคลุมบอร์เนียว; ซาบาห์ซาราวักและทุกจังหวัดของกาลิมันตัน อินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา กัมพูชา ฟิลิปปิน-หมู่เกาะปาลาวัน Culion และ Tawi- Tawi เติบโตในภูมิภาคที่แห้งแล้งในป่าที่ลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแหล่งที่อยู่อาศัยที่เปิดโล่ง ป่าทุติยภูมิและริมฝั่งแม่น้ำ เกิดขึ้นอย่างเป็นสังคม พบได้ในระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตร ในประเมศไทยพบเป็นพรรณไม้ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าชายหาด และป่าพรุ ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ สูง 5-15เมตร หรืออาจถึง 30 เมตร เปลือกต้นสีเทาอมเหลือง แตกล่อนเป็นแผ่นสะเก็ดยาว เปลือกในสีเหลืองอ่อน เปลี่ยนเป็นสีเขียวหม่นเมื่อถูกตัด กิ่งอ่อนเป็นสี่เหลี่ยม มีขนสั้นนุ่มปกคลุมประปราย ใบประกอบแบบนิ้วมือแบบ 3-5 ใบย่อย เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก แผ่นใบย่อยรูปไข่ รูปรีถึงรูปขอบขนานแกมรูปรี ขนาด3-8x5-16ซม. ใบยอดมักมีขนาดใหญ่กว่าใบย่อยอื่น โคนใบมนถึงสอบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบปลายใบแหลมถึงเรียวแหลม ดอก แบบช่อเชิงลดมีก้านแยกแขนง ออกตามปลายกิ่ง ช่อดอกโปร่งยาว15ซม.ดอกย่อยขนาดเล็กรูปปากเปิดสีขาวอมม่วงอ่อน มีดอกย่อยจำนวนมากในแต่ลำช่อ ผล แบบผลกลมเมล็ดแข็งเมล็ดเดียว รูปทรงกลมมีเนื้อหุ้มเมล็ดบาง ขนาด1ซม.มีกลีบเลี้ยงติดอยู่ที่ขั้วผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีม่วงอมดำ เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแห้ง เมล็ดแข็งมากมี4เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบดินที่มีการระบายน้ำดี pH ที่เหมาะสม: ดินที่เป็นกรด เป็นกลาง และด่าง (ด่าง) ไม่สามารถเติบโตในที่ร่มได้ ชอบดินแห้งหรือชื้น ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้เป็นไม้ท้องถิ่นที่สำคัญและให้ถ่านคุณภาพสูง ถูกใช้เป็นต้นไม้บุกเบิกในแผนการปลูกเพื่อเรียกคืนที่ดินที่ถูกบุกรุกด้วยหญ้า Imperata -ใช้เป็นยา ใช้ใบและเปลือกเพื่อรักษาอาการปวดท้องมีไข้และมาลาเรีย ยาพอกของใบไม้ใช้รักษาไข้และแผล ในเวียตนามใช้น้ำคั้นใบช่วยในการย่อยอาหาร -วนเกษตรใช้ ต้นไม้ถูกนำมาใช้ในโครงการปลูกถ่ายเพื่อเรียกคืนทุ่งหญ้าอิตาตะในเอเชีย เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่แนะนำในช่วงพื้นเมืองสำหรับการปลูกเป็นต้นไม้ร่มเงาและเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่แนะนำให้ปลูกตามแนวถนน -อื่น ๆ เนื้อไม้สีน้ำตาลเหลืองถึงน้ำตาลเข้ม เป็นไม้ที่แข็งแรงและทนทานมากมีความทนทานแม้สัมผัสกับน้ำหรือดิน แต่ไม่มีความสำคัญในเชิงพาณิชย์เนื่องจากมีขนาดเล็กแต่ก็เป็นที่นิยมใช้ในท้องถิ่นสำหรับใช้สำหรับการก่อสร้าง กรอบประตูและหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์และการผลิตด้ามมีด ไม้ผลิตถ่านคุณภาพสูง แข่งขันกับถ่านป่าโกงกางในตลาดต่างประเทศ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2018 ระยะออกดอก/ติดผล---ระหว่างเดือนกุมภาพันธุ์-ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด (เมล็ดไม่สามารถงอกภายใต้ร่มเงาและต้องการแสงที่จะงอก)
|
นมน้อย/Polyalthia evecta
ชื่อวิทยาศาตร์---Polyalthia evecta (Pierre) Finet et Gagnep.(1906) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2406912 ---Unona evecta Pierre.(1881) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---นมน้อย (เพชรบูรณ์) น้ำเต้าแล้ง (นครราชสีมา) น้ำน้อย (เลย) ต้องแล่ง (มหาสารคาม ยโสธร);[THAI: Nomnoi, Nam tao laeng, Namnoi, Tonglang.]. EPPO Code---QLHSS (Preferred name: Polyalthia sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---กัมพูชา ลาว ไทย เวียตนาม Polyalthia evecta เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Achille Eugene Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและ Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2449 ที่อยู่อาศัย พบในกัมพูชา ลาว ไทย เวียตนาม ในประเทศไทยพบขึ้นกระจายตามชายหาดในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรังและ ป่าละเมาะทั่วประเทศ ที่ระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลถึง350เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ไม่ผลัดใบ สูง 0.5-1เมตร ลักษณะมีเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้มมีช่องอากาศจำนวนมาก ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปขอบขนานยาว 5–10 ซม. ก้านใบบวม ยาว 3–5 มม. ปลายใบแหลม เส้นกลางใบสีเหลือง ด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างนูนเด่นเส้นแขนงใบเห็นไม่ชัดเจน ดอกเดี่ยวหรือเป็นคู่ออกตามซอกใบ ห้อยลง กลีบดอก 6 กลีบ รูปขอบขนาน ปลายแหลม-มน กลีบดอกเรียง 2 ชั้น ๆ ละ 3 กลีบ ชั้นนอกมีขนาดเล็กกว่าชั้นใน ดอกสีเขียวอมเหลือง เมื่อบานแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกบานขนาด 8 มม. กลีบเลี้ยง 3 กลีบ สีเขียวอ่อน ด้านนอกมีขนสั้นนุ่ม เกสรเพศผู้มีประมาณ 30 อัน รูปกรวย ผลกลุ่มมีหลายผลรวมเป็นช่อ ผลย่อย 4-8 ผล ผลอ่อนสีเขียวเมื่อแก่สีน้ำตาลแดงมี 1 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกกินได้ รสหวานอมฝาด กินเป็นผลไม้ -ใช้เป็นยา มีการขุดจากป่าเพื่อปลูกเป็นพืชสมุนไพร ยาพื้นบ้านใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้กล้ามเนื้อท้องเกร็งและปวดประจำเดือน บำรุงน้ำนม -ทั้งต้น ขับเสมหะ ทำให้อาเจียน ถอนพิษของโรคในแมวได้ดี-ใบแห้งป่นโรยรักษาแผลกดทับ ยาระบาย แก้หืด ขับเสมหะ-ผลสุกกินรักษาอาการท้องร่วง -อื่น ๆ เป็นอาหารสัตว์ โค กระบือ ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-กันยายน/ผลแก่-เมษายน-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
นมแมวป่า/Ellipeiopsis cherrevensis
ชื่อวิทยาศาตร์---Ellipeiopsis cherrevensis (Pierre ex Finet & Gagnep.) R.E.Fr.(1955) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2787676 ---Ellipeia cherrevensis Pierre ex Finet & Gagnep.(1906) ---Uvaria cherrevensis (Pierre ex Finet & Gagnep.) L.L.Zhou, Y.C.F.Su & R. M.K.Saunders.(2009) ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---นมแมวป่า, พี้เขา, พีพวนน้อย, (นครพนม) ;[THAI: Nom meow paa, Phi khao, Phee puan noi (Nakhon phanom).]. EPPO Code---EPWSS (Preferred name: Ellipeiopsis sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภูมิภาคอินโดจีน Ellipeiopsis cherrevensis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Achille Eugene Finet.(1863 -1913)และ Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส) และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Elias Fries (1876–1966)นักพฤกษศาสตร์ชาว สวีเดนในปี พ.ศ.2498 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทยพบในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ขึ้นตามป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ที่ระดับความสูง150-400 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก สูง 1-5เมตร ลำต้นสีน้ำตาลมีขนปกคลุมหนาแน่น แตกลำต้นจำนวนมากใกล้ผิวดิน แตะละลำยืดยาวไม่ค่อยแตกกิ่ง ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 5-9 ซม.ยาว 10-14 ซม.โคนใบมนปลายใบเว้า แหลมสั้น เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบด้านบนเป็นร่อง ด้านล่างเป็นสันนูนเด่นผิวใบมีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ก้านใบยาวประมาณ 0.5-1 ซม.ดอก ออกเป็นกระจุก1-3 ดอก กลีบดอกมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้น ๆละ 3 กลีบสีเหลือง ดอกเกสรเพศผู้มีจำนวนมาก สีส้มล้อมรอบเกสรเพศเมีย เมื่อบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-2.5 ซม.ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 8-12 ผล ผลกลมรีขนาด 1 ซม.ยังไม่สุกสีเขียว สุกแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือแดงอมส้ม เปลือกนิ่ม เมล็ดภายในผลมีลักษณะกลม ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแดดจัด ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---ใช้กิน ผลสุกรสหวานกินได้ และผลเป็นอาหารของสัตว์ป่า -ใช้เป็นยา เป็นสมุนไพรพื้นบ้านอีสาน รากนำมาต้มใช้เป็นยารักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้เล็ก แก้โรคไตพิการ รากใช้ผสมกับรากหญ้าคา เหง้าเอื้องหมายนา และลำต้นอ้อยแดง นำมาต้มกับน้ำให้สตรีที่ผอมแห้งแรงน้อยดื่มเป็นยาบำรุงโลหิต กินอาหารไม่ได้ ปัสสาวะขุ่นข้น รากมีสาร alcaloid ที่มีฤทธิ์ต่อต้านเซลล์มะเร็ง ระยะเวลาออกดอก--- เมษายน-สิงหาคม การขยายพันธุ์--- เพาะเมล็ด
|
นวลเขา/Polyalthia rumphii
ชื่อวิทยาศาตร์---Huberantha rumphii (Blume ex Hensch.) Chaowasku.(2015) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Basionym: Guatteria rumphii Blume ex Hensch.(1833) ---Polyalthia rumphii (Blume ex Hensch.) Merr.(1923) ---More.See all http://powo.science.kew.org/taxon/77146167-1 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---นวลเขา ; [CHINESE: Xiāng huā àn luō, Dà huā àn luō];[THAI: Naun khao.]. EPPO Code---HUHRU (Preferred name: Huberantha rumphii.) ชื่อวงศ์--- ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน บังคลาเทศ มาเลเซีย บอร์เนียว สุมาตรา ฟิลิปปินส์ โมลุกกะ หมู่เกาะโซโลมอน Huberantha rumphii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ จากอดีต August Wilhelm Eduard Theodor Henschel (1790 -1856) แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยTanawat Chaowasku ธนาวัฒน์ เชาว์สกุล ( fl. 2006) นักพฤกษศาสตร์ชาวไทย ในปี พ.ศ.2558 ที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นตามธรรมชาติในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน (กวางตุ้ง, ไหหลำ )ในประเทศฟิลิปปินส์ในมาเลเซีย , อินโดนีเซีย ,ปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน ที่ระดับความสูง 600-1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 10-15เมตร แตกกิ่งระดับสูง กิ่งขนานกับพื้นดิน เปลือกเรียบสีน้ำตาลปนเทากิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลเนื้อไม้เปราะ ใบรูปหอกแกมขอบขนาน ออกตรงซอกใบใบกว้าง 3-7 ซม.ยาว 10-17 ซม. ก้านใบยาว 5-12 มม. โคนใบและปลายใบแหลม แผ่นใบสีเขียวเข้มหนาและเหนียวเล็กน้อย ดอกอ่อนสีเขียวนวล เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลืองผลเป็นผลกลุ่ม ผลรูปไข่กว้าง 0.5 ซม.ยาว 1 ซม.ผลแก่สีม่วงเข้ม ใช้ประโยชน์--- เนื้อไม้นำมาใช้ในงานก่อสร้างและใช้ทำเชื้อเพลิง ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม- ตุลาคม/ผลแก่---กรกฎาคม-เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด หมายเหตุ นวลเขามีความใกล้เคียงกับ Polyaltha jenkinsii แตกต่างกันเด่นชัดที่กลีบเลี้ยง นักพฤกษศาสตร์บางท่านได้ยุบรวมกันไว้ใน Polyaltha jenkinsii
นวลเสี้ยน/Aporosa dioica
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Aporosa dioica (Roxb.) Mull.Arg.(1866) ชื่อพ้อง--- This name is a synonym of Aporosa octandra (Buch.-Ham. ex D.Don) Vickery . ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-13228 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---นวลเสี้ยน (สุราษฎร์ธานี); ขนตาช้าง (ชุมพร); ครอบใบใหญ่ (ตรัง); ส้มกุ้งใหญ่ (ราชบุรี); [CHINESE: Yín chái, dà shā yè, Tián táng mù, Shān kāfēi, Zhàn mǐ chì shù, Hòu pí wěn.];[THAI: Naun siean];[VIETNAM: Cây Thầu Táu, Thàu táu đài nhỏ, Ngăm, Chi hờ cung (KHo).] EPPO Code---ZPSSS (Preferred name: Aporosa sp.) ชื่อวงศ์--- EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ภูฏาน เนปาล พม่า จีนตอนใต้ ไทย มาเลเซีย ลาว เวียตนาม Aporosa dioica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Johannes Muller Argoviensis (1828-1896)นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2409 ที่อยู่อาศัย ในประเทศจีนพบที่มณฑลกวางตุ้ง, ไหหลำ, กวางสี, ยูนนาน มีการกระจายใน อินเดีย ภูฏาน เนปาล พม่า ไทย มาเลเซีย ลาว เวียตนาม กิดในป่าโปร่งและขอบป่าหรือพุ่มไม้เนินเขา ที่ระดับความสูงต่ำกว่า 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กไม่ผลัดใบสูงได้ประมาณ 7-9 เมตร ใบเดี่ยว ยาว 6-12 ซม., กว้าง 3.5-6 ซม.ออกเรียงสลับ รูปไข่กลับ ปลายใบมนโคนใบกลมหรือรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 5-12 มม. ยอดอ่อนมีขนเล็กน้อย ใบแก่ไม่มีขน ดอกขนาดเล็กช่อดอกแคบยาวกลุ่มละหลายช่อ ผลสดรูปรียาว 1-1.3 ซม มีขนสั้น แห้งไม่แตก มีเมล็ดแบนรูปไข่ยาว 9 มม. และกว้าง 5.5 มม.ไม่มีเนื้อหุ้ม ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ชาวเวียตนาม ใช้ชิ้นส่วนของต้นไม้เพื่อรักษาวัณโรคและหยุดเลือด ในกัมพูชาเปลือกไม้ ใช้สำหรับรักษาฟันผุ รากร่วมกับสมุนไพรอื่น ๆ เพื่อรักษาโรคหลังคลอด- ในประเทศจีน (ยูนนาน) ใบไม้ใช้รักษามะเร็ง -อื่น ๆไม้สีน้ำตาลเข้ม แข็งมาก ลายไม้ชิด ทนต่อแมลง เหมาะสำหรับทำอุปกรณ์การเกษตร ระยะออกดอก---เกือบตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
นากบุด/Mesua nervosa
ชื่อวิทยาศาตร์---Mesua nervosa Planch. & Triana.(1861).This name is unresolved, ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. See all http://www.catalogueoflife.org/annual-checklist/2014/details/species/id/16764944 ---Kayea nervosa (Planch. & Triana) T. Anders.(1874) ชื่อสามัญ---Ironwood, Chestnut ironwood, Rose chestnut ชื่ออื่น---นากบุด, นาคบุตร ; [THAI: Naak boot (Nak but).] EPPO Code---MSUSS (Preferred name: Mesua sp.) ชื่อวงศ์---CALOPHYLLACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ประเทศไทย Mesua nervosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Calophyllaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJules emile Planchon (1823 –1888) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและ José Jerónimo Triana Silva (1828–1890) นักพฤกษศาสตร์ชาวโคลัมเบียในปี พ.ศ.2404 ที่อยู่อาศัยไม้พื้นเมืองอยู่ในป่าดิบชื้นของภาคใต้พบทั่วไปตามป่าดิบที่ต่ำ สูง 200 เมตร ตามสันเขาหรือที่เปิด จ.สุราษฎร์ธานี พังงา สงขลา ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบสูง 10-25 เมตร แตกกิ่งเล็กจำนวนมากทรงพุ่มแน่นทึบรูปกรวยคว่ำ เปลือกสีน้ำตาลอมแดงแตกเป็นแผ่นเล็ก ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้ามรูป ขอบขนาน กว้าง 2-3.5 ซม. ยาว 5-9 ซม.ขอบใบเป็นคลื่น แผ่นใบหนาแข็งกรอบ ผิวมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก 1-3 ดอก สีขาวขนาด 3-4 ซม. คล้ายบุนนาค กลีบเลี้ยงมีขนาดใหญ่และหนาสีเขียวอ่อน รูปไข่กว้างถึงค่อนข้างกลม ยาว 8-10 ซม. ไม่เท่ากัน กลีบดอก 4 กลีบ รูปไข่กว้าง ปลายทู่ มักโค้งเข้าใน กว้าง 5-8 มม.ยาว 10-15 ซม กลีบดอกบาง มีเกสรเพศผู้สีขาวจำนวนมาก ดอกบานพร้อมกันหรือทะยอยบานทั้งกระจุก บานวันเดียวแล้วโรย กลิ่นหอมอ่อนๆช่วงกลางวันจนถึงกลางคืน ผลรูปรี มีจะงอยสั้นหรือรูปไข่ถึงกลม กว้าง 1.5-2.5 ซม. ยาว 2.5-3.5 ซม. ปลายมีก้านเกสรตัวเมียเล็กติดอยู่ ก้านผลแข็งยาวประมาณ 1 ซม. มีกลีบเลี้ยงหนาสีเขียวอมน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลอมเหลืองติดอยู่ที่โคน ผลแก่สีดำ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน ดินร่วนที่อุดมสมบูรณ์และระบายน้ำได้ดี ต้องการน้ำในปริมาณมาก เป็นพรรณไม้ที่โตช้ามาก จะนำมาปลูกควรปลูกในที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ใช้ประโยชน์ -ใช้กินได้ ใบอ่อนกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ใช้ส่วนต่างๆ ของลำต้น เปลือก ดอก ผล ต้น ราก ใบ ปรุงเป็นยาสมุนไพรรักษาโรค -ใช้ปลูกประดับ เป็นไม้ดอกสวยงามมีกลิ่นหอม ทรงพุ่มแน่นทึบ นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับ ในที่พักอาศัยและสวนทั่วไป -อื่นๆ เนื้อไม้สีขาวนวล มีความแข็งและเหนียว แข็งแรงทนทาน ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ หรือวัสดุอื่นๆ สำคัญ---เป็นพรรณไม้ ประจำสถาบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช ระยะออกดอก---กุมภาพันธ์-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
นางแดง/Mitrephora maingayi
ชื่อวิทยาศาตร์---Mitrephora maingayi Hook.f.& Thomson.(1872) ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Mitrephora teysmannii Scheff.(1870) ---See The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2362563 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---นางแดง ;[CHINESE: Shān jiāo, bā dá, dà qù dé shǐ.];[MALAYSIA: Mempisang, Meribut Daun Besar (Malay).];[THAI: Nang daeng (General).];[VIETNAM: Moạ đài mai ngay.] EPPO Code----MZTMA (Preferred name: Mitrephora maingayi) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ, บอร์เนียว, กัมพูชา, ลาว, ไทย, มาเลเซีย, พม่า, เกาะสุมาตราและเวียดนาม Mitrephora maingayi เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878)ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2415 ที่อยู่อาศัย พบในบังคลาเทศ, บอร์เนียว, กัมพูชา, ลาว, ไทย, มาเลเซีย, พม่า, เกาะสุมาตราและเวียดนาม เติบโตขึ้นในป่าภูเขา ที่ระดับความสูง 600-1,500 เมตร ในประเทศไทยพบ ขึ้นกระจายอยู่ในป่าดิบแล้งทางภาคเหนือที่ระดับความสูง 300-700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลาง สูง 10-20เมตร ทรงต้นกลมสวยงาม เปลาตรงโคนต้นเป็นพูพอนเปลือกสีดำ แตกกิ่งจำนวนมากในระดับสูงเป็นพุ่มกลม กิ่งอ่อนสีดำและมีขนอ่อนหนาแน่น ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง 4-6.5 ซม.ยาว 14-20 ซม.โคนใบมนเบี้ยว ปลายใบแหลม ใบหนา แข็ง ใบด้านบนเรียบเป็นมัน ใบด้านล่างมีขนสากมือ ดอก ออกเป็นกระจุก3-9ดอก ดอกสีเหลืองเข้ม มีลายประสีม่วงเข้มตามความยาวของกลีบมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ขนาดดอกบาน 3.5-4 ซม. ผลกลุ่ม มี 6-10 ผล ผลกลมรียาว 1.5-2 ซม.เมื่อผลแก่สีเหลืองอมเขียว มี 10-12 เมล็ด ใช้ประโยชน์---ปลูกเป็นไม้ประดับ ดอกดก สวยงาม ออกดอกบานพร้อมกันทั้งต้น -ใช้อื่น ๆ ดอกทำเป็นเครื่องหอม เนื้อไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก/ติดผล---กุมภาพันธ์-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด เสียบยอดและทาบกิ่งโดยใช้มะป่วนเป็นต้นตอ
นางเลว/Cyathocalyx martabanicus var. harmandii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Cyathocalyx martabanicus Hook. f. & Thomson var. harmandii Finet & Gagnep.(1906) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms. ---Basionym: Cyathocalyx harmandii (Finet & Gagnep.) R.J.Wang & R.M.K.Saunders.(2010.) ---See all http://legacy.tropicos.org/Name/100318752 ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น--- กล้วย (ชัยภูมิ) เต็งหิน (ชุมพร) สะบันงาดง สาแหรก (ลำปาง นครสวรรค์) แสลง (พิษณุโลก) อีเลว (จันทบุรี) EPPO Code---KXYSS (Preferred name: Cyathocalyx sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ไทย มาเลเซีย Cyathocalyx martabanicus var. harmandii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Achille Eug?ne Finet.(1863 -1913) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสและ Francois Gagnepain (1866-1952 )นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2449 ที่อยู่อาศัย มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ตามป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้งของประเทศมาเลเซีย ในประเทศไทยพบขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่ความสูงจากระดับทะเลปานกลาง 10–400 เมตร.เป็นไม้ต้นที่มีสถานภาพเป็นไม้หายาก ลักษณะ นางเลวเป็นไม้ยืนต้นสูง10-30(-40)เมตร ลักษณะ เปลือกต้นหนาลำต้นสีน้ำตาลเข้ม กลื่นฉุน โคนลำต้นเป็นพูตามยาว แตกกิ่งขนานกับพื้นดินเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งอ่อนเรียบ เนื้อไม้เหนียวมาก ใบเดี่ยวออกเรียงสลับ รูปรีกว้าง 6-9 ซม.ยาว 12-17 ซม.โคนใบรูปลิ่มปลายใบแหลม ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. เนื้อใบหนา ผิวใบด้านล่างเห็นเส้นกลางใบและเส้นแขนงใบเป็นนูนชัด ดอกออกเป็นกระจุก 2-3 ดอกตามกิ่งตรงข้ามใบ ก้านดอกยาวประมาณ 0.5 ซม กลีบดอกสีเหลืองอมเขียว 6 กลีบ เรียงเป็น 2 ชั้นๆ ละ 3 กลีบ รูปขอบขนาน ยาว 1.5–2 ซม. ผล รูปทรงกระบอก เปลือกหนาแข็ง ผิวเรียบ กว้างประมาณ 3 ซม. ยาว 5–6 ซม. ผลสุกสีม่วงแดง มี 10 เมล็ด เรียงเป็น 2 แถว เมล็ดรูปกลมแบน ตรงขอบเป็นรอยเว้า เปลือกเมล็ดเรียบ ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา เข้ากับเครื่องยาและส้มป่อย เป็นยาระบาย -อื่น ๆ เนื้อไม้สดติดไฟได้นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ก่อไฟในฤดูฝน ระยะออกดอก/ติดผล--กุมภาพันธ์ - มีนาคม/ผลแก่เดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ปีถัดไป ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
เนียน/Popowia pisocarpa
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Popowia pisocarpa (Blume) Endl ex Walp.(1842) ชื่อพ้อง---Has 9 Synonyms ---Bocagea pisocarpa (Blume) Blume.(1830) ---Popowia ramosissima Hooker & Thomson.(1855) ---More. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2407264 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เนียน ; [CHINESE: Jia ling hua];[THAI: Nian.]. EPPO Code---PPWPI (Preferred name: Popowia pisocarpa.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ Popowia pisocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Stephan Ladislaus Endlicher (1804- 1849) นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรีย จากอดีต Wilhelm Gerhard Walpers (1816–1853) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ.2385 ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นตามธรรมชาติในภาคใต้ของประเทศจีน( กวางตุ้ง, ไหหลำ) พม่า, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ในประเทศไทยพบในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 300-800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง 3-7เมตร เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง ลักษณะทรงต้น แตกกิ่งจำนวนมากขนานกับพื้นดิน กิ่งอ่อนมีขนปกคลุมสีน้ำตาลเข้ม กิ่งแก่มีขนน้อยลง เปลือกหนาและมีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เหนียว ใบรูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 2.65-5 ซม.ยาว 7-14 ซม.โคนใบเบี้ยว ปลายใบแหลมและมีติ่งยาว ใบบางเหนียวเกลี้ยงทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อแบบกระจุกตรงข้ามใบ 2-3 ดอก ดอกอ่อนสีเขียวนวล เมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีขาวนวล ดอกบานขนาด 4-5 มม. ผลเป็นผลกลุ่มมี 2-4 ผลรูปกลมขนาด 0.8-1 ซม.มี1เมล็ด ใช้ประโยชน์--- เนื้อไม้นำมาใช้ทำเชื้อเพลิง ดอกมีกลิ่นหอมมากใช้ทำน้ำหอม ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-กรกฎาคม/ผลแก่-กันยายน-พฤศจิกายน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
บานชุม/ Disepalum pulchrum
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Disepalum pulchrum (King) J. Sinclair.(1955) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-1602270 ---Basionym: Polyalthia pulchra King.(1892) ---Disepalum pulchrum var. angustifolium (King) J.Sinclair.(1955) ---Enicosanthellum pulchrum (King) Heusden.(1988) ---Polyalthia pulchra var. angustifolia King.(1893.) ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---บานชุม ;[THAI: Ban choom.]. EPPO Code: 1ANNF (Preferred name: Annonaceae) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ตอนใต้ของประเทศไทย ตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย Disepalum pulchrum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยGeorge King (1840–1909) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในอินเดียและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย James Sinclair (1913–1968) นักพฤกษศาสตร์ชาวสกอตแลนด์ ในปี พ.ศ.2498 ที่อยู่อาศัย พืชสกุลใหม่ในวงศ์กระดังงาที่ยังไม่เคยมีรายงานการค้นพบในประเทศไทยมาก่อนคือพรรณไม้ในสกุลบานชุม พบบริเวณสันเขาที่กั้นแนวชายแดนระหวางประเทศไทย – มาเลเซีย ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา จังหวัดนราธิวาส ที่ระดับความสูงเฉลี่ย 900 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง3-5เมตร ใบเรียบหนาเป็นมันยาว15-18ซม. ออกดอกที่ปลายกิ่ง เมื่อบานสีเขียวนวล มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลกลุ่ม มีผลย่อย 13-100ผล รูปทรงรียาว2ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบอากาศเย็นและชื้นจัด จึงควรปลูกในพื้นที่ระดับสูงที่เป็นดินร่วนระบายน้ำดี ใช้ประโยชน์---เป็นพรรณไม้ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์ในประเทศไทย การขยายพันธุ์ต่ำและค่อนข้างเป็นไปได้ยากทั้งโดยเมล็ดและการเสียบหรือทาบกับต้นไม้ชนิดอื่น จึงควรเร่งขยายพันธุ์ ปลูกเลี้ยงและบำรุงรักษา ภัยคุกคาม---ไม่ได้รับการประเมินชนิดมีอยู่ จัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท "ไม่ได้รับการประเมิน" สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated - IUCN Red List of Threatened Species 1998 ระยะออกดอก---เดือนสิงหาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---โดยการเพาะเมล็ดและปักชำกิ่ง
บุหงาหยิก/Goniothalamus sawtehii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Goniothalamus sawtehii C. E. C. Fisher.(1927) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ---See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2829754 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---บุหงาหยิก, ปาหนันใหญ่ ;[THAI: Bu-nga yik, Panan yai.]. EPPO Code---GJOSS (Preferred name: Goniothalamus sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พม่าและไทย Goniothalamus sawtehii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Cecil Ernest Claude Fischer (1874–1950) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2470 ที่อยู่อาศัยเป็นพืชเฉพาะถิ่นในประเทศไทยพบเฉพาะในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ที่ระดับความสูงตั้งแต่200-800เมตรขึ้นไป ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็กสูง 4-6 เมตร ลักษณะเปลือกต้นสีน้ำตาลปนดำ แตกเป็นร่องตื้นบิดตามแนวยาว กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาล แตกกิ่งน้อย มีใบเฉพาะส่วนปลายกิ่ง ใบรูปขอบขนานแกมไข่กลับ มีขนมากใบหนาขอบใบเรียบ ใบอ่อนมีขนทั้งสองด้าน ใบแก่ผิวเรียบ ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวออกตามกิ่งแก่ มีกลีบดอก 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบชั้นนอกจะมีขนาดใหญ่กว่ากลีบชั้นใน เนื้อกลีบชั้นนอกหนาและดอกห้อยลง ดอกอ่อนสีเขียวเมื่อบานเป็นสีเหลืองอมเขียวและปลายแยกออกจากกัน ดอกมีกลิ่นหอมในช่วงใกล้โรย ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 6-10 ผลรูปกลมรีเปลือกเรียบ เมื่อแก่สีเขียวอมเหลือง ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบร่มรำไรและต้องการความชื้นสูง ดินชื้นสม่ำเสมอ ใช้ประโยชน์---นิยมปลูกประดับทั่วไป ระยะออกดอก---เดือนกรกฎาคม-เดือนตุลาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
ใบเบี้ยว/Miliusa amplexicaulis
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา-หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Miliusa amplexicaulis Ridl.(1910) ชื่อพ้อง---This name is unresolved.See The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2364640 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ใบเบี้ยว, [THAI: Bai biao (General).]. EPPO Code---MZASS (Preferred name: Miliusa sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---คาบสมุทรมาเลเซีย Miliusa amplexicaulis เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Henry Nicholas Ridley (1855–1956) นักพฤกษศาสตร์และนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2453 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรมาเลเซีย ขึ้นในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ ที่ระดับความสูง 200-400เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก สูง2-3 เมตร เปลือกต้นมีกลิ่นฉุน สีน้ำตาลอมดำ แตกกิ่งน้อยเนื้อไม้เหนียว ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ กว้าง5-8ซม.ยาว10-20ซม. โคนใบหยักเว้า ปลายใบเรียวแหลมและมีติ่งแหลม ยาว1-3ซม. ดอกเดี่ยวหรือช่อ1-3ดอก ดอกสีขาวนวล ดอกบานมีขนาด0.8-1ซม. ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย6-12ผล ผลอ่อนสีขาว ผลแก่สีม่วงแดงแล้วเปลี่ยนเป็นดำ เปลือกนิ่ม มี1เมล็ด ภัยคุกคาม---ไม่ได้รับการประเมินชนิดมีอยู่ จัดไว้ใน IUCN Red Lis ประเภท "ไม่ได้รับการประเมิน" สถานะการอนุรักษ์---NE -Not Evaluated - IUCN Red List of Threatened Species 1998 ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดปี/ผลแก่---หลังจากดอกบาน 3-4เดือน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
ปรก/Altingia siamensis
ชื่อวิทยาศาตร์---Altingia excelsa Noronha.(1790) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2631672 ---Liquidambar altingiana Blume.(1961) ---Liquidambar excelsa (Noronha) Oken.(1841) ---Liquidambar rasamala Blume.(1823) ชื่อสามัญ---Rasamala ชื่ออื่น---ปรก, กระตุก, ตำยาน, ยาน ; [CHINESE: Lian jian tan shu, Xì qīng pí.].[THAI: Prok, Kratook,Tamyan,Yan.]. EPPO Code---AJGEX (Preferred name: Altingia excelsa.) ชื่อวงศ์---ALTINGIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Altingiaได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Willem Arnold Alting (1724–1800) ผู้ว่าราชการทั่วไปของดัตช์อีสต์อินดีสเมื่อNoronhaเยี่ยมชมJava Altingia excelsa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Altingiaceaeได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francisco Noronha (1748-1788)แพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนในปี พ.ศ.2333 ที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นตามธรรมชาติในป่าชื้นที่ระดับความสูง 1,000 - 1,200 เมตรในประเทศจีน (กวางตุ้ง, ยูนนาน) ไทย ลาว กัมพูชา เวียตนาม ในประเทศไทยพบในภาคเหนือ ภาคตะวันออและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบในป่าชั้นต้นและป่าชั้นรองมักพบในดินลึกตามลำธารที่ระดับความสูง600- 700 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 40-50 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 20–100 ซม. เปลือกค่อนข้างเรียบสีเทาแกมน้ำตาล แตกล่อนเป็นร่องตามยาว ใบเดี่ยวรูปไข่แกมใบหอก 6-8 (–12) × 2.5–4 ซม. เรียงสลับ ก้านใบ 1-2 ซม.ดอกช่อแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน ช่อดอกเพศผู้รูปไข่หรือรูปกลม ช่อดอกเพศเมียออกเดี่ยวๆ ก้านช่อดอก 1-2 ซม. ผลแห้งรูปครึ่งทรงกลม กว้าง 1.5–2 ซม.ยาว2-4 ซม สีน้ำตาลอ่อน มีเมล็ดจำนวนมาก เมล็ดมีปีกบาง ใช้ประโยชน์--- เมื่อสับเปลือกเป็นแผลทิ้งไว้จะหลั่งน้ำยางสีดำออกมา บางส่วนจะตกผลึกเป็นเกล็ดใส มีกลิ่นหอมมาก ชาวบ้านใช้น้ำยางหรือผลึกแต่งกลิ่นยาและขนม และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอม -อื่น ๆ ไม้สามารถทนต่อปลวกและแมลง ใช้สำหรับการก่อสร้างและการสร้างเรือ ระยะออกดอก/ติดผล---ธันวาคม-มกราคม/ผลแก่เดือน-- มกราคม - มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ประคำดีควาย/Sapindus emarginatus
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Minister พิมพ์ครั้งที่1 พฤษภาคม 2542 จัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ ดร.สง่า สรรพศรี ชื่อวิทยาศาตร์---Sapindus rarak DC.(1824) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-28601622 ---Dittelasma rarak (DC.) Benth. & Hook. f.(1862) ---Sapindus rarak var. rarak ชื่อสามัญ---Soapberry, Soap nut tree, Notched Leaf Soapnut, Soapnut Tree. ชื่ออื่น---มะคำดีควาย, ประคำดีควาย (ภาคกลาง), มะซัก ส้มป่อยเทศ (ภาคเหนือ), ชะแซ ซะเหล่เด (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ;[ASSAMESE: Am-selenga.];[BHUTAN: Nakapani, Kiling shing, Ritha.];[CHINESE: Máo bàn wú huàn zi.];[INDONESIA: Rerek, Lerak, Rerak, Klerek, Werek, Buah sabun, Buah lemuran, Lamuran.];[MALAYSIA: Buah perak (Malay).];[THAI: Pra kham di kwai, Ma kham di khwai(Central, Peninsular); Masak, Sompoi thet (Northern); Cha-sae, Sa-le-de (Karen-Mae Hong Son).]. EPPO Code---SAKRA (Preferred name: Sapindus rarak.) ชื่อวงศ์---SAPINDACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีนตอนใต้ อนุทวีปอินเดีย พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม Sapindus rarak เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ soapberry (Sapindaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Augustin Pyrame de Candolle (1778?1841) นักพฤกษศาสตร์ชาวสวิสในปี พ.ศ.2367
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอนุทวีปอินเดียไปยังประเทศจีน (ยูนนาน) และคาบสมุทรมาเลเซีย เป็นต้นไม้กระแชงของป่าโปร่งที่ระดับความสูง 500 - 2,100 เมตร ในประเทศไทยมักพบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณชื้น ป่าดิบแล้งของทุกภาค ลักษณะ เป็นไม้ต้นสูงได้ถึง10- 30 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ ตามส่วนต่างๆของลำต้นเกลี้ยง เปลือกค่อนข้างเรียบ หรือแตกเป็นร่องยาวตามแนวของลำต้น สีน้ำตาลอมเทาใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ มีใบย่อย 2-4 ใบ ใบย่อยรูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน กว้าง 5-7 ซม.ยาว 10-14 ซม. ค่อนข้างหนา โคนใบสอบและมน ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบเรียบสีเขียวเข้ม ท้องใบสีจางกว่า ใบมีสีเขียวคล้ายใบทองหลาง ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง ดอกสีขาวแยกเพศอยู่ร่วมต้นเดียวกัน (Monoecious) กลีบดอก 4 กลีบ ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 8 อัน มีขนที่ก้านชูอับเรณู รังไข่ในดอกเพศเมีย ผิวเรียบ ผลค่อนข้างกลมเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5-2 ซม.ผิวเรียบหรือมีรอยย่นที่ขั้วผล ผลสดสีเขียวแกมส้ม เมื่อสุกกลายเป็นสีดำ ผลมีพู 3 พู และมักจะฝ่อไป 1-2 พู เนื้อในผลมีลักษณะเหนียว ใส เป็นสีน้ำตาล และมีรสหวาน ภายในมีเมล็ดกลมสีดำ1เมล็ด มีเปลือกแข็งหุ้ม เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.2-1.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบตำแหน่งกลางแดด ทนทานต่อดินที่มีการระบายน้ำได้ดี รวมทั้งดินที่แห้ง เป็นหิน และขาดสารอาหาร อัตราการเจริญเติบโต เร็ว ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ผลซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยซาโปนิน รู้จักกันดีในการใช้ประโยชน์ในฐานะผงซักฟอกแบบดั้งเดิม เมล็ดมีซาโปนินเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดฟอง และทำหน้าที่เป็นตัวแทนการชะล้าง มีการใช้เป็นยา และเป็นสายพันธุ์บุกเบิก -ใช้กินได้ ชาวลั้วะใช้ใบนึ่งกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา ใบรสเฝื่อนขมแก้ทุราวะสา (อาการที่น้ำปัสสาวะผิดปกติ) แก้พิษกาฬ- ผลใช้รักษาชันนะตุบนศีรษะ แก้เชื้อรา แก้รังคา (โรคผิวหนังพุพองบนศีรษะเด็ก)- ใช้เนื้อผล 1 ผล นำมาตีกับน้ำจนเกิดเป็นฟอง แล้วใช้สระผมวันละ 1 ครั้งช่วยป้องกันผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย แก้อาการคันหนังศีรษะ ช่วยลดความมันบนหนังศีรษะ บำรุงรากผมให้แข็งแรง ช่วยขจัดตัวเหา ไข่เหา หรือนำไปหมักเอาน้ำทาแก้โรคสะเก็ดเงิน- ใช้ผลแห้งนำไปคั่วให้เกรียม ใช้ปรุงเป็นยาดับพิษทุกชนิด แก้พิษตานซาง แก้กาฬ แก้กาฬภายใน แก้ไข้เลือดออก แก้ไข้เซื่องซึม-เปลือกต้นมีรสเฝื่อนขม ต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้กระษัย ผลใช้ภายนอกในการรักษาโรคหิด ฯลฯ -วนเกษตร ใช้ปลูกเป็นสายพันธุ์บุกเบิกในภาคเหนือของประเทศไทยในโครงการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูป่าไม้พื้นเมือง -อื่น ๆ แก่นไม้เป็นสีเทาอมเหลือง กระพี้สีขาวเหลือง ไม้เนื้อแข็ง แต่ไม่คงทน ใช้สำหรับการทำเฟอร์นิเจอร์, กระดานเลื่อย, ไม้อัด, และบอร์ด -เมล็ดต้มแล้วเกิดฟอง ใช้ในการชะล้างแทนสบู่ หรือนำไปซักผ้า ทำความสะอาดเครื่องใช้ต่าง ๆ -เมล็ดแข็งใช้ทำลูกประคำ กระดุม ลูกปัด -ผลมีความเป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็น โดยเฉพาะปลา จึงนำมาใช้เป็นยาเบื่อปลา ใช้กำจัดหอยเชอรี่ในนาข้าว และใช้เป็นยาฆ่าแมลง -รู้จักอันตราย ห้ามกินผลจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน มีอาการท้องร่วง ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร การนำมาใช้สระผม ต้องระวังอย่าให้เข้าตา เพราะจะทำให้แสบตา ตาอักเสบได้ และไม่ควรทิ้งไว้นานจนเกินไป ไม่ควรใช้ในปริมาณมากหรือใช้บ่อยจนเกินไป หากใช้แล้วให้ล้างออกให้หมด มิฉะนั้นอาจทำให้ผมร่วงได้ และเมื่อใช้รักษาจนหายแล้วก็ให้เลิกใช้ ระยะออกดอก/ติดผล---พฤศจิกายน - มีนาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
ประดู่ส้ม/Bischofia javanica
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Bischofia javanica Blume.(1827) ชื่อพ้อง---Has 14 Synonyms ---Bischofia trifoliata (Roxburgh) Hooker.(1851) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-22243 ชื่อสามัญ---Bishop wood, Java Cedar, Javanese bishopwood, Toog Tree. ชื่ออื่น---ดู่ส้ม (กาญจนบุรี, นครราชสีมา), ดู่น้ำ ประดู่ส้ม (ชุมพร), ประส้มใบเปรี้ยว ประดู่ใบเปรี้ยว (อุบลราชธานี), ยายตุหงัน (เลย), กระดังงาดง (สุโขทัย), จันบือ (พังงา), ส้มกบ ส้มกบใหญ่ (ตรัง), กุติ กุตีกรองหยัน กรองประหยัน ขมฝาด จันตะเบือ ย่าตุหงัน (ยะลา), ยายหงัน (ปัตตานี), ไม้เติม (คนเมือง) ; [CHINESE: Chóng yáng mù, Qiū fēng.];[FRENCH: Uriam d'Assam.];[MYANMAR: Aukkyu, Aukkywe, Hka-shatawi, Kywe-tho, Po-gaungsa, Tayok-the, Ye-padauk, Yepadon.];[THAI: Doo som, Doo nam, Pradoo som.]. EPPO Code---BIHTR (Preferred name: Bischofia javanica.) ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย พม่า หมู่เกาะอันดามัน ไทย ลาว เวียตนาม จีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเล์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย Bischofia javanica เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัว Euphorbiaceae ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Ludwig von Blume. (1789–1862) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน - เนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2370
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดียจีนและมาเลเซียกระจายไปทั่วภาคใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังออสเตรเลียเมลินีเซียและยังอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ พบทั่วไปมักอยู่ใกล้ลำธารน้ำตามป่าเบญจพรรณชื้นและป่าดงดิบที่ความสูง100-1,200เมตร ในประเทศไทยพบเป็นไม้ขนาดใหญ่ที่ยังคงเหลืออยู่ในป่าเสื่อมโทรม ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ กึ่งผลัดใบ สูงถึง35-40เมตร เรือนยอดแน่นทึบ ลักษณะของประดู่ส้มมีลำต้นอ้วนสั้นและคดงอ เปลือกต้นสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแดง เมื่อต้นอายุมากจะเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นผิวต้นจะมีเกล็ดใบ ประกอบแบบใบย่อย3ใบ ใบย่อยขนาดกว้าง4-9ซม.ยาว7-15ซม.ขอบใบเป็นหยักซี่โดยเฉพาะที่ปลายใบ ใบแก่บางเหนียวสีเขียวเข้ม เรียบเกลี้ยงใบที่อายุมากสีแดงสด ดอกสีเหลืองอมเขียวมีขนาดเล็กออกเป็นช่อที่มีแขนงมากจนดูเป็นกลุ่มใหญ่ ช่อยาว7-30ซม.แยกเพศแยกต้น ผลห้อยเป็นช่อใหญ่ๆ ขนาดผลย่อย0.5-1ซม.สีเขียวเข้มสุกเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ผลกลม เหนียว ผนังด้านในแข็งเปราะ ไม่แตก เมล็ดเป็นมัน2-4เมล็ด การใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ ยอดอ่อนมีรสเปรี้ยวใช้ปรุงอาหาร ผลสุกกินได้มีรสเปรี้ยวฝาด ผลนำมาใช้ในการทำไวน์ -ใช้เป็นยา รากใช้เป็นยารักษาโรคไขข้ออักเสบและมาลาเรีย เปลือกต้นหรือยอดอ่อนนำมาต้มกับน้ำดื่มแก้อาการท้องเสีย ดอกช่วยแก้ลมจุกเสียด อาการท้องขึ้น ท้องอืดท้องเฟ้อ ใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด ใบช่วยแก้ตับอักเสบเนื่องจากติดไวรัส ใบใช้ภายนอกเป็นยาแก้ฝีหนอง ;-ในอินเดีย น้ำจากใบใช้รักษาแผล;-ในประเทศจีน ใบใช้รักษาแผลและฝี; ยางจากก้านถูกนำไปใช้กับแผล ผลไม้ใช้เป็นยาบำรุงสำหรับทารก และรากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ -อื่น ๆเนื้อไม้สีเทาแกมน้ำตาลไหม้ เนื้อหยาบ แข็งใช้งานได้นาน แต่ทำให้แห้งโดยอากาศได้ยาก ใช้ทำพื้นกระดาน อุปกรณ์ใช้งานทนน้ำได้เช่นแจว พาย เหมาะสำหรับงานก่อสร้างอื่นเช่น สะพาน เครื่องเฟอร์นิเจอร์ ใช้สร้างบ้าน -เปลือกมีสารแทนนินมาก ใช้ย้อมให้สีแดง ใช้ย้อมตะกร้าเครื่องเรือนที่ทำด้วยหวายหรือไม้ไผ่ โดยจะให้สีชมพู ระยะออกดอก/ติดผล---สิงหาคม-ธันวาคม/มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ประยงค์ป่า/Aglaia lawii
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Aglaia lawii (Wight) C.J. Saldanha ex Ramamoorthy.(1976) ชื่อพ้อง---Has 47 Synonyms ---Basionym: Nimmoia lawii Wight.(1847) ---Aglaia littoralis Zippelius ex Miq.(1868) ---Amoora korthalsii Miq.(1868) ---Amoora lawii (Wight) Beddome.(1871) ---Aglaia eusideroxylon Koord. & Valeton.(1895) ---More.See all The Plant Listhttp://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2626389 ชื่อสามัญ---Law's aglaia ชื่ออื่น---ประยงค์ป่า สังกะโต้ง สังเครียด ;[INDONESIA: Kanomogon, Lantupak, Ngitonok (Borneo).; Lasih (Sumatra), kayu jangan (Sulawesi); langsat lutung (Java); aisnepapir (Biak, Irian Jaya).];[MALAYALAM: veḷḷaccīrāḷaṁ];[MALAYSIA: Bekak (Peninsular), lasat-lasat (Dayak, Sabah), segera (lban, Sarawak).];[MYANMAR:Tagat-thitto.];[PHILIPPINES: Talisaian (lbanag), salotoi (Ibanag), sulmin (Tagalog).];[THAI: Prayong paa, Sang katong (Peninsular).];[VIETNAM: Gội bốn cánh.]. EPPO Code---AFALA (Preferred name: Aglaia lawii.) ชื่อวงศ์---MELIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย ภูฏาน อัสสัม พม่า จีนตอนใต้ ลาว กัมพูชา เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ ฟิลิปปินส์ ตั้งแต่อินโดนีเซียจนถึงนิวกินีและหมู่เกาะโซโลมอน Aglaia lawii เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระท้อนหรือมะฮอกกานี (Meliaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Robert Wight (1796–1872)นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Cecil John Saldanha (1926–2002)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษที่ทำงานอยู่ในอินเดีย จากอดีต Thennilapuram Parasuraman (1945-)นักพฤกษศาสตร์ชาวอินเดียในปี พ.ศ.2519 มี2สายพันธุ์ย่อย ดังนี้; ---Aglaia lawii subsp. oligocarpa (Miq.) Pannell ---Aglaia lawii subsp. submonophylla (Miq.) Pannell
ที่อยู่อาศัย พบในภูฏาน , บรูไน , จีน , อินเดีย , อินโดนีเซีย , ลาว , มาเลเซีย , พม่า , ปาปัวนิวกินีที่ ฟิลิปปินส์ที่หมู่เกาะโซโลมอน , ไต้หวัน , ไทยและเวียดนาม พบได้ทั่วไปในป่าเต็งรังผสม ชายฝั่งและป่ากึ่งภูเขา พื้นที่ลุ่มน้ำและตามแม่น้ำและลำธาร แต่ยังอยู่บนเนินเขาและสันเขามักพบใกล้หรือบนหินปูน ที่ระดับความสูงถึง 2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ไม่ผลัดใบสูงถึง30-40 เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 75-200 ซม. เรือนยอดทึบ ลำต้นมีพูพอนสูงถึง 1.80 เมตร เปลือกสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลแดง แกนใบยาว 5–20 ซม. ใบประกอบแบบใบย่อย3ใบ หรือแบบขนนกปลายคี่ มี 1-3 คู่ ใบแก่สีเขียวเข้มด้านบนเป็นมัน ด้านล่าง มีสะเก็ดเล็กกระจาย ดอกแยกเพศอยู่ต่างต้น (dioecious) ดอกสีเหลืองอ่อนอมส้ม ออกเป็นช่อแยกแขนงตามง่ามใบและปลายกิ่งยาว 7-30 ซม.ผลออกเป็นช่อยาว ดอกเล็กสีชมพูหรือเหลือง ผลรูปไข่กลับ เส้นผ่านศูนย์กลาง 1–1.5 ซม. แตกด้านข้างเมื่อสุกเต็มที่ แตกเป็น3เสี้ยว มีเมล็ด 3 เมล็ด ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเพื่อเป็นยาอาหารและแหล่งที่มาของไม้ -ใช้กิน ผลไม้ - ดิบ เมล็ดถูกปกคลุมไปด้วยเนื้อสีขาวและสามารถบริโภคได้ -ใช้เป็นยา ใบใช้ในการรักษาอาการปวดหัว สกุล 'Aglaia' เป็นแหล่งเดียวของกลุ่มตัวแทนที่รู้จักกันประมาณ 50 รายซึ่งมี cyclopenta [b] tetrahydrobenzofuran สารประกอบเหล่านี้มักเรียกว่าอนุพันธ์ rocaglate หรือ rocaglamide หรือ flavaglines และส่วนใหญ่พบว่ามีคุณสมบัติในการฆ่าแมลงที่มีศักยภาพ, เชื้อรา, ไวรัส, ไวรัส, แบคทีเรียหรือ anthelmintic bioactivity หลายชนิดแสดงกิจกรรมพิษต่อเซลล์อย่างเด่นชัดกับมะเร็งในมนุษย์ เนื่องจากตัวแทนแรกในกลุ่มนี้ถูกค้นพบในปี 2525 นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างล่าสุดของสารทุติยภูมิที่มีระดับใหม่อย่างสมบูรณ์ของสัญญาทางชีวภาพ (ดู BG Wang et al., Biochem Syst Ecol 32: 1223 -1226. 2004; LW Chaidir และคณะ, J. Nat. Prod. 64: 1216-1220. 2001)[266,899] http://tropical.theferns.info/viewtropical.phpeid=Aglaia+lawii -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้มีความแข็งและทนทานใช้ก่อสร้าง ระยะออกดอก/ติดผล--- ขยายพันธุ์---เมล็ด
ประสักขาว/ Bruguiera sexangula
ชื่อวิทยาศาตร์--- Bruguiera sexangula (Lour.) Poir.(1816) ชื่อพ้อง---Has 8 Synonyms ---Basionym: Rhizophora sexangula Lour.(1790) ---Bruguiera eriopetala Wight & Arn.(1838) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2684052 ชื่อสามัญ---Upriver orange mangrove, Oriental mangrove, Six-angled orange mangrove ชื่ออื่น---ขลัก (ชุมพร) , พังกาหัวสุม (กระบี่, ตรัง) ประสักขาว, ประสักหนู, พังกาหัวสุมดอกขาว; [CHINESE: Hǎi lián, Zhòu zǎo];[MALAYSIA: Bakau, Mata Buaya, Tumu Berau, Putut, Tumu Puteh, Tumu Putih.(Malay); Berus Putut (Sarawak).];[INDONESIA: Tumu, Tumu putih, Tumu atau tongke.];[KHMER: Phlaông, Br sak thôm.];[THAI: Prasak, Phangka hua soom, Prasak khao.];[VIETNAM: Vẹt đen]. EPPO Code: BUGSE (Preferred name: Bruguiera sexangula.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย จีน (ไหหลำ) เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ถึง หมู่เกาะบิสมาร์ก Bruguiera sexangula เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยJoao de Loureiro (1717–1791) นักพฤกษศาสตร์ชาวโปรตุเกสและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ernest Michael Rudolph Lamkey (1850-1899)นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.2359 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในออสเตรเลีย; บังคลาเทศ; บรูไนดารุสซาลาม; กัมพูชา; ประเทศจีน เกาะคริสต์มาส อินเดีย; ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า; ปาปัวนิวกินี; ฟิลิปปินส์; สิงคโปร์; หมู่เกาะโซโลมอน; ประเทศไทย; เวียดนาม; หมู่เกาะเล็กรอบนอกของสหรัฐอเมริกา พบขึ้นตามแนวชายฝั่งทะเลถัดเข้าไปจากแนวป่าโกงกางใบเล็กบนพื้นที่ดินค่อนข้างเหนียวและน้ำท่วมถึงอย่างสม่ำเสมอ หรือ เขตป่าชายเลนที่มีความเค็มของน้ำน้อยกว่าน้ำทะเล ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบ สูง 10-30 เมตรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้สูงสุด 65(-80) ซม.เรือนยอดกลมเป็นพุ่มแน่น โคนต้นเป็นพูพอนสูงถึง1เมตร มีรากหายใจรูปคล้ายเข่าสูงถึง 45 ซม. มีรากค้ำจุนขนาดเล็ก เปลือกสีเทาเข้มถึงสีน้ำตาลอมเทา ผิวเปลือกหยาบ เป็นสะเก็ด แตกเป็นร่องตามยาว ช่องอากาศขนาดใหญ่มีน้อย มีเฉพาะที่พูพอน ใบเดี่ยวเรียงตรงข้าม สลับตั้งฉาก แผ่นใบรูปรีถึงรูปขอบขนาน แกมรูปรี ขนาด 3-6 X 8-16 ซม. ปลายใบและฐานใบแหลม เส้นใบ 7- 11คู่ ก้านใบยาว 1-5 ซม. หูใบยาว 4-10ซม. สีเหลืองอ่อน หรือสีเขียว ออกแน่นตามปลายกิ่ง ดอก สีส้มแกมน้ำตาล ออกเป็นดอกเดี่ยว ๆ ตามซอกใบ ยาว 2.3-4 ซม. ก้านดอกยาว 0.6-1.5 ซม.ดอกมักคว่ำลงโคนกลีบเลี้ยงเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกเป็น10-12แฉก ผลมีเมล็ดงอกบนต้นเป็นต้นอ่อนรูปทรงกระบอกยาวคล้ายรูปซิการ์ ขนาด 1-1.5 X 5-10 ซม. สีเขียว -ใช้ประโยชน์ ใช้เป็นไม้ฟืนไม่ว่าโดยตรงหรือหลังจากเปลี่ยนเป็นถ่านอาจเป็นประโยชน์หลักของพืชชนิดนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับท้องถิ่นแม้ว่ามันจะเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นอาหารยาและแหล่งของแทนนิน -ใช้กินได้ ผลไม้บางครั้งใช้เป็นส่วนผสมในหมากพลูใช้เคี้ยว ผลสุกแช่ค้างคืนรสฝาดใช้กิน เครื่องปรุงที่ได้จากเปลือกไม้ -ใช้เป็นยา ผลรสฝาดใช้เป็นยารักษาโรคงูสวัด ใช้รากและใบเป็นยารักษาแผลไหม้ -ใช้อื่น ๆไม้เนื้อหยาบหนักแข็งและแข็งแรงมาก ยากต่อการทำงาน เหมาะสำหรับทำเสาและบ้าน ไม้จากต้นไม้และกิ่งอ่อนมักใช้ทำเชื้อเพลิงและใช้ทำถ่านได้ดี เปลือกใช้เป็นแหล่งแทนนิน กาวได้จากเปลือกไม้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---ด้วยเมล็ด
ประสักแดง/Bruguiera gymnorrhiza
ชื่อวิทยาศาตร์---Bruguiera gymnorrhiza (L.) Lamk.(1798.) ชื่อพ้อง---Has 11 Synonyms ---Bruguiera capensis von Blume.(1850) ---Bruguiera conjugata (L) Merrill.(1914) ---Bruguiera rumphii von Blume.(1850) ---Rhizophora gymnorrhiza Linnaeus.(1753) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2684038 ชื่อสามัญ---Black mangrove, Red mangrove, Large-leafed mangrove, Oriental-Mangrove, Mangle Lahi, Burma Mangrove. ชื่ออื่น---ประสักแดง พังกาหัวสุมดอกแดง, ประสัก, ประสักหนู ;[AFRIKAANS; Swartwortelboom.];[BENGALI: Kankra];[CHINESE: Mù lǎn.];[FRENCH: Manglier noir, Palétuvier des Indes.];[JAPANESE: Ohirugi, Akabana Hirugi.];[MALAYALAM: Penakkantal, Karakandel, Kandel.];[MALAYSIA: Tumu.];[MOZAMBIQUE: M'tumansi, Setaca.];[SPANISH: Mangle macho.];[SWAHILI: Muia.];[THAI: Prasak daeng, Phanka hua soom dok daeng, Prasak, Prasak hnu.];[VIETNAM: Vẹt dù, Vẹt rễ lồi.];[ZULU: Isihlobane]. EPPO Code---BUGGY (Preferred name: Bruguiera gymnorhiza.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---[แอฟริกาตะวันตก--- เคนยา, มาดากัสการ์, มัลดีฟส์, มอริเชียส, โมซัมบิก, เซเชลส์, โซมาเลีย, แอฟริกาใต้, ซูดาน, แทนซาเนีย]; [เอเชีย---บรูไน, กัมพูชา, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, พม่า, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ศรีลังกา, ไต้หวัน, ไทย, เวียดนาม]; [ออสเตรเลีย] ; [โอเชียเนีย---ฟิจิ, กวม, ไมโครนีเซีย, นิวแคลิโดเนีย, ปาเลา, ปาปัวนิวกีนี, ซามัว, หมู่เกาะโซโลมอน, ตองกา, วานูอาตู] Bruguiera gymnorrhizo เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยCarl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ernest Michael Rudolph Lamkey (1890-1984)นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปีพ.ศ.2341 ที่อยู่อาศัย พบในไมโครนีเซียซามัวและแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ กระจายอย่างกว้างขวางจากชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกาผ่านเอเชียไปยังเขตกึ่งร้อนของออสเตรเลีย มักพบในเขตน้ำขึ้นน้ำลงเช่นชายฝั่งแม่น้ำหรือป่าชายเลน แต่ป่าชายเลนตะวันออกยังพบว่าเติบโตในดินสีดำนอกเขตน้ำขึ้นน้ำลง แต่มักจะอยู่ใกล้กับชายฝั่งขึ้นในที่เลนแข็งและน้ำทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราวขึ้นแทรกประปรายตามหมู่ไม้โกงกาง เติบโตได้ดีที่สุดในบริเวณปากแม่น้ำ ถิ่นอาศัยของเขตน้ำขึ้นน้ำลง 0-2 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่สูง30-35เมตร ลักษณะทรงต้น เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ โคนต้นมีพูพอนสูงและมีช่องอากาศขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป มีรากหายใจคล้ายเข่าที่ยื่นออกมาเหนือโคลน 30 ซม.กิ่งอ่อนและก้านใบมักมีคราบขาว ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ออกเป็นกระจุกที่ปลายกิ่ง ขนาดใบกว้าง 4-10 ซม.ยาว 8-20 ซม.แผ่นใบรูปรีแกมขอบขนาน ขอบใบเรียบ ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ด้านล่างสีเขียวอมเหลือง เนื้อใบอวบน้ำแกมเหนียวคล้ายแผ่นหนังก้านใบกลมมีสีแดงเรื่อๆ ยาว 2-5 ซม หูใบแหลมยาว ประกบกันเป็นคู่ๆ ที่ปลายกิ่ง ยาว 4-8 ซม. มีสีแดง ร่วงง่าย ดอกเดี่ยวออกตามง่ามใบก้าน ดอกยาว 3-4 ซม. ดอกตูมโค้งลงรูปทรงกระสวยยาว 2.5-3.5 ซม.เมื่อบานมีลักษณะคล้ายสุ่ม กลีบเลี้ยงสีแดงปนเขียว กลีบดอกสีขาวนวลถึงส้มอ่อน ผลเป็นฝักแบบมีเนื้อเมล็ดเดียว รูปกระสวยขนาดกว้าง 1.5-2 ซม. ยาว 7-25 ซม. เป็นเหลี่ยมหรือมีสันเล็กน้อย ผลอ่อนสีเขียวเเมื่อผลแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเขียว เมล็ดงอกบนต้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ไม่มีข้อมูล ในการแนะนำให้ปลูกพืชร่วมกับพืชป่าชายเลนอื่น ๆ ศักยภาพในการบุกรุกสามารถรุกรานได้ ไม่แนะนำให้ปลูกนอกพื้นที่ธรรมชาติ -ใช้ประโยชน์ ใช้ในวนเกษตรเป็นหลักเพื่อความมั่นคงกันการพังทะลายของดิน เป็นการป้องกันชายฝั่ง ที่อยู่อาศัยทางทะเล ผลิตภัณฑ์หลัก ยาง สีย้อมและยาแผนโบราณ -ใช้กินได้ หน่อใช้เป็นอาหารและปรุงเป็นนํ้าปลา ในมัลดีฟส์นำฝักไปต้มแล้วรับประทานเป็นผัก ผลใช้กินกับหมาก -ใช้เป็นยาแผนโบราณ ผลใช้สกัดเป็นยาหยอดตา ดอกมีฤทธิ์เป็นยาฝาดสมาน แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง-; ในหมู่เกาะโซโลมอน เปลือกใช้เป็นยาทำแท้งและสำหรับการรักษาแผลไฟไหม้-; ในกัมพูชานอินโดนีเซียและในจีนใช้สำหรับโรคมาลาเรียและโรคท้องร่วง -อื่น ๆ เนื้อไม้ ใช้เป็นเชื้อเพลิง เปลือกแห้งมีแทนนินถึง 35% ใช้ในการฟอกย้อมหนังและแหอวน สารโพลบาฟีนในเปลือกลำต้นให้สีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ใช้ทำเสาเพราะทนทานต่อการทำลายของปลวกและเพรียง เปลือกใช้ทำกาว ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ปออีเก้ง/Pterocymbium tinctorium
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Pterocymbium tinctorium (Blanco) Merr.(1905) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Heritiera tinctoria Blanco.(1905). See http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:824714-1 ชื่อสามัญ---(Not recorded) ชื่ออื่น---ปอขี้ไก่, ปอขี้เลียด, ปอขี้แฮด (เหนือ) กะพงใหญ่ (ระยอง) คางฮุ่ง (พิษณุโลก) คำโรง (เขมร-สุรินทร์) บอนครั่ง (ระยอง) โปง (คาบสมุทร) ปอขี้แตก (สระบุรี, สุโขทัย, นครราชสีมา) ปอขี้ลิ้น (หนองคาย) มะโหลง (ปัตตานี) หมีคำราม, เหม่ง (จันทบุรี) อ้อยช้าง (ปราจีนบุรี) กะลูกะแปงบูกง (มาเลย์-ปัตตานี) ;[INDONESIA: Kelumbuk.];[THAI: Po kra dang (Northern); Po i keng (General); Ka phong yai (Rayong); Khang hung (Phitsanulok); Kham-rong (Khmer-Surin); Bon khrang (Ranong); Pong (Peninsular); Po khi kai (Northern); Po khi taek (Saraburi, Sukhothai, Nakhon Ratchasima); Po khi lin (Nong Khai); Po khi liat (Northern); Po khi haet (Northern); Ma long (Pattani); Mi kham ram, Meng (Chanthaburi); Oi chang (Prachin Buri); Ka-lu-ka-paeng-bu-kong (Malay-Pattani).];[VIETNAM: Dực nang nhuộm]. EPPO Code--- PRBTI (Preferred name: Pterocymbium tinctorium.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - อินเดีย ลาว ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ Pterocymbium tinctorium เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Francisco Manuel Blanco (1778–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวสเปนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Elmer Drew Merrill (1876–1956) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน ในปี พ.ศ.2448 ที่อยู่อาศัย พบในอินเดีย ลาว ไทย, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ พบมากที่สุดบนที่ราบลุ่มน้ำพบได้ในป่าดิบผลัดใบหรือป่าเปิดในที่แห้งเป็นระยะ เป็นพืชเขตร้อนซึ่งพบได้ที่ระดับความสูงไม่เกิน 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้น ผลัดใบ สูงถึง 45-50 เมตร ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 90ซม. เรือนยอดแคบลำต้นตรงมาก ต้นที่อายุมากมีพูพอน เปลือกสีเทาอ่อนเรียบ มีรูอากาศเป็นเนื้อหนา เปลือกชั้นในนุ่มสีชมพู ไม่เป็นเส้นใย มีลายเส้นสีอ่อนกว่า ใบเดี่ยวออกเรียงเวียนขนาดใบ ยาว 8-19 ซม. กว้าง7-14 ซม.รูปไข่ ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบรูปลิ่มหรือมนหรือรูปหัวใจ ขอบใบเว้าเป็นลอนหรือเป็นคลื่น ช่อดอกแบบช่อแยกแขนง เกิดตามกิ่งหรือที่ปลายกิ่ง ดอกขนาด2.5-3ซม.สีส้มมีจุดสีแดงปลายกลีบแยกเป็น 5 แฉก กลีบเลี้ยงยาวประมาณ 2 ซม.พูกลีบเลี้ยงยาวเท่ากับหลอดกลีบ ไม่มีกลีบดอก แกนเกสรเพศผู้มีขนสีขาวที่ฐาน สวยสะดุดตาเมื่อดอกบานเต็มต้น ผลยาวถึง11ซม.สีเทาเงิน3-5ผลต่อ1ก้านแต่ละผลมีเปลือกบางคล้ายกระดาษเป็นรูป ท้องเรือห่อหุ้มเมล็ดย่นๆที่ฐาน1เมล็ด ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นแหล่งของเส้นใยไม้และสีย้อม บางครั้งก็มีการซื้อขายไม้ระหว่างประเทศ -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้อ่อนมากและเบาใช้ทำไม้อัด เซฟวิ่งบอร์ด ลังใส่ของ เปลือกใช้ทำ เชือก ผสมสีย้อมทำให้สีคงทน ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-ธันวาคม/ผลแก่---เมษายน–มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอกระสา/Broussonetia papyrifera
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์ , พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Broussonetia papyrifera (L.) L'Hér. ex Vent.(1799) ชื่อพ้อง---Has 23 Synonyms ---Basionym: Morus papyrifera L.(1753) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/kew-2683772 ชื่อสามัญ---Paper mulberry, Tapa cloth tree, Tapacloth tree ชื่ออื่น---ปอสา, หมอหมี, หมูพี ;[ALBANIA: Brusonetje.];[CATALAN: Morera de paper.];[CHINESE: Gòu shù];[CROATIA: Dudovac, Smokovača.];[CZECH: Papírovník čínský.];[DANISH: Papirmorbær.];[FRENCH: Arbre à papier, Broussonétia à papier, Mûrier d'Espagne, Mûrier de Chine, Mûrier à papier.];[GERMAN: Papier-Maulbeerbaum.];[HUNGARIAN: Kínai papíreperfa.];[HINDI: Jangli toot.];[ITALIAN: Gelso da carta, Gelso papirifero del Giappone.];[JAPANESE: Kaji-no-ki.];[KANNADA: Kaagda, Kaagada Uppu Naerale.];[KOREA: Kku ji na mu.];[POLISH: Brusonecja chińska.];[PORTUGUESE: Amoreira-do-papel.];[SPANISH: Moral de China, Moral del papel, Morera del China, Morera del Japón, Morera del papel.];[SWEDISH: Pappersmullbär.];[THAI: Po saa, Mho mi, Mhoo phi.];[TURKISH: Kozo.]. EPPO Code---BRNPA (Preferred name: Broussonetia papyrifera.) ชื่อวงศ์--- MORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย พม่า ไทย เวียตนาม จีน ชวา บางส่วนของยุโรป สหรัฐอเมริกา และแอฟริกา Broussonetia papyrifera เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์มะเดื่อ (Moraceae) ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดยCharles Louis L'Héritier de Brutelle (1746 –1800) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จากอดีต Etienne Pierre Ventenat (1757–1808) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2342
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ลาว กัมพูชา ไทย พม่าและอัสสัม (อินเดีย) แต่ได้รับการปลูก อย่างกว้างขวางในเอเชียและแปซิฟิกและได้รับการปลูก ในส่วนของยุโรปใต้และสหรัฐอเมริกา รวมถึงแอฟริกา ขึ้นกระจายอยู่ในป่าดงดิบหุบเขาและป่าไม้ ป่าดงดิบที่แห้งหรือชื้น พื้นที่โล่ง ป่าทุรกันดาร ตามลำธารในป่าผลัดใบ มักปลูกเป็นไม้เบิกนำ โตเร็วชอบขึ้นตามริมน้ำและที่ชื้นในป่าที่ค่อนข้างโปร่ง เติบโตที่ระดับความสูงถึง 1,600 (-2000) เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นกึ่งผลัดใบสูง 6-15 เมตรขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น 50 - 70 ซม. ลักษณะทรงต้น เรือนยอดโปร่งและแผ่กว้าง เปลือกต้นสีครีมหรือน้ำตาลอ่อน มีรูอากาศขนาดใหญ่ เปลือกชั้นนอกบางและเป็นเส้นใย ลอกออกได้เป็นเส้นยาว เปลือกชั้นในมียางสีขาว กิ่งอ่อนเปราะ -ใบ เดี่ยวรูปไข่กว้าง เรียงสลับระนาบเดียวกว้าง 8-22 ซม.ยาว12-29 ซม. ขอบใบมักมีหยักเป็นซี่ยอดอ่อนมีขนนุ่มหนาแน่น ใบแก่บางมักเว้าลึกใกล้โคนใบ ปลายใบแหลม ผิวใบด้านบนหยาบคาย ด้านล่างมีขน ก้านใบยาว 2.5-8 ซม. -ดอกขนาดเล็กสีเขียวอ่อน แยกเพศอยู่ต่างต้น ช่อดอกเพศเมียเป็นก้อนกลมสีแดงแกม เหลืองขนาด 2-4 ซม. ดอกเพศผู้สีขาวแกมเขียวขนาดเล็กออกเป็นช่อห้อยลง ยาว4-8ซม. -ผลทรงกลมเส้นผ่านศูย์กลาง 1.5--3 ซม.ก้านผลยาว1.2 ซม.ผลอ่อนสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีส้มและม่วงแดงเมื่อสุก เมล็ดมีขนาดเล็กจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ต้องการอยู่ในตำแหน่งที่มีแดด ดินมีคุณภาพเหมาะสม ขึ้นได้ในดินที่มีกรวดทรายและขาดธาตุอาหาร (บางรายงานบอกว่าไม่เจริญบนดินที่ไม่ดี) ค่า pH ในช่วง 5 - 7.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 8 ทนต่อมลพิษในเมือง (รวมถึงซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศ) ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้ได้รับการปลูกอย่างกว้างขวางในเขตอบอุ่นไปยังเขตร้อนของเอเชียตะวันออกสำหรับเส้นใยในเปลือกของมันซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ชื่ผลิตภัณฑ์ ที่ทำจากเส้นใยมีจำหน่ายอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในหมู่เกาะแปซิฟิก พืชยังเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแถบตะวันออก -ใช้กินได้ ผลไม้ - ดิบ ผลไม้เหมือนลูกบอลที่มีผลเล็ก ๆ ยื่นออกมามากมาย มีเนื้อให้กินไม่มาก แต่รสชาดดี การกินเป็นเวลานานกล่าวกันว่าทำให้กระดูกอ่อนแอ ใบและดอกผลนึ่งกินเป็นผัก -ใช้เป็นยา เปลือกและรากเป็นสมุนไพร เป็นยาบำรุงไต ยาขับปัสสาวะ ใบมีรสฝาดใช้ขับปัสสาวะและรักษาโรคหนองใน น้ำคั้นใบเป็นยาขับปัสสาวะและยาระบาย - นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาโรคบิด ใบพอกลงบนความผิดปกติของผิวหนังต่างๆ ยาต้มเปลือกใช้ในการรักษาโรคท้องมาน ยางเรซิ่นที่พบในเปลือกใช้ในการรักษาบาดแผลและแมลงกัดต่อย ผลไม้เป็นยาขับปัสสาวะ,โรคตา, กระตุ้น, กระเพาะอาหารและยาชูกำลัง ในชนบทปากีสถานใช้เปลือกไม้และผลไม้ เป็นยาระบายและยาลดไข้ -วนเกษตรใช้ พืชสร้างตัวมันเองอย่างรวดเร็วในพื้นที่ที่ถูกทอดทิ้งและเสื่อมโทรมในรูปแบบของต้นไม้ปกคลุมหนา แก้ไขดินและป้องกันการกัดเซาะต่อไป เนื่องจากระบบรากแบบแบ่งขั้ว สามารถใช้เป็นสายพันธุ์บุกเบิกเมื่อเรียกคืนป่าไม้พื้นเมืองหรือเมื่อสร้างสวนป่า -เมื่อเติบโตในพื้นที่ที่ปนเปื้อนด้วยโลหะหนักมันแสดงให้เห็นว่ามีวิธีจัดการกับโลหะเหล่านี้ในเนื้อเยื่อของมัน โดยเฉพาะ ตะกั่ว สังกะสีและทองแดง มันมีศักยภาพสูงสำหรับใช้ในโครงการ phytoremediation ไม่ว่าจะเป็นวิธีการกำจัดโลหะเหล่านี้หรือเป็นวิธีการล็อค พวกเขาจะช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน -ใช้อื่น ๆ ไม้สีอ่อนมีลักษณะเป็นเส้นตรงและสม่ำเสมอ อ่อน, น้ำหนักเบา, เปราะ, ไม่คงทนมาก ใช้งานได้ง่ายใช้สำหรับทำสิ่งของต่าง ๆ เช่นถ้วยชามกล่องบรรจุภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ราคาถูกเป็นต้น -เส้นใยจากเปลือกมีคุณภาพดีมาก มันถูกใช้ในการทำกระดาษที่แข็งแรงและมีคุณภาพสูง เป็นแหล่งสำคัญ สำหรับใช้ทำกระดาษสา ทอผ้า และเเชือก -น้ำมันเมล็ดใช้สำหรับเครื่องเขิน สบู่ แล็ดเกอร์ -ใบเป็นอาหารสัตว์ได้ดี -ต้นไม้ผลิตสีธรรมชาติสีเขียวถึงสีเหลืองสีเขียว -พืชได้รับการตรวจสอบคุณสมบัติเป็นยาฆ่าแมลง จำกัดระยะดักแด้ไม่ให้เกิดเป็นตัวเต็มวัยของหนอนเจาะสมอฝ้าย ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน-พฤษภาคม/มิถุนายน-กรกฎาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำ เพาะเนื้อเยื่อ
ปอขนุน/Sterculia balanghas
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา:หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Sterculia balanghas L.(1753) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. Has 3 Synonyms ---Balanghas telabo Raf.(1838) ---Southwellia angustifolia Wight.(1838) ---Southwellia balanghas Spach.(1834) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---มักลิ้นอาง (เชียงใหม่, เลย) ช้าสามแก้ว, ปอขนุน (ประจวบคีรีขันธ์) ขมิ้นแดง (ภูเก็ต) ปอคำ ปอฟาน (ใต้) ปอแดงดง (เหนือ) พวงกำมะหยี่ (เลย) สำโรง (จันทบุรี); [SINGHALESE: Nawa.];[THAI: Mak lin ang, Cha sam kaew, Po khanoon, Khamin daeng, Po kham, Po faan, Po daeng dong.]. EPPO Code---SRLBA (Preferred name: Sterculia balanghas.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล ศรีลังกา พม่า คาบสมุทรมาเลย์ อินโดนีเซีย-สุมาตรา Sterculia balanghas เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Carl Linnaeus (1707–1778) นักชีววิทยาและนักพฤกษศาสตร์ชาวสวีเดนในปี พ.ศ.2296 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในประเทศ อินเดียและศรีลังกา ในประเทศไทยพบทั่วไปในที่โล่งแจ้งทั่วภาคเหนือและพบในทุกภาค โดยเฉพาะบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูงถึงประมาณ 1600 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบสูงถึง 15-18 เมตร ลักษณะทรงต้น มีการแตกกิ่งก้านอย่างมีระเบียบ เปลือกสีครีมออกน้ำตาล มีรูอากาศใหญ่สีน้ำตาลอมแดง ใบเดี่ยวออกเป็นกลุ่มรอบๆกิ่ง ฐานใบกลมหรือรูปหัวใจ ขนาดของใบกว้าง 7-12 ซม.ยาว12.5-32 ซม.(ใบของต้นอ่อนจะมีขนาดใหญ่กว่านี้) ใบอ่อนมีขนรูปดาวสีน้ำตาลทอง ใบแก่มีขนสั้นสีน้ำตาลประปราย ดอก ขนาด1-1.5ซม.สีชมพูอ่อนออกเขียว ห้อยคล้ายโคมไฟจากซอกใบบน กลีบเลี้ยงแยกเป็น5พูโค้งเข้ากลางดอกแล้วจรดกันที่ปลายกลีบ ผลเป็นผลกลุ่มประกอบด้วยผลย่อย 2-5 ผลรูปขอบขนาน ยาว5-9ซม.มีขนสั้นสีน้ำตาลดำหนาแน่น ผลอ่อนสีเหลืองอ่อนแล้วเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงแดงสด ปลายผลงอ ผิวคล้ายกำมะหยี่ ด้านในเรียบสีชมพูเมื่อแก่แตกทางด้านล่าง มีเมล็ด 3-6 เมล็ด เมล็ดรูปรีความยาวสูงสุด 22 มม.สีดำมันติดอยู่ที่ขอบด้านใน ใช้ประโยชน์---ใช้ปลูกประดับ ใช้กันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประดับและเป็นรั้วต้นไม้ในศรีลังกา -ใช้อื่น ๆ ไฟเบอร์ได้มาจากเปลือกไม้ มันถูกใช้ในศรีลังกาเพื่อสร้างกระท่อม ระยะออกดอก/ติดผล---ตุลาคม-มกราคม/พฤศจิกายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอขาว/Sterculia pexa
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :หนังสือต้นไม้เมืองเหนือคู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้นในป่าภาคเหนือประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Sterculia pexa Pierre.(1888.) ชื่อพ้อง---Has 1 Synonyms ---Sterculia yunnanensis Hu.(1937) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปอขาว (ภาคกลาง); ปอตับแตก (นครราขสีมา); ปอทง, ปอบ้าน, ปอเผือก (ภาคเหนือ) ;[CHINESE: jia ping po.]; [THAI: Po tap tak, Po thong, Po ban, Po phueak.];[VIETNAM: Trôm hoe, Trôm lá gạo.]. EPPO Code---SRLSS (Preferred name: Sterculia sp.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน ไทย ลาว เวียตนาม กัมพูชา Sterculia pexa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Jean Baptiste Louis Pierre (1833-1905) นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2431
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน (S. & SE. ยูนนาน, SW. กวางสี) ถึงอินโดจีน ในประเทศไทย พบเป็นไม้โตเร็วในป่าผสมผลัดใบ ป่าดิบแล้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ที่ระดับความสูง100-450เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นสูง 20เมตร ผลัดใบ เปลือกต้นสีครีมอ่อนหรือเทาอ่อนผิวเรียบหรือมีรอยแตกตื้นๆ เปลือกชั้นในสีครีม มีแถบเส้นสีส้ม ใบประกอบแบบนิ้วมือมีใบย่อยรูปรีมี 7-9ใบ ขนาดกว้าง 3.5-8.5 ซม.ยาว11-22 ซม.ก้านใบย่อยยาว 1-2 มม.ใบอ่อนสีชมพู ใบแก่มีขนสั้นๆสีขาวอ่อนนุ่มด้านล่าง ดอก ขนาด0.7-1ซม.สีเหลืองสด ส้ม หรือแดง ออกเป็นช่อใหญ่ ผลขนาด 6-7ซม.ออกเป็นกลุ่ม 3-5ผลย่อย ผลแก่สีแดงเข้มมีขนหยาบหนาแน่น ตามแนวตะเข็บด้านบน ก้านผลยาวและห้อยลงและขนยาวหนาแน่นซึ่งถูกแล้วคันมีเมล็ดสีดำประมาณ20เมล็ด ใช้ประโยชน์---ต้นไม้จะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อให้ได้เมล็ดพันธุ์ เส้นใยและเมล็ดผลไม้ที่กินได้ บางครั้งมีการปลูก รอบหมู่บ้านเพื่อต้องการเส้นใยจากเปลือกไม้ - ใช้กิน เมล็ดสุกต้มแล้วกินได้ -.ใช้อื่น ๆ เส้นใยเปลือกใช้สำหรับทำเชือกหรือเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่คล้ายคลึงกัน เนื้อไม้ออกสีขาวใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ได้ดี ใช้ทำไม้อัด ทำกล่องใส่ของ รู้จักอันตราย---ขนตามก้านเป็นพิษทำให้คัน หากแพ้จะเป็นผื่นระคายเคืองมาก ระยะออกดอก---ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ที่คล้ายกัน :--สำโรง Sterculia foetida L. ที่ใบเป็นใบประกอบรูปฝ่ามือ แต่ใบแก่และผลเกลี้ยง กลีบเลี้ยงบานออก เมล็ดให้น้ำมันใช้ปรุงอาหารและจุดไฟ
ปอแดง/Sterculia guttata
ชื่อวิทยาศาตร์---Sterculia guttata Roxb. ex G.Don.(1831) ชื่อพ้อง---This name is unresolved. Has 2 Synonyms ---Astrodendrum malabaricum Dennst.(1818) ---Clompanus malabarica Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---African Star Chestnut, Spotted Sterculia. ชื่ออื่น---ปอแดง หมากนก (ภาคใต้), ปอขนุน(ภาคกลาง), ปอพาน, ปอฟาน (เชียงใหม่);[ASSAMESE: Hirikh, Shirikh, Hirikh.];[HINDI: Hirik.];[KANNADA: Jenu kathala, Hulitaradu mara.];[MALAYALAM: Kithondi, Kavalam.];[TAMIL: Kavali, Thondi.];[THAI: Po daeng, Mak nok, Po Khnun, Pophan, Pofan.]. EPPO Code--- SRLSS (Preferred name: Sterculia sp.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย ศรีลังกา หมู่เกาะอันดามัน เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ Sterculia guttata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต จากอดีต George Don ((1798–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2374 ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามขอบของป่าดิบและในป่ากึ่งป่าดิบเขาที่ระดับความสูงไม่เกิน 900 เมตร ในประเทศไทยพบปอแดงเป็นไม้โตเร็วในป่าผลัดใบ ป่าดิบแล้ง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เติบโตที่ระดับความสูง 50-450 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดกลางสูงประมาณ 15-20 เมตร เปลือกนอกเรียบ หรือแตกเป็นร่องตามยาว สีน้ำตาล เปลือกในสีขาวสลับสีน้ำตาล ใบประกอบรูปนิ้วมือ ใบเวียนสลับ ใบย่อยจำนวน 7-9 ใบ รูปใบหอกกลับ กว้าง 8-10 ซม.ยาว15-18 ซม.โคนใบรูปลิ่ม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ ผิวใบด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างของใบมีขนนุ่ม ก้านใบยาว 2.5ซม.- ดอกช่ออกตามซอกใบบนกิ่ง ช่อแบบแยกแขนง แกนช่อดอกยาวประมาณ 5-13 ซม. กลีบเลี้ยงจำนวน5กลีบ ดอกสีเหลืองถึงสีแสด มีขนขึ้นทั่วไป กลีบรองดอกเป็นรูปกรวย ปลายแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกไม่มี ดอกมีเกสรเพศผู้จำนวน 10 อัน ก้านดอกยาวประมาณ 0.2-0.3 ซม. -ผลเป็นฝักรูปกระสวยโค้ง มีขนาดกว้างประมาณ 2.5-3.5 ซม. และยาวประมาณ 7-8 ซม.ผลแก่สีส้มแดงคล้ายกำมะหยี่ เมื่อแก่จัดเปลือกจะแตกและอ้าออกแนวเดียวทางด้านล่าง ทำให้เห็นเมล็ดสีดำเป็นมันที่ติดอยู่ตามแนวขอบด้านใน เมล็ดรูปรี มีเมล็ดประมาณ 4-6 เมล็ด ผลแห้งสีน้ำตาล เปลือกผลมีขนสากมือ ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งทีมีแดดจัด ดินที่มีการระบายน้ำที่ดี ทนต่อดินที่ขาดธาตุอาหาร ดินที่เป็นหิน พืชมีความทนแล้งมาก ค่า pH ในช่วง 6.5 - 7.5 แต่ทนได้ 6 - 8 ใช้ประโยชน์---ใช้กินได้ เมล็ดคั่ว อบ กินเหมือนถั่ว -ใช้เป็นยา เปลือกใช้ผสมเป็นยาแก้ลม แก้ใจสั่น อ่อนเพลีย-ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้อ่อนเหนียวค่อนข้างผุพังง่าย ใช้ทำไม้แบบหล่อคอนกรีต ทำลังใส่ของ ระยะออกดอก/ติดผล--- กันยายน - พฤษภาคม/กุมภาพันธ์ - สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอต๊อก/Sterculia urens
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทรหอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Sterculia urens Roxb.(1795) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms.See all http://powo.science.kew.org/taxon/urn:lsid:ipni.org:names:825508-1 ---Basionym: Kavalama urens (Roxb.) Raf.(1838) ---Cavallium urens (Roxb.) Schott & Endl.(1832) ---Clompanus urens (Roxb.) Kuntze. (1891) ชื่อสามัญ--- Karaya Tree, Kateera gum, Sterculia gum, Kateera-gum, Karaya Gum, Indian-tragacanth, Bassora tragacanth. ชื่ออื่น---ปอตาน, ปอคาว,(ตะวันออกเฉีบยงเหนือ), ปอต๊อก(ภาคเหนือ); [ASSAMESE: Odla.];[BENGALI: Kotila.];[GERMAN: Karaya-Gummibaum.];[HINDI: Katira, Karaya, Kulu, Gulu.];[JAPANESE: Karaya gamu.];[KANNADA: Kempudale, Kendale, Pinari.];[MALAYALAM: Annanvazhukki, Kithondi, Paravakka, Thonti, Theethondi, Thondi.];[MARATHI: Kawali, Kandol.];[PORTUGUESE: Goma-caraia, Tragacanta-da-india.];[SWEDISH: Sterkulia.];[TAMIL: Kavalam, Senthalamaram, Senthanukku, Kutiraippitukkan, Vellai-puthali.];[TELUGU: Tapasi Chettu.];[THAI: Po tok, Po tan, Po khaw.];[VIETNAM: Bảy thưa Thorel..]. EPPO Code---SRLUR (Preferred name: Sterculia urens.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ, กัมพูชา, อินเดีย, ลาว, พม่า, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม Sterculia urens เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต ในปี พ.ศ.2338
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ในอนุทวีปอินเดียอินโดจีนและมาเลเซียเป็นสายพันธุ์ที่พบบ่อยและเติบโตในป่าผลัดใบมักจะพบบนเนินเขาที่สูงชันและเต็มไปด้วยหินที่ระดับความสูงระหว่าง 400- 800 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ผลัดใบสูงถึง 23 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 2 เมตร ลำต้นมักบิดงอ กิ่งก้านหนาแผ่กว้างออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด เปลือกต้นสีเทาเงินอ่อนหรือสีเขียวแกมเทา หลุดลอกเป็นแผ่นบาง ๆ เปลือกชั้นในเป็นเส้นใย ใบประกอบแบบนิ้วมือ 5-7 แฉก ใบอ่อนมีขนนุ่ม ใบแก่เรียบเกลี้ยงมีขนประปราย ก้านใบยาว 9.5 ซม.ดอกสีเหลือง-ชมพูกลีบเลี้ยงรูประฆังปลายแยกเป็นแฉกมีขนรูปดาวและเหนียว ดอกส่วนใหญ่จะเป็นดอกเพศผู้ซึ่งจะคละกับดอกสมบูรณ์เพศในช่อเดียวกัน ผลรูปรี ขนาด 4 x 1.5 ซม.สีส้มสด เมล็ดสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลหรือสีดำมัน ขนาด 7 x 5 มม.มี 6 เมล็ด ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งทีมีแดดจัด อุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 30 - 42°c แม้ว่าจะสามารถทนต่อ 7 - 47°c สามารถฆ่าได้ด้วยอุณหภูมิ -2°c ชอบดินที่มีการระบายน้ำที่ดี ทนต่อดินที่ขาดธาตุอาหาร ทนต่อสภาพดินร่วนปนหินได้ดี ค่า pH ในช่วง 6.5 - 7.5 แต่ทนได้ 6 - 8 พืชมีความทนแล้งมาก สามารถกรีดยางได้ประมาณ 5 ครั้งในช่วงชีวิต โดยทั่วไปแล้วต้นไม้จะทำงานภายใต้ระบบ copice บางรูปแบบในระยะเวลา 30 - 40 ปี (Copicing ประกอบด้วยการตัดลำต้นของต้นไม้บางชนิดให้ใกล้พื้นดินและปล่อยให้ลำต้นหลายต้นโตจากต้นตอ ) ใช้ประโยชน์--- ต้นให้น้ำยางธรรมชาติที่เรียกว่า Karaya Gum ซึ่งใช้แทนยาง tragacanth ได้มาจากบาดแผลที่เกิดขึ้นในลำต้น แบ่งเป็น2ชนิด คือ Granular(Crystal Gum) และ Powdered Gum มีลักษณะ เป็นสีขาว ชมพู หรือน้ำตาล มีกลิ่นเล็กน้อยคล้ายกับกรดอะซิติก ไม่ละลายน้ำ แต่ให้สารละลายคอลลอยด์โปร่งแสง บางครั้งปลูกในอินเดียและศรีลังกาสำหรับยางซึ่งใช้ในการแพทย์ -ใช้กิน รากอ่อนนุ่มปรุงสุกกินได้ เป็นอาหารสำหรับเวลาขาดแคลน เมล็ดคั่วใช้กันมากที่สุดเป็นอาหารความอดอยาก บางครั้งเมล็ดคั่วใช้แทนกาแฟ -ใช้เป็นยา ใบและกิ่งอ่อนที่แช่ในน้ำให้สารสกัดเมือกซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการรักษาปอดบวมเยื่อหุ้มปอดอักเสบ เปลือกรากที่โขลกจะถูกนำมาทำเป็นยาพอกและทาภายนอกบริเวณแผลรอยแตกและอัณฑะที่อักเสบ เปลือกต้นที่ถูกบดจำนวนเล็กน้อยใช้ช่วยในการคลอด ยางใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อในลำคอ มีรายงานว่ายางกับน้ำผึ้งที่กินในตอนเช้าดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาคออักเสบ -อื่น ๆเนื้อไม้มีสีเทาอมเทาอ่อน แบ่งเขตอย่างชัดเจนจากแก่นไม้สีแดง ไม้หนักถึงหนักมากและแข็งมาก ยากลำบากในการแยกและรักษารูปร่างเพื่อใช้งาน ต้องใช้เทคนิการเชื่อมต่อที่เหมาะสมสำหรับทำกรอบประตูและหน้าต่างเฟอร์นิเจอร์ -ไม้ยังใช้เป็นเชื้อเพลิง -เปลือกสามารถลอกออกจากต้นไม้ได้ง่ายและให้เส้นใยที่มีประโยชน์เหมาะสำหรับทำผ้าหยาบและเชือก 'Karaya Gum'ถูกใช้เป็น 'สารยึดเกาะ' ในอุตสาหกรรมกระดาษ ใช้เป็นกาวฟันปลอม ใช้ในการเตรียมการที่เกี่ยวข้องกับวัสดุก่อสร้างคอมโพสิต ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มีนาคม/เมษายน-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอตูบหูช้าง/ Sterculia villosa
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Sterculia villosa Roxb.(1816) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/tro-30400020 ---Sterculia armata Mast.(1874) ---Sterculia lantsangensis Hu.(1937) ---Sterculia ornata Wall. ex Kurz.(1873) ชื่อสามัญ---Elephant-rope tree, Hairy sterculia, Woolly ordure tree. ชื่ออื่น---ปอตูบหูช้าง(ภาคเหนือ),ปอตู้บไหม(ลำปาง) ;[ASSAMESE: Oudal.];[CHINESE: Rong mao ping po.];[MALAYALAM: Vakka.];[MARATHI: Sardol.];[NEPALI: Khava.];[PAKISTAN: Sardol, Udal, Udar];[TAMIL: Anai-nar, Vakku-nar.];[THAI : Po toop hu chang.]. EPPO Code---SRLVL (Preferred name: Sterculia villosa.) ชื่อวงศ์---STERCULIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย เนปาล พม่า จีนตอนใต้ ไทย กัมพูชา หมู่เกาะอันดามัน Sterculia villosa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตในปี พ.ศ.2359 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในอินเดียตอนใต้และเอเชียใต้ซึ่งพบได้ในแหล่งที่อยู่อาศัยของป่าผลัดใบชื้น ป่าเบญจพรรณ ริมน้ำลำห้วย และมีการการปลูกใกล้หมู่บ้านเติบโตที่ที่ระดับความสูง 500 - 1,500 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูง23เมตร กิ่งก้านหนาแผ่เป็นกลุ่มที่ปลายยอด เปลือกสีน้ำตาลซีด มีตุ่มเล็ก ๆ ตามแนวนอน ใบประกอบแบบนิ้วมือ 5-7แฉก แผ่นใบ 6.5-45 x 9-45 ซม. รูปขอบขนานหรือรูปไข่โคนใบรูปหัวใจปลายยอดแหลม ใบอ่อนมีขนยาวสีชมพูหนาแน่น ใบแก่มีขนสั้นหยาบด้านบน ด้านล่างขนอ่อนนุ่ม ก้านใบยาว 7-25 ซม.บวมที่โคนมีขนสั้น ช่อดอกมีความยาวประมาณ 15-30 ซม.ดอกรูประฆังกว้าง กลีบเลี้ยงแบ่งเป็นพูๆลึกครึ่งหนึ่งของกลีบดอก ผลรูปรี 3.5-7.5 ซม.สีส้มน้ำตาล เมล็ดมีลักษณะเป็นรูปขอบขนานเรียบสีดำจำนวนมาก ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งทีมีแดดจัด อุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 30 - 42°c แม้ว่าจะสามารถทนต่อ 7 - 47°c สามารถฆ่าได้ด้วยอุณหภูมิ -2°c ดินที่มีการระบายน้ำที่ดี ทนต่อดินที่ขาดธาตุอาหาร ดินที่เป็นหิน พืชมีความทนแล้งมาก ค่า pH ในช่วง 6.5 - 7.5 แต่ทนได้ 6 - 8 ต้นไม้สามารถกรีดยางได้ประมาณ 5 ครั้งตลอดอายุขัย ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้จะถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อให้ได้รากไม้ เส้นใยอาหารและยาง -ใช้กิน รากนึ่งกินได้เวลาที่ขาดแคลน รากผงที่ผสมกับแป้งข้าวเจ้า ใช้ทำโดนัทและขนมปัง ทำให้ขนมปังนุ่มและอร่อย เมล็ดคั่ว อบ ยางที่ได้จากเปลือก ใช้แทนสาร tragacanth(ยางธรรมชาติที่ได้ จากยางแห้งหลายชนิดของตะวันออกกลาง) ในร้านทำขนม -ใช้เป็นยา รักษาโรคบิดและอาการบวม -ใช้อื่น ๆ เนื้อไม้เหมาะใช้งานในที่ร่ม เปลือกไม้ให้เส้นใยที่หยาบ แต่แข็งแรงมาก สำหรับทำหมวกและเชือก ในพม่านิยมใช้ชักลากซุง เชือกดังกล่าวมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเป็นระยะเวลาหนึ่งจากการถูกทำให้เปียกบ่อยครั้ง แต่หากสัมผัสกับความชื้นอย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถใช้งานได้นานกว่า18 เดือน-ใบเลี้ยงสัตว์ได้ดี-ยางที่ได้จากเปลือกไม่มีคุณสมบัติยึดเกาะ ระยะออกดอก/ติดผล---มีนาคม-เมษายน/เมษายน-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด งอกอย่างเหมาะสมที่อุณหภูมิระหว่าง 20 - 30°c สามารถหว่านในแปลงเพาะเมล็ดหรือในภาชนะ อัตราการงอกประมาณ 95% ซึ่งเกิดขึ้นภายในประมาณ 2 สัปดาห์สามารถคาดการณ์ได้หากเมล็ดได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
สกุล Firmiana Marsili เดิมอยู่ภายใต้วงศ์ Sterculiaceae ปัจจุบันอยู่วงศ์ย่อย Sterculioideae มีประมาณ 15 ชนิด พบเฉพาะในเอเชีย ในไทยมี 3 ชนิด
ปอฝ้าย/Firmiana colorata
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Firmiana colorata (Roxb.) R.Br.(1844). ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms. ---Basionym: Sterculia colorata Roxb.(1795) ---Erythropsis colorata (Roxb.) Burkill.(1931) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2812982 ชื่อสามัญ---Coloured sterculia, Scarlet Sterculia, Indian Almond, Bonfire Tree. ชื่ออื่น---กาปี (ภาคใต้); ปอขาว (เชียงใหม่, แพร่); ปอจี้ (ภาคเหนือ); ปอเจ็ด (ภาคใต้); ปอแจ้ (ภาคเหนือ); ปอตู้บ (เชียงใหม่); ปอแป, ปอแปะ (เชียงใหม่, แพร่); ปอฝ้าย (ทั่วไป); ปอม้าไห้, ปอหูช้าง (เชียงใหม่); อุโลก (ภาคกลาง, ภาคใต้) ;[ASSAMESE: Ari-udal, Jori-odal, Kath-udal.];[CAMBODIA: saam rong thom (Central Khmer.).];[CHINESE: Huǒ tóng.];[HINDI: Bodula, Samari, Walena.];[KANNADA: Bilisulige.];[MALAYALAM: Kiliyani, Kleeni, Malamparathi, Malabaraththi.];[MARATHI: Kaushi.];[TAMIL: Malapparutti.];[THAI: Po-fai, Kapi, Po khao, Po chi, Po chet, Po chae, Po toop, Po pae.];[VIETNAM: Bo đỏ.]. EPPO Code---FIRCO (Preferred name: Firmiana colorata.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- ยูนนานตอนใต้, อินเดีย, พม่า, ไทย, เวียดนาม, ศรีลังกา นิรุกติศาสตร์---ชื่อสกุล Firmiana ตั้งตามชาวออสเตรีย Karl Josef von Firmian (1717–1782) ผู้ให้การสนับสนุนสวนพฤกษศาสตร์ Padua ในอิตาลี Firmiana colorata เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดยWilliam Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อตและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Robert Brown (1773–1858)นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวสก็อตในปี พ.ศ.2391
ที่อยู่อาศัยพบที่ศรีลังกา อินเดียและหมู่เกาะอันดามัน จีนตอนใต้ ภูฏาน คาบสมุทรมลายู สุมาตรา ขึ้นตามเขาหินปูนความสูง 100–1400 เมตร ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ป่าที่เติบโตบนหินปูนพื้นที่ป่าที่ระดับความสูง 700 - 1,000 เมตร ในประเทศไทยพบมากใน ป่าเต็งรังป่าผสมผลัดใบ ตามชายป่าทั่วประเทศ ที่ระดับความสูง 50-450 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ผลัดใบสูง 9-20 เมตร ผลัดใบก่อนออกดอก ลักษณะลำต้นเปลาตรง เรือนยอดโปร่ง เปลือกต้นสีครีมอ่อน หรือสีน้ำตาลปนเทา ผิวเรียบมีรอยแตกตื้นๆตามยาวหรือเป็นสะเก็ดเล็กๆ เปลือกชั้นในสีเหลือง ใบเดี่ยวแบบฝ่ามือมี 3-5 พู เวียนสลับ รูปไข่หรือค่อนข้างกลม กว้าง 10-15 ซม.ยาว 12-18 ซม.โคนใบหยักเว้าเล็กน้อย ปลายใบหยักเว้าตื้นเป็น 5 แฉกและมีติ่งสั้น เนื้อใบค่อนข้างหนา มีขนคลุมด้านล่างของใบตามเส้นแขนงใบ ดอกสีแดงส้มสด ออกเป็นช่อแบบช่อกระจะตาม ปลายกิ่งกระจายทั่วต้นช่วงผลัดใบ ช่อดอกยาว 15-20 ซม.ดอกย่อยขนาด 1 ซม.กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยปลายแยก เป็น5แฉก มีขนสีน้ำตาลส้มด้านนอก ไม่มีกลีบดอก เกสรเพศผู้และเกสรเพศเมียเชื่อมติดกัน ยาวพ้นหลอดดอก ผลเป็นกลุ่มห้อยลง กลุ่มละ 3-5 ผล ขนาด 6-8 ซม. ก้านผลสีแดง แต่ละผลมีเปลือกบางๆสีชมพูซึ่งมีลายเส้นมากมายห่อหุ้มเมล็ด 2-4 เมล็ด ผลแห้งแตกตามตะเข็บ ใช้ประโยชน์---ต้นไม้เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อเป็นเส้นใยซึ่งใช้ในท้องถิ่น -อื่น ๆ เนื้อไม้อ่อน ใช้ทำเครื่องเรือนในร่ม และทำไม้อัด ใช้แกะสลักในงานหัตถกรรม ผลิตเส้นใยคุณภาพต่ำ ในอินเดียใช้ใบอ่อนเป็นอาหารสัตว์ ความเชื่อ/พิธีกรรม---ชาวฮินดูและศรีลังกาถือว่าเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-มิถุนายน ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
ปอมืน/Colona floribunda
ชื่อวิทยาศาตร์---Colona floribunda (Kurz) Craib.(1925.) ชื่อพ้อง---The basionym is often given as "Grewia floribunda Wallich ex Voigt" (Hort. Suburb. Calcutt. 128. 1845) but that name, as a nomen nudum, was not validly published. Has 3 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2527670 ---Columbia floribunda Kurz.(1873) ---Grewia floribunda Wall. ex Voigt .(1845) [Invalid] ---Riedlea quinquealata Steud.(1841) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---สำลีป่า ปอเต่า ปอจายอดแดง ยาบเลียง ยาบมืน ; [CHINESE: yi dan chai.];[THAI: Samli paa, Po tao, Po-cha yod daeng, Po muen, Yaap muen.]. EPPO Code--- 1MAVF (Preferred name: Malvaceae) ชื่อวงศ์--- MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย พม่า ลาว ไทย เวียดนาม Colona floribunda เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Wilhelm Sulpiz Kurz (1834-1878) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย William Grant Craib (1882–1933)นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2468 ที่อยู่อาศัยกระจายในประเศจีน (ยูนนาน) อินเดีย)อัสสัม) พม่า ลาว ไทยและ เวียดนามที่ระดับความสูง 300-2000 เมตร ในประเทศไทยพบมากมายทั่วภาคเหนือ ตามป่าผลัดใบและ ป่าดิบแล้ง ในป่ากึ่งโล่งแจ้งและตามริมถนน ที่ระดับความสูง 200-1,300 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นสูง 8-10 เมตร ผลัดใบ ลักษณะทรงต้น เรือนยอดกลม มีกิ่งก้านมาก ใบเดี่ยวรูปไข่หรือมนกลม กว้าง 7-14 ซม.ยาว 8-25 ซม. ปลายใบมักแยกเป็น 3 ติ่งแหลมเล็กๆ ฐานกลม บางครั้งรูปหัวใจ ขอบใบเป็นซี่ ใบอ่อนสีชมพูมีขนยาวนุ่มปกคลุม ใบแก่ขนหยาบ เส้นใบหลัก 5-7เส้น ผิวใบมีขนทั้งสองด้าน ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบหรือปลายยอด ยาว 10-20 ซม. ดอกบานกว้างถึง 1 ซม. กลีบรองดอก 5 กลีบ รูปหอก สีชมพูแดง กลีบดอก 5 กลีบ รูปขอบขนาน ปลายกลีบ มีประสีเหลือง เกสรผู้จำนวนมาก ผลขนาด1.5-2ซม.แห้งแล้วแตกมี 3 ปีกสีน้ำตาล ใช้ประโยชน์---เครื่องจักสานและเครื่องใช้สอย เปลือกไม้ให้เส้นใยนำมาทำเชือก สถานะการอนุรักษ์---ไม่อยู่ในบัญชี IUCN ปี 1994-2001 ระยะออกดอก---สิงหาคม-กันยายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอลาย/Grewia eriocarpa
ชื่อวิทยาศาตร์---Grewia eriocarpa Juss.(1804) ชื่อพ้อง---Has 15 Synonyms. ---Grewia araria Wall. ex Burret.(1926) ---Grewia asiatica var. vestita Mast. (1874) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2833049 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปอลาย, ปอแก่นเทา (เชียงราย, นครพนม); คันเทา (ตะวันออกเฉียงเหนือ); ปอลาย (พิษณุโลก); ปอหมื่น ยาบข้าวจี่ ยาบน้อย ยาบมื่น (เหนือ); ขี้เถ้า (นครราชสีมา).; [ASSAMESE: Fuhura, Goch-manbijol, Bijol.];[CHINESE: Dàyè bǔ yú mù, Mao guo bian dan gan];[KHMER: Daem bayokriem, Bayokriem.];[MARATHI: Dhaman.];[PUNJABI: Farri, Dhamman.];[THAI: Bpor meun, Khan thao, Yap khao chi (Northern Thailand), Yap noi, Yap muen (Chiang Mai).];[VIETNAM: Cò ke sếu, Giam.]. EPPO Code---GRWER (Preferred name: Grewia eriocarpa.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ศรีลังกา อินเดีย เนปาล พม่า กัมพูชา ไหหลำ ไทย ฟิลิปปินส์ ชวา หมู่เกาะซุนดาน้อย Grewia eriocarpa เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Antoine Laurent de Jussieu (1748 –1836)นักพฤกษศาสตร์ขาวฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2347 ที่อยู่อาศัยเติบโตตามธรรมชาติกระจัดกระจายในป่าจาก อินเดีย (อัสสัม, ปัญจาบ), จีน (ไหหลำรวมถึงไต้หวัน) ภูฏาน, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ไทย, เวียดนาม ในประเทศไทยพบ ในป่าผลัดใบผสมกับป่าดิบเขาที่ระดับความสูง 100 - 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กสูง 12 เมตร กิ่งก้านเรียวเล็กลู่ลง แปลือกต้นสีเทาบางและเรียบมีรอยแตกเล็กน้อย ใบรูปไข่กว้างเรียงตัวแนวระนาบ ฐานใบไม่สมมาตร ใบด้านบนค่อนข้างหยาบด้านล่างสีขาวอมเทามีขนรูปดาวสีขาวออกเทาค่อนข้างหนา แน่น ดอกสีเหลืองออกเขียว กลีบเลี้ยง 5 กลีบใหญ่กว่ากลีบดอกมาก กลีบดอกมีต่อมน้ำหวานที่ฐานด้านในผลมีเนื้อบางกลมรูปไข่มีติ่งเล็กที่ปลายมี พูตื้น ๆ 2-4 พูเมื่อสุกสีดำ ใช้ประโยชน์---พืชที่เก็บเกี่ยวจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นยาและแหล่งที่มาของเส้นใย -ใช้เป็นยา ใช้สีของเปลือกไม้ผสมในแอลกอฮอล์เพื่อรักษาสภาพผิว รักษาโรคผิวหนังได้หลายชนิด ในเวียตนามใบใช้แก้ปวดท้อง จุกเสียด -อื่น ๆ ไม้ค่อนข้างแข็งใช้ในงานก่อสร้างเพราะมีความยืดหยุ่น ใช้ทำเสา หัวเรือ เปลือกให้เส้นใยที่แข็งแรง ใช้ทำเชือก ในแถบเทือกเขาหิมาลัยปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ( 2019) ระยะออกดอก/ติดผล---เมษายน - พฤษภาคม/พฤศจิกายน - ธันวาคม ขยายพันธุ์--เมล็ด
ปอเลียงฝ้าย/Eriolaena candollei
ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์, พินดา สิทธิสุนธร, วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Eriolaena candollei Wall.(1830) ชื่อพ้อง---No synonyms are recorded for this name. ชื่อสามัญ--Salmon wood ชื่ออื่น---ซ้อเสี้ยน, ปอเลียง, ปอเลียงฝ้าย, ยาบเลียง (ภาคเหนือ); เลียง (ภาคกลาง); เลียงขาว, เลียงน้อย, เลียงฝ้าย (ภาคเหนือ); สักกะวัง (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน);[CHINESE: Nan huo sheng.];[THAI: So sian, Po liang, Po liang fai, Yap liang, Liang khao, Liang fai, Liang noi, (Northern), Liang (Central), Sak-ka-wang (Karen-Mae Hong Son).]. EPPO Code---1MAVF (Preferred name: Malvaceae) ชื่อวงศ์--- MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---บังคลาเทศ, ภูฏาน,จีน, อินเดีย, ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม Eriolaena candollei เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Nathaniel Wallich (1786–1854) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กในปี พ.ศ.2373
ที่อยู่อาศัยมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดีย(ตะวันออกหิมาลัย),ภูฏาน, จีน (กวางสี,เสฉวน,ยูนนาน)และอินโดจีน(ลาว, พม่า, ไทย, เวียดนาม) เติบโตในป่าเปิดบนเนินเขา ที่ระดับความสูง 800-1400 เมตร ประเทศไทยพบทางภาคเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันตกเฉียงใต้ พบบริเวณป่าผลัดใบผสม ที่ระดับความสูง 300-1,200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นผลัดใบสูง 8-15เมตร ลักษณะ ลำต้นสั้นเรือนยอดหนาแน่นเปลือกต้นสีเทาอ่อนออกครีมหรือน้ำตาลมี ร่องตื้นๆตามยาว เปลือกชั้นในสีส้มอ่อนหรือชมพู ใบเดี่ยวเรียงสลับรูปหัวใจ กว้าง6-14 ซม.ยาว10-17 ซม.ขอบใบมักมีซี่หยักมนไม่สม่ำเสมอใบอ่อนมีขนรูปดาวสี ส้มน้ำตาล หูใบแคบหลุดง่าย ก้านใบยาว 1.5–3 ซม. ดอกสีเหลืองสดออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกบานกว้าง3.5-4.5 ซม. แต่ละดอกมี3ริ้วประดับ รูปขอบขนานขอบหยักสี เขียวสดรองรับ และยังคงอยู่หลังกลีบร่วง ผลรูปไข่แคบ ขนาดกว้าง1.5-2 ซม.ยาว 2-3 ซม.แห้งแตกแข็งคล้ายเนื้อไม้ เมล็ดจำนวนมาก ปลายมีปีก ยาว 1-2 ซม. ใช้ประโยชน์----ใช้ปลูกในสวนและสวนสาธารณะเป็นต้นไม้ประดับ อื่น ๆไม้ใช้ในเชิงพาณิชย์ในขนาดเล็กภายใต้ชื่อSalmon wood ไม้เนื้อแข็งสีแดงมีลายเส้นสีส้มและสีน้ำตาล ขัดเงาได้ดี ใช้ในงานทำตู้ งานไม้ตกแต่ง ทำเครื่องมือเครื่งใช้ และเฟอร์นิเจอร์ ระยะออกดอก/ติดผล---มกราคม-เมษายน/กุมภาพันธุ์-สิงหาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปอหู/Hibicus macrophyllus
ชื่อวิทยาศาตร์---Talipariti macrophyllum (Roxb. ex Hornem.) Fryxell.(2001) ชื่อพ้อง---Has 3 Synonyms ---Basionym: Hibiscus macrophyllus Roxb. ex Hornem.(1819) ---Hibiscus setosus Roxb.(1832) ---Pariti macrophyllum (Roxb. Ex Hornem.) G.Don. (1831) ชื่อสามัญ---Largeleaf rosemallow, Large-Leaved Hau. ชื่ออื่น---พญาคชราช, ปอหู (สระบุรี), อูจง (ตรัง), ขี้เท่า (ชัยภูมิ), จ๊อง, ไอจ๊อง (มลายู ปัตตานี,ยะลา), ชู้เมีย (เพชรบุรี), ตองเต๊า, ท้องโต, ปอหมื่น, แอบข้าว (ภาคเหนือ), ปอจง, ปอสามเต๊า, เปิด (เชียงใหม่), ปอเปิด (ชลบุรี), ปอมุก (ชุมพร) ;[CHINESE: Da ye mu jin.];[INDONESIA: Tisuk.];[THAI: Po hu, Phaya Kocharaj.]; EPPO Code---1MAVF (Preferred name: Malvaceae.) ชื่อวงศ์---MALVACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- อินเดีย บังกลาเทศ กัมพูชา ลาว เวียตนาม คาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา ชวา บอร์เนียว Talipariti macrophyllum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ชบา (Malvaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย (William Roxburgh (1751-1815) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวสก็อต.จากอดีต Jens Wilken Hornemann (1770 – 1841)นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก.)และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Paul Arnold Fryxell (1927 –2011) นักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกันในปี พ.ศ.2544 *The name of this species has recently (2001) been changed from Hibiscus macrophyllus, though this is not universally recognised as yet (2009) [K].ชื่อของสายพันธุ์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ (2544) ถูกเปลี่ยนจาก Hibiscus macrophyllus แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักในระดับสากล (2552) (แปลโดยกูเกิ้ล)*
ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่จีน ( ยูนนาน) สู่เอเชียเขตร้อน ที่ระดับความสูง 400 - 1,000 เมตร ในประเทศไทยพบเป็นไม้ถิ่นเหนือมีกระจายกว้างขวางแต่ไม่พบมากนัก ชอบขึ้นตามช่องป่าเปิดชื้น มักพบในไร่ชา ลักษณะ เป็นไม้ต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่สูง15-60 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นได้สูงสุด 30 ซม ลักษณะเรือนพุ่มโปร่ง เปลือกบางสีน้ำตาล ผิเรียบหรือมีรอยแตกเป็นร่องตื้นๆตามยาวและมีรูอากาศขนาดใหญ่ เปลือกชั้นในสีน้ำตาลอมชมพูเป็นเยื่อใยแน่น กิ่ง ใบ ช่อดอกมีขนสีน้ำตาลทองปกคลุม ใบเดี่ยวขนาด15-35ซม.รูปหัวใจเรียงเวียนสลับ ขอบใบเรียบหรือมีหยักตื้นๆ ใบอ่อนมีขนรูปดาวหนาแน่น ใบแก่มีขนน้อยลง ช่อดอกออกที่ปลายกิ่งยาวได้ถึง 30 ซม ออกแบบช่อกระจะ1-3 ดอก ดอกขนาด5-7.5ซม. ดอกตูมมีกาบหุ้ม มีริ้วประดับรูปแถบจำนวน10-12อัน กลีบเลี้ยง5กลีบ กลีบดอก5กลีบสีเหลืองสดมีสีม่วงแต้มตรงกลาง เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อดอกแก่ ผลขนาด2.5-3.5ซม. แห้งแตกกลางพู เป็น5แฉก มีขนสีทองแข็งปกคลุมด้านนอกหนาแน่น เมล็ดรูปไตมีขน ใช้ประโยชน์--- พืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ ไม้และเส้นใย มีการปลูกในอินเดียไปจนถึงชวาเพื่อใช้เส้นใยจากเปลือกและบางครั้งก็ปลูกในเขตร้อนเป็นไม้ประดับ -อื่น ๆ ไม้สีน้ำตาลอมเทาอ่อนนุ่มเนื้อละเอียด เนื้อไม้คล้ายไม้สักทอง บางครั้งเรียกทางการค้าในการปลูกสวนป่าว่า พญาคชราช แต่เป็นไม้ที่มดมอดปลวกชอบกิน เนื้อไม้อ่อนผุง่าย เนื้อไม้จัดอยู่ในชั้นไม้คุณภาพปานกลางหรือเกรดบี ใช้สำหรับการก่อสร้าง ระยะเวลาปลูกถึงตัดใช้งานได้อยู่ที่ 10 ปี เส้นใยของเปลือกไม้และรากใช้ทำเชือกหยาบและกระดาษ ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
ปันแถ/Albizia lucidior
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา :หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Albizia lucidior (Steud.) I.C.Nielsen ex H.Hara.(1979) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl/record/ild-43452 ---Basionym: Inga lucidior Steud.(1831) ---Albizia gamblei Prain.(1897) ---Albizia lucida Benth.(1844) ---Albizia meyeri Ricker.(1918) ---Mimosa lucida Roxb.(1832) ชื่อสามัญ---Potka siris, Potka siris tree. ชื่ออื่น---กระบุง โคน้ำ จะแข ซะแข ตังแข ติแข แถ แทงแข นางแหง่ ปันแข ปันแถ โปลตาสู่ พญารากขาว พฤกษ์ สะแข; [ASSAMESE: Potka Siris, Micha-goch, Moj, Silkoroi.];[THAI: Kra-bung (Chong-Chanthaburi), Kho nam (Ratchaburi), Cha khae (Northeastern, Northern), Sa khae (Northeastern, Northern), Tang khae(Ratchaburi), Ti khae (Loei), Thae (Northern), Thaeng khae (Uttaradit), Nang ngae (Kanchanaburi), Pan khae (Northern), Pan thae (Northern), Plo-ta-su (Karen-Mae Hong Son), Phaya rak khao (Uttaradit), Phruek (Kanchanaburi), Sa khae (Northeastern, Northern);[VIETNAM: Bản xe, đái bò.] EPPO Code: ALBSS (Preferred name: Albizia sp.) ชื่อวงศ์---FABACEAE (LEGUMINOSAE - MIMOSOIDEAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน, อินเดีย, เนปาล, ภูฏาน, พม่า, ไทย, กัมพูชา, ลาว, เวียดนาม Albizia lucidior เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ถั่ว (Fabaceae) วงศ์ย่อยสีเสียด (Mimosoideae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ernst Gottlieb (Theophil) von Steudel (1783–1856) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมันและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ivan Christian Nielsen (1946–2007) นักพฤกษศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาชาวเดนมาร์ก จากอดีต Hiroshi Hara (1911–1986) นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2522 ที่อยู่อาศัย มีถิ่นกำเนิดในป่าชื้นของอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ เติบโตในป่าดิบและป่าทุรกันดารมักจะอยู่ในรูปแบบที่เปิดกว้าง ที่ระดับความสูง 600-1,900 เมตร ในประเทศไทยพบทุกภาคของประเทศ ลักษณะ เป็นไม้ต้นผลัดใบสูงถึง7-15 เมตร เรือนยอดเขียวเข้ม เปลือกสีเทามีรูระบายอากาศมาก ใบใบประกอบขนนกยาว8-10ซม.2-3คู่ ดอกเป็นกลุ่มกลมเล็ก 6-10 ดอกดอกสีเหลือง ผลเป็นฝักขนาดกว้าง 3-3.5 ซม.ยาว 15-20 ซม.บาง เกลี้ยงเป็นมันสีเหลืองหรือน้ำตาลทอง เมล็ดกลม 6-8 เมล็ดสีน้ำตาลเข้มขนาด เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---เติบโตได้ดีที่สุดในตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง แต่ทนแสงแดดได้ อุณหภูมิตอนกลางวันต่อปีอยู่ในช่วง 20 - 34°c แต่ทนได้ 6 - 42°c ดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง ระบายน้ำดี ค่า pH ในช่วง 5.5 - 6.5 ซึ่งทนได้ 4.5 - 7.5 สปีชีส์นี้มีความสัมพันธ์ทางชีวภาพกับแบคทีเรียในดินบางชนิดแบคทีเรียเหล่านี้ก่อตัวเป็นก้อนบนรากและตรึงไนโตรเจนในบรรยากาศ ไนโตรเจนบางส่วนถูกใช้โดยพืชที่กำลังเติบโต แต่บางชนิดก็สามารถใช้กับพืชชนิดอื่นที่ปลูกในบริเวณใกล้เคียงได้เช่นกัน ใช้ประโยชน์ ---ต้นไม้บางครั้งถูกเก็บเกี่ยวมาจากป่าเพื่อใช้เป็นไม้ในท้องถิ่น -ใช้กิน ยอดอ่อนกินสดเป็นผักหรือลวก นึ่ง -ใช้ปลูกประดับ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ปลูกเป็นไม้ร่มให้ร่มเงา มีคุณสมบัติในการปรับปรุงดิน -อื่น ๆ แก่นไม้มีสีน้ำตาลมีลายเส้นสีดำสลับแถบสีเข้มและสีอ่อนสลับกัน กระพี้เป็นสีขาว ไม้นั้นแข็งและมีคุณภาพดี ใช้สำหรับการก่อสร้างและทำเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้นไม้ที่ใช้สำหรับเลี้ยงครั่ง ไม้สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิง ระยะออกดอก/ติดผล--- เมษายน - มกราคม ขยายพันธุ์---เมล็ด ปักชำ
ป่าน/Boehmeria clidemioides var. clidemioides
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา :หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทย โดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ชื่อวิทยาศาตร์---Boehmeria clidemioides Miq var. clidemioides ชื่อพ้อง---This name is a synonym of Boehmeria clidemioides Miq.(1851). See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2678171 ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ป่าน ;[CHINESE: Bai mian zhu ma (yuan bian zhong).];[THAI: Paan.];[VIETNAM: Gai lan, Gai rừng.] EPPO Code---BOHSS (Preferred name: Boehmeria sp.) ชื่อวงศ์---URTICACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน อินเดีย ภูฏาย เนปาล ลาว ไทย เวียตนาม Boehmeria clidemioides Miq var. clidemioides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ตำแย (Urticaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Friedrich Anton Wilhelm Miquel (1811–1871) นักพฤกษศาสตร์ชาวดัตช์ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย เกิดตามธรรมชาติ กระจาย ใน จีน (กวางสี ยูนนาน ทิเบต) [ภูฏาน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, เนปาล, สิกขิม, เวียดนาม] เติบใตในสถานที่หลากหลายมาก พบในป่าดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้นและลาดชัน หุบเหว ระยะขอบป่าผลัดใบ ป่าไผ่ป่าทุติยภูมิและขอบ เส้นทางชายป่างป่า ที่ระดับความสูง 200-2600 เมตร ในประเทศไทยพบตามสถานที่ชื้นในป่าตามลำธาร ลักษณะ เป็นไม้ พุ่มกิ่งก้านมากสูง 3 เมตรเปลือกต้นบางเกลี้ยงสีน้ำตาล มีรูอากาศใหญ่ ใบออกสลับตรงข้ามคู่ที่ตรงกันมักไม่เท่ากัน ขอบใบมีซี่หยาบหรือละเอียด ด้านบนมีขนหยาบ ด้านล่างมีขนนุ่มและหนาแน่นกว่า ดอกเป็นช่อแน่นยาว ออกในซอกใบล่างๆและหลังใบ มักมีกลุ่มของใบอ่อนอยู่ที่ปลาย ดอกเพศผู้และดอกเพศเมีย อยู่คนละต้น (Dioecious) ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ตำแหน่งที่มีแสงแดดส่องถึง ดินทรายที่ระบายน้ำได้ดี ใช้ประโยชน์--- บางครั้งพืชถูกรวบรวมมาจากป่าเพื่อใช้ในท้องถิ่นเป็นแหล่งของยาและไฟเบอร์ -ใช้เป็นยา ในยาแผนโบราณในประเทศจีน-อื่น ๆ เส้นใยได้มาจากเปลือกไม้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท'ความกังวลน้อยที่สุด'(ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ( 2013) ระยะออกดอก/ติดผล---พฤษภาคม - สิงหาคม/สิงหาคม- ตุลาคม ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
ปาหนันช้าง/Goniothalamas giganteus
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--- หนังสือ พรรณไม้ดอกหอม วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Goniothalamas giganteus Hook.f. & Thomson.(1855) ชื่อพ้อง---Has 2 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2834515 ---Goniothalamus oxycarpus (Miq.) Miq.(1861) ---Guatteria oxycarpa Miq.(1855) [Unresolved] ชื่อสามัญ---Giant Ylang-Ylang ชื่ออื่น---ปาหนันช้าง, กะนือเราะ ;[MALAYSIA: Penawar hitam, Dedanum, Galang hutan, Pisang-pisang, Galang hitam.(Malay).];[THAI: Paanan chang (Peninsular).]. EPPO Code---GJOGI (Preferred name: Goniothalamus giganteus.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ - ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย Goniothalamas giganteus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398 ที่อยู่อาศัย พบที่คาบสมุทรมลายู สุมาตรา บอร์เนียว และภาคใต้ตอนล่างของไทย ขึ้นตามป่าดิบชื้นปฐมภูมิมักอยู่ในที่ราบลุ่มแอ่งน้ำหรือบนเนินเขาโดยทั่วไปในพื้นที่หินทราย ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 900 เมตร ในประเทศไทยพบปาหนันช้างเป็นพรรณไม้พื้นเมืองของไทย เป็นต้นไม้วงศ์กระดังงาสกุลปาหนันที่มีดอกหอมและดอกใหญ่ที่สุด มีการกระจายพันธุ์ในป่าดิบชื้นทางภาคใต้ บริเวณจังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ที่ระดับความสูง 50-400 เมตร. ลักษณะ เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีขนาดต้นสูง 5-15 เมตรแตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่ง เปลือกหนาเรียบ สีขาวอมน้ำตาล ฉ่ำน้ำ มีกลิ่นฉุน เนื้อไม้เปราะ ใบรูปใบหอกแกมไข่กลับ กว้าง 4-6 ซม.ยาว 15-25 ซม. ขอบใบเรียบ ใบหนา ใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน ใบด้านบนสีเขียวเข้มเป็นมัน ใบด้านล่างสีอ่อนกว่า โคนใบรูปลิ่มปลายใบแหลม ดอกมีขนาดใหญ่สุดในสกุลปาหนัน และใหญ่ที่สุดในวงศ์กระดังงา เป็นดอกเดี่ยว ออกเป็นช่อกระจุก 2-3 ดอก กลีบเลี้ยง ๓ กลีบ รูปไข่ปลายแหลม กลีบดอก ๖ กลีบ สีเหลือง เรียงเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ กลีบดอกชั้นนอกรูปไข่แกมขอบขนานเป็นคลื่น กลีบดอกชั้นในรูปไข่ ปลายแหลม ดอกสีเขียวเมื่อบานเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกบานมีขนาด7-10 ซม. ผลเป็นผลกลุ่ม มีผลย่อย 8-20 ผล เปลือกผลขรุขระเป็นหนามสั้นๆ ผลแก่สีเหลืองอมเขียว มีเมล็ด 1-3เมล็ด รูปกลมรี ยาว 1-1.5 ซม. ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ปาหนันช้างเป็นต้นไม้กลางแจ้ง ชอบแสงแดดเต็มวัน ชอบดินร่วนระบายน้ำได้ดีและให้น้ำบ่อยๆ ต้นที่ปลูกในที่แห้งแล้งจะไม่ออกดอก ใช้ประโยชน์--- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับกลิ่นหอมดอกใหญ่สวยงาม -ใช้เป็นยา ดอก-ใช้ทำเป็นยาบำรุงสตรีหลังคลอดบุตร ราก-ใช้เป็นยาลดไข้ ยาต้มจากรากใช้ภายนอกเป็นยารักษาโรคหวัด และในทำนองเดียวกันก็ใช้ห้องอบไอน้ำในการรักษาไข้ ทั้งต้น-มีสารออกฤทธิ์ต้านเนื้องอกและเซลล์มะเร็งได้ -อื่น ๆ และมีสรรพคุณใช้ฆ่าแมลง ควันที่เกิดจากการเผาไหม้รากยังสามารถใช้เพื่อขับไล่ยุง งู และสัตว์ป่าอื่นๆ เปลือกใช้ทำสายระโยงระยาง ความเชื่อ/พิธีกรรม---Kayu selukai เป็นเปลือกแห้งของต้นไม้ใน สกุล Goniothalamus Genera (จำพวก) วงศ์ ANNONACEAE เป็นหนึ่งในสกุลที่ใหญ่ที่สุด ประกอบด้วย160สายพันธุ์ สายพันธุ์ปาหนันช้างจะเรียกโดยทั่วไปว่า selukai หรือ kayu hujan panus เปลือกไม้นั้นมีความหอม มีการขายเป็น kulit เป็นที่เชื่อกันโดยประชาชนชาว Iban ว่าเมื่อถูกเผามันจะขับไล่ยุงเพราะกลิ่นที่รุนแรงและควันหนาที่มันสร้างขึ้น เชื่อกันว่าเป็นการขับไล่วิญญาณชั่วร้ายส่วนใหญ่จะถูกเผาในตอนกลางคืนและในวันที่อากาศร้อนและฝนตก ระยะออกดอก---มีนาคม-พฤษภาคม ขยายพันธุ์---เพาะเมล็ดหรือการตอน แต่เป็นต้นไม้ที่เพาะเมล็ดค่อนข้างยาก
ปาหนันยักษ์/Goniothalamus sp
อ้างอิง,ภาพประกอบเพื่อการศึกษา--- หนังสือ พรรณไม้ดอกหอม วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Goniothalamus sp. ชื่อพ้อง---Unknown ชื่อสามัญ--None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปาหนันยักษ์ EPPO Code---GJOSS (Preferred name: Goniothalamus sp.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---มาเลเซีย สุมาตรา ไทย Goniothalamus sp.เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae) ที่อยู่อาศัย พบใน ไทย มาเลเซีย สุมาตรา ในประเทศไทย เกิดขึ้นในป่าดิบเขาทางภาคเหนือ ที่ระดับความสูง 1,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กสูง 5 เมตร เปลือกลำต้นหนา สีเทาอมน้ำตาล มีกลื่นฉุนแตกกิ่งน้อย กิ่งยาวขนานกับพื้นดิน เนื้อไม้เหนียว ใบ มีขนาดใหญ่ที่สุดในสกุลนี้ รูปขอบขนานแกมไข่กลับกว้าง 18-22 ซม.ยาว50-75ซม. โคนใบมน ปลายใบมนและมีติ่งหนาม ขอบใบเป็นคลื่น หนา แข็ง กรอบ เส้นกลางใบและเส้นแขนงใบด้านล่างมีขนสีน้ำตาลหนาแน่น ดอกออกตามลำต้นกระจุกละ 2-4 ดอก ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อดอกบานกลีบดอกมีขนยาวสีเงินปกคลุมหนาแน่น มีกลิ่นแรงมาก ผลเป็นผลกลุ่ม มี10-15ผล รูปทรงกระบอก กว้าง1.5ซม.ยาว305ซม. การใช้ประโยชน์---เป็นไม้ป่าที่ยังไม่มีการปลูกเลี้ยง และยังไม่มีการนำมาใช้ประโยชน์ ระยะออกดอก/ติดผล----เดือนกุมภาพันธ์---พฤษภาคม/ ผลแก่หลังจากดอกบาน5-6เดือน ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
ปาหนันพรุ/Goniothalamus malayanus
อ้างอิงภาพประกอบเพื่อการศึกษา--- หนังสือ พรรณไม้ดอกหอม วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ชื่อวิทยาศาตร์---Goniothalamus malayanus Hook.f. & Thomson.(1855) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all https://www.gbif.org/species/3154623 ---Goniothalamus dispermus Miq.(1865) ---Goniothalamus puncticulatus Boerl. & Koord.(1910) ---Goniothalamus slingerlandtianus Scheff.(1870) ---Goniothalamus ventristylus Boerl. & Koord. ex Koord.-Schum.(1910) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---ปาหนันพรุ ; [THAI: Paanan phru.]. EPPO Code---GJOMA (Preferred name: Goniothalamus malayanus.) ชื่อวงศ์---ANNONACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์--- มาเลเซีย บอร์เนียว สุมาตรา นิโคบาร์ ไทย Goniothalamus malayanus เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระดังงา (Annonaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Sir Joseph Dalton Hooker (1817-1911) นักพฤกษศาสตร์นักชีววิทยาและศัลยแพทย์ชาวอังกฤษและThomas Thomson (1817 –1878) ศัลยแพทย์และนักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2398 ที่อยู่อาศัย หมู่เกาะอันดามัน, หมู่เกาะนิโคบาร์, ประเทศไทย (ภาคใต้และตะวันตกเฉียงใต้), คาบสมุทรมาเลเซีย (ยะโฮร์, มะละกา, ปะหัง, ปีนัง, เประ, สลังงอร์และสิงคโปร์), สุมาตรา (สุมาตรา, และเกาะบอร์เนียว) บรูไน, กาลิมันตันบารัท, กาลิมันตันติมอร์, ซาบาห์, ซาราวัก ในธรรมชาติพบตามพื้นที่ดินแฉะ น้ำท่วมขังหรือป่าพรุ ป่าพรุน้ำจืดผสมกับป่าพรุ ที่ระดับน้ำทะเลถึง 100 (−400) เมตร ลักษณะ เป็นไม้ ต้นขนาดเล็ก สูง5-12เมตรเส้นผ่านศูนย์กลางลำต้น 17 ซม. ลักษณะคล้ายคลึงปาหนันช้างแต่ดอกเล็กกว่า กลิ่นหอมแรงกว่า เปลือกต้นสีน้ำตาลหนา มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว แตกกิ่งน้อย ทรงพุ่มโปร่ง ใบรูปขอบขนานยาว10-14ซม. ขอบใบเรียบแผ่นใบหนา ผิวใบเรียบเป็นมันทั้งสองด้าน ดอกเดี่ยวออกตามกิ่งแก่ ออกดอกดก กลีบหนาฉ่ำน้ำสีเหลือง เมื่อบานขนาด4-6ซม.ขอบกลีบเป็นคลื่น ดอกทยอยบานได้นาน2-3วันส่งกลิ่นหอมอ่อนๆตลอดวัน ผลกลุ่มมีผลย่อย 6-9 ผลมี 2-5 เมล็ด เมื่อสุกสีเหลืองอมเขียว ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---ชอบแสงรำไรและความชื้นสูง สามารถเจริญเติบโตได้ทุกภูมิภาค *Goniothalamus malayanus มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ G. giganteusซึ่งเกิดขึ้นในสุมาตราแม้ว่าทั้งสองสายพันธุ์จะมีความโดดเด่นแต่ก็แยกออกได้ง่ายถ้ามีการออกดอกและผล โดยดอกของ G. giganteus จะใหญ่กว่ามาก ระยะออกดอก---เดือนเมษายน-สิงหาคม ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
|
ปิ่นสินชัย/Leucosceptrum canum
ชื่อวิทยาศาตร์---Leucosceptrum canum Sm.(1806) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms. See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-112074 ---Clerodendrum leucosceptrum D.Don.(1825) ---Comanthosphace nepalensis Kitam. & Murata.(1954) ---Teucrium leucosceptrum (D.Don) Voigt. (1845) ---Teucrium macrostachyum Wall. ex Benth.(1835) ชื่อสามัญ--Hairy white-wand. ชื่ออื่น---ปิ่นสินชัย ;[CHINESE: Mi tuan hua.];[THAI: Pin sin chai.];[VIETNAM: Bạch tiền, Mễ đoàn hoa, Hoa bông.] EPPO Code---LVSCA (Preferred name: Leucosceptrum canum.) ชื่อวงศ์---LAMIACEAE (LABIATAE) ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---ภูฏาน อินเดีย เนปาล จีนตอนใต้ พม่า ลาว ไทย เวียดนาม Leucosceptrum มีเพียงหนึ่งสายพันธุ์ที่รู้จักคือ Leucosceptrum canum เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์กระเพรา (Lamiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย James Edward Smith (1759 - 1828) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษในปี พ.ศ.2349 ที่อยู่อาศัย พื้นเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน (เสฉวน ทิเบต ยูนนาน) เทือกเขาหิมาลัยตะวันออก (เนปาล ภูฏาน อัสสัม นาคาแลนด์ บังกลาเทศ) และอินโดจีนตอนเหนือ (เมียนมาร์ ไทย ลาว เวียดนาม) ขึ้นตามทุ่งหญ้าที่โล่งบนเขาหินปูน ที่ระดับความสูง 1,800-2,500 เมตร ในประเทศไทยพบที่ภาคเหนือที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่แห่งเดียวในป่าหินปูนที่ระดับความสูง1,600-2,000 เมตร ลักษณะ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้นขนาดเล็ก สูง 2-8 เมตร ตามกิ่งอ่อนมีขนสีขาวหรือสีน้ำตาลปกคลุมแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้าม รูปรีแกมรูปใบหอก กว้าง10-15 ซม.ยาว 30 ซม.โคนใบสอบปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือหยักเป็นฟันละเอียด ผิวใบด้านล่างมีขนสีขาวหรือสีน้ำตาลปกคลุมแน่น ดอกสีขาวออกเป็นช่อแกนตั้งที่ปลายยอดหรือปลายกิ่ง ช่อดอกรูปทรงกระบอกยาว 15 ซม. ดอกขนาดเล็ก เกสรเพศผู้โผล่พ้นหลอดดอก กลีบรองดอกปลายแยกเป็น 3 แฉกสั้นๆมีขนปกคลุมแน่น กลีบดอกปลายแยกเป็น 5 แฉกยาวประมาณ 0.8 ซม.ดอกไม้ประกอบด้วยน้ำหวานสีม่วงเข้มที่ผิดปกติซึ่งเป็นที่ดึงดูดของนกและแมลง ผลเปลือกแข็งมีเมล็ดเดียว รูปสามเหลี่ยมเรียว ปลายตัด ใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา ราก ใบ ใช้แก้ปวดหัว แก้ไข้ ปวดท้อง ตกเลือด กระดูกหัก -อื่น ๆ ดอกไม้ผลิตน้ำหวานสีม่วงเข้ม พืชน้ำหวานสีที่รู้จักกันดีส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขตร้อนและกึ่งเขตร้อนของซีกโลกใต้ ( Hansen et al. , 2007 ) มีเพียงสายพันธุ์พืชดอกเดียวที่มีน้ำหวานสีLeucosceptrum canumโดดเด่นในฐานะพืชชนิดเดียวที่มีน้ำหวานสีบันทึกไว้ในเทือกเขาหิมาลัย และจีนตะวันตกเฉียงใต้ ( Hansen et al. , 2007 ) มีการสันนิษฐานว่าพืชชนิดนี้เป็น ornithophilous ( Cowan & Cowan, 1929 )แต่ไม่ได้มีจุดกำเนิดทางเคมีหรือความสำคัญในการทำงานของสีน้ำหวาน **ornithophilous(ผสมเกสรโดยนก)- น้ำหวานจากดอกไม้ถูกหลั่งจากพืชเพื่อดึงดูดและถ่ายละอองเรณูมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศ มีการทดลองพฤติกรรมแสดงให้เห็นว่าน้ำหวานสีม่วงเข้มของL.canum ทำหน้าที่เป็นสัญญาณจับเหยื่อการผสมเกสรของนก น้ำหวานที่มีสีแม้ว่าจะหายากในหมู่พืชออกดอกสามารถเป็นลักษณะดอกไม้ที่สำคัญในการรวมกันระหว่างพืช แมลงและสัตว์ การผสมเกสรของพวกเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญญาณภาพสำหรับการถ่ายละอองเรณูเพื่อเพิ่มความสำเร็จการสืบพันธุ์ ( Olesen et al. , 1998 ; Hansen et al. , 2006, 2007 ; Johnson และคณะ , 2006 ) ระยะออกดอก---ธันวาคม กุมภาพันธ์ เมษายน ขยายพันธุ์---เมล็ด
เปล้าเงิน/Croton cascarilloides
ชื่อวิทยาศาตร์---Croton cascarilloides Raeusch.(1797) ชื่อพ้อง---Has 5 Synonyms ---Basionym: Croton punctatus Lour.(1790) ---Croton cumingii Müll.Arg.(1865) ---Croton pierrei Gagnep.(1921 publ. 1922) ---Croton polystachyus Hook. & Arn.(1838) ---Oxydectes cumingii (Müll.Arg.) Kuntze.(1891) ชื่อสามัญ---None (Not recorded) ชื่ออื่น---เปล้าหลังเงิน (ประจวบคีรีขันธ์); เปล้าเงิน (สงขลา); เป้าน้ำเงิน (นครราชสีมา สุราษฎร์ธานี); กะโดนหิน (เลย) ;[CHINESE: Yín yè bādòu, Bái bādòu];[JAPANESE: Gumimodoki.];[THAI: Plao lang ngeon, Plao ngeon, Plao nam ngeon.];[VIETNAM: Ba đậu lá nhót, Cù đèn lá bạc, Cù đèn Cuming, Khai đen.]. EPPO Code---CVNSS (Preferred name: Croton sp.) ชื่อวงศ์---EUPHORBIACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---จีน พม่า ไทย เวียตนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น Croton cascarilloides เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์ (Euphorbiaceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย Ernst Adolf Raeuschel (1740–1800) เป็น lichenologist ชาวเยอรมันในปี พ.ศ.2340 ที่อยู่อาศัย มีการกระจายในไต้หวัน จีน [ฝูเจี้ยน (เซียะเหมิน), กวางตุ้ง, ไหหลำ, กวางสี, ยูนนาน] ในญี่ปุ่น (หมู่เกาะริวกิว) และประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เกิดในหุบเขาแม่น้ำหรือพุ่มไม้ริมทะเลหรือป่าโปร่งที่ต่ำกว่า 500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในประเทศไทย มักพบขึ้นกระจัดกระจายตามไหล่เขาในป่าดงดิบและตามที่ราบในป่าโปร่ง ในบริเวณสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางไม่เกิน 200 เมตร ลักษณะ เป็นไม้ต้นหรือไม้พุ่ม ไม่ผลัดใบ ขนาดเล็กสูง 1-3 (-4.5) เมตร กิ่งก้านเรียวเล็ก พื้นผิวทั้งหมดมีเกล็ดสีเงินบนพื้นผิว ใบเดี่ยวติดหนาเป็นช่วงๆใกล้ปลายกิ่ง รูปขอบขนานแกมรูปหอกหรือรูปไข่ถึงรูปไข่กลับ กว้าง 2-5 (-10) ซม.ยาว 8-14 (-23) ซม.,ขอบใบเรียบหรือหยักเพียงเล็กน้อย โคนใบสอบ ปลายใบแหลม ด้านล่างคลุมด้วยเกล็ดสีเงินปนสีน้ำตาลหนาแน่น ก้านใบยาว 1.5-3 ซม. ดอกออกเป็นช่อสั้นๆ ที่ปลายยอด มักออกทีละ 2 ช่อ ยาว 1.5-7 ซม..ดอกย่อยสีขาวครีมขนาดเล็กมาก ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนช่อเดียวกัน ดอกเพศผู้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 มม.กลีบเลี้ยงรูปไข่ยาว 2 มม.มี 5 กลีบขอบกลีบดอกและโคนเกสรมีขน ดอกเพศเมียมีขนาดใหญ่กว่า ผลมี 3 พูติดกันขนาด 6-7 มม.สีเขียว เมล็ดรูปรีด้านหนึ่งแบน ยาว 4 มม. การใช้ประโยชน์---ใช้เป็นยา มีสรรพคุณทางสมุนไพร น้ำต้มจากราก หรือรวมกับเปลือกต้น กินเป็นยาลดไข้ และแก้อาเจียน ต้น ใช้ฟอกเลือด ขับลม ในเวียตนาม เป็นยาพื้นบ้านใช้รากเป็นยาบำรุงเลือดสตรี รักษาอาการชา ปวดเมื่อยและแก้ปวด -อื่น ๆ ไม้ยากที่จะถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวาง ในญี่ปุ่นใช้ไม้เป็นวัสดุทำตะเกียบและไม้จิ้มฟัน ใบแห้งใช้สูบแทนบุหรี่ได้ ภัยคุกคาม--เนื่องจากพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่กว้างขวาง ประชากรจึงมีขนาดใหญ่และมีเสถียรภาพ ไม่มีภัยคุกคามที่น่าเป็นห่วงจัดไว้ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' (ไม่น่าจะสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้) สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species ( 2019) ระยะออกดอก/ติดผล---ตลอดปี ขยายพันธุ์---เมล็ด
|
โปรงขาว/Ceriops decandra
ชื่อวิทยาศาตร์---Ceriops decandra (Griff.) Ding Hou.(1860) ชื่อพ้อง---Has 4 Synonyms.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2712624 ---Bruguiera decandra Griff.(1836) ---Ceriops candolleana Náves.(1877) ---Ceriops roxburghiana Arn.(1838) ---Rhizophora decandra Roxb.(1814) ชื่อสามัญ---Flat-leaf spurred mangrove ชื่ออื่น---โปรงขาว, โปรงหนู (กลาง), โปลง, โปรง (เพชรบุรี), แหม(ภูเก็ต), แสมมาเนาะ (สตูล); [BENGALI: Goran.];[MALAYSIA: Tengar, Tigus, Tengar Tikus (Malay) ; Bakau Lali (Sabah); Tengar Tikus (Sarawak).];[THAI: Prong khao, Prong, Samae Manoh.]. EPPO Code---CFIDE (Preferred name: Ceriops decandra.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---อินเดีย บังคลาเทศ พม่า ไทย คาบสมุทรมลายู Ceriops decandra เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย William Griffith (1810–1845) นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษและได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Ding Hou (1921–2008)นักพฤกษศาสตร์ชาวอินโดนีเซีย-ดัตช์ในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัยเติบโตตามธรรมชาติช่วงของสายพันธุ์นี้ถูก จำกัด ไปยังชายฝั่งตะวันออกของอินเดียและในป่าชายเลนบังคลาเทศ Sundarbans(เป็นป่าชายเลนที่ต่อเนื่องที่ใหญ่ที่สุดในโลก), ตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า,ไทยและตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ตอนกลางและตอนใต้ของเทือกเขา พบตามป่าชายเลนบริเวณที่ดอนค่อนข้างแห้งด้านหลังของกลุ่มไม้โกงกาง และป่าชายเลนทั่วไปบริเวณน้ำขึ้นน้ำลง ลักษณะ เป็นไม้ ต้นกึ่งไม้พุ่ม สูง 3-10 (-15) เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำต้นถึง 15-20 (-35) ซม.โคนต้นเป็นพูพอนเล็กน้อย มีคานฐานสั้น ๆ รูปคล้ายเข่าอ้วนสั้นกลม ยาว 6-13 ซม. เหนือพื้นดิน ซึ่งดูเหมือนว่าจะพัฒนาจากการรวมกลุ่มของรากไม้ต่อขา Pneumatophores ขนาดเล็ก (รากหายใจ) พัฒนาขึ้นในพื้นที่เปียกชื้น เปลือกสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน เรียบถึงแตกเป็นสะเก็ด ใบเดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก กว้าง 3.5-5 ซม.ยาว 8-9 ซม. รูปรีปลายใบมนหรือกลม หยักเว้าเล็กน้อย โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบและมักม้วนลง เนื้อใบอวบน้ำแกมเหนียวแผ่นใบหนาคล้ายหนัง ก้านใบยาว 1-3 ซม. มีหูใบยาว 2-3 ซม.ดอกเป็นช่อกระจุก สีขาว ออกตามซอกใบ ดอกขนาดเล็ก กลีบเลี้ยง5กลีบกลีบดอก5กลีบปลายเว้าเป็น 2 แฉก ผลเดี่ยวรูปทรงกระบอก มีสัน 4 สันขนาด 0.7-1 x 8-15 ซม. สีเขียวโคนสีม่วงเข้ม.มีกลีบเลี้ยงติดทน เมล็ดงอกขณะที่ผลยังติดอยู่บนต้น มีลำต้นใต้ใบเลี้ยงยื่นยาวออกมาและชี้ขึ้น ข้อกำหนดสิ่งแวดล้อม---พืชสามารถเจริญเติบโตได้ในดินเค็ม มีความทนทานต่อความเค็มสูงสุดที่ 67ppt และความเค็มของการเจริญเติบโตที่เหมาะสมที่15 ppt สายพันธุ์ที่เติบโตช้าแม้ว่าจะสามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงได้ ใช้ประโยชน์--- ต้นไม้มักถูกเก็บเกี่ยวจากป่าเป็นแหล่งของไม้และวัสดุอื่น ๆ สำหรับใช้ในท้องถิ่น ในอดีตเปลือกไม้เป็นแหล่งสำคัญของสารแทนนินคุณภาพสูงและถึงแม้ว่าการใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ได้ลดลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงใช้เฉพาะที่ -วนเกษตร ปลูกเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลน -ใช้เป็นยา เปลือกไม้นั้นมีฤทธิ์ฝาด ยาต้มใช้รักษาอาการตกเลือด -อื่น ๆ เนื้อไม้มีสีขาวอมเหลืองซีดเมื่อถูกตัดสด ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมส้มเมื่อสัมผัสกับอากาศ ทนต่อการสลายตัวในระดับปานกลางอายุการใช้งานที่สัมผัสกับพื้นประมาณ 2 ปี ใช้ทำเสา กิ่งไม้ใช้สำหรับทำเครื่องมือและงอสำหรับซี่โครงเรือ ไม้ใช้เป็นเชื้อเพลิง เมื่อแห้งไม้จะเผาไหม้ด้วยเปลวไฟที่ร้อนกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ-เปลือกไม้ให้แทนนินคุณภาพสูง ทั้งเปลือกและใบใช้สำหรับฟอกหนังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย เปลือกของต้นไม้เก่าแก่มีสารแทนนินในปริมาณที่สูงกว่า -ยางจากเปลือกจะให้สีย้อมสีดำที่ใช้ในอุตสาหกรรมผ้าบาติก ภัยคุกคาม---สายพันธุ์นี้หายากด้วยการกระจายที่ จำกัด การหาผลประโยชน์ขนาดหนักสำหรับใช้ไม้ทำ เสา ฟืนและถ่าน ได้แพร่หลายและยังคงเกิดขึ้นในสถานที่ การถูกคุกคามด้วยการสูญเสียที่อยู่อาศัยจากการพัฒนาชายฝั่งตลอดช่วง แม้ว่าจะไม่ทราบการลดลงของประชากรที่แน่นอน แต่ก็คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 12 - 26% ในช่วงปี 1980 - 2000 พืชนี้จัดอยู่ในประเภท 'ใกล้ถูกคุกคาม' ใน IUCN Red List สถานะการอนุรักษ์---NT - Near Threatened - National - IUCN Red List of Threatened Species.2013 ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด
โปรงแดง/Ceriopos tagal
ชื่อวิทยาศาตร์---Ceriops tagal (Perr) C.B. Rob. (1908) ชื่อพ้อง---Has 18 Synonyms ---Basionym: Rhizophora tagal Perr.(1824) ---Ceriops boiviniana Tul.(1856) ---Ceriops candolleana Arn.(1838) ---More.See all The Plant List http://www.theplantlist.org/tpl1.1/record/kew-2712632 ชื่อสามัญ---Spurred mangrove, Indian mangrove, Yellow mangrove. ชื่ออื่น---ปรง(จันทบุรี, สมุทรสาคร) โปรงแดง (สมุทรสาคร), แสม (ภาคใต้);[CHINESE: Jiao guo mu.];[MALAYSIA: Bakau, Tengar,Tengar Samak (Malay),Tagal,Tangal,Tenug (Sabah).];[THAI: Prong daeng, Smae.];[VIETNAM: Dà đỏ, Dà vôi.] EPPO Code---CFITA (Preferred name: Ceriops tagal.) ชื่อวงศ์---RHIZOPHORACEAE ถิ่นกำเนิด---ทวีปเอเซีย เขตกระจายพันธุ์---พื้นที่ชายฝั่งทะเลของมหาสมุทรอินเดียตั้งแต่แอฟริกาจนถึงเอเชียออสเตรเลียและแปซิฟิก Ceriopos tagal เป็นสายพันธุ์ของพืชดอกในครอบครัววงศ์โกงกาง (Rhizophoraceae)ได้รับการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกโดย George Samuel Perrottet (1790 –1870) นักพฤกษศาสตร์และนักพืชสวนจากปราซในชุมชน เมือง Vully-le-Bas ปัจจุบัน Bas-Vully รัฐFribourgประเทศสวิสเซอร์แลนด์และได้รับชื่อที่แน่นอนในปัจจุบันโดย Charles Budd Robinson, Jr. (1871–1913) นักพฤกษศาสตร์และนักสำรวจชาวแคนาดาในปี พ.ศ. ที่อยู่อาศัย กระจายบนชายฝั่งแอฟริกาตะวันออก-จากโซมาเลียจนถึงแอฟริกาใต้ มาดากัสการ์ เซเชลส์และมัลดีฟส์ ในเอเซีย-จากปากีสถาน อินเดียและศรีลังกาไปยังชายฝั่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนถึงทางเหนือสุดในภาคใต้ของจีนและฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย, นิวกีนี, -ทางตอนเหนือของออสเตรเลียและในโอเชียเนียขยายไปที่ไกลที่สุดไปยังไมโครนีเซีย, นิวแคลิโดเนียและวานูอาตู พบด้านในของป่าชายเลนตามริมชายฝั่งแม่น้ำที่น้ำท่วมถึงอย่างสม่ำเสมอ และดินมีการระบายน้ำดี อยู่ในระยะไม่ไกลจากกระแสน้ำในป่าโกงกางไหลผ่านเเป็นครั้งคราว ลักษณะ เป็นไม้ต้นขนาดเล็กถึงกลาง สูง20เมตร เรือนยอดแผ่เป็นพุ่มกลม โคนต้นแผ่เป็นพูพอนเล็กน้อย มีรากค้ำยันขนาดเล็ก รากหายใจรูปคล้ายเข่ากลม อ้วนสั้น ยาว 12-20 ซม. เหนือผิวดิน เปลือกสีชมพูเรื่อถึงน้ำตาลอ่อน เรียบถึงแตกล่อนเป็นสะเก็ด ต้นแก่มีรอยแผลเป็น มีช่องอากาศสีน้ำตาลอ่อน ใบ เดี่ยวเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก กว้าง3-6ซม.ยาว5-10ซม. รูปรีปลายใบมนหรือกลม หยักเว้าเล็กน้อย โคนใบรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาคล้ายหนัง ยาว 12-20 ซม. ดอกเป็นช่อกระจุกสองด้านหลายชั้นสีขาว ออกตามซอกใบ แต่ละช่อมี 4-8 ดอก ก้านช่อดอกเรียวยาว 1-1.5 ซม. ดอกขนาดเล็ก กลีบเลี้ยง5กลีบกลีบดอก5กลีบปลายเว้าเป็น2แฉก ผลเดี่ยว รูปทรงกระบอกกว้าง 0.5-0.8 ซม. ยาว 15-35 ซม. ปลายเล็กขยายใหญ่ไปทางส่วนโคน แล้วสอบแหลม มีสัน แหลมตามยาว ผิวขรุขระ สีเขียวแต่เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ห้อยลงในแนวดิ่ง.มีกลีบเลี้ยงติดทน เมล็ดงอกขณะที่ผลยังติดอยู่บนต้น มีลำต้นใต้ใบเลี้ยงยื่นยาวออกมาาาและชี้ขึ้น ใช้ประโยชน์---ใช้กิน Andameseบางครั้งก็กินผลไม้ คนเอเชียอาจใช้เปลือกฝาดหรือกลีบเลี้ยงเก่าเคี้ยวกับใบพลู -ใช้เป็นยา เปลือกไม้มีแทนนิน ใช้เป็นยาสมานแผลและห้ามเลือด ยาต้มหน่อไม้ใช้เป็น hemostat ทำหน้าที่เป็นยาควินินใช้เป็นยาพื้นบ้านสำหรับรักษาโรคมาลาเรียและแผล เปลือก ใช้ต้มกับน้ำไว้ชะล้างบาดแผล ใช้ภายนอกเป็นโลชั่นเพื่อรักษาแผลที่เป็นมะเร็งและรักษาโรคในช่องท้อง ชาวฟิลิปปินส์ใช้เปลือกไม้เพื่อรักษาโรคเบาหวานในระหว่างการยึดครองของญี่ปุ่น ใบไม้ ใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายงานการใช้เป็นยาแผนโบราณจำนวนมาก -วนเกษตร ปลูกเพื่ออนุรักษ์ป่าชายเลน -อื่น ๆ ลำต้นสำหรับการสร้างบ้าน ถือได้ว่าเป็นไม้โกงกางที่ทนทานที่สุด (Burkill, 1966) ในประเทศอินโดนีเซียใช้ไม้เป็นเครื่องมือในการทำเหมืองและอุปกรณ์สำหรับขุดหลุม-ไม้มีค่าเชื้อเพลิงสูงมาก "เป็นหนึ่งในฟืนที่ดีที่สุด" ถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงปานกลางหรือเปลี่ยนเป็นถ่านคุณภาพสูง- เปลือกไม้ใช้สำหรับฟอกหนังและเป็นแหล่งให้สีย้อมสีดำ เปลือกของ Ceriops tagal มักเรียกว่า 'tingi' เป็นหนึ่งในส่วนผสมของสูตรย้อมสีดั้งเดิม เป็นส่วนประกอบสำคัญสำหรับ 'soga browns' ของ ผ้า Batiks ชวา ภัยคุกคาม---สายพันธุ์นี้เป็นที่แพร่หลายและทั่วไป มันถูกใช้อย่างมากและถูกคุกคามโดยการสูญเสียที่อยู่อาศัยตลอดช่วงและมีการลดลงประมาณ 18% ในพื้นที่ป่าชายเลนในช่วงชนิดนี้มาตั้งแต่ปี 1980 อย่างไรก็ตามมันเป็นสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งและอุดมสมบูรณ์ สายพันธุ์ป่าชายเลนมีความเสี่ยงจากการพัฒนาชายฝั่งและการถอนที่ปลายสุดของการกระจายและมีแนวโน้มที่จะหดตัวในพื้นที่เหล่านี้มากกว่าในพื้นที่อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเนื่องจากภาวะโลกร้อนจะส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ของช่วงต่อไป แม้ว่าจะมีช่วงโดยรวมที่ลดลงในหลายพื้นที่ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะเข้าถึงเกณฑ์หมวดหมู่ที่ถูกคุกคามใด ๆ ถูกจัดอยู่ใน IUCN Red List ประเภท 'ความกังวลน้อยที่สุด' สถานะการอนุรักษ์---LC - Least Concern - National - IUCN Red List of Threatened Species.2013 ระยะออกดอก/ติดผล---เกือบตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์---ด้วยการเพาะเมล็ด การเพาะเมล็ดโดยตรงจะทำให้รอดชีวิตถึง 90%
|
อ้างอิง, ภาพประกอบเพื่อการศึกษา :
---หนังสือพรรณไม้ในสวนหลวง ร.๙ เล่ม1,เล่ม 2,เล่ม 3 2554 . ---หนังสือ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม1,เล่ม2,เล่ม3, เล่ม4 2548 ---หนังสือ ต้นไม้เมืองเหนือ คู่มือศึกษาต้นไม้ยืนต้น ในป่าภาคเหนือ ประเทศไทยโดย ไซมอน การ์ดเนอร์,พินดา สิทธิสุนธร,วิไลวรรณ อนุสารสุนทร หอพรรณไม้ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2549 ---ไม้ต้นในสวน Trees in the Gardenโดย องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักนายกรัฐมนตรี The Botanical Garden Organization Office of the Prime Ministerจัดพิมพ์โดย มูลนิธิ ศาสตราจารย์ดร.สง่า สรรพศรี ---คู่มือดูพรรณไม้ป่าสะแกราช เล่ม1, เล่ม2 โดย ดร. ปิยะ เฉลิมกลิ่น,จิรพันธ์ ศรีทองกุล,อนันต์ พิริยะภัทรกิจ ---หนังสือ พรรณไม้วงศ์กระดังงา ดร.ปิยะ เฉลิมกลิ่น ภาพ: อภิชัย อิงควุฒิ ---อ้างอิง,ภาพประกอบการศึกษา-หนังสือป่าเชายเลน นิเวศวิทยาและพรรณไม้ โดย สรายุทธ บุญยะเวชชีวิน (ผู้แต่งและภาพ) รุ่งสุริยา บัวสาลี พิมพ์ครั้งที่1 เมษายน 2554 ---หนังสือ ดอกไม้ และประวัติไม้ดอกเมืองไทย จาก ชุดธรรมชาติศึกษา โดย วิชัย อภัยสุวรรณ 2532 ---ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ BGO Plant Databases, The Botanical Garden Organization http://www.qsbg.org/database/ ---สำนักงานหอพรรณไม้. (2557). ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชhttp://www.dnp.go.th/botany/mplant/index.aspx ---The International Plant Names Index and World Checklist of Selected Plant Families 2017. Published on the Internet at http://www.ipni.org and http://apps.kew.org/wcsp/ ---The Plant List (TPL) was a working list of all known plant species http://www.theplantlist.org/ ---Useful Tropical Plants. http://tropical.theferns.info/viewtropical. ---India Biodiversity Portal. http://indiabiodiversity.org/species/show/ ---Plants of the World Online Kew Science.www.plantsoftheworldonline.org/taxon/urn:lsid:ipni.org ---GBIF.the Global Biodiversity Information Facility.https://www.gbif.org/species/ REFERENCES ---General Bibliography REFERENCES ---Specific & complementary
Check for more information on the species:
Plants Database ---Names, synonymy and distribution The Garden.org Plants Database https://garden.org/plants/Global Plant Initiative ---Digitized type specimens, descriptions and use หอพรรณไม้ -กรมอุทยานแห่งชาติ www.dnp.go.th/botany/Herbarium/GPI.html Tropicos ---Nomenclature, literature, distribution and collections Tropicos - Home www.tropicos.org/ GBIF ---Global Biodiversity Information Facility Free and open access to biodiversity data https://www.gbif.org/ IPNI ---International Plant Names Index The International Plant Names Index - home page http://www.ipni.org/ EOL ---Descriptions, photos, distribution and literature Global access to knowledge about life on Earth Encyclopedia of Life eol.org/ PROTA ---Uses The Plant Resources of Tropical Africa https://books.google.co.th/books?isbn=9057822040 Prelude ---Medicinal uses Prelude Medicinal Plants Database http://www.africamuseum.be/collections/external/prelude Google Images ---Images
รวบรวมและเรียบเรียงโดย Tipvipa..V บริษัท สวนสวรส การ์เด้น ดีไซน์ จำกัด สวนเทวา เชียงใหม่ www.suansavarose.com www.suan-theva.com
Updatre 28/11/2019---15/10/2021
24/6/2022
|
|
|